Saturday, 14 June 2025
World

ปธน.อีแจมยอง เดินเกมสันติปิดลำโพงโจมตีเปียงยาง ส่งสัญญาณฟื้นสัมพันธ์สองเกาหลี

(12 มิ.ย. 68) ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ นายอี แจมยอง มีคำสั่งให้กองทัพปิดลำโพงยักษ์ที่เคยเปิดเพลง K-Pop ข่าวสาร และข้อความโฆษณาชวนเชื่อต่อเกาหลีเหนือมาเป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งถือเป็นก้าวแรกในการลดความตึงเครียดและฟื้นฟูความเชื่อมั่นระหว่างสองประเทศ

ก่อนหน้านี้ อดีตผู้นำเกาหลีใต้ นายยุน ซอกยอล ที่ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง มีนโยบายตอบโต้เกาหลีเหนือด้วยการใช้เสียงเพลงและใบปลิวโจมตีผู้นำคิม จองอึน ส่งผลให้เกาหลีเหนือส่งลูกโป่งบรรจุขยะกลับมาเป็นการตอบโต้เช่นกัน

รัฐบาลอีแจมยองยังได้ขอให้นักเคลื่อนไหวงดปล่อยลูกโป่งโปรยใบปลิว ขณะเดียวกันเตือนว่าอาจใช้กฎหมายความปลอดภัยสาธารณะควบคุมการเคลื่อนไหวดังกล่าว หากส่งผลกระทบต่อความมั่นคงบริเวณชายแดน

ล่าสุดเกาหลีเหนือก็ได้ปิดลำโพงของตนลงเช่นกันในวันพฤหัสบดี ทำให้ฝ่ายเกาหลีใต้มองว่านี่อาจเป็นสัญญาณของการยุติสงครามเสียงชั่วคราว ขณะที่ประชาชนชายแดนต่างหวังว่าชีวิตจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

แม้ยังไม่มีท่าทีตอบรับอย่างเป็นทางการจากเปียงยาง แต่นักวิเคราะห์มองว่าการเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลใหม่เกาหลีใต้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทลายกำแพงความขัดแย้งที่สะสมมายาวนานในคาบสมุทรเกาหลี

‘อาโออิ’ เปิดใจลูกถูกล้อเลียนเพราะอดีตในวงการ AV ยอมรับเจ็บปวด!!..วอนสังคมหยุดตัดสินลูกจากอดีตของแม่

(12 มิ.ย. 68) อดีตนักแสดงหนังผู้ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่น 'โซระ อาโออิ' วัย 44 ปี เปิดเผยว่าลูกชายฝาแฝดของเธอเคยถูกเพื่อนล้อและกลั่นแกล้งในโรงเรียน เนื่องจากอดีตของเธอในวงการ AV แม้เธอจะออกจากวงการมานานหลายปีแล้วก็ตาม

โซระ อาโออิ (Sora Aoi) ซึ่งเคยแสดงในหนัง AV กว่า 600 เรื่องระหว่างปี 2002-2011 และกลายเป็นไอดอลระดับตำนานของวงการ ได้แต่งงานในปี 2018 กับศิลปินซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานกันมาก่อน โดยทั้งคู่ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝด พร้อมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์สกินแคร์และแบรนด์ความงามอื่น ๆ ในปัจจุบัน

แม้จะหันหลังให้กับวงการมานาน แต่ลูกของเธอยังคงถูกบูลลี่ เช่นคำพูดว่า “แม่แกเคยเล่นหนังโป๊ น่าสงสารจัง” หรือ “ลูกของคนแบบนั้นไม่มีทางมีความสุขได้” ซึ่งโซระยืนยันว่า “ไม่มีใครมีสิทธิ์ตัดสินว่าลูกฉันควรน่าสงสารหรือไม่”

เธอกล่าวว่าตนเองยอมรับอดีตได้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือการที่ลูกเข้าใจว่าแม่รักพวกเขามากเพียงใด พร้อมชี้ให้เห็นถึงอคติที่ผู้หญิงในวงการหนังผู้ใหญ่ต้องเผชิญ แม้จะพ้นจากวงการแล้วก็ตาม และหวังว่าสังคมจะเปิดใจมากขึ้นในอนาคต

ผู้นำสาธารณรัฐเซิร์ปสกา ลั่นไม่เอาผู้อพยพจากอังกฤษ ชี้ สหราชอาณาจักร ควรโยกผู้ย้ายถิ่นไปฝั่งบอสเนียแทน

(12 มิ.ย. 68) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเซิร์ปสกา มิโลราด โดดิค (Milorad Dodik) กล่าวอย่างชัดเจนว่า เขาปฏิเสธทุกข้อตกลงที่จะนำผู้อพยพมาลงในเขตบริหารของตน ซึ่งรวมถึงข้อเสนอจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อ RT ว่า สาธารณรัฐเซิร์บ (Republika Srpska) จะไม่ยินยอมให้จัดตั้ง 'ศูนย์พักพิง' สำหรับผู้อพยพจากอังกฤษบนดินแดนของตนอย่างเด็ดขาด

โดดิค กล่าวว่า ข้อเสนอของอังกฤษจริงจังและมีการผลักดันจากกระทรวงต่างประเทศของสหราชอาณาจักร แต่เขาตอบปฏิเสธด้วยหลักการชัดเจนว่า “เราไม่รับผู้อพยพ” และ “พวกเขาไม่ควรนำมาพักไว้ในเซิร์ปสกา พร้อมเตือนว่าหากจะนำผู้อพยพเข้ามา ควรโยกย้ายไปยังเขตสหพันธรัฐของ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ไม่ใช่บริเวณของเขา

ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเซิร์บย้ำว่าการย้ายผู้อพยพที่เสนอมานั้น “ยอมรับไม่ได้” และไม่ควรให้สถานะเป็นพื้นที่สำหรับผู้อพยพที่ถูกส่งกลับจากสหราชอาณาจักร โดยชี้ว่า รัฐบาลอังกฤษต้องคำนึงถึงการตัดสินใจที่สร้างปัญหาขึ้นในอนาคต และจะทำให้เกิดความตึงเครียดภายในประเทศของเขา

คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามต่อสู้ทางการเมืองของโดดิค และยังสะท้อนการใช้ประเด็นผู้อพยพเพื่อเรียกร้องเสถียรภาพหรือชี้ให้ผู้นำตะวันตกเห็นว่า สาธารณรัฐเซิร์บ มีแนวทางต่างจากรัฐบาลกลางบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา

ในขณะที่สหราชอาณาจักรพยายามดำเนินนโยบายส่งผู้อพยพที่เดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายไปยังประเทศที่ 3 เพื่อบรรเทาภาระภายใน แต่โดดิคแสดงจุดยืนว่า “เซิร์บไม่ใช่ที่รองรับผู้อพยพจากอังกฤษ” และจะไม่ลงนามในความตกลงใด ๆ ที่สนับสนุนการกระทำนั้น

‘คิม จองอึน’ ยกสัมพันธ์รัสเซียคือสายเลือดพี่น้อง ประกาศจับมือแน่น!!...ขอยืนเคียงข้างปูตินตลอดไป

(12 มิ.ย. 68) สื่อทางการเกาหลีเหนือ KCNA รายงานว่า คิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ส่งสาส์นแสดงความยินดีถึงประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เนื่องในวันชาติรัสเซีย โดยเรียกปูตินว่า “มิตรและสหายที่รักที่สุด” พร้อมยกย่องความสัมพันธ์ที่หล่อหลอมด้วยเลือดระหว่างทั้งสองชาติ

คิม จองอึน ระบุว่า รัสเซียเป็น “รัฐพี่น้อง” และมิตรภาพดั้งเดิมระหว่างเปียงยางและมอสโกยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ภายใต้ความร่วมมือเชิงทหารที่ทั้งสองประเทศได้ต่อสู้ร่วมกันใน “สงครามอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องอธิปไตยของรัสเซีย”

ภายใต้สนธิสัญญาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบเบ็ดเสร็จ กองกำลังเกาหลีเหนือได้ถูกส่งไปประจำในแคว้นเคอร์สค์ของรัสเซีย โดยมีบทบาทช่วยขับไล่กองทัพยูเครนออกจากพื้นที่ชายแดน ซึ่งปูตินได้แสดงความขอบคุณและยกย่องทหารเกาหลีเหนือว่า “ปฏิบัติหน้าที่ด้วยเกียรติและความกล้าหาญ”

ในรายงานจากกองทัพรัสเซียเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายพลวาเลรี เกราซิมอฟ ได้กล่าวถึงบทบาทสำคัญของกองทัพประชาชนเกาหลีในการปลดปล่อยแคว้นเคอร์สค์ และปูตินกล่าวว่า “ประชาชนรัสเซียจะไม่มีวันลืมวีรกรรมของทหารเกาหลีเหนือ”

ทั้งนี้ ผู้นำเกาหลีเหนือยืนยันว่าเขาและประเทศจะ “ยืนเคียงข้างปูตินและสหพันธรัฐรัสเซียตลอดไป” สะท้อนถึงแนวโน้มความร่วมมือด้านการทหารและการเมืองระหว่างสองชาติท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังยืดเยื้อในยูเครน

Boeing 787 Dreamliner เจอจุดเปลี่ยนสำคัญ อุบัติเหตุเที่ยวบิน AI‑171 สั่นคลอนความเชื่อมั่นโลก

(13 มิ.ย. 68) Boeing 787 Dreamliner หรือที่รู้จักกันในฉายา 'Plastic Jet' ถือเป็นหนึ่งในผลงานปฏิวัติวงการการบินพาณิชย์ ด้วยการนำวัสดุคอมโพสิทมาใช้ในโครงสร้างเครื่องบินเกือบครึ่งหนึ่ง ทำให้ลดน้ำหนักและประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 20–25% เมื่อเทียบกับเครื่องบินรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบปรับอากาศที่ให้แรงดันสูงขึ้น หน้าต่างขนาดใหญ่กว่าเดิม และการออกแบบเพื่อลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร ส่งผลให้ Dreamliner เป็นที่ชื่นชอบของทั้งผู้โดยสารและสายการบินทั่วโลก

โครงการ Dreamliner เริ่มต้นในปี 2004 ก่อนทำการบินทดสอบครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2009 และได้รับอนุมัติให้ใช้งานในปี 2011 แม้ต้องเผชิญปัญหาด้านเทคนิคและความล่าช้าหลายครั้ง โดยเฉพาะเหตุการณ์ไฟไหม้จากแบตเตอรี่ลิเธียมในปี 2013 ที่ทำให้ต้องระงับการบินชั่วคราวทั่วโลก ก่อนที่ Boeing จะแก้ไขและนำกลับมาให้บริการอีกครั้ง ปัจจุบัน Dreamliner มี 3 รุ่นย่อย ได้แก่ 787‑8, 787‑9 และ 787‑10 รองรับผู้โดยสารได้ตั้งแต่ 210–330 ที่นั่ง โดย Boeing ได้รับคำสั่งซื้อแล้วกว่า 2,100 ลำ และส่งมอบแล้ว 1,189 ลำ ให้กับกว่า 110 สายการบินทั่วโลก

แม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่ล้ำสมัยที่สุดรุ่นหนึ่ง แต่เส้นทางของ Dreamliner ก็ไม่ได้ราบรื่นตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงปี 2019–2022 ที่ FAA หรือสำนักงานการบินพลเรือนสหรัฐฯ เข้าตรวจสอบมาตรฐานการผลิตอย่างเข้มงวด หลังพบปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างและคุณภาพของตัวเครื่องอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นเมื่อมีพนักงานภายในออกมาเปิดเผยว่า Boeing ใช้ 'ทางลัด' บางประการในการประกอบเครื่อง เพื่อเร่งการผลิตและลดต้นทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในระยะยาว FAA จึงต้องเข้มงวดในการตรวจสอบและบังคับให้บริษัทปรับปรุงกระบวนการผลิตในหลายโรงงาน

เหตุการณ์สำคัญที่เขย่าวงการการบินเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2025 เมื่อเที่ยวบิน AI‑171 ของสายการบิน Air India ซึ่งใช้เครื่อง Boeing 787-8 หมายเลขทะเบียน VT‑ANB ตกลงในพื้นที่ชุมชนไม่กี่นาทีหลังเทคออฟจากเมืองอาห์มาดาบัด ในประเทศอินเดีย มุ่งหน้าสู่ลอนดอน หลังมีการประกาศเมย์เดย์ (เครื่องยนต์ขัดข้อง) กลางอากาศ โดยมีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 242 คน เสียชีวิต 241 ราย รอดเพียงรายเดียว ส่งผลให้เหตุการณ์นี้นับเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งแรกของ Dreamliner ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ให้บริการ และส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยของเครื่องบินรุ่นนี้

อุบัติเหตุของเที่ยวบิน AI‑171 เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกกำลังเผชิญกับอุบัติเหตุทางอากาศหลายกรณี ทั้งเครื่องบินพาณิชย์ เฮลิคอปเตอร์ และเที่ยวบินประจำภูมิภาค เหตุการณ์ตกของ Dreamliner ไม่เพียงส่งผลต่อภาพลักษณ์ของ Boeing เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ผลิตอากาศยาน หน่วยงานกำกับดูแล และสายการบินทั่วโลก ต้องหันมาให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นในโลกที่ความเสี่ยงด้านเทคนิค การดำเนินงาน และสภาพแวดล้อมยังคงเป็นความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม

‘ราเมช วิศวกุมาร’ รอดปาฏิหาริย์!!..หลังถูกแรงระเบิดดีดตัว ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากเหตุ Boeing 787 ตกที่อินเดีย

(13 มิ.ย. 68) ราเมช วิศวกุมาร (Ramesh Vishwaskumar) ชายวัย 40 ปี สัญชาติอังกฤษเชื้อสายอินเดีย คือผู้โดยสารเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกของเที่ยวบิน AI171 ของสายการบิน Air India เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา เขานั่งที่นั่ง 11A ริมหน้าต่างในห้องโดยสารด้านหน้า กำลังเดินทางร่วมกับพี่ชายที่ยังคงสูญหาย เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากเครื่องบินเทคออฟจากเมืองอาห์มดาบาด ประเทศอินเดีย มุ่งหน้าสู่สนามบินลอนดอนแกตวิค ประเทศอังกฤษ

เที่ยวบินดังกล่าวใช้เครื่อง Boeing 787-8 Dreamliner ซึ่งเพิ่งทะยานขึ้นไปได้เพียง 625 ฟุต ก่อนที่นักบินจะประกาศ 'เครื่องยนต์ขัดข้อง' เครื่องบินตกลงบริเวณหอพักแพทย์ของ BJ Medical College และเกิดการระเบิดและไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง ผู้โดยสารและลูกเรือรวม 242 ราย เสียชีวิตถึง 241 ราย เหลือเพียง ราเมช วิศวกุมาร ที่รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์

ตามรายงานเบื้องต้น เขาอาจถูกแรงระเบิดดีดตัวออกมาจากตัวเครื่องหรือได้รับการปกป้องจากแรงกระแทกหลัก ทำให้รอดพ้นจากเปลวไฟและซากระเบิดที่ตามมา ราเมช เล่าว่าได้ยิน 'เสียงระเบิดดังสนั่น' หลังเครื่องขึ้นไม่กี่วินาที ก่อนที่ไฟและควันจะพวยพุ่งไปทั่วห้องโดยสาร เขาหนีออกมาได้ทางรอยแตกที่ลำตัวเครื่อง ก่อนที่เปลวเพลิงจะลามถึงบริเวณนั้น เจ้าหน้าที่กู้ภัยพบตัวเขาในสภาพบาดเจ็บและมึนงง แต่ยังคงมีสติ

ขณะนี้ ราเมชเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในเมืองอาห์มดาบาด โดยอยู่ภายใต้การดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด แพทย์ระบุว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากไฟไหม้และอาการช็อก แต่ยังมีสติสัมปชัญญะชัดเจน คาดว่าทางการอินเดีย รวมถึงเจ้าหน้าที่จาก NTSB และสายการบิน Air India จะเข้าสอบปากคำเขาในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากคำให้การของเขาอาจเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาช่วงเวลา 30–40 วินาทีก่อนเกิดเหตุ

การที่ราเมชรอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกครั้งใหญ่เช่นนี้ ถือว่าแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การบิน สถิติเก่าระบุว่าผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งคนจากเหตุการณ์ลักษณะนี้มีน้อยมาก เช่น เที่ยวบิน BA548 ปี 1972, เที่ยวบิน 255 ปี 1987 และเที่ยวบิน Yemenia 626 ในปี 2009 การรอดชีวิตของเขาจึงกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทั้งโลกจับตามอง และเป็นอีกหน้าหนึ่งในโศกนาฏกรรมการบินที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

‘เนทันยาฮู’ ขอบคุณทรัมป์หนุนอิสราเอล ย้ำชัดโลกต้องไม่ปล่อยให้อิหร่านมีนิวเคลียร์

(13 มิ.ย. 68) นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล แถลงผ่านวิดีโอขอบคุณ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ สำหรับจุดยืนที่ชัดเจนและสนับสนุนอิสราเอลมาโดยตลอด โดยเฉพาะการยืนกรานไม่ให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์

เนทันยาฮู กล่าวว่า “ผมขอบคุณเขาสำหรับการสนับสนุนอันแน่วแน่ตลอดช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี” พร้อมย้ำว่าทรัมป์คือผู้นำที่แสดงจุดยืนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าโลกไม่ควรปล่อยให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ได้

นายกรัฐมนตรีอิสราเอลยังกล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดว่า แม้จะมี 'วันที่ยากลำบาก' รออยู่ แต่ก็ยังมี 'วันที่ยิ่งใหญ่' ที่กำลังจะมาถึง โดยสิ่งที่อิสราเอลทำในวันนี้จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็น “การต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว ระหว่างแสงสว่างและความมืด”

เนทันยาฮูยังส่งสารไปยังชาวอิหร่านโดยตรงว่า “ระบอบอิหร่านคือภัยคุกคามต่ออารยธรรม ไม่ใช่แค่อิสราเอล พวกเขาหนุนหลังการก่อการร้าย ข่มเหงประชาชนของตนเอง และมุ่งมั่นครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ เราไม่อาจยืนดูอยู่เฉยได้”

ทั้งนี้ คำแถลงดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่ทั่วโลกจับตาการเผชิญหน้าระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ขณะที่ผู้นำอิสราเอลยังคงเดินหน้าสื่อสารผ่านเวทีระหว่างประเทศถึงภัยคุกคามจากเตหะราน และความจำเป็นในการดำรงจุดยืนร่วมกันกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

'ROSOBORONEXPORT' บ.ผลิตอาวุธยักษ์ใหญ่รัสเซีย ร่วมโชว์อาวุธยุทโธปกรณ์ Indo Defense Expo 2025 เพิ่ม

บริษัท JSC ROSOBORONEXPORT (ส่วนหนึ่งของ Rostec State Corporation) ในฐานะคณะผู้แทนรัสเซียเข้าร่วมงาน Indo Defense 2025 ตามคำเชิญส่วนตัวของ ปราโวโบ ซูเบียนโต ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งได้เชิญเมื่อพบกับ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียในปี 2024 โดย JSC ROSOBORONEXPORT จัดแสดงอุปกรณ์ทางทหารล่าสุดของรัสเซียในงาน Indo Defense Expo 2025 ระหว่างวันที่ 11 ถึง 14 มิถุนายนที่ Jakarta International Expo เมืองเคมาโยรัน ประเทศอินโดนีเซีย โดยผู้ส่งออกพิเศษของรัสเซียนำเสนออาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียมากกว่า 250 รายการสำหรับทุกเหล่าทัพ โดยส่วนใหญ่ได้รับการทดสอบในสภาพการรบจริงและได้รับการอัปเกรดตามผลจากการใช้งานจากปฏิบัติการจริง

ในงาน Indo Defense 2025 บริษัท ROSOBORONEXPORT จะจัดนิทรรศการอาวุธและอุปกรณ์ทางทหารของรัสเซีย นำเสนอผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่ผลิตโดยรัสเซียซึ่งตรงตามข้อกำหนดของโครงการอาวุธยุทโธปกรณ์ปี 2025-2029 ของกองทัพอินโดนีเซียให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” Alexander Mikheev ผู้อำนวยการทั่วไปของ ROSOBORONEXPORT กล่าว “ข้อเสนอของเราสำหรับกองทัพอินโดนีเซีย ได้แก่ เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 แบบ Su-57E และรุ่นที่ 4++ แบบ Su-35 รวมถึงอาวุธสำหรับเครื่องบินเหล่านี้ ได้แก่ ขีปนาวุธนำวิถีแบบ Kh-31PD, Kh-35UE เครื่องบินเติมน้ำมัน IL-78MK-90A เฮลิคอปเตอร์แบบ Ka-52E และ Mi-17 โดรน (UAV) ตลอดจนยานเกราะที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางทางน้ำมากมาย อาทิ รถถังสะเทินน้ำสะเทินบกเบาแบบ Sprut และรถหุ้มเกราะ BMP-3F เรือดำน้ำและเรือชายฝั่ง อุปกรณ์ป้องกันภัยทางอากาศล่าสุด: ระบบ SAM S-400 Triumf, ระบบ S-350E Vityaz, ระบบ Pantsir-S1M SPAAGM, ระบบ Verba MANPADS และระบบต่อต้านโดรน

อินโดนีเซียมีพรมแดนทางทะเลยาวและเกาะมากกว่า 17,000 เกาะ เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้ ROSOBORONEXPORT จะนำเสนออุปกรณ์มากมายสำหรับกองทัพเรือ ในบรรดาอุปกรณ์ที่จะนำมาจัดแสดงในงาน Indo Defense 2025 ได้แก่ เรือตรวจการณ์ Project 22160 และเรือคอร์เวตต์ชั้น Tigr Project 20382 รวมถึงเรือจู่โจมความเร็วสูง BK-16 และ BK-10 ที่สามารถปฏิบัติการได้ทั้งในทะเลหลวงและในเขตชายฝั่ง ในช่องแคบและแม่น้ำ เรือดำน้ำ Project 636 ระบบขีปนาวุธป้องกันชายฝั่งเคลื่อนที่ Bastion พร้อมขีปนาวุธร่อนต่อต้านเรือ Yakhont และ Rubezh-ME โดยมีการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีด้วยการเปิดตัวการผลิตสำหรับโรงงานและอู่ต่อเรือในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแนวโน้มของตลาดอาวุธโลกในปัจจุบัน และโครงการร่วมกับ ROSOBORONEXPORT ในพื้นที่นี้จะทำให้ประเทศที่เป็นมิตรของรัสเซียสามารถกระตุ้นการเติบโตของการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงของตนเองได้ ในระหว่างโปรแกรมธุรกิจในงาน Indo Defense 2025 บริษัทจะจัดการประชุมและเจรจากับตัวแทนของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานทั้งหมดของกองทัพอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ROSOBORONEXPORT จะเสนอความช่วยเหลือจากรัสเซียให้กับอินโดนีเซียในการสร้างกองทัพที่ทันสมัยที่สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามและความท้าทายต่อความมั่นคงของรัฐทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

ROSOBORONEXPORT เป็นหน่วยงานของรัฐแห่งเดียวของรัสเซียที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ บริการ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศและการใช้งานสองแบบครบวงจร โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Rostec State Corporation โดยเป็นหนึ่งในผู้นำในตลาดอาวุธระดับโลก ด้วยสัดส่วนของการส่งออกอาวุธและอุปกรณ์ทางทหารของรัสเซียมากกว่า 85% Rosoboronexport ร่วมมือกับบริษัทและองค์กรด้านการป้องกันประเทศของรัสเซียมากกว่า 700 แห่ง ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของความร่วมมือทางเทคนิคทางการทหารของรัสเซียในปัจจุบันครอบคลุมมากกว่า 100 ประเทศ Rostec State Corporation เป็นบริษัทอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ซึ่งรวมองค์กรวิจัยและการผลิตมากกว่า 800 แห่งใน 60 ภูมิภาคของประเทศ บริษัทมีบทบาทสำคัญในฐานะซัพพลายเออร์รายใหญ่ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหาร และอุปกรณ์พิเศษผ่านคำสั่งซื้อด้านการป้องกันประเทศของรัฐ นอกจากนี้ Rostec ยังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการผลิตพลเรือนที่มีเทคโนโลยีสูงในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ เช่น วิศวกรรมอากาศยาน การสร้างเครื่องยนต์ การขนส่ง วิศวกรรมไฟฟ้า เทคโนโลยีทางการแพทย์ ยา และวัสดุนวัตกรรม เป็นต้น ในปี 2023 บริษัทมีรายได้รวมเกินกว่า 2.8 ล้านล้านรูเบิล (ราว 1.14 ล้านล้านบาท)

สื่อเตหะรานยัน แม่ทัพระดับสูง-นักวิทย์อิหร่านดับ หลังจาก 'อิสราเอล' เปิดฉากถล่มฐานนิวเคลียร์

(13 มิ.ย. 68) อิสราเอลประกาศเปิดฉากโจมตี (preemptive strike) ต่ออิหร่าน โดยรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล อิสราเอล คัตซ์ (Israel Katz) ระบุว่า เป็นปฏิบัติการเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามจากโครงการนิวเคลียร์ของเตหะราน

กองทัพอิสราเอล (IDF) แถลงว่ายุทธการระลอกแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยมุ่งเป้าโจมตีเป้าหมายทางทหารหลายจุดทั่วอิหร่าน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ ขณะเดียวกันสื่อทางการอิหร่านรายงานว่า แม่ทัพระดับสูง 2 นาย ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) คือ ฮอสเซน ซาลามี (Hossein Salami) และ โกลาม-อาลี ราชิด (Gholam Ali) เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ

รายงานยังระบุว่า นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชั้นนำของอิหร่าน 2 คน ได้แก่ โมฮัมหมัด-เมห์ดี เทห์รานชี (Mohammad Mehdi Tehranchi) และ ฟาเรย์ดูน อับบาซี (Fereydoun Abbasi) ก็เสียชีวิตในเหตุการณ์ด้วย ขณะที่มีเสียงระเบิดรุนแรงในหลายเมือง เช่น เตหะราน นาทานซ์ คอนดาบ และโครัมอาบาด รวมถึงมีรายงานผู้เสียชีวิตในอาคารที่พักอาศัยในกรุงเตหะราน

นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวผ่านวิดีโอว่า เป้าหมายของปฏิบัติการนี้ คือการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ โรงงานผลิตขีปนาวุธ และศักยภาพทางทหารของอิหร่าน โดยจะดำเนินต่อไป “ตราบเท่าที่ยังจำเป็น” พร้อมกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ

ด้านสหรัฐฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ โดยอิสราเอลเป็นฝ่ายดำเนินการฝ่ายเดียว ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าใกล้บรรลุข้อตกลงกับอิหร่าน และยังไม่ต้องการให้มีการปะทะรุนแรงในตะวันออกกลาง เพราะอาจทำลายโอกาสของการเจรจาโดยตรงที่กำลังดำเนินอยู่ระหว่างวอชิงตันและเตหะราน

นักวิชาการแฉ สหรัฐฯ สั่งอพยพคนก่อนอิสราเอลถล่ม เชื่อรู้แผนซัดอิหร่าน แถมให้ไฟเขียวโจมตีฐานนิวเคลียร์

(13 มิ.ย. 68) จากเหตุการณ์อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านอย่างหนัก ใช้เครื่องบินรบกว่า 200 ลำถล่มเป้าหมายกว่า 100 จุด โดยมุ่งทำลายโครงสร้างนิวเคลียร์และสังหารผู้นำทางทหารระดับสูงของอิหร่าน ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้แน่นอนว่า อิสราเอลประสานงานกับสหรัฐฯ ล่วงหน้า

ดร.เกร็ก ไซมอนส์ (Dr. Greg Simons) นักวิชาการด้านสื่อจากมหาวิทยาลัยนานาชาติแดฟโฟดิล ของบังคลาเทศ ชี้ว่าการที่สหรัฐฯ สั่งอพยพเจ้าหน้าที่สถานทูตจากอิรักและอ่าวเปอร์เซียก่อนการโจมตี แสดงให้เห็นว่าวอชิงตันรับรู้และอาจให้ไฟเขียวต่อแผนการดังกล่าว แม้สหรัฐฯ จะออกมาปฏิเสธแล้วก็ตาม

นักวิชาการยังระบุอีกว่า อิสราเอลต้องการสกัดความพยายามเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน เหมือนที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในก่อนหน้านี้ โดยที่สหรัฐฯ ยังอยากหันไปโฟกัสกับจีน แต่กลับถูกพันธมิตรอย่างอิสราเอลและยูเครนดึงกลับสู่ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

สำหรับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ดร.ไซมอนส์มองว่า เขา “ทำสงครามเพื่อหนีคดี” เพราะหากสันติภาพเกิดขึ้น โอกาสที่เขาจะถูกจับกุมในคดีทุจริตทางการเมืองย่อมเพิ่มขึ้น ทั้งยังวิจารณ์สหรัฐฯ ว่าให้การสนับสนุนอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยกล่าวว่า “อิสราเอลจุดไฟที่ดับเองไม่ได้ แล้วหวังให้วอชิงตันช่วยจ่ายค่าเสียหายแทน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top