Friday, 6 June 2025
Weekly

โดรนยูเครน ทะลวง!! ฐานทัพลึกในแดนรัสเซีย สั่นคลอน!! โครงสร้างกองทัพอากาศ ที่ทรงพลัง

(3 มิ.ย. 68) ในยามที่สงครามยูเครน–รัสเซียดำเนินเข้าสู่ปีที่สาม ท่ามกลางสมรภูมิที่ยืดเยื้อและเส้นแนวรบที่ดูเหมือนหยุดนิ่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กลับเกิดขึ้นไม่ใช่ที่แนวหน้าแต่ลึกเข้าไปในแผ่นดินรัสเซียเอง ปลายเดือนพฤษภาคม 2025 ยูเครนได้เปิดปฏิบัติการลับที่มีชื่อรหัสว่า “Operation Spider’s Web” หรือ “ปฏิบัติการใยแมงมุม” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการโจมตีที่กล้าหาญ ซับซ้อน และมีระยะลึกที่สุดนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้น โดรนกว่า 100 ลำถูกส่งเข้าไปถล่มฐานทัพอากาศหลักของรัสเซียหลายแห่ง ครอบคลุมระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตรจากแนวรบ โดยมีเป้าหมายหลักคือเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกลซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแสนยานุภาพนิวเคลียร์และยุทธศาสตร์การป้องปรามของเครมลิน ความสำเร็จของยูเครนในการทำลายเครื่องบินจำนวนมากภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ไม่เพียงสั่นคลอนโครงสร้างกองทัพอากาศรัสเซียแต่ยังเผยให้เห็นจุดเปราะบางในระบบป้องกันภัยทางอากาศที่รัสเซียเคยเชื่อว่าทรงพลัง 

ปฏิบัติการ "ใยแมงมุม" ไม่ใช่แค่การโจมตีทางทหารธรรมดา แต่เป็นผลงานการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่มีการเตรียมตัวอย่างละเอียดและซับซ้อนยาวนานกว่า 18 เดือน โดยมีหน่วยข่าวกรองและฝ่ายยุทธศาสตร์ของยูเครนเป็นผู้วางแผนหลัก พร้อมการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีและวาซิล มาลยุกหัวหน้าหน่วยความมั่นคงแห่งชาติ (SBU) การวางแผนนี้ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกเป้าหมาย การสำรวจพื้นที่เป้าหมายเชิงลึกไปจนถึงการพัฒนาวิธีการลักลอบนำโดรนเข้าไปยังดินแดนรัสเซียอย่างลับๆ โดยไม่มีการตรวจจับ การเลือกเป้าหมายไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าแต่เน้นไปที่ฐานทัพอากาศที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์สูงสุด 

โดยปฏิบัติการ "ใยแมงมุม" มีเป้าหมายหลักในการโจมตีฐานทัพอากาศและศูนย์กลางยุทธศาสตร์ที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของกองทัพอากาศรัสเซีย โดยเฉพาะฐานทัพที่เก็บรักษาเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกลรุ่น Tu-95, Tu-160 และเครื่องบินตรวจการณ์ A-50 ซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์ที่มีศักยภาพในการทำลายล้างสูงและมีบทบาทสำคัญในแผนการรุกทางอากาศของรัสเซียต่อยูเครนและพันธมิตรฐานทัพที่ถูกโจมตี ได้แก่

1)    Dyagilevo — หนึ่งในฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญสำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกล
2)    Belaya — ฐานทัพที่มีเครื่องบินตรวจการณ์และยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการสนับสนุนปฏิบัติการทางอากาศ
3)    Ivanovo Severny — ฐานทัพที่เชื่อมโยงกับระบบยุทธศาสตร์นิวเคลียร์
4)    Olenya — ฐานทัพที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เหนือคาบสมุทรคารา
5)    Ukrainka — ฐานทัพในแถบตะวันออกไกลของรัสเซีย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศ

การเลือกโจมตีฐานทัพเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีเป้าหมายเพื่อทำลายเครื่องบินและอาวุธเท่านั้นแต่ยังเพื่อสร้างความเสียหายเชิงจิตวิทยา ทำลายความเชื่อมั่นของกองทัพรัสเซีย และแสดงศักยภาพของยูเครนในการเข้าถึงและโจมตีเป้าหมายที่ลึกและอันตรายที่สุดในดินแดนศัตรู

ตามรายงานจากทางการยูเครนปฏิบัติการนี้ทำให้เครื่องบินทิ้งระเบิดและยุทโธปกรณ์ของรัสเซียได้รับความเสียหายอย่างหนักรวมกว่า 40 ลำ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 34% ของฝูงบินทิ้งระเบิดพิสัยไกลทั้งหมดของรัสเซียนับเป็นการทำลายขุมกำลังทางอากาศที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อศักยภาพทางทหารของรัสเซีย

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปฏิบัติการนี้ประสบความสำเร็จคือการใช้โดรนขนาดเล็กแบบ FPV (First-Person View) ที่มีความแม่นยำสูง โดยโดรนเหล่านี้มีระบบกล้องติดตั้งเพื่อให้ผู้ควบคุมสามารถมองเห็นเส้นทางแบบเรียลไทม์และนำทางโดรนเข้าโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ โดยบางรุ่นมีการติดตั้งระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยในการนำทางและหลีกเลี่ยงระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซีย โดรนเหล่านี้มีต้นทุนต่ำมากเมื่อเทียบกับยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ต้นทุนเฉลี่ยต่อโดรนอยู่ที่ประมาณเท่ากับ iPhone 16 Pro หนึ่งเครื่องทำให้ยูเครนสามารถผลิตและส่งโดรนออกปฏิบัติการจำนวนมากได้โดยไม่เป็นภาระหนักทางเศรษฐกิจและยังสามารถเปลี่ยนแผนหรือเพิ่มจำนวนโดรนได้อย่างยืดหยุ่นตามสถานการณ์ เพื่อให้โดรนสามารถเข้าถึงพื้นที่เป้าหมายในรัสเซียได้อย่างลับ ๆ โดรนจำนวนมากถูกลักลอบขนส่งโดยซ่อนอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ไม้บนรถบรรทุกที่ผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดภายในรัสเซีย จำนวนโดรนในแต่ละตู้ประมาณ 36 ลำ โดยเมื่อถึงเวลาปฏิบัติการ หลังคาของตู้จะถูกเปิดออกโดยระบบอัตโนมัติให้โดรนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและมุ่งหน้าโจมตีเป้าหมายอย่างพร้อมเพรียง การควบคุมโดรนเป็นแบบระยะไกลโดยใช้เครือข่าย Wi-Fi ภายในพื้นที่ลับของรัสเซียเพื่อให้การสั่งการมีความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีการใช้การประสานงานระหว่างโดรนหลายสิบลำพร้อมกันเพื่อโจมตีเป้าหมายในหลายจุดพร้อมกัน สร้างความสับสนและล้มเหลวของระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซีย การผสมผสานระหว่างการวางแผนยุทธศาสตร์เชิงลึก, เทคโนโลยีโดรน ขนาดเล็กและอัจฉริยะและกลยุทธ์การลำเลียงที่แนบเนียนนี้เองที่ทำให้ Operation Spider’s Web กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในสงครามยูเครน-รัสเซีย และอาจเป็นกรณีศึกษาสำคัญของสงครามยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีราคาไม่แพงแต่มีประสิทธิภาพสูงเปลี่ยนสมดุลความได้เปรียบทางทหารได้อย่างไม่คาดคิด

ปฏิบัติการใยแมงมุมก่อให้เกิดผลกระทบที่สำคัญสามารถวิเคราะห์ได้เป็นด้านต่าง ๆ ดังนี้

1) ด้านยุทธศาสตร์ทางทหาร: ความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้รัสเซียต้องทบทวนและปรับปรุงระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีช่องโหว่ใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้เชื่อว่าปลอดภัยจากการโจมตีลึกแบบนี้ การสูญเสียเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกลจำนวนมากยังทำให้รัสเซียมีศักยภาพทางยุทธศาสตร์ที่ลดลงอย่างมากโดยเฉพาะในการโจมตีเป้าหมายระยะไกลในยุโรปและเอเชีย
2) ด้านจิตวิทยาและขวัญกำลังใจ: การโจมตีครั้งนี้ส่งผลกระทบหนักต่อขวัญกำลังใจของทหารรัสเซียและผู้นำรัฐบาล เนื่องจากแสดงให้เห็นว่ารัสเซียยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ของตนเองได้อย่างเต็มที่และถูกโจมตีลึกถึงฐานทัพสำคัญ นอกจากนี้ยังสร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนรัสเซียที่ติดตามข่าวสารสงคราม
3) ด้านการเมืองระหว่างประเทศ: การโจมตีเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญก่อนการเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซียในอิสตันบูลเพียงหนึ่งวัน จึงถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณถึงความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของยูเครนพร้อมบีบให้รัสเซียต้องทบทวนยุทธศาสตร์และแนวทางการเจรจา
4) ด้านบทเรียนสงครามยุคใหม่: ปฏิบัติการนี้ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของสงครามยุคใหม่ ที่เทคโนโลยีโดรนขนาดเล็กและราคาถูก สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อยุทโธปกรณ์ราคาแพงและระบบป้องกันภัยที่ทันสมัย

ในเบื้องต้นรัสเซียได้สั่งให้หน่วยงานความมั่นคงและกองทัพอากาศเร่งเสริมสร้างและปรับปรุงระบบป้องกันภัยทางอากาศในทุกระดับโดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนระบบเรดาร์ตรวจจับโดรนขนาดเล็กและระบบต่อต้านโดรนแบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการติดตั้งระบบยิงสกัดโดรนด้วยเลเซอร์และอาวุธอัตโนมัติเพื่อสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งมากขึ้นการเปลี่ยนแปลงนี้ยังรวมถึงการยกระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบเส้นทางเข้าออกและการควบคุมการจราจรทางอากาศในพื้นที่ใกล้ฐานทัพพร้อมทั้งเพิ่มกำลังพลรักษาความปลอดภัยรอบฐานอย่างเข้มงวด

หลังจากการโจมตีฐานทัพอากาศสำคัญของรัสเซียโดยโดรนยูเครนในปฏิบัติการ "ใยแมงมุม" รัสเซียตอบโต้ด้วยความรุนแรงอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีเมืองหลวงเคียฟซึ่งกลายเป็นเป้าหมายหลักของการแก้แค้นในระดับยุทธศาสตร์ กองทัพรัสเซียได้เปิดฉากโจมตีด้วยขีปนาวุธระยะไกลและขีปนาวุธนำวิถีแบบครุยซ์ (Cruise missiles) และโดรนติดระเบิด (loitering drones) จำนวนมากยิงเข้าหาเป้าหมายสำคัญในเมืองหลวงเคียฟ เช่น ระบบไฟฟ้าและพลังงานในเมืองเคียฟทำให้หลายพื้นที่ในเคียฟดับไฟฟ้าหลายชั่วโมงถึงวัน สถานีรถไฟและศูนย์กลางการคมนาคมเพื่อจำกัดการเคลื่อนย้ายกำลังและเสบียง อาคารสำนักงานรัฐบาลและศูนย์สื่อสารเพื่อทำลายการประสานงานและลดประสิทธิภาพของการบริหารจัดการภาวะวิกฤต พื้นที่ที่มีการรวมตัวของประชาชนและพื้นที่ทางเศรษฐกิจสำคัญเพื่อสร้างความหวาดกลัวและกดดันรัฐบาลยูเครน ผลจากการโจมตีทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากในหมู่ประชาชนพลเรือนรวมถึงการทำลายระบบสาธารณูปโภคที่ทำให้ชีวิตประจำวันของประชาชนในเคียฟเข้าสู่ภาวะวิกฤต การโจมตีนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการทำลายขวัญกำลังใจและสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนยูเครนเพื่อบีบให้รัฐบาลยูเครนต้องยอมจำนนในการเจรจาสันติภาพ นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความสามารถและความตั้งใจของรัสเซียในการใช้กำลังอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ของตนในมุมมองทางการทหารการโจมตีเคียฟอย่างหนักยังเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจและกำลังของยูเครนออกจากแนวรบตะวันออกและภาคใต้ เพื่อเปิดช่องให้กองทัพรัสเซียเสริมกำลังและเคลื่อนพลในพื้นที่อื่น โดยกองทัพรัสเซียได้เร่งส่งกำลังเสริมและยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่แนวหน้าพร้อมประกาศเสริมสร้างความแข็งแกร่งในแนวรบเพื่อแสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมให้ยูเครนได้เปรียบหรือปล่อยให้สถานการณ์บานปลาย 

ทางการรัสเซียได้ใช้สื่อรัฐในการรายงานและตีความเหตุการณ์ในลักษณะที่ลดทอนความเสียหายและเน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งของกองทัพรัสเซีย โดยมีการโจมตียูเครนในแง่ลบว่าเป็นผู้ก่อกวนและพยายามทำลายเสถียรภาพของประเทศ นอกจากนี้ยังมีการประณามชาติตะวันตกที่สนับสนุนยูเครนว่าเป็นผู้ปลุกปั่นความขัดแย้งและสนับสนุนการก่อการร้ายผ่านเทคโนโลยีโดรน จนเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับชาติพันธมิตรตะวันตกยิ่งตึงเครียดมากขึ้น

บทสรุป
ปฏิบัติการ “ใยแมงมุม” เป็นอีกบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดและเทคโนโลยีขั้นสูงของกองทัพยูเครนในการใช้โดรนโจมตีฐานทัพอากาศลึกในรัสเซียอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพโดยผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบใช้ข้อมูลข่าวกรองขั้นสูงและระบบสื่อสารที่ซับซ้อน ทำให้สามารถทะลวงเข้าไปโจมตีเป้าหมายยุทธศาสตร์ที่เคยถูกมองว่าปลอดภัย ผลจากปฏิบัติการนี้ได้สร้างความเสียหายทั้งด้านกำลังรบและขวัญกำลังใจของกองทัพรัสเซีย รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้รุนแรงอย่างการโจมตีเคียฟที่หนักหน่วง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของสงครามที่ขยายวงกว้างและความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคนอกจากนี้ ปฏิบัติการใยแมงมุมยังเผยให้เห็นบทบาทสำคัญของพันธมิตรตะวันตกและประเทศใกล้เคียง เช่น ฟินแลนด์ที่ช่วยสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวกรองและเทคโนโลยี ทำให้ยูเครนมีเครื่องมือและความได้เปรียบในสมรภูมิทางเทคโนโลยี โดยรวมแล้วปฏิบัติการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการโจมตีทางทหารที่มีประสิทธิภาพแต่ยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำสงครามในยุคใหม่ ที่ผสมผสานเทคโนโลยี การข่าว และกลยุทธ์ระดับสูงเพื่อสร้างความได้เปรียบในสมรภูมิที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ปฏิบัติการเรือดำน้ำสัมพันธมิตรอังกฤษ - อเมริกัน ในน่านน้ำไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

ในเวลานี้ เรือดำน้ำของไทยยังเป็นประเด็นที่มีการถกกันอยู่ จึงขอเล่าถึงประวัติศาสตร์และเรื่องราวเกี่ยวกับปฏิบัติการของเรือดำน้ำสัมพันธมิตรในน่านน้ำไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นภัยคุกคามจากเรือดำน้ำข้าศึกซึ่งไทยได้ประสบพบเจอในระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยสังเขปดังนี้

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2485 เป็นวันที่ประเทศไทยถูกรุกรานโดยเรือ ดำน้ำเป็นครั้งแรก เรือดำน้ำอเมริกัน ชื่อ เทรชเชอร์ (USS Theresher: SS200) (ลำแรก) ได้วางทุ่นระเบิดแม่เหล็ก Mk. 12 จำนวน 32 ลูก ในบริเวณเกาะล้าน ซึ่งเป็นสนามทุ่นระเบิดที่วางด้วยเรือดำน้ำสนามแรกในสงครามมหาเอเชียบูรพา เรือลำเลียงญี่ปุ่นชื่อ ซิดนีย์มารู (Sydney Maru) บรรทุกข้าวสารที่เกาะสีชังเพื่อเดินทางไปสิงคโปร์ ได้ถูกทุ่นระเบิดสนามนี้ในวันที่ 16 ตุลาคม (วันรุ่งขึ้น) ที่บริเวณท้ายเรือและกลางลำต้องจูงไปเกยตื้นที่เกาะไผ่ กองทัพเรือได้จัด ร.ล.จวง ลำแรกไปกวาดทุ่นระเบิดสนามนี้แต่ไม่ได้ผล ในวันเดียวกับที่เรือดำน้ำเทรชเชอร์วางทุ่นระเบิดที่เกาะล้านนั้น เรือดำน้ำอเมริกัน การ์ (USS Gar : SS-206) ก็วางทุ่นระเบิดแบบเดียวกันอีก 32 ลูก ทางใต้เกาะคราม ร.ล.รัตนโกสินทร์ ได้ถูกทุ่นระเบิดสนามในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2487 เรือชำรุดแต่แล่นเข้าอ่าวสัตหีบได้

ในระหว่าง พ.ศ. 2487 - 2488 เรือดำน้ำพันธมิตร คือ อังกฤษและอเมริกาได้เข้ามาปฏิบัติคุกคามการเดินเรือในน่านไทย หลายครั้ง โดยเรือดำน้ำอังกฤษปฏิบัติการทางด้านทะเลอันดามันและในอ่าวไทย ส่วนเรือดำน้ำอเมริกาปฏิบัติการในอ่าวไทย ทางด้านฝั่งทะเลอันดามัน อังกฤษได้ใช้เรือดำน้ำแบบ S (ระวางขับน้ำเหนือน้ำ 830 ตัน ความเร็ว 14 นอต มีปืนใหญ่ 3 นิ้ว 1 กระบอก ตอร์ปิโดขนาด 53 ซม. 7 ท่อ) และเรือดำน้ำแบบ T (ระวางขับน้ำเหนือน้ำ 1,300 ตัน ความเร็ว 15.5 นอต มีปืนใหญ่ 4 นิ้ว 1 กระบอก ตอร์ปิโดขนาด 53 ซม. 11 ท่อ) ปฏิบัติการจากฐานทัพที่ทริงโคมาลีในลังกา รายการสำคัญ ๆ ที่ควรกล่าวถึงคือ ได้วางทุ่นระเบิดทั้งชนิดทอดประจำที่และชนิดแม่เหล็กที่บริเวณเกาะตะรุเตา บริเวณนอกฝั่งสตูล บริเวณใกล้เกาะลันตา และนอกแหลมปากพระ ภูเก็ต ได้ยิงและชนเรือสินค้าและเรือใบทั้งของญี่ปุ่นและไทยจมหลายลำ เช่น เรือบันไตมารู โฮเรมารู ซิกิมารู ของญี่ปุ่น เรือกลไฟถ่องโหของไทย เป็นต้น ในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2487 ได้ยิงเรือยนต์จูงเรือฉลอมขนย้ายครอบครัวของพันตำรวจตรี ขีด ศิริศักดิ์ ผู้กำกับการตำรวจภูธร จังหวัดพังงา จมที่บริเวณแหลมนาค ห่างฝั่งประมาณ 2 กม. พันตำรวจตรี ขีด ฯ ได้รับบาดเจ็บ ตำรวจตาย 1 คน หายไป 3 คน ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2487 เรือดำน้ำ HMS Trenchant (เรือดำน้ำแบบ T) ของอังกฤษได้บรรทุกตอร์ปิโดคนและมนุษย์กบมาทำลายเรือสินค้าอิตาลีสองลำในอ่าวภูเก็ต เรือสองลำนี้ได้จมตัวเองเมื่อเกิดสงคราม ญี่ปุ่นกำลังกู้ขึ้นเพื่อจะนำไปใช้และถูกมนุษย์กบของอังกฤษเข้าทำลายจนจมอีกครั้งหนึ่ง

ทางด้านอ่าวไทย อังกฤษใช้เรือดำน้ำแบบ T ซึ่งมีฐานทัพที่เมืองฟรีแมนเติล ในออสเตรเลีย อเมริกาใช้เรือดำน้ำแบบ Balao หรือ Fleet Type (ระวางขับน้ำเหนือน้ำ 1,525 ตัน ความเร็วสูงสุดเหนือน้ำ 20 นอต มีปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว 1 กระบอก ตอร์ปิโด ขนาด 53 ซม. 10 ท่อ) บริเวณที่เข้ามาปฏิบัติการคือ ทางฝั่งตะวันออกของอ่าวไทยหน้าอ่าวระยองทางฝั่งตะวันตกของอ่าวไทย ตั้งแต่ใต้ประจวบคีรีขันธ์ลงไปจนถึงตรังกานู ได้ยิงเรือลำเลียงและเรือใบที่เดินชายฝั่งทั้งของไทยและของญี่ปุ่นจมหลายลำ ส่วนใหญ่ใช้ปืนใหญ่ประจำเรือยิงทำลาย ที่ใช้ตอร์ปิโดก็มีบ้าง อาทิ

วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2488 เรือดำน้ำอเมริกัน USS Sealion II (SS-315) ยิง ร.ล.สมุย (ลำแรก) ด้วยตอร์ปิโดจมที่ฝั่งตรังกานู วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2488 เรือดำน้ำ 4 ลำโผล่ขึ้นยิงเรือลำเลียงญี่ปุ่น 9 ลำนอกฝั่งอำเภอปะนาเระ ปัตตานี ทั้ง ๆ ที่มีเครื่องบินคุ้มกัน 3 เครื่อง เรือลำเลียงถูกยิงจมและไฟไหม้ 5 ลำ ตอร์ปิโดของเรือดำน้ำที่ผิดเป้าเกยฝั่งหาดทรายบ้านท่าสูง 1 ลูก วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 เรือดำน้ำ USS Baya เข้าร่วมกับเรือดำน้ำ USS Lagarto ในอ่าวไทย คืนถัดมาเรือดำน้ำ USS Baya เริ่มติดตามขบวนเรือของญี่ปุ่นที่ประกอบด้วยเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำและเรือคุ้มกัน 2 คน เรือดำน้ำ USS Baya เคลื่อนตัวเข้าสู่ตำแหน่งและทำการโจมตี แต่การโจมตีไม่ประสบผลสำเร็จ เรือคุ้มกันของญี่ปุ่นจึงไล่ตาม แต่ USS Baya หนีไปได้อย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้น USS Baya นัดพบกับ  USS Lagarto เพื่อวางแผนการโจมตีร่วมขบวนเรือของญี่ปุ่นในอ่าวสยาม แต่ขบวนคุ้มกันระวังตัวแจ จึงไม่สามารถโจมตีได้ เช้าวันรุ่งขึ้น เรือดำน้ำ  USS Lagarto พยายามโจมตีขบวนเรือจากตำแหน่ง 22 ไมล์ทะเล (22 กม.) ห่างจาก USS Baya หลังจากนั้น USS Baya พยายามติดต่อ USS Lagarto แต่ไม่มีการตอบรับ และหลังจากนั้นก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย เรือดำน้ำของสหรัฐฯ ลำนี้ได้หายสาบสูญไปนับแต่นั้น

การตรวจสอบบันทึกของญี่ปุ่นหลังสงครามเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงสาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุดที่ USS Lagarto หายไป สาเหตุที่ว่านั้นก็คือ หนึ่งในสองเรือคุ้มกันของญี่ปุ่น คือเรือฮัตสึตากะ (Hatsutaka) ทำการโจมตีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมทำให้เรือดำน้ำอเมริกันจมอยู่ใต้น้ำลึก 30 ฟาทอม (180 ฟุต หรือ 55 ม.) ที่ 7°55′N 102°00′E หรือบริเวณน่านน้ำของจังหวัดสงขลา ส่วนเรือวางทุ่นระเบิดญี่ปุ่นฮัตสึตากะ ต่อมาถูเรือดำน้ำ USS Hawkbill ของสหรัฐฯ ยิงจมลงเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ในอ่าวไทย บริเวณนอกชายฝั่งมาเลเซีย ในรัฐตรังกานู ซึ่งในเวลานั้นตรังกานูเป็นหนึ่งใน "สี่รัฐมาลัย" คือ รัฐกลันตัน, ตรังกานู, ไทรบุรี และปะลิส ของมาเลเซีย ที่ญี่ปุ่นยกให้ไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ไทยได้มอบสี่รัฐมาลัยคืนให้กับฝ่ายทหารอังกฤษ เมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2488 หรือหลังจากญี่ปุ่นลงนามยอมแพ้สงครามได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน)

วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 เรือดำน้ำยิงเรือไทยนาวา 3 ของบริษัทไทยเดินเรือทะเลจมที่บริเวณหน้าอ่าวชุมพร ร้อยโท กมเลศ จันทร์เรือง นายทหารติดต่อกองพลที่ 6 ที่มากับเรือเสียชีวิต วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2488 เรือดำน้ำอังกฤษ HMS Tradewind (เรือดำน้ำแบบ T) ยิงเรือยนต์สหประมง 5 และเรือใบที่มาจากตรังกานูจมที่บริเวณเกาะทะลุ บางเบิด มีคนตาย 6 คน และได้จับนายเดช ประกิตตเดช ไปเป็นเชลยร่วมกับนายเพียง แซ่เจียว ซึ่งถูกสะเก็ดกระสุนบาดเจ็บสาหัส ทั้งสองคนถูกคุมขังอยู่ในออสเตรเลียจนสงครามยุติลงจึงถูกส่งกลับประเทศไทย ในวันสุดท้ายของสงครามคือ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เรือดำน้ำอเมริกาได้ยิงเรือประมงชื่อ “ปวยเอง” จมที่บริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะจวง เรือลำนี้เป็นเรือของเอกชนที่กองทัพเรือเกณฑ์เช่ามากวาดทุ่นระเบิดแม่เหล็กและใช้งานอื่น ๆ ด้วย

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548 กลุ่มนักดำน้ำส่วนตัวใต้ทะเลลึก นำโดยนักดำน้ำซากเรือชาวอังกฤษ เจมี แม็คคลาวด์ (Jamie MacLeod) ค้นพบซากเรือจมน้ำลึก 70 เมตร ในอ่าวไทย ซากเรือส่วนใหญ่ไม่บุบสลายและตั้งตรงอยู่บนพื้นมหาสมุทร พบรอยแตกขนาดใหญ่ในบริเวณหัวเรือ ซึ่งบ่งบอกว่าเรือดำน้ำลำนี้จมลงเพราะระเบิดน้ำลึก (Depth charge) ซึ่งน่าจะมาจากเรือฮัตสึตากะของญี่ปุ่นเป็นเรือวางทุ่นระเบิดพอดี "ระเบิดน้ำลึก" เป็นอาวุธสงครามต่อต้านเรือดำน้ำ (ASW) มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายเรือดำน้ำโดยการทิ้งลงไปในน้ำใกล้เคียงและทำให้เกิดการระเบิด ส่งผลให้เป้าหมายได้รับแรงกระแทกแบบไฮดรอลิกที่ทรงพลังและทำลายล้างได้ ประจุความลึกส่วนใหญ่ใช้ประจุระเบิดสูงและสายชนวนที่ตั้งไว้เพื่อทำให้เกิดการระเบิด ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ความลึกเฉพาะ ประจุความลึกสามารถทิ้งได้จากเรือ จากเครื่องบินลาดตระเวน และเฮลิคอปเตอร์

การจมลงของเรือดำน้ำ USS Lagarto แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระเบิดน้ำลึกที่ทิ้งจากเรือรบผิวน้ำ และแสดงว่าเรือผิวน้ำก็มีศักยภาพในการทำลายเรือดำน้ำที่ปฏิบัติการในอ่าวไทยได้ ในเวลานั้น กองทัพเรือไทยมีอาวุธปราบเรือดำน้ำอย่างเดียวคือ ลูกระเบิดลึกที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นก่อนสงคราม และไม่มีเครื่องมือค้นหาเรือดำน้ำ เช่น โซนาร์หรือเครื่องฟังเสียงใต้น้ำเลย การค้นหาเรือดำน้ำใช้การตรวจการณ์ด้วยสายตาอย่างเดียว จึงไม่ได้ผล เพราะส่วนมากเรือดำน้ำจะดำอยู่ใต้น้ำในเวลากลางวัน จะโผล่ขึ้นมายิงทำลายเรืออื่น เมื่อเห็นว่าไม่มีเครื่องบินหรือเรือรบอยู่ใกล้ ๆ เรือดำน้ำของต่างชาติที่เข้ามาปฏิบัติการในอ่าวไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเรือที่มีระวางขับน้ำเหนือน้ำประมาณ 1,500 ตัน ทั้งสิ้น ดังนั้นที่มีการกล่าวว่า เรือดำน้ำขนาดใหญ่ไม่สามารถปฏิบัติการในอ่าวไทยได้ จึงเป็นคำกล่าวที่ห่างไกลจากข้อเท็จจริงมาก

นายทหารเรือท่านหนึ่งที่ผู้เขียนรู้จักและนับถือคือ พล.ร.อ.ชัชวาลย์ อัมระปาล อดีต ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพเรือ ผู้บัญชาการกองเรือภาคที่ 2 และผู้บังคับการเรือหลวงปิ่นเกล้า ได้เคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งในการฝึกร่วมกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐฯ มีการฝึกซ้อมการปราบเรือดำน้ำ โดยฝ่ายสหรัฐฯ นำเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ลำใหญ่มากมาร่วมฝึกซ้อมด้วย โดยลอยลำให้หมู่เรือฝึกเห็นกันชนิดจะจะ เลย พอเริ่มการฝึก เรือดำน้ำก็ดำลงใต้น้ำ เพียงไม่กี่อึดใจโซนาร์ของหมู่เรือฝึกก็ไม่สามารถตรวจจับเรือดำน้ำลำนั้นได้อีกเลย ด้วยเทคนิคยุทธวิธีที่ทหารประจำเรือดำน้ำจะทราบและปฏิบัติได้เป็นอย่างดี เรือดำน้ำจึงเป็นอาวุธที่น่ากลัวมากสำหรับเรือผิวน้ำ สำหรับประเทศอาเซียนรอบบ้านเราเกือบทุกประเทศล้วนแต่มีเรือดำน้ำประจำการแล้ว ได้แก่ เวียดนาม 6 ลำ อินโดนีเซีย 4 ลำ มาเลเซีย 2 ลำ สิงคโปร์ 4 ลำ เมียนมา 2 ลำ โดยอินโดนีเซียยังอยู่ระหว่างการจัดหาเพิ่มอีก 5 ลำ และสิงคโปร์จัดหาเพิ่มอีก 4 ลำ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top