Friday, 6 June 2025
Weekly

‘The Mandela Rules’ เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ สำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ส่งผลอย่างมาก!! ต่อนโยบาย และแนวปฏิบัติ เกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลก

องค์การสหประชาชาติ (UN) ให้ความสำคัญกับความทุกข์ยากของนักโทษและความรับผิดชอบที่ซับซ้อนของเจ้าหน้าที่เรือนจำมาโดยตลอด ดังนั้นในปี 1955 ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติจึงได้นำกฎเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners: SMRs) มาใช้ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งแรกว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการจัดการสถานที่ในเรือนจำและการปฏิบัติต่อนักโทษมาเป็นเวลากว่า 60 ปี กฎเกณฑ์เหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนากฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลก

เมื่อกฎหมายระหว่างประเทศและความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางอาญาและสิทธิมนุษยชนได้รับการพัฒนา ประเทศสมาชิกสหประชาชาติก็ตระหนักว่ามาตรฐานการลงโทษจะได้รับประโยชน์จากการทบทวน ในปี 2011 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้จัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลขึ้นเพื่อปรับปรุงมาตรฐานการลงโทษให้เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 โดยไม่ลดมาตรฐานที่มีอยู่ใด ๆ ตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปี 2015 ประเทศสมาชิกได้หารือเกี่ยวกับลักษณะและขอบเขตของการแก้ไขโดยได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องยังได้รับเชิญให้มีส่วนร่วมด้วย

หลังจากวิเคราะห์ความก้าวหน้าของกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ ศาสตร์ที่เกี่ยวกับการลงโทษ และแนวทางปฏิบัติด้านการบริหารจัดการเรือนจำที่ดีตั้งแต่ปี 1955 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญได้เสนอให้แก้ไขกฎเกณฑ์เดิมมากกว่าหนึ่งในสามในเก้าประเด็นหลัก ได้แก่ ศักดิ์ศรีของนักโทษในฐานะมนุษย์ กลุ่มนักโทษที่เปราะบาง บริการด้านการดูแลสุขภาพ ข้อจำกัด วินัย และการลงโทษ การสืบสวนการเสียชีวิตและการทรมานในระหว่างการควบคุมตัว การเข้าถึงตัวแทนทางกฎหมายของนักโทษ การร้องเรียนและการตรวจสอบ การอบรมเจ้าหน้าที่เรือนจำ และคำศัพท์ที่ต้องปรับปรุง ในเดือนธันวาคม 2015 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติเห็นชอบเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติที่แก้ไขใหม่สำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ โดยเกณฑ์ดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อว่า 'The Mandela Rules' เพื่อเป็นเกียรติแก่ 'Nelson Mandela' อดีตประธานาธิบดีแห่งแอฟริกาใต้ ซึ่งเคยถูกจำคุกเป็นเวลา 27 ปีเนื่องจากการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน

'The Mandela Rules' เป็น 'Soft law (กฎหมายอ่อน)' ซึ่งหมายความว่าข้อกำหนดนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย กฎหมายของประเทศมีอำนาจเหนือกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อกำหนดเหล่านี้ไม่มีความสำคัญ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติซึ่งเป็นตัวแทนของชุมชนระหว่างประเทศได้นำข้อกำหนดเหล่านี้มาใช้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ตกลงกันโดยสากล ประเทศสมาชิกสหประชาชาติจำนวนมากได้นำบทบัญญัติของข้อกำหนดเหล่านี้มาใช้ในกฎหมายในประเทศของตนหรืออยู่ระหว่างดำเนินการ นอกจากนี้ ฝ่ายตุลาการในประเทศนั้น ๆ อาจใช้ข้อกำหนดเหล่านี้เป็นแหล่งข้อมูลรองเมื่อตัดสินว่าแนวทางปฏิบัติในเรือนจำของประเทศนั้นถูกต้องตามธรรมนูญดังกล่าวหรือไม่

“The Mandela Rules” เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษได้รับการรับรองโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2015 หลังจากผ่านกระบวนการแก้ไขเป็นเวลา 5 ปี ประกอบด้วย "ข้อกำหนด" 122 ข้อ ซึ่งไม่ใช่ข้อกำหนดทั้งหมด บางข้อเป็นหลักการ เช่น ความเท่าเทียมกันในสถาบันและปรัชญาของการกักขัง ข้อกำหนดดังกล่าวได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 1955 ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดจัดขึ้นที่เจนีวาและได้รับการอนุมัติโดยคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาติในมติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1957 และ 13 พฤษภาคม 1977

ตั้งแต่คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมได้รับรองเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners : SMR) ในปี 1957 เป็นต้นมา เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษก็ได้กลายมาเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ แม้ว่าเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่มีข้อผูกมัดทางข้อกำหนดหมาย แต่เกณฑ์ดังกล่าวก็มีความสำคัญทั่วโลกในฐานะแหล่งข้อมูลสำหรับข้อกำหนดหมายระดับชาติที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการบริหารจัดการเรือนจำตามกฎหมายระหว่างประเทศและในประเทศสำหรับพลเมืองที่ถูกคุมขังในเรือนจำและการควบคุมตัวในรูปแบบอื่น ๆ หลักการพื้นฐานที่อธิบายไว้ในมาตรฐานดังกล่าวคือ "จะต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นอื่น ๆ ชาติกำเนิดหรือสังคม ทรัพย์สิน การเกิดหรือสถานะอื่น ๆ"

ภาคที่ 1 ประกอบด้วยเกณฑ์การใช้ทั่วไป ประกอบด้วยมาตรฐานที่กำหนดว่าอะไรเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีในการปฏิบัติต่อนักโทษและการจัดการสถาบันเรือนจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ: มาตรฐานขั้นต่ำของที่พัก (ข้อกำหนดข้อที่ 12 ถึง 17); สุขอนามัย ส่วนบุคคล (18); เครื่องแบบและเครื่องนอน* (19 ถึง 21); อาหาร (22); การออกกำลังกาย (23); บริการทางการแพทย์ (24 ถึง 35); วินัยและการลงโทษ (36 ถึง 46); การใช้เครื่องมือควบคุม (47 ถึง 49); การร้องเรียน (54 ถึง 57); การติดต่อกับโลกภายนอก (58 ถึง 63); ความพร้อมของหนังสือ (64); ศาสนา (65 และ 66); การยึดทรัพย์สินของนักโทษ (67); การแจ้งการเสียชีวิต การเจ็บป่วย การย้าย (68 ถึง 70); การเคลื่อนย้ายนักโทษ (73); คุณภาพและการฝึกอบรมของเจ้าหน้าที่เรือนจำ (74 ถึง 82); และการตรวจสอบเรือนจำ (83 ถึง 85)

*เครื่องแบบนักโทษคือชุดเสื้อผ้ามาตรฐานที่นักโทษสวมใส่ โดยทั่วไปจะประกอบด้วยเสื้อผ้าที่มองเห็นได้ชัดเจนเพื่อบ่งบอกว่าผู้สวมใส่เป็นนักโทษ โดยแตกต่างจากเสื้อผ้าของทางการอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ระบุตัวนักโทษได้ทันที จำกัดความเสี่ยงผ่านวัตถุที่ซ่อนอยู่ และป้องกันการบาดเจ็บผ่านวัตถุที่สวมบนเสื้อผ้าที่ไม่ได้ระบุตัวตน เครื่องแบบนักโทษยังสามารถทำลายความพยายามหลบหนีได้ เพราะเครื่องแบบนักโทษโดยทั่วไปใช้การออกแบบและรูปแบบสีที่สังเกตเห็นและระบุได้ง่ายแม้จะอยู่ห่างไกลออกไป การสวมเครื่องแบบนักโทษมักจะทำอย่างไม่เต็มใจและมักถูกมองว่าเป็นการตีตราและละเมิดอำนาจการตัดสินใจของตนเอง โดยในกฎข้อที่ 19 กำหนดว่า 
- ผู้ต้องขังทุกคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตนเอง จะต้องได้รับชุดเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและเพียงพอที่จะรักษาสุขภาพที่ดี เสื้อผ้าดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือทำให้ผู้อื่นอับอายแต่อย่างใด
- เสื้อผ้าทั้งหมดต้องสะอาดและอยู่ในสภาพที่เหมาะสม เสื้อผ้าชั้นในจะต้องเปลี่ยนและซักบ่อยเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาสุขอนามัย
- ในสถานการณ์พิเศษ เมื่อใดก็ตามที่นักโทษถูกนำตัวออกไปนอกเรือนจำเพื่อวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต นักโทษจะได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตนเองหรือเสื้อผ้าที่ไม่สะดุดตาอื่น ๆ

ภาคที่ 2 ประกอบด้วยเกณฑ์ที่บังคับใช้กับนักโทษประเภทต่างๆ รวมถึงนักโทษที่ถูกพิพากษาโทษ มีหลักเกณฑ์หลายประการ (ข้อกำหนดข้อที่ 86 ถึง 90) การปฏิบัติ (การฟื้นฟู) นักโทษ (91 และ 92) การจำแนกประเภทและการทำให้เป็นรายบุคคล (93 และ 94) สิทธิพิเศษ (95) การทำงาน[ 4 ] (96 ถึง 103) การศึกษาและการพักผ่อนหย่อนใจ (104 และ 105) ความสัมพันธ์ทางสังคมและการดูแลภายหลัง (106 ถึง 108) ภาคที่ 2 ยังมีเกณฑ์สำหรับนักโทษที่ถูกจับกุมหรืออยู่ระหว่างรอการพิจารณาคดี (โดยทั่วไปเรียกว่า "การพิจารณาคดีระหว่างพิจารณาคดี") เกณฑ์สำหรับนักโทษทางแพ่ง (สำหรับประเทศที่ข้อกำหนดหมายท้องถิ่นอนุญาตให้จำคุกเนื่องจากหนี้สิน หรือตามคำสั่งศาลสำหรับกระบวนการที่ไม่ใช่ทางอาญาอื่นๆ) และเกณฑ์สำหรับบุคคลที่ถูกจับกุมหรือคุมขังโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา

ในปี 2010 สมัชชาใหญ่ได้ขอให้คณะกรรมาธิการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญาจัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลที่เปิดกว้างเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้านเรือนจำและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ใด ๆ จะไม่ส่งผลให้มาตรฐานที่มีอยู่ลดลง สมัชชาใหญ่ยังได้เน้นย้ำถึงหลักการหลายประการที่ควรเป็นแนวทางสำหรับกระบวนการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง รวมถึง (ก) การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์มาตรฐานใดๆ ไม่ควรทำให้มาตรฐานที่มีอยู่ลดลง แต่ควรปรับปรุงเกณฑ์เพื่อให้สะท้อนถึงความก้าวหน้าของศาสตร์ด้านการบริหารขัดการเรือนจำ และแนวทางปฏิบัติที่ดีเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย ความมั่นคง และสภาพความเป็นมนุษย์ของนักโทษ และ (ข) กระบวนการแก้ไขควรคงขอบเขตการใช้เกณฑ์มาตรฐานที่มีอยู่สำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ และยังคงคำนึงถึงความแตกต่างทางสังคม ข้อกำหนดหมาย และวัฒนธรรม ตลอดจนภาระผูกพันด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศสมาชิก

ในเดือนธันวาคม 2015 สมัชชาใหญ่ได้มีมติเห็นชอบมติ 70/175 เรื่อง "ข้อกำหนดขั้นต่ำมาตรฐานของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (“The Mandela Rules”) การอ้างอิงนี้ไม่เพียงแต่เพื่อรับทราบถึงการสนับสนุนอย่างสำคัญของแอฟริกาใต้ต่อกระบวนการแก้ไขเท่านั้น แต่ยังเพื่อเป็นเกียรติแก่“Nelson Mandela” ผู้ซึ่งใช้เวลา 27 ปีในเรือนจำระหว่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ ดังนั้น สมัชชาใหญ่จึงได้ตัดสินใจขยายขอบเขตของ “วัน Nelson Mandela สากล” (18 กรกฎาคม) เพื่อใช้เพื่อส่งเสริมสภาพการจำคุกในเรือนจำอย่างมีมนุษยธรรม เพื่อสร้างความตระหนักรู้ว่านักโทษเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเพื่อให้เห็นคุณค่าของการทำงานของเจ้าหน้าที่เรือนจำในฐานะบริการสังคมที่มีความสำคัญ

3 วันแห่งสันติภาพ หรือ 3 วันแห่งกลยุทธ์ ปูติน ประกาศหยุดยิงชั่วคราวในสมรภูมิยูเครน วิเคราะห์!! วัตถุประสงค์การหยุดยิงของรัสเซียในช่วง ‘วันแห่งชัยชนะ’ ปี ค.ศ. 2025

เมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2025 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินประกาศหยุดยิงชั่วคราวในสมรภูมิยูเครนระหว่างวันที่ 8 ถึง 11 พฤษภาคม เพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะของสหภาพโซเวียตเหนือเยอรมนีนาซีในสงครามโลกครั้งที่สอง การหยุดยิงดังกล่าวมีนัยทางการเมืองที่สำคัญและชวนให้ตั้งคำถามว่า “นี่คือสัญญาณแห่งสันติภาพที่แท้จริง หรือเป็นเพียงช่วงเวลาพักรบเพื่อวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์?” แม้จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการจากรัสเซียว่าเป็น “การเคารพต่อประวัติศาสตร์และความเสียสละของผู้คน” ฝ่ายยูเครนกลับแสดงความระแวง โดยมองว่าหยุดยิงดังกล่าวอาจถูกใช้เป็นกลยุทธ์ในการจัดทัพใหม่ หยั่งเชิง หรือแม้แต่ขยายอิทธิพลในเชิงสัญลักษณ์ต่อสายตานานาชาติ การหยุดยิงที่กินระยะเวลาเพียงสามวันจึงไม่ใช่เพียงการ “ลดเสียงปืน” ชั่วคราว หากแต่เป็นจุดตัดของประวัติศาสตร์ การเมือง และยุทธศาสตร์—ที่ซึ่งอดีตถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือปั้นแต่งปัจจุบัน เพื่อเป้าหมายแห่งอนาคตที่อาจไม่จำเป็นต้องหมายถึงสันติภาพ บทความนี้จะวิเคราะห์การหยุดยิงดังกล่าวผ่านมุมมองของภูมิรัฐศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์ (historical geopolitics) และ การเมืองของความทรงจำ (politics of memory) โดยพิจารณาความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่อย่าง “Victory Day” และพฤติกรรมของรัฐที่มีผลต่อทั้งสนามรบและสนามการทูตในระดับโลก

“Victory Day” หรือ День Победы ในวันที่ 9 พฤษภาคม ไม่ได้เป็นเพียงวันหยุดราชการหรือการรำลึกถึงการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น หากแต่เป็นหนึ่งใน “เสาหลัก” ของการประกอบสร้างอัตลักษณ์ชาติรัสเซียยุคใหม่ โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินที่ใช้วันแห่งชัยชนะนี้เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์เพื่อย้ำภาพของรัสเซียในฐานะ “ผู้ปลดปล่อยยุโรปจากลัทธินาซี” และ “มหาอำนาจผู้เสียสละ”ในเวทีภายในประเทศ Victory Day กลายเป็นพิธีกรรมทางการเมืองที่ช่วยหล่อเลี้ยงความชอบธรรมของรัฐ ผ่านการจัดสวนสนามทางทหาร การเดินพาเหรด "ผู้ไม่ตาย" «Бессмертный полк» และสื่อสารถึงความต่อเนื่องของความยิ่งใหญ่จากอดีตสู่ปัจจุบัน ประชาชนได้รับการปลูกฝังให้ตระหนักถึงบทบาทของรัสเซียในประวัติศาสตร์โลก พร้อมกับเสริมสร้างความภูมิใจในชาติและ “ความรักต่อมาตุภูมิ” «патриотизм»  ซึ่งถูกยกขึ้นมาเป็นคุณค่าสูงสุดของพลเมืองรัสเซีย ในเวทีระหว่างประเทศ Victory Day ถูกใช้เป็น “ทุนทางสัญลักษณ์” ในการส่งสารทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในบริบทของสงครามยูเครนการอ้างถึงชัยชนะเหนือฟาสซิสม์มักถูกใช้ในการเปรียบเทียบยูเครนหรือชาติตะวันตกว่าเป็น “ภัยคุกคามทางอุดมการณ์แบบเดียวกับในอดีต” สิ่งนี้ทำให้การเมืองของความทรงจำ (memory politics) กลายเป็นกลไกสำคัญที่รัสเซียใช้ในการสร้างกรอบการรับรู้ใหม่ ซึ่งผู้ฟังไม่ใช่เพียงประชาชนของตน แต่รวมถึงประชาคมระหว่างประเทศที่กำลังมองดูรัสเซียอย่างใกล้ชิด

นักวิชาการรัสเซียจำนวนมากให้ความสนใจต่อบทบาทของ Victory Day ในฐานะ "เครื่องจักรแห่งความทรงจำของชาติ" ที่รัฐใช้เพื่อควบคุมการตีความอดีต ตัวอย่างเช่น นิโคไล มิทโรฟานอฟ (Nikolai Mitrofanov) นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรัฐมอสโกชี้ว่า "ชัยชนะในสงครามมหาบูรพาคือปัจจัยหลักที่หล่อหลอมภาพลักษณ์ความเป็นมหาอำนาจของรัสเซียหลังยุคโซเวียต" โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญความท้าทายจากภายนอกขณะเดียวกัน นักรัฐศาสตร์สายภูมิรัฐศาสตร์อย่าง อันเดรย์ ซูซดาลเซฟ «Андрей Иванович Суздальцев» มองว่า Victory Day ไม่ได้เป็นเพียง “ความทรงจำร่วมของประชาชน” แต่เป็น “เครื่องมือของรัฐในการจัดเรียงลำดับศัตรู-มิตรใหม่” โดยเฉพาะในยุคสงครามยูเครน ที่ความทรงจำเกี่ยวกับชัยชนะถูกนำมาใช้เพื่อเปรียบเทียบยูเครนกับลัทธินาซีในอดีต นักคิดชาตินิยมคนสำคัญอย่างอเล็กซานเดอร์ 

ดูกิน (Alexander Dugin) ยังกล่าวไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า "Victory Day เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางการเมืองที่เชื่อมรัสเซียเข้ากับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ของยุโรปและโลก" สำหรับดูกินการหยุดยิงในช่วงดังกล่าวจึงเป็น “พิธีกรรมของรัฐ” «государственный ритуал»  มากกว่าจะเป็นการเปิดทางสู่การเจรจาทางสันติ ด้วยเหตุนี้ บริบทของ Victory Day ในสายตานักวิชาการรัสเซียจึงมีความลึกและซับซ้อนมากกว่าการเฉลิมฉลองทั่วไป เพราะมันคือการแสดงออกของ “รัฐในฐานะผู้ควบคุมอดีต” (state as memory manager) และใช้สัญลักษณ์แห่งชัยชนะมาเป็นเครื่องมือกำหนดยุทธศาสตร์ในปัจจุบัน ดังนั้นการประกาศหยุดยิงในช่วง Victory Day ปี ค.ศ. 2025 จึงไม่อาจแยกขาดจากบริบทนี้ เพราะมันคือการใช้สัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์เพื่อห่อหุ้มพฤติกรรมทางยุทธศาสตร์ สันติภาพที่ถูกนำเสนอในครั้งนี้จึงมีความเป็น “พิธีกรรม” มากพอ ๆ กับความเป็น “นโยบาย”

แม้การประกาศหยุดยิงของรัสเซียในช่วงวันแห่งชัยชนะหรือ Victory Day ปี ค.ศ. 2025 จะถูกเสนอในนามของ “สันติภาพ” และ “เกียรติยศแห่งความทรงจำ” ฝ่ายยูเครนกลับปฏิเสธที่จะตอบรับหรือประกาศหยุดยิงตอบโดยอ้างเหตุผลหลักสองประการคือ 1) ความไม่ไว้วางใจในเจตนารมณ์ของรัสเซีย และ 2) ความกลัวต่อการใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ สำหรับยูเครน Victory Day ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการปลดปล่อยหากแต่เป็นร่องรอยของอิทธิพลโซเวียตที่ยังหลงเหลืออยู่ในโครงสร้างอำนาจปัจจุบันของรัสเซีย ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีได้ปรับเปลี่ยนวันที่ระลึกชัยชนะให้ตรงกับวันที่ 8 พฤษภาคมตามแบบสากลและยกเลิกการจัดขบวนพาเหรดทางทหารเพื่อ “ตัดขาดจากวาทกรรมชัยชนะของมอสโก” จึงไม่น่าแปลกใจที่การหยุดยิงโดยใช้ Victory Day เป็นกรอบความชอบธรรมจะถูกมองว่าเป็นการ “ครอบงำเชิงสัญลักษณ์” มากกว่าจะเป็นการแสดงความจริงใจทางการทูต ในทางยุทธศาสตร์ยูเครนมีประสบการณ์ตรงจากช่วงปี ค.ศ. 2022–2023 ที่การหยุดยิงเฉพาะกิจในบางพื้นที่กลับกลายเป็นโอกาสให้กองทัพรัสเซียจัดแนวรบใหม่หรือเสริมกำลังอย่างเงียบ ๆ ตัวอย่างเช่นในช่วง “หยุดยิงคริสต์มาส” เดือนมกราคม ค.ศ. 2023 ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่ารัสเซียใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการเคลื่อนพลและเสริมเสบียงจึงเป็นเหตุให้รัฐบาลยูเครนในปี ค.ศ. 2025 ปฏิเสธที่จะ “ลดการระวังภัย” แม้ในช่วงเวลาที่ถูกนำเสนอว่าเป็น “โอกาสทองแห่งการรำลึกและคืนดี”นอกจากนี้ ยูเครนยังมองว่า รัสเซียกำลังใช้การหยุดยิงเป็นเครื่องมือในการ “ตีกรอบทางจริยธรรม” (moral framing) โดยวาดภาพฝ่ายตรงข้ามว่า “ปฏิเสธสันติภาพ” หากไม่ตอบรับข้อเสนอของรัสเซีย สิ่งนี้อาจสร้างความกดดันต่อยูเครนในสายตาประชาคมระหว่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เริ่มลังเลต่อความยืดเยื้อของสงครามในบริบทเช่นนี้ความไม่ไว้วางใจจึงไม่ใช่เพียงปฏิกิริยาเชิงอารมณ์แต่คือกลยุทธ์ในการปกป้องอธิปไตยและการเล่าเรื่อง (narrative) ของตนเอง ซึ่งยูเครนพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมในเวทีระหว่างประเทศ

การประกาศหยุดยิงในช่วง Victory Day ของรัสเซียไม่เพียงแค่มีผลต่อฝ่ายสงครามในสนามรบหากแต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อยุทธศาสตร์ทางการทูตและภาพลักษณ์ของรัสเซียในระดับโลก การหยุดยิงในช่วงเวลาดังกล่าวทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมการรับรู้ของประชาคมระหว่างประเทศโดยเฉพาะในแง่การสร้างภาพลักษณ์ของรัสเซียในฐานะรัฐที่มีความรับผิดชอบและเคารพต่อ “สันติภาพ” ที่ถูกเน้นย้ำในวาระครบรอบการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง การหยุดยิงในวันดังกล่าวสามารถมองได้ว่าเป็นความพยายามของรัสเซียในการส่งสัญญาณถึงสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกว่ารัสเซียเปิดทางให้การเจรจาทางการทูตแม้ในขณะที่ความขัดแย้งในยูเครนยังดำเนินต่อไป สัญญาณนี้อาจมีจุดประสงค์ในการบีบให้ฝ่ายตะวันตกแสดงท่าทีเกี่ยวกับการหาทางออกสงครามหรือแม้แต่เสนอทางเลือกในการเจรจาที่เป็นมิตรกับผลประโยชน์ของรัสเซีย ซึ่งในทางการทูตถือเป็นการ "เคลื่อนไหวเชิงภาพลักษณ์" ที่มีเป้าหมายในการสร้างความเชื่อมั่นและขยายการยอมรับจากประเทศต่างๆ ในขณะเดียวกัน การประกาศหยุดยิงยังเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงกดดันทางสัญลักษณ์ต่อประเทศที่ยังคงให้การสนับสนุนยูเครน โดยเฉพาะประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าใกล้ชิดกับรัสเซีย เช่น จีน อินเดีย และบางประเทศในอาเซียน การแสดงออกเช่นนี้ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตของรัสเซียกับประเทศเหล่านี้ดูดีขึ้นในสายตาของสาธารณชน โดยการส่งสัญญาณว่า "รัสเซียพร้อมที่จะยุติสงคราม หากฝ่ายอื่นยินดีที่จะหารือ"

เมื่อเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ในอดีตการหยุดยิงในช่วง Victory Day ยังสะท้อนให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์ทางการทูตในลักษณะคล้ายคลึงกับที่รัสเซียใช้ในช่วงสงครามเย็น ในช่วงเวลานั้นสหภาพโซเวียตใช้การหยุดยิงหรือข้อตกลงทางการทูตในช่วงเวลาสำคัญเพื่อทำลายความเป็นเอกภาพของฝ่ายตะวันตกและสร้างแรงกดดันให้เกิดความลังเลในการสนับสนุนประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้ง ในกรณีนี้รัสเซียอาจพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ทำให้ชาติตะวันตกและยูเครนต้องตัดสินใจเลือกว่าจะทำตามข้อเรียกร้องของรัสเซียหรือไม่โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้การหยุดยิงครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้รัสเซียแสดงบทบาทในฐานะ “ผู้เสนอทางออก” ต่อความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย ซึ่งในทางการทูตถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่รัสเซียสามารถชูขึ้นมา เป็นรัฐที่ไม่เพียงแค่เป็นผู้โจมตีหากแต่เป็น “ตัวกลาง” ที่ช่วยลดความรุนแรงในระดับสากล แม้ในความเป็นจริงการหยุดยิงนี้ยังไม่สามารถสะท้อนถึงความตั้งใจในการยุติความขัดแย้งอย่างถาวร ในแง่การเมืองภายในรัสเซียอาจมองว่าการประกาศหยุดยิงนี้จะช่วยเพิ่มความชอบธรรมในสายตาของประชาชนและชดเชยความสูญเสียในระยะยาวของสงครามขณะที่ยังคงรักษาสถานะของตนในฐานะมหาอำนาจที่มีบทบาทในเวทีโลก

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นจากการประกาศหยุดยิงในช่วง Victory Day ของรัสเซียคือ “มันจะนำไปสู่การเจรจาสันติภาพที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการทูตที่ใช้สร้างภาพลวงตา?” ในขณะที่รัสเซียเสนอการหยุดยิงเพื่อรำลึกถึงชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายยูเครนและหลายประเทศในประชาคมระหว่างประเทศต่างตั้งคำถามถึงความจริงใจและวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของรัสเซีย การหยุดยิงในช่วงนี้ถูกมองว่าเป็นโอกาสในการปูทางสู่การเจรจาสันติภาพ หากฝ่ายต่างๆ พร้อมที่จะกลับมาร่วมโต๊ะเจรจา หลังจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อมาเกือบสองปี อย่างไรก็ตามความเป็นไปได้ของการเจรจาที่ยั่งยืนนั้นยังคงอยู่ในความสงสัย รัสเซียเองไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการลดความเข้มข้นของการปฏิบัติการทางทหารหรือให้สัญญาที่เป็นรูปธรรมในการยุติสงคราม

แม้การหยุดยิงจะถูกนำเสนอว่าเป็น “จุดเริ่มต้น” สำหรับการเจรจาแต่หลายฝ่ายมองว่ามันเป็นเพียงแค่กลยุทธ์ที่รัสเซียใช้ในการสร้างกรอบการเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศตนเอง และอาจถูกใช้เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ฝ่ายยูเครนยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมในอนาคต ยูเครนและพันธมิตรตะวันตกยืนยันว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับการเจรจาที่ไม่คำนึงถึงอธิปไตยและดินแดนของยูเครนโดยเฉพาะเมื่อรัสเซียยังคงยืนยันในข้อเสนอที่เป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศและหลักการสากลในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น ความไม่มั่นใจในความจริงใจของรัสเซียในการหยุดยิงครั้งนี้สะท้อนจากการกระทำในอดีตเมื่อครั้งที่รัสเซียเคยละเมิดข้อตกลงทางการทูตหลายครั้งในช่วงสงคราม การหยุดยิงในกรอบเวลานี้อาจถูกมองว่าเป็นเพียงการใช้ช่วงเวลาที่มีความสำคัญทางสัญลักษณ์เพื่อเจรจาในเงื่อนไขที่รัสเซียจะได้ประโยชน์มากขึ้นในระยะยาว มากกว่าการจริงจังในการหาทางออกที่แท้จริง ข้อเสนอการหยุดยิงในช่วงวัน Victory Day ยังสร้างความสงสัยในหลายประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัสเซียในสงครามยูเครน อย่างไรก็ตามยังมีมุมมองบางประการที่เชื่อว่าการประกาศหยุดยิงในช่วงวันสำคัญเช่นนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปิดการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนโดยเฉพาะหากมีการสร้างความเชื่อมั่นจากทั้งสองฝ่ายว่าการเจรจาจะไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการสร้างภาพลวงตา หากแต่เป็นการจริงจังที่จะยุติสงคราม สุดท้ายนี้ การหยุดยิงในช่วงวัน Victory Day จึงเป็นการทดสอบที่สำคัญสำหรับประชาคมระหว่างประเทศและทั้งสองฝ่ายในสงครามหากการหยุดยิงนี้นำไปสู่การเจรจาที่แท้จริงก็จะถือเป็นสัญญาณของความพร้อมในการยุติสงคราม แต่หากเป็นเพียงกลยุทธ์ในการสร้างความสงบเพื่อเตรียมการรุกทหารใหม่ก็จะยิ่งเพิ่มความไม่มั่นใจและการต่อต้านจากทั้งยูเครนและพันธมิตรของพวกเขา

บทสรุป การประกาศหยุดยิงของรัสเซียในช่วงวันครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งกำหนดระหว่างวันที่ 8–11 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 เป็นการแสดงออกที่มีความหมายทางการทูตและการเมืองอย่างลึกซึ้ง สำหรับรัสเซียการหยุดยิงนี้ไม่ได้เพียงแค่เป็นการรำลึกถึงความสำเร็จทางทหารในอดีตแต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในฐานะประเทศที่เปิดช่องทางสู่สันติภาพแม้ในขณะที่สงครามในยูเครนยังคงดำเนินอยู่อย่างไรก็ตามการหยุดยิงนี้ได้รับการตอบสนองที่แตกต่างกันจากฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะจากยูเครนและพันธมิตรตะวันตกซึ่งมองว่าเป็นการใช้ช่วงเวลาสัญลักษณ์เพื่อบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์มากกว่าจะเป็นการยุติสงครามที่แท้จริง ยูเครนไม่เชื่อมั่นในความจริงใจของรัสเซียและมีความกังวลว่ารัสเซียอาจใช้การหยุดยิงนี้เพื่อเสริมกำลังและจัดการแนวรบใหม่ในขณะเดียวกัน แม้บางฝ่ายจะมองว่าการหยุดยิงในช่วงนี้อาจเป็นการเปิดโอกาสให้เริ่มต้นการเจรจาสันติภาพแต่ยังคงมีคำถามถึงความจริงใจของรัสเซียและความพร้อมในการยุติสงครามอย่างถาวร ในขณะที่ยูเครนยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องรักษาอธิปไตยและความสมบูรณ์ของดินแดนท้ายที่สุดการหยุดยิงนี้อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันต่อฝ่ายยูเครนและพันธมิตรของพวกเขาหรืออาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการเจรจาสันติภาพขึ้นอยู่กับการตอบสนองและท่าทีของทั้งสองฝ่ายในอนาคต การจับตาและวิเคราะห์การดำเนินการในช่วงเวลาเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของสงครามและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคต

รู้จัก ‘Muhammad Mahmood Alam’ ผู้ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทียิงเครื่องบินรบอินเดียตก 5 ลำ

ข่าวการสู้รบระหว่างอินเดียและปากีสถานในขณะนี้เป็นที่จับตามองของชาวโลกเป็นอย่างยิ่ง ด้วยทั้ง 2 ชาติต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ผลจากการปะทะในครั้งนี้อินเดียต้องสูญเสียเครื่องบินรบสมรรถนะสูงไปถึง 5 ลำ โดยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 กองทัพอากาศอินเดียได้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale พร้อมขีปนาวุธ SCALP และระเบิด AASM Hammer ออกปฏิบัติการในช่วงเช้าตรู่เพื่อโจมตีค่ายก่อการร้ายหลายแห่งในปากีสถาน ซึ่งปากีสถานระบุว่าได้ยิงเครื่องบินอินเดียตก 5 ลำที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ รวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale จำนวน 3 ลำ ก่อนหน้านี้ ปากีสถานได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของระบบป้องกันภัยทางอากาศที่สามารถต่อต้านระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale ของอินเดียได้สำเร็จ ตามรายงานของ CNN เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสได้ยืนยันถึงการสูญเสียเครื่องบิน Rafale 1 ลำ และกำลังสืบสวนการสูญเสียในการรบเพิ่มเติม โดยปรากฏภาพของชิ้นส่วนเครื่องบิน Rafale หมายเลขประจำเครื่อง BS001 ของกองทัพอากาศอินเดียบนโซเชียลมีเดีย ปากีสถานระบุว่า เครื่องบินรบของอินเดียถูกยิงตกโดยขีปนาวุธนำวิถีด้วยเรดาห์ (อากาศสู่อากาศ) แบบ PL-15Es จากเครื่องบินขับไล่แบบ J-10CE (ซึ่งทั้งคู่ผลิตโดยจีน) ในเวลาต่อมา สำนักข่าวรอยเตอร์ได้อ้างว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ไม่เปิดเผยชื่อได้ยืนยันการยิงเครื่องบินรบอินเดียตกอย่างน้อย 2 ลำ (รวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale) โดยเครื่องบินขับไล่แบบ J-10CE ของปากีสถาน

อันที่จริงแล้ว กองทัพอากาศปากีสถานมีขีดความสามารถในการรบทางอากาศเหนือกว่ากองทัพอากาศอินเดียมานานแล้ว ตั้งแต่การรบทางอากาศในสงครามระหว่างอินเดียและปากีสถานในปี 1965 โดยสงครามครั้งนั้น กองทัพอากาศอินเดียสูญเสียเครื่องบินรบในราว 60-75 ลำ ขณะที่กองทัพอากาศปากีสถานสูญเสียเครื่องบินรบในราว 19-20 ลำ คิดเป็นอัตราส่วนความสูญเสียของอินเดีย-ปากีสถานที่ 3-3.5 ต่อ 1 ในยุคนั้นกองทัพอากาศอินเดียประจำการด้วยเครื่องบินรบจากอังกฤษ อดีตเจ้าอาณานิคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่กองทัพอากาศปากีสถานใช้เครื่องบินรบส่วนใหญ่จากสหรัฐอเมริกา อันได้แก่ เครื่องบินขับไล่แบบ F-86F Sabre และ F-104

หนึ่งในเสืออากาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของกองทัพอากาศปากีสถาน ได้แก่ นาวาอากาศเอก(พิเศษ) Muhammad Mahmood Alam (6 กรกฎาคม 1935 – 18 มีนาคม 2013) เป็นที่รู้จักในชื่อ M.M. Alam หรือ มังกรน้อย (Little dragon) หรือ M.M. Sabre เป็นนักบินขับไล่และวีรบุรุษสงครามแห่งปากีสถาน เขาเป็นเสืออากาศที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากกองทัพอากาศปากีสถานว่าสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Hawker Hunter ของอินเดียตกได้ 5 ลำในเวลาเพียงไม่ถึงสองนาทีในสงครามอินเดีย-ปากีสถานในปี 1965 M.M. Alam เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 1935 ในครอบครัวชาวเบงกอลมุสลิม เขาเกิดและเติบโตในนครกัลกัตตา เบงกอล จักรวรรดิอินเดียของอังกฤษในขณะนั้น เขาพูดภาษาเบงกอลได้คล่องเนื่องจากเป็นภาษาแม่ ด้วยมารดามีเชื้อสายเบงกอลและบิดามีเชื้อสายบิฮารี โดยอพยพมาจากปัตนาและต่อมาตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดเบงกอล ต่อมาครอบครัวของเขาอพยพมาอพยพต่อไปยังดินแดนเบงกอลตะวันออก (ซึ่งต่อมากลายเป็นปากีสถานตะวันออกและบังกลาเทศในปัจจุบัน) หลังจากก่อตั้งปากีสถานในปี 1947 เขาจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในปากีสถานตะวันออก โดยสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของรัฐบาลในเมืองธากาในปี 1951 เขาเข้าร่วมกองทัพอากาศปากีสถานในปี 1952 โดยเข้าประจำการเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1953 เนื่องจากเป็นพี่คนโตในบรรดาพี่น้อง 11 คน เขาจึงไม่ได้แต่งงานเนื่องจากต้องรับผิดชอบในการเลี้ยงดูครอบครัว น้องชายของเขาเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในทางวิชาการที่หลากหลาย อาทิ M. Shaheed Alam นักเศรษฐศาสตร์และศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น บอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และ M. Sajjad Alam นักฟิสิกส์อนุภาคแห่งมหาวิทยาลัยออลบานี (SUNY) มลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

วันที่ 7 กันยายน 1965 ในช่วงสงครามอินเดีย-ปากีสถาน M.M. Alam ประจำการอยู่กับฝูงบินที่ 11 ฐานทัพอากาศ Sargodha และทำการบินด้วยเครื่องบินขับไล่แบบ F-86F Sabre เขาประสบความสำเร็จในภารกิจสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์การรบทางอากาศ โดยสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Hawker Hunter ของกองทัพอากาศอินเดียตกเพียงลำพังได้ถึง 5 ลำภายในเวลาไม่ถึงสองนาที โดย 4 ลำใช้เวลาเพียง 30 วินาทีเท่านั้น โดยมีการกล่าวอ้างว่า ครั้งนั้นเขาสามารถยิงเครื่องบินรบ Hunter ตกถึง 7 ลำ แต่ 2 ลำในจำนวนนี้ถูกจัดว่า "น่าจะ" ถูกยิงตก (ซึ่งไม่มีการยืนยัน) โดยเขาเล่าว่าในขณะนั้น เขาได้บิน "หมุนตัว 270 องศาด้วยความเร็วประมาณ 12 องศาต่อวินาที และยิงเครื่องบินรบ Hunter ตกไป 4 ลำรวด และต่อมาอีก 1 ลำ" ผลงานอันน่าทึ่งนี้ทำให้เขาได้รับการยอมรับทั่วโลกและได้รับเกียรติอันหายากในการเป็น 'สุดยอดเสืออากาศในหนึ่งวัน' ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มอบให้กับนักบินขับไล่ที่สามารถยิงเครื่องบินของศัตรูตกได้ตั้งแต่ 5 ลำขึ้นไปในหนึ่งวัน ผลงานของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ทักษะ ความแม่นยำ และความกล้าหาญที่ไม่มีใครเทียบได้ภายใต้การโจมตี ตำนานของ M.M. Alam ยังคงสร้างแรงบันดาลใจอย่างมากมายให้กับชาวปากีสถาน และชื่อของเขายังได้รับการจารึกไว้ในปากีสถานผ่านเกียรติยศต่างๆ เช่น ถนน M. M. Alam ซึ่งเป็นถนนสายหลักในเมืองลาฮอร์ รัฐปัญจาบ ซึ่งตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา ในสงครามปากีสถาน-อินเดียปี 1965 ในการสู้รบทางอากาศ เขาสามารถยิงเครื่องบินรบอินเดียตกได้ทั้งหมด 9 ลำ (และน่าจะยิงตกอีก 2 ลำ)

M.M. Alam เป็นนักบินขับไล่คนแรกของกองทัพอากาศปากีสถานที่ถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อหอเกียรติยศ (Hall of Fame) ของพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศปากีสถาน ในนครการาจี และได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งชาติของปากีสถาน รางวัล 'Sitara-e-Jurat' และเหรียญ BAR อีกด้วย ในปี 1967 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการฝูงเครื่องบินขับไล่แบบ Dassault Mirage III ฝูงบินแรกที่กองทัพอากาศปากีสถานจัดหา ในปี 1982 เขาเกษียณอายุราชการและย้ายไปอยู่ที่นครการาจี เขาปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัดในช่วงบั้นปลายชีวิต ในบางครั้ง เขาจะรับเชิญให้ไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในปากีสถาน เขาสะสมหนังสือเป็นจำนวนมาก และอ่านหนังสือพิมพ์วันละหลายฉบับเพื่อติดตามข่าวสาร หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของปากีสถานระบุว่า "M.M. Alam เป็นชายที่เคารพตัวเองมาก เขาใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและนับถือตัวเองอย่างที่สุด เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและเป็นกันเองกับเพื่อนที่เขาไว้ใจ" M.M. Alam เข้ารับการรักษาปัญหาทางเดินหายใจเป็นเวลา 18 เดือนที่โรงพยาบาล PNS Shifa ของฐานทัพเรือปากีสถานในนครการาจี และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2013 สิริอายุ 77 ปี มีการสวดภาวนาเพื่อไว้อาลัย ณ ฐานทัพอากาศ PAF Masroor ซึ่งเป็นที่ที่เขาประจำการใช้ในช่วงหลายปีที่สำคัญในอาชีพทหาร เขาถูกฝังที่สุสาน Shuhuda (ผู้พลีชีพ) ซึ่งตั้งอยู่ภายในฐานทัพอากาศ Masroor

‘Song Wencong’ วิศวกรผู้ออกแบบ และสร้างเครื่องบินขับไล่แบบ ‘J – 10’ ราคา 30 ล้านเหรียญ สามารถยิงเครื่องบินขับไล่ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ตกได้

(11 พ.ค. 68) เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อเครื่องบินขับไล่แบบ J-10C ที่มีราคา 30 ล้านเหรียญสหรัฐที่ผลิตโดยจีนของกองทัพอากาศปากีสถานสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale ราคา 200 ล้านเหรียญสหรัฐที่ผลิตโดยฝรั่งเศสของกองทัพอากาศอินเดียตก ผลลัพธ์ของการรบทางอากาศระหว่างอินเดียและปากีสถานสร้างความตกตะลึงให้กับโลก และเครื่องบินขับไล่ J-10 ก็ได้เปิดฉากช่วงเวลาสำคัญนี้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการกว่าจะมาถึงการสร้างเครื่องบินขับไล่แบบ J-10 เป็นความยากลำบากที่มีเพียงไม่กี่คนที่ยังจำได้ เริ่มต้นในปี 1956 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานเหมาเจอตงได้เรียกร้องครั้งสำคัญให้จีน “เดินหน้าสู่วิทยาศาสตร์” โดยเลือกเส้นทางของการพึ่งพาตนเองและการพัฒนาที่เป็นอิสระ โดยจีนยุคใหม่ได้นำพาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าสู่การพัฒนาประเทศ

ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1964 ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างจีนและสหภาพโซเวียต บุคลากรด้านการบินของจีนใหม่เริ่มพัฒนาเครื่องบินขับไล่ตามแนวคิดของประธานเหมาฯ ที่ว่า "พึ่งพาตนเองเป็นหลัก" และภารกิจพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-8 และ J-9 ได้รับการเสนอและดำเนินการโดยสถาบัน 601 และหน่วยงานอื่น ๆ ในเมืองเสิ่นหยางตามลำดับ เครื่องบินขับไล่ J-7 ลำก่อนหน้านี้ที่จีนผลิตนั้นเป็นเพียงสำเนาของเครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นที่ 2 ของอดีตสหภาพโซเวียตซึ่งก็คือเครื่องบินขับไล่ MiG-21 ตามแผนเดิม J-8 ถือเป็นเครื่องบินขับไล่ MiG-21 สองเครื่องยนต์รุ่นขยายใหญ่ขึ้น ในขณะที่ J-9 ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในด้านตัวบ่งชี้การออกแบบและแผนงานเมื่อเทียบกับ J-8 และได้ก้าวไปถึงระดับเครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นที่ 3 ของโลกในขณะนั้นแล้ว

ในปี 1970 จีนตัดสินใจเร่งพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-9 เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากทางเหนือ ในปีเดียวกัน Song Wencong ซึ่งเคยเป็นวิศวกรอากาศยานในสงครามเกาหลี ได้ย้ายจากเมืองเสิ่นหยางไปยังนครเฉิงตูพร้อมกับนักออกแบบเครื่องบินกว่า 300 คน ด้วยความฝันที่จะพัฒนาเครื่องบินขับไล่ ในเวลานั้น พวกเขามีชื่อรหัสเพียงว่า “สถาบัน 611” ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากคือการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-9 ที่สามารถแข่งขันกับเครื่องบินรบที่ทรงพลังที่สุดในโลกได้ นักออกแบบเหล่านี้ที่เพิ่งมาถึงนครเฉิงตูได้เริ่มต้นความฝันในการสร้างเครื่องบินขับไล่ขั้นสูงภายใต้เงื่อนไขทางวัสดุที่เรียบง่าย ในขณะที่พวกเขาต้องสร้างบ้านด้วยตัวเอง ปลูกข้าวและธัญญพืช และแม้กระทั่งต้องขนปุ๋ยคอกและใส่ปุ๋ยเอง

พวกเขาได้ออกแบบเครื่องบินขับไล่ J-9 ทีละขั้นตอนโดยจากแบบร่างเปล่า ภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากดังกล่าว ทำให้ชุดแบบจำลองการออกแบบชุดแรกที่มีปีกหน้าสามเหลี่ยม (Canard) และเริ่มทำการทดสอบในอุโมงค์ลมความเร็วสูง ในปี 1974 หลังจากใช้งานและแก้ไขข้อบกพร่องมานานกว่า 5 ปี เครื่องยนต์ 910 (WS-6 ซึ่งเลิกผลิตไปแล้วในภายหลัง) ของ J-9 ในที่สุดก็แก้ปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญได้ ทำความเร็วได้ 100% และเข้าสู่การทดสอบการทำงานความเร็วสูง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1975 คณะกรรมการวางแผนของรัฐและสำนักงานอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศตกลงที่จะทดลองผลิต J-9 จำนวน 5 ลำ โดยต้องบินครั้งแรกในปี 1980 และเสร็จสิ้นในปี 1983 และอนุมัติในหลักการให้จัดสรรค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติมอีก 400 ล้านหยวน (400 ล้านหยวนถือเป็นตัวเลขที่สูงลิบลิ่วในขณะนั้น)

ในช่วงต้นปี 1976 สถาบัน 611 ได้ปรับโครงร่างอากาศพลศาสตร์โดยรวมและพารามิเตอร์การออกแบบเพิ่มเติมตามประเภท J-9VI โดยปรับปรุง J-9VI-2 ให้มีช่องรับอากาศทั้งสองด้านเป็นระบบมัลติเวฟแบบปรับไบนารีแบบผสมการบีบอัด เครื่องบินติดตั้งเรดาร์แบบ 205 ที่มีระยะตรวจจับ 60-70 กิโลเมตรและระยะติดตาม 45-52 กิโลเมตร ปืนกล Gatling 30 มม. 6 ลำกล้อง ขีปนาวุธสกัดกั้น PL-4 4 ลูก ซึ่งแบ่งออกเป็นสองระบบการค้นหาที่แตกต่างกันได้แก่ (1) เรดาร์กึ่งแอคทีฟประเภท PL-4A ที่มีระยะสูงสุด 1B:F- เมตร และ (2) อินฟราเรดแบบพาสซีฟประเภท PL-4B ที่มีระยะที่มีประสิทธิภาพสูงสุด 8 กิโลเมตร เครื่องบินติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบแฟน 6 ที่มีแรงขับสถิตท้ายเครื่องยนต์เต็มกำลัง 124 kN

J-9VI-2 มีรูปทรงทางอากาศพลศาสตร์ของ J-9VI-2 นั้นมีความคล้ายคลึงกับ J-10 มาก เพียงแต่ Canard เป็นแบบตายตัวและไม่คล่องตัวเท่า J-10 เท่านั้นเอง J-10C ก่อนหน้านี้ ผู้คนจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศต่างพากันปล่อยข่าวลือว่า J-10 นั้นได้ต้นแบบมาจาก Lavi ของอิสราเอล และ Gripen ของสวีเดน และ J-10 นั้นใช้เทคโนโลยีของอิสราเอล ซึ่งนั่นเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี หาก J-9 ไม่ถูกยกเลิก ก็จะกลายเป็นเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์เดียวลำแรกของโลกที่มีเลย์เอาต์แบบ Canard ก่อน Gripen ของสวีเดนอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 1978 ตามคำแนะนำ โครงการ J-9 ถูกยกเลิกเนื่องจากการปรับเปลี่ยนโครงการของหน่วยพัฒนา และมีการจัดเก็บข้อมูลไว้ ในปี 1980 อันเนื่องมาจากการปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติในขณะนั้น โครงการ J-9 จึงถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง

ในเดือนพฤศจิกายน 1979 ก่อนที่ J-9 จะถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง เครื่องยนต์ WS-6 ได้บรรลุการทำงานที่มั่นคงในระยะยาวที่ความเร็วสูง เมื่อโครงการ J-9 สิ้นสุดลงและนำเครื่องยนต์ Spey มาใช้ การพัฒนาเครื่องยนต์ WS-6 ที่เข้าคู่กันก็หยุดลงโดยสิ้นเชิงในเดือนกรกฎาคม 1983 และแผนการพัฒนาก็ถูกหยุดลงโดยสิ้นเชิงในช่วงต้นปี 1984 เรดาร์ขับไล่แบบ 205 ที่รองรับ J-9 ก็หยุดการพัฒนาเช่นกันในปี 1981 ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ PL-4 อยู่ในสถานะ "เฝ้าระวัง" เป็นเวลานานหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบต้นแบบ หลังจากการทดสอบร่วมกันในช่วงปลายปี 1985 ก็หยุดการพัฒนา ก่อนที่ J-9 จะถูกยกเลิก

ในความเป็นจริงแล้ว J-9 ใช้เงินไปเพียง 20 ล้านเหรียญสหรัฐในการวิจัยและพัฒนาเท่านั้น แต่ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปและวัสดุใหม่ ๆ มากมายแล้ว มีการผลิตโมเดล ชิ้นส่วนทดสอบ และอุปกรณ์ทดสอบมากกว่า 500 ชิ้น และทดสอบอุโมงค์ลมความเร็วสูงและความเร็วต่ำ 12,000 ครั้ง รวมถึงทดสอบโครงสร้าง ความแข็งแรง ระบบ และวัสดุพิเศษ 258 ครั้ง มีการรวบรวมโปรแกรมคำนวณ 154 โปรแกรม วิเคราะห์การคำนวณมากกว่า 15,000 ชั่วโมง และแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญมากกว่า 20 ปัญหา น่าเสียดายที่ J-9 ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การสะสมทางเทคนิคของ J-9 ได้กลายเป็นทรัพย์สินอันมีค่าสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีการบินของจีนในเวลาต่อมา ตัวอย่างเช่น การจัดวางแบบแคนาร์ดส่งผลกระทบต่อ J-10 และ J-20 อย่างมากมายในเวลาต่อมา มีการเก็บรักษาอุปกรณ์ทดสอบและทีมงานของ WS-6 ไว้ ซึ่งวางรากฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเครื่องยนต์ Kunlun ในเวลาต่อมา จึงเป็นการสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับวางรากฐานการวิจัยและพัฒนาสำหรับการพัฒนาเรดาร์และอาวุธในเวลาต่อมา

หลายคนยังคงให้ร้าย J-9 ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวจากการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ โดยกล่าวว่าการยุติการผลิต J-9 เป็นผลจากความทะเยอทะยานเกินไป แต่ความถูกผิดนั้นอยู่ในใจของผู้คน ข้อเท็จจริงสามารถให้ความรู้แก่ผู้คนได้ดีที่สุด ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 แนวคิดที่ว่า "การซื้อดีกว่าการผลิต" ได้รับความนิยม และกองทัพอากาศก็เริ่มสนใจ Mirage 2000 ของฝรั่งเศสและ F16 ของอเมริกา ในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาอยู่ในช่วงหวานชื่น และการจัดซื้อ F16 ดูเหมือนจะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาต้องการขาย F16 ที่ใช้เครื่องยนต์ด้วยที่ล้าสมัย และราคาซื้อขายที่ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สหรัฐฯ จะขาย F16 ให้กับจีนในราคา 35 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากกลางทศวรรษ 1980 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับโซเวียตและสหรัฐอเมริกากับโซเวียตเริ่มคลี่คลายและดีขึ้นทีละน้อย และสหรัฐอเมริกาก็สูญเสียความต้องการเชิงยุทธศาสตร์ในการ "เป็นพันธมิตรกับจีนเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต" ช่วงเวลาหวานชื่นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาจึงสิ้นสุดลง และในที่สุด แผนการจัดหา F16 ก็พังทลายลง

ในที่สุด ความฝันที่จะการแปลงโฉม J-8 ในที่สุดก็เริ่มต้นขึ้น เดือนมกราคม 1986 คณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการป้องกันประเทศแห่งชาติได้ประกาศ “อนุมัติการพัฒนาเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 3 ของประเทศ เครื่องบินขับไล่แบบ J-10 ซึ่งมีชื่อรหัสว่า Project No. 10 โดย Song Wencong วิศวกรอากาศยานซึ่งอายุ 56 ปีในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ออกแบบเครื่องบินขับไล่แบบ J-10 หลังจากความสำเร็จของ J-10 สื่อบางสำนักได้ทบทวนประวัติของ J-10 และมักกล่าวถึงว่าโครงการ J-10 ใหม่นั้น "ได้รับการลงทุนในช่วงเริ่มต้นประมาณ 500 ล้านหยวน" ไม่ชัดเจนว่า โครงการดังกล่าวได้รับเงินมากมายขนาดนั้นในช่วงเริ่มต้นหรือไม่ เมื่อ Song Wencong เริ่มต้นการทำงานกับทีมของเขา โดยเขายังคงใช้แนวทางดั้งเดิมที่สุดในการพัฒนาเครื่องบินขับไล่! ทีมของ Song Wencong ไม่มีแม้แต่คอมพิวเตอร์เพราะต้องรักษาข้อมูลไว้เป็นความลับอย่างเคร่งครัด นักออกแบบเครื่องบินของสาธารณรัฐใช้พัดลมที่ดังสนั่นไหวทำงานในโกดังที่มีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส สวมเสื้อกั๊กและกางเกงขาสั้น และวาดแบบร่างด้วยมือถึง 67,000 ภาพ! สำหรับทีมของ Song Wencong นอกจากจะมีปัญหาทางเทคนิคแล้ว ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือการขาดเงิน! เนื่องจากครอบครัวของเขาประสบปัญหาทางการเงิน Song Wencong จึงต้องขายบะหมี่ที่แผงขายของหลังเลิกงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ในเมื่อหัวหน้านักออกแบบยังเป็นแบบนี้ สถานการณ์ที่บรรดานักวิจัยและพัฒนาคนอื่น ๆ เผชิญก็ยิ่งจินตนาการได้ยากยิ่งไปกว่านั้นอีก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการไม่มีเงินและไม่มีเทคโนโลยีก็คือ Song Wencong กังวลอยู่เสมอว่า J-10 จะประสบชะตากรรมเดียวกับ J-9 ในปี 1989 จีนได้จัดคณะผู้แทนทางทหารชุดใหญ่เพื่อเยือนสหภาพโซเวียต และ Song Wencong ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมคณะผู้แทนด้วย หลังจากการเยี่ยมชมเครื่องบินขับไล่แบบ Su-27SK ซึ่งเครื่องบินรบล้ำสมัยของโซเวียตในขณะนั้นทำให้คณะผู้แทนจากจีนต้องตกตะลึง หลังจากกลับถึงจีน มีคนเสนอทันทีว่า "เมื่อเทียบกับJ-10 แล้ว Su-27 มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมกว่ามาก จึงควรเลิกผลิต J-10 แล้วประหยัดเงินเพื่อซื้อ Su-27 แทน น่าจะคุ้มทุนกว่า"

ผู้นำในยุคนั้นบางคนพูดตรง ๆ ว่าการพัฒนา J-10 คือความ "ต้องการปีนกำแพงเมืองจีนด้วยเงินเพียง 5 เซนต์ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้"! แต่คนรุ่นเก่าในวงการการบินที่นำโดย Song Wencong นั้นมีจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้! ตลอด 18 ปีของการพัฒนา J-10 ที่ยากลำบาก นักออกบบและวิศวกรหลักหลายคนเสียชีวิตระหว่างทำงาน อาทิ Yang Baoshu ผู้จัดการทั่วไปของ Chengfei มีส่วนสนับสนุนอย่างมากในการพัฒนา J-10 แต่โชคร้ายที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดและเสียชีวิตในวัย 60 ปี Su Dor รองหัวหน้าหน่วยบินทดสอบ J-10 ป่วยเป็นมะเร็งทวารหนักและอุจจาระเป็นเลือดวันละ 3-4 ครั้ง แต่เขายังคงยืนกรานที่จะทำงานจนเสียชีวิต Zhou Zhichuan หัวหน้าวิศวกรการบินทดสอบ อายุ 63 ปีแล้วในขณะนั้น แต่เขาอาศัยอยู่ในฐานบินทดสอบนาน 10 เดือน และเป็นหมดสติหลายครั้งระหว่างการทำงาน แต่สั่งอย่างเคร่งครัดให้แพทย์ที่เดินทางไปด้วย "อย่าบอกใคร" ในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ J-10 ขึ้นบินเป็นครั้งแรก

บทวิเคราะห์พิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 กับพลวัตด้านอาวุธของ ‘รัสเซีย’ สะท้อน!! การเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ ในการต่อสู้ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

(12 พ.ค. 68) พิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 ที่จัดขึ้นในกรุงมอสโกเป็นเวทีที่สะท้อนภาพลักษณ์ทางการทูตและการทหารของรัสเซียหลังจากที่เผชิญกับสงครามยูเครนมาเกือบสองปี อาวุธและขีปนาวุธในขบวนของปีนี้มีจำนวนที่น้อยลงกว่าเดิม ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า “รัสเซียอาวุธหมดแล้วหรือ?” ท่าทีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางทหารของรัสเซียแต่ยังสะท้อนยุทธศาสตร์การรับรู้ (perception management) ที่เครมลินอาจตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความกดดันจากภายนอกและภายในประเทศ

หนึ่งในสัญญาณที่เห็นได้ชัดในพิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 คือการลดลงของการปรากฏตัวของอาวุธหนักที่เคยมีความโดดเด่นในขบวนสวนสนามปีที่ผ่านๆมา จากที่เคยเต็มไปด้วยรถถัง T-90, T-14 Armata, และขีปนาวุธ Iskander ปีนี้กลับถูกแทนที่ด้วยการเลือกไม่แสดงอาวุธหนักอย่างชัดเจน ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ แต่ยังทำให้เกิดคำถามถึงสภาพจริงของอำนาจทางทหารของรัสเซียในปัจจุบัน ทรัพยากรทหารที่จำกัดได้กลายมาเป็นปัญหาหลักที่รัสเซียต้องเผชิญ สงครามในยูเครนทำให้การใช้กำลังรบที่มีอยู่ต้องถูกนำไปใช้ในแนวหน้าอย่างต่อเนื่องและไม่มีหยุดพักทำให้การนำอาวุธหนักที่อาจมีความสำคัญสูงออกมาจัดแสดงในพิธีสวนสนามไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมในช่วงเวลานี้
ในขณะเดียวกันแนวทางการสงวนพลัง (Resource Allocation) ก็เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน รัสเซียไม่สามารถเสี่ยงส่งทรัพยากรทางทหารที่มีจำกัดออกมาให้เห็นเพียงเพื่อโชว์ในพิธีการ เมื่อการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นในยุทธศาสตร์ “การยืดเยื้อ” และการต่อสู้ระยะยาวต้องได้รับการจัดลำดับความสำคัญใหม่ การแสดงอาวุธหนักที่น้อยลงในปีนี้จึงไม่ใช่แค่การขาดแคลนอาวุธ แต่สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่าและการวางแผนระยะยาวที่จะไม่สูญเสียทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์

ดังนั้นการที่รัสเซียเลือกที่จะไม่แสดงขีปนาวุธรุ่นใหม่หรืออาวุธหนักในพิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 จึงเป็นกลยุทธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่รัสเซียเลือกใช้เพื่อควบคุมการรับรู้ (perception management) ทั้งในและนอกประเทศ รัสเซียเลือกใช้วิธีนี้เป็นเครื่องมือทางการทูตและการทหารที่มีความลึกซึ้งมากกว่าที่ตาเปล่าจะมองเห็นซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการส่งสัญญาณไปยังฝ่ายตะวันตกว่ารัสเซียไม่จำเป็นต้องโอ้อวดหรือแสดงออกทางทหารในขณะที่ยังคงมีความสามารถในการต่อสู้ โดยสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์ดังกล่าวของรัสเซียได้ดังนี้

1) การจัดการภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ 
การที่รัสเซียเลือกที่จะไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 เป็นการจัดการภาพลักษณ์ระหว่างประเทศที่แยบยล ในสถานการณ์ที่ถูกคว่ำบาตรหนักและเผชิญกับสงครามยืดเยื้อรัสเซียต้องการส่งสัญญาณว่าสามารถดำเนินสงครามได้โดยไม่ต้องโอ้อวดพลังทหาร การไม่แสดงขีปนาวุธหรือรถถังที่มีชื่อเสียงสะท้อนถึงการควบคุมการรับรู้ของคู่แข่งโดยเฉพาะประเทศตะวันตก ซึ่งทำให้พวกเขาต้องระมัดระวังเกี่ยวกับศักยภาพทางทหารที่ซ่อนเร้นของรัสเซีย การไม่แสดงพลังทหารยังเป็นการส่งสัญญาณไม่ต้องการยั่วยุซึ่งเป็นการเพิ่มความตึงเครียดในสงคราม และยังสะท้อนถึงการรักษาความสงบภายในประเทศโดยไม่ทำให้ประชาชนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงคราม ขณะเดียวกันรัสเซียยังสามารถสร้างภาพลักษณ์ของความสงบและความมั่นคงซึ่งช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในการควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามยังอาจสะท้อนถึงการส่งสัญญาณความพร้อมในการเจรจาโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจายังคงเป็นทางเลือกที่เปิดกว้างซึ่งช่วยลดความตึงเครียดและเพิ่มโอกาสในการหาทางออกทางการทูต

2) สัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ต่อฝ่ายตะวันตก 
ในด้านการทูตการเลือกที่จะ “เงียบ” ในการแสดงพลังทหา อาจเป็นกลยุทธ์การส่งสัญญาณไปยังฝ่ายตะวันตกและพันธมิตรว่า รัสเซีย ไม่จำเป็นต้องแสดงขีดความสามารถทหารในที่สาธารณะ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกถึงความ “เบาบาง” หรือ “สงบ” ในสถานการณ์แม้ว่าภายในจริงๆ แล้วอาจมีการเตรียมพร้อมในรูปแบบอื่นๆ อย่างลับๆ หรือไม่แสดงออกให้เห็นโดยตรง

3) การสะท้อนอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องถูกแสดงออก
รัสเซียอาจต้องการส่งข้อความไปยังประเทศที่ไม่เป็นมิตรว่า “เราไม่จำเป็นต้องแสดงอาวุธเพื่อแสดงพลัง” หรือแม้กระทั่งการใช้ "ความเงียบ" ในการแสดงให้เห็นว่า “เรายังคงมีกลยุทธ์และความสามารถที่แฝงตัวอยู่” การเลือกที่จะไม่แสดงออกอาจเป็นการทำให้โลกเห็นว่ารัสเซียไม่ต้องการการยั่วยุหรือไม่ต้องการให้ทุกฝ่ายเห็นความสามารถที่แท้จริงของตนในสนามรบ

4) การสร้างอารมณ์ในประเทศ
ในมุมมองภายในประเทศการที่รัสเซียไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามอาจเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนรับรู้ถึงความมั่นคงว่ารัสเซียไม่จำเป็นต้องแสดงอาวุธหนักเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งและการสงวนพลังนั้นเป็นการเตรียมพร้อมในระยะยาว แม้ในเวลาที่มีการท้าทายจากต่างประเทศการแสดงความมั่นใจโดยไม่ต้องแสดงพลังทหารสามารถทำให้ประชาชนรู้สึกถึงการควบคุมสถานการณ์และไม่จำเป็นต้องเกิดความวิตกกังวล

5) ความหมายของการสงวนพลังในระยะยาว
การเลือกที่จะ “เงียบ” และไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามนั้นอาจสะท้อนถึงความคิดที่ว่ารัสเซียกำลังมองไปข้างหน้าในสงครามระยะยาวที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความเข้มแข็งเพียงแค่ในวันนั้น ๆ แต่ต้องมีการจัดการทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปในสนามรบในอีกหลายปีข้างหน้า ดังนั้น การแสดง “ความเงียบ” จึงเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการใช้พลังอย่างมีกลยุทธ์ในอนาคต

นักวิชาการรัสเซียมองว่าการไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามเป็นการดำเนินกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกับการรักษาภาพลักษณ์ทางการทูตและการทหารในระดับโลก แม้รัสเซียจะเผชิญกับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการทูตแต่การจัดแสดงอาวุธในระดับใหญ่จะไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงภายในและการคงสถานะของประเทศในเวทีการทูต เช่นเดียวกับการหลีกเลี่ยงการยั่วยุฝ่ายตะวันตก ในทัศนะของ ดร. เซอร์เกย์ คารากานอฟ (Sergey Karaganov) นักวิชาการด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัสเซียมองว่าการที่รัสเซียไม่แสดงอาวุธหนักเป็นการบ่งบอกถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์และไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นจุดอ่อนในพลังทหารของรัสเซีย ในขณะที่อเล็กซานเดอร์ ดูกิน (Alexander Dugin) ได้อธิบายถึงการใช้ความสงบในพิธีสวนสนามเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่รัสเซียสามารถควบคุมสถานการณ์และดำเนินการสงครามได้ในลักษณะที่ไม่ต้องแสดงพลังทหารอย่างโจ่งแจ้ง การที่รัสเซียไม่แสดงขีปนาวุธหรือรถถังที่มีชื่อเสียงในพิธีสวนสนามเป็นการส่งสัญญาณให้ฝ่ายตะวันตกว่า รัสเซียไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถทางทหารทั้งหมด การเลือกใช้การสงวนพลัง (power preservation) ถือเป็นกลยุทธ์ที่รัสเซียใช้เพื่อไม่ให้คู่แข่งสามารถคาดเดาทิศทางของรัสเซียได้

สื่อมวลชนฝั่งรัสเซียเช่น RT และ Sputnik News ได้เสนอบทวิเคราะห์ที่สนับสนุนการตัดสินใจไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 โดยให้เหตุผลว่าการแสดงออกเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการทูตที่มุ่งเน้นการลดความตึงเครียดระหว่างประเทศ และส่งสัญญาณว่าแม้รัสเซียจะเผชิญกับสงครามในยูเครน แต่รัสเซียยังคงมีอำนาจทางทหารที่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง การเลือกที่จะสงวนอาวุธหนักทำให้รัสเซียสามารถรักษาภาพลักษณ์ของความสงบและความมั่นคงได้ในขณะที่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งในด้านการทหาร ในขณะที่ Izvestia ได้รายงานเกี่ยวกับการที่รัสเซียยังคงสามารถผลิตอาวุธและใช้เทคโนโลยีทหารที่ทันสมัย เช่น โดรน และ สงครามไซเบอร์ โดยไม่ต้องแสดงอาวุธหนักในการแสดงในที่สาธารณะ ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ "สงครามรูปแบบใหม่" ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการแสดงพลังทหารในสนามรบแบบเดิม ๆ การแสดงในพิธีสวนสนามเป็นเพียงแค่การแสดงออกทางการเมืองที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับความสามารถจริงในสนามรบ

อย่างไรก็ตามมุมมองจากฝั่งตะวันตกมองว่ารัสเซียอาจกำลังเผชิญกับการขาดแคลนอาวุธระยะยาว เช่น ขีปนาวุธที่มีระยะยิงไกลและเครื่องบินทิ้งระเบิดที่สามารถเข้าถึงเป้าหมายในระยะไกลได้ องค์กรInternational Institute for Strategic Studies (IISS) หรือ The Economist ได้ชี้ว่า รัสเซียประสบปัญหาในการผลิตกระสุนและอาวุธบางประเภทที่ใช้ในการสงคราม เช่น กระสุนหนักสำหรับปืนใหญ่และอาวุธปล่อยที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งมีผลมาจากการคว่ำบาตรจากตะวันตกและการขาดแคลนเทคโนโลยีที่ทันสมัย รัสเซียต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากพันธมิตรเช่น จีนและอิหร่านเพื่อเติมเต็มช่องว่างในส่วนนี้ อย่างไรก็ตามปัญหานี้ยังคงเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการดำเนินสงครามอย่างยั่งยืน นักวิชาการบางคนมองว่าการที่รัสเซียไม่มีอาวุธเหล่านี้ในมือเทียบเท่ากับในอดีตอาจเป็นสัญญาณของการที่ประเทศกำลังสูญเสียความสามารถในการขยายสงครามไปยังพื้นที่อื่น ๆ และมุ่งเน้นการต่อสู้ภายในยูเครนเท่านั้น นักวิเคราะห์จากฝ่ายตะวันตกยังชี้ว่าการคว่ำบาตรจากตะวันตกได้จำกัดการเข้าถึงชิ้นส่วนและวัสดุที่จำเป็นในการผลิตอาวุธขั้นสูงอาทิ ชิปเซ็ต เทคโนโลยีการผลิตมิสไซล์หรืออุปกรณ์การผลิตที่ล้ำสมัยซึ่งจำกัดความสามารถของรัสเซียในการผลิตอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

บทสรุป การเลือกที่จะไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 ไม่เพียงแค่เป็นกลยุทธ์ทางการทูตเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของรัสเซียในเวทีโลก แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงการควบคุมการรับรู้ของฝ่ายตรงข้าม การไม่ยั่วยุ และการสร้างความมั่นคงภายในประเทศ โดยทั้งนักวิชาการและสื่อรัสเซียมองว่า การแสดงพลังทหารในที่สาธารณะอาจไม่จำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบันที่การจัดการกับวิกฤติโดยไม่แสดงพลังทางทหารให้เห็นนั้นเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม

รู้จัก ‘Alcatraz’ คุกบนเกาะกลางอ่าวซานฟรานซิสโก ที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เตรียมใช้คุมขังนักโทษร้ายแรงอีกครั้ง

โลกใบนี้มีเรือนจำบนเกาะอยู่มากมายหลายแห่ง โดยเกาะเหล่านี้แยกตัวออกมาอยู่กลางทะเลตามธรรมชาติ จึงทำให้นักโทษไม่สามารถหลบหนีได้ The Rock สมญานามของเกาะ Alcatraz เกาะเล็ก ๆ กลางอ่าวซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เกาะนี้ในอดีตเคยเป็นสถานที่ตั้งประภาคาร ป้อมปราการของกองทัพสหรัฐฯ และยังเป็นเรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษ แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเรือนจำแห่งนี้ รวมถึงเปิดให้เข้าชมพื้นที่ห้องขังจริง ๆ และจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้จริงของนักโทษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้กล่าวว่า เขาจะสั่งการทำการปรับปรุงเรือนจำบนเกาะ Alcatraz เพื่อเปิดใช้งานใหม่ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งให้มีการประเมินในทุกส่วนที่ยังไม่ได้รับการประเมินเพื่อกำหนดความต้องการและขั้นตอนต่อไปในการปรับปรุงเรือนจำรัฐบาลกลาง Alcatraz ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเพื่อเป็นการฟื้นฟูสัญลักษณ์อันทรงพลังของกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย และความยุติธรรม ของสหรัฐฯและรัฐบาลกลางของประเทศอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตร

เกาะแห่งนี้มีพืชพรรณเพียงเล็กน้อยและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกทะเลเมื่อได้รับการสำรวจในปี 1775 โดยร้อยโท Juan Manuel de Ayala ซึ่งตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Isla de los Alcatraces ('เกาะแห่งนกกระทุง') ต่อมาในปี 1849 ถูกขายให้กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เกาะนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัย เนื่องจากกระแสน้ำทะเล พืชผักที่มีปริมาณน้อยมาก และพื้นดินที่แห้งแล้ง เนื่องจากเกาะแห่งนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางอ่าวตามธรรมชาติ ล้อมรอบด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิเยือกแข็งและคลื่นลมแรง กองทัพสหรัฐฯ สร้างป้อมปราการบนเกาะ Alcatraz ขึ้นในปี 1850 มีการติดตั้งปืนใหญ่เพื่อป้องกันอ่าวจากการรุกรานจากศัตรูต่างชาติอันเนื่องมาจากการเติบโตของสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิก

นอกจากนี้ยังใช้เพื่อปกป้องนคร San Francisco จากการบุกรุกในช่วงสงครามกลางเมือง ไม่นานหลังจากนั้นมันก็ได้รับการพิจารณาให้ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ มีการสร้างประภาคารแห่งแรก และต่อมามีการสร้างอาคารอื่น ๆ บนเกาะ และกองทหารประจำการชุดแรกได้ตั้งกองทหารรักษาการณ์ในปี 1859 ในปี 1861 เกาะนี้ถูกกำหนดให้เป็นที่กักขังบรรดาผู้กระทำความผิดทางทหาร ต่อมามีนักโทษรวมถึง ชาวอินเดียแดงเผ่านโฮปี 19 คน จากมลรัฐแอริโซนาซึ่งต่อต้านความพยายามของรัฐบาลที่จะกลืนกลายพวกเขา ในปี 1861 เกาะนี้ได้เป็นที่รองรับนักโทษจากสงครามกลางเมืองจากรัฐต่าง ๆ และผลพวงจากสงครามสเปน-อเมริกัน ในปี 1898 ทำให้จำนวนนักโทษเพิ่มขึ้นจาก 26 คน เป็น 450 คน และในปี 1900 กักขังทหารอเมริกันที่ต่อสู้ในฟิลิปปินส์แต่แปรพักตร์เข้าร่วมกับฝ่ายฟิลิปปินส์ ในปี 1907 เกาะนี้ถูกกำหนดให้เป็นสาขาแปซิฟิกของเรือนจำทหารสหรัฐอเมริกา จากนั้นในปี 1906 ได้เกิดแผ่นดินไหวในนครซานฟานซิสโก (ซึ่งทำลายเมืองนี้อย่างรุนแรง) บรรดานักโทษจึงถูกย้ายไปบนเกาะเพื่อความปลอดภัย ในปี 1912 มีการก่อสร้างคุกขนาดใหญ่ที่ใจกลางเกาะ และในปลายทศวรรษ 1920 อาคารสามชั้นนี้ก็เสร็จสมบูรณ์

กองทัพสหรัฐฯ เป็นดูแลผู้รับผิดชอบเกาะแห่งนี้มามากว่า 80 ปี จากปี 1850 จนถึงปี 1933 แล้วเกาะนี้ได้ย้ายไปอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงยุติธรรมเพื่อใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ รัฐบาลกลางได้ใช้เป็นสถานที่กักขังที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด โดยผู้ต้องขังปราศจากสิทธิพิเศษใด ๆ เพื่อจัดการกับบรรดานักโทษ และแสดงถึงประสิทธิภาพทางกฎหมายที่รัฐบาลต้องการลดคดีอาชญากรรมที่มีมากมาย ในช่วงปี 1920 และปี 1930 ตั้งแต่ปี 1934 ถึง 1963 เรือนจำแห่งนี้ทำหน้าที่เป็นเรือนจำของรัฐบาลกลางสำหรับนักโทษพลเรือนที่อันตรายที่สุดบางคนนักโทษที่ มีชื่อเสียง ได้แก่ อัล คาโปน จอร์จ เคลลี และโรเบิร์ต สตรูด มนุษย์นกแห่งเกาะ Alcatraz ('Birdman of Alcatraz') ผู้ซึ่งเลี้ยงนกและทำการวิจัยเกี่ยวกับนกขณะอยู่ในเรือนจำ” แม้ว่าเรือนจำ Alcatraz จะสามารถขังนักโทษได้ 450 คนในห้องขังที่มีขนาดประมาณ 10 x 4.5 ฟุต (3 x 1.5 เมตร) แต่ความเป็นจริงแล้วในแต่ละครั้งจะมีการขังนักโทษโดยเฉลี่ยประมาณคือ 260-275 คน (จำนวนนักโทษนี้ยังไม่ถึงปริมาณที่รองรับได้สูงสุด 336 คน ซึ่งนับได้ว่าจำนวนนักโทษของเกาะมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของจำนวนนักโทษทั่วประเทศ) โดยที่นักโทษมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่านักโทษที่อื่น (ตัวอย่างเช่น นักโทษหนึ่งคนต่อหนึ่งห้องขัง) ซึ่งมีนักโทษหลายคนได้ขอย้ายไปอยู่ที่เรือนจำบนเกาะเกาะ Alcatraz ความพยายามในการหลบหนีจากเรือนจำบนเกาะแห่งนี้นั้นยากมาก ๆ แต่ก็มีผู้ต้องขังเพียงไม่กี่คนที่หลบหนีออกจากเกาะได้ แต่ที่สุดไม่รู้ว่าพวกเขารอดชีวิตจากกระแสน้ำเย็นในอ่าวได้หรือไม่ การหลบหนีจากเกาะแห่งนี้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Escape from Alcatraz (1979)

ในที่สุด ความยากลำบากในการขนน้ำจืดและของเสียออกจากเกาะได้ส่งผลทำให้เรือนจำบนเกาะ Alcatraz ก็ถูกปิดตัวลงในปี 1963 เนื่องจากขาดงบประมาณในการบริหารจัดการ ในเดือนมีนาคม 1964 กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันได้อ้างสิทธิ์บนเกาะนี้โดยอ้างถึงสนธิสัญญาปี 1868 อนุญาตให้ชาวอินเดียนจากเขตสงวนอ้างสิทธิ์ใน "ดินแดนของรัฐบาลที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย" อย่างไรก็ตาม พวกเขายึดครอง Alcatraz ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ในเดือนพฤศจิกายน 1969 นักเคลื่อนไหวชาวอินเดียนรวมถึงสมาชิกของขบวนการอินเดียนอเมริกันได้ทำการยึดครองเกาะนี้อีกครั้ง โดยเรียกร้องกรรมสิทธิ์ในเกาะและปฏิเสธที่จะออกไป จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐบาลกลางบังคับให้ออกไปในเดือนมิถุนายน 1971 และเกาะ Alcatraz ก็ถูกโอนย้ายไปอยู่ในการดูแลของสำนักอุทยานแห่งชาติในปี 1972 หลังจากนั้นจึงมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ แล้วเปลี่ยนสภาพจากเรือนจำไปเป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวต้อนรับผู้เข้าชมประมาณ 1.2 ล้านคนต่อปีมาจนถึงปัจจุบัน เกาะ Alcatraz อยู่ในเขตพื้นที่สันทนาการแห่งชาติโกลเดนเกต (Golden Gate National Recreation Area) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่บริเวณชายฝั่งตะวันตกรอบ ๆ ปากอ่าวซานฟรานซิสโกกว่า 82,116 เอเคอร์ เกาะ Alcatraz ซึ่งเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมได้โดยขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือ Pier 33 จากชายฝั่งนครซานฟรานซิสโก ใช้เวลาเดินทาง 4 กิโลเมตรไปยังเกาะประมาณ 20-30 นาที นอกจากนี้ เกาะ Alcatraz ยังเป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติในปี 1986 อีกด้วย

KazanForum เมื่อรัสเซียหันหน้าเข้าสู่ ‘โลกมุสลิม’ เพื่อปักหมุดภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ ในโลกยุคหลายขั้ว

(18 พ.ค. 68) ในขณะที่โลกยังคงหมุนวนท่ามกลางความปั่นป่วนของอำนาจและการแย่งชิงผลประโยชน์ รัสเซียเดินหน้าด้วยความเด็ดขาดและไม่ลังเลที่จะ “หันหน้า” เข้าหาโลกมุสลิม — กลุ่มประเทศที่มีพลานุภาพมหาศาลทางเศรษฐกิจ มีวัฒนธรรมและอุดมการณ์ KazanForum จึงไม่ใช่แค่เวทีเจรจาธรรมดาแต่มันคือการประกาศศักดาอันดุเดือดของรัสเซียในการปักหมุดภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ของโลกยุคหลายขั้ว นี่คือการท้าทายอำนาจเก่าที่มองข้ามหรือพยายามกดขี่โลกมุสลิมมาเนิ่นนาน รัสเซียไม่ใช่แค่ผู้เล่นรายหนึ่งในเวทีการเมืองระหว่างประเทศแต่คือ “เสาหลัก” ที่โลกมุสลิมจะจับมือเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และอุดมการณ์ใหม่ที่ไม่ยอมจำนนต่อระบบโลกเดิม ดังนั้น KazanForum คือสนามรบทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เต็มไปด้วยพลังความมั่นคงและพันธมิตรที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อโลกถูกบังคับให้ต้องเลือกระหว่างอำนาจที่สั่นคลอนและอนาคตที่ไม่แน่นอน KazanForum คือคำตอบของพันธมิตรใหม่ที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ที่จะปั้นโลกให้เป็นเวทีของความหลากหลาย ศรัทธาและอิทธิพลที่รัสเซียและโลกมุสลิมพร้อมยืนหยัดเคียงข้างกันอย่างไม่หวั่นไหว

จากดอนบาสถึงคาซาน

เมื่อรัสเซียเผชิญแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรระลอกแล้วระลอกเล่า การประชุมทางเลือกนอกโลกตะวันตกจึงกลายเป็นเวทีสำคัญในยุทธศาสตร์ต่างประเทศของเครมลินและหนึ่งในนั้นคือ Russia–Islamic World: KazanForum ซึ่งจัดขึ้นที่สาธารณรัฐตาตาร์สถาน ดินแดนที่มีทั้งอัตลักษณ์มุสลิมและเชื้อชาติเตอร์กผสมผสานอยู่ในโครงสร้างของรัฐรัสเซียอย่างแนบแน่น KazanForum ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2025 ดึงดูดผู้แทนจากกว่า 80 ประเทศมุสลิมโดยเฉพาะกลุ่ม OIC ทั้งในตะวันออกกลาง เอเชียกลาง แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การรวมตัวกันในระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กในโลกที่แตกขั้วอย่างเข้มข้นขึ้นทุกวัน โดย KazanForum มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2025  ณ เมืองคาซาน สาธารณรัฐตาตาร์สถาน ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย มีตัวแทนจากกว่า 87 ประเทศ รวมถึงประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และ 87 ภูมิภาคของรัสเซียเข้าร่วมงาน หัวข้อและกิจกรรมเด่นประกอบไปด้วย 
1) การประชุมเชิงธุรกิจและเศรษฐกิจ มีการจัดการประชุมกว่า 150 เซสชัน ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ เช่น การเงินอิสลาม การลงทุน เทคโนโลยี การศึกษาและการท่องเที่ยว รวมถึงมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกว่า 120 ฉบับระหว่างภาครัฐและเอกชน 2) การประชุมกลุ่มวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ "รัสเซีย–โลกอิสลาม" เป็นเวทีสำคัญที่มีผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่าง ๆ เช่น เติร์กเมนิสถาน แอลจีเรีย บังกลาเทศ โมร็อกโกและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าร่วม 3) การประชุมด้านการเงินอิสลาม (AAOIFI Conference) จัดขึ้นครั้งแรกในรัสเซีย โดยเน้นการปรับใช้การเงินอิสลามภายใต้กฎหมายรัสเซีย 4) นิทรรศการ Halal Expo แสดงผลิตภัณฑ์ฮาลาล
หลากหลายประเภท เช่น อาหาร เครื่องแต่งกาย การเงินและการท่องเที่ยว halaltimes.com 5) การประชุมระดับรัฐมนตรีรวมถึงการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมของประเทศสมาชิก OIC และการประชุมเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุน การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมระดับสูงหลายท่าน เช่น นายกุร์บันกูลี เบอร์ดีมูฮาเมโดว์อดีตประธานาธิบดีเติร์กเมนิสถาน นายอันวาร์ อิบราฮิมนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ฯพณฯ อาลี อับดุลลาห์ ธานี จัสซิม อัล ธานี มาชิกราชวงศ์กาตาร์ รวมถึงรัฐมนตรีจากปากีสถาน ลิเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

แม้ภาพลักษณ์ของ KazanForum จะถูกห่อหุ้มด้วยวาทกรรมเศรษฐกิจ การลงทุนและความร่วมมือวัฒนธรรมแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือบทสนทนาเรื่อง "ความมั่นคงทางเลือก" ที่ไร้เงาของ NATO หรือ EU หลายประเทศมุสลิมมองรัสเซียในฐานะ “รัฐที่เข้มแข็ง” ที่กล้าท้าทายอำนาจอเมริกาและพร้อมจะจัดระเบียบความมั่นคงร่วมในรูปแบบใหม่ที่ไม่พึ่งพาโลกตะวันตก เช่น การร่วมมือด้านข่าวกรอง การพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศหรือแม้แต่การสนับสนุนการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคที่เปราะบางอย่างซาเฮลหรือคอเคซัส  สิ่งนี้สะท้อนว่า KazanForum ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สร้างเครือข่ายเศรษฐกิจแต่มันเริ่มกลายเป็น “แหล่งรวมแนวร่วมของความมั่นคงเชิงภูมิวัฒนธรรม” ที่ตั้งอยู่บนฐานของอัตลักษณ์อิสลามและการต่อต้านภาวะอาณานิคมใหม่ 

หากมอสโกคือจุดศูนย์กลางของอำนาจรัฐ คาซานก็คือ “เวทีทดลอง” สำหรับยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมที่รัสเซียต้องการเสนอออกสู่โลกการเลือกจัด KazanForum ในตาตาร์สถานไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะดินแดนนี้เปรียบได้กับ "สะพาน" ระหว่างจักรวรรดิรัสเซียดั้งเดิมกับโลกมุสลิมที่แผ่ขยายจากเอเชียกลางสู่ตะวันออกกลาง การใช้ความเป็นมุสลิมของชาวตาตาร์ในการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ทำให้รัสเซียสามารถ "แสดงบทบาท" ของรัฐพหุวัฒนธรรมได้อย่างแนบเนียน ภูมิรัฐศาสตร์แบบใหม่ของรัสเซียจึงไม่ได้พึ่งแต่กองทัพหรือพลังงานอีกต่อไปแต่ยังพยายามสร้าง "Soft Eurasianism" ผ่านความเชื่อมโยงทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และการต่อต้านอำนาจเดิมของโลกตะวันตก

นอกจากวาทกรรมทางความมั่นคงและอัตลักษณ์ KazanForum ยังเป็นเวทีที่รัสเซียพยายามเสนอภาพตนเองในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ไว้ใจได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศมุสลิมที่ต้องการความหลากหลายในการค้าระหว่างประเทศจากระบบการเงินอิสลาม (Islamic Finance) ไปจนถึงเครือข่ายการค้าฮาลาล รัสเซียเร่งเจาะตลาดใหม่เพื่อชดเชยการสูญเสียการค้ากับยุโรป ในฟอรั่มปีนี้มีการลงนาม MOU หลายฉบับทั้งการส่งออกอาหารฮาลาล การร่วมทุนโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงท่าเรือทะเลสาบแคสเปียนเข้าสู่เส้นทางซัพพลายเชนใหม่ กล่าวได้ว่า KazanForum กำลังทำหน้าที่คล้ายกับ Belt and Road Forum ของจีนในเวอร์ชันมุสลิม—ต่างกันแค่แทนที่จะมี “มังกร” เป็นผู้ชี้ทางที่นี่มี “หมีขาว” สวมชุดมุสลิมเป็นผู้เปิดเกม 

โลกมุสลิมตอบรับ KazanForum ในแง่บวกอย่างชัดเจนโดยมองว่าเวทีนี้เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างพันธมิตรกับรัสเซียในหลากหลายมิติโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการเมืองซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ นอกเหนือจากการพึ่งพาตะวันตก เช่น การร่วมมือในด้านการเงินอิสลาม ฮาลาล เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานหลายประเทศมุสลิมมองว่ารัสเซียเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในเวทีโลกหลายขั้ว ที่สามารถเป็นทางเลือกแทนตะวันตกที่มักมีความขัดแย้งกับโลกมุสลิม นอกจากนี้ KazanForum ยังถูกมองว่าเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ประเทศมุสลิมนำเสนอวัฒนธรรมและศักยภาพของตนเองในระดับสากลภายใต้กรอบความร่วมมือที่มีความเคารพซึ่งกันและกัน

เยกอร์ อาเลเยฟ (Yegor Aleyev) นักวิเคราะห์ชื่อดังของสำนักข่าว TASS ของรัสเซียชี้ชัดว่า KazanForum เป็นการแสดงพลังของรัสเซียในการเป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับโลกมุสลิมซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมถึงความมั่นคงและการเมืองระดับภูมิภาคและระดับโลก อาเลเยฟเน้นว่า "รัสเซียกำลังสร้าง ‘เวทีใหม่’ ที่โลกมุสลิมสามารถแสดงบทบาทและศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่ภายใต้การสนับสนุนและความร่วมมือที่เท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งแตกต่างจากความสัมพันธ์แบบเก่าที่มีเงื่อนไขหรือการครอบงำจากมหาอำนาจตะวันตก" อาเลเยฟมองว่าเวทีนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รัสเซียและโลกมุสลิมสามารถรับมือกับความท้าทายร่วมกัน เช่น การกดดันทางการเมืองจากโลกตะวันตก การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรวมถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์และการก่อการร้าย เขายังชี้ว่าความสัมพันธ์นี้จะไม่ใช่แค่ในระยะสั้นแต่มีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่พันธมิตรยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืนและทรงพลังที่สุดในศตวรรษนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของโลกที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุค “โลกหลายขั้ว” ที่มีอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์กระจายตัวมากขึ้น 

ในขณะที่อเล็กเซย์ วาซิลิเยฟ (Alexei Vasiliev) นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางของรัสเซียเน้นย้ำถึงบทบาทของรัสเซียในการสร้างความร่วมมือกับโลกอิสลามโดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลก เขาเห็นว่า Kazan Forum เป็นเวทีสำคัญที่รัสเซียใช้ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศมุสลิมและเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การสร้างโลกหลายขั้วที่รัสเซียผลักดัน

อันเดรย์ โคโรตาเยฟ (Andrey Korotayev) นักมานุษยวิทยาและนักสังคมวิทยาชาวรัสเซียผู้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับโลกอิสลามในบริบทของความมั่นคงและวัฒนธรรม เขาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าใจโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมของประเทศมุสลิมในการสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน และ KazanForum เป็นเวทีที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือดังกล่าว

รุสลาน เคอร์บานอฟ (Ruslan Kurbanov) นักวิชาการและนักกิจกรรมทางสังคมจากดาเกสถาน
เน้นย้ำถึงบทบาทของรัสเซียในการสนับสนุนและส่งเสริมชุมชนมุสลิมภายในประเทศและการใช้ KazanForum เป็นเวทีในการแสดงออกถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของรัสเซีย รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศมุสลิมอื่น ๆ

ตามทฤษฎี Clash of Civilizations ของ ซามูเอล ฮันติงตัน (Samuel P. Huntington) โลกถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มอารยธรรมที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ศาสนา และค่านิยม ซึ่งมักนำไปสู่ความขัดแย้งและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ในบริบทนี้ KazanForum จึงไม่ได้เป็นเพียงงานประชุมเศรษฐกิจหรือวัฒนธรรมทั่วไปแต่เป็นเวทีที่รัสเซียกำลังสร้าง “สะพาน” เชื่อมโยงระหว่างโลกอิสลามกับอารยธรรมตะวันตก-รัสเซีย ผ่านการแสดงออกถึงอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ในรูปแบบใหม่ ได้แก่ 1) ภูมิรัฐศาสตร์หลายขั้วโดยรัสเซียใช้ KazanForum เป็นเครื่องมือผลักดันยุทธศาสตร์หลายขั้วที่ท้าทายอิทธิพลของสหรัฐและตะวันตกในโลกมุสลิม 2) การสร้างอัตลักษณ์ร่วม KazanForum เสริมสร้างภาพลักษณ์ของ “โลกอิสลาม” ที่มีความเป็นเอกภาพและมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในรัสเซีย ซึ่งอาจเป็นการตอบโต้แนวคิดของตะวันตกที่มองโลกมุสลิมเป็น “อื่น” หรือศัตรู 3) การแข่งขันทางวัฒนธรรมและความมั่นคง โดยการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงผ่าน KazanForum คือการต่อสู้ในสมรภูมิทางวัฒนธรรม ที่ไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมและการกำหนดอนาคตของอารยธรรม

สรุป KazanForum มิใช่เพียงงานประชุมหากคือการเคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แหลมคมและแยบยล รัสเซียกำลังสลักหมุดใหม่บนแผนที่โลก ไม่ใช่ด้วยกำลังทหารแต่ด้วยการสร้างพันธมิตรในนามของศรัทธา เศรษฐกิจและอารยธรรม ท่ามกลางระเบียบโลกเก่าที่เปราะบางและกำลังล่มสลายต่อหน้าต่อตารัสเซียและโลกมุสลิมกำลังรวมตัวกันอย่างเงียบเชียบแต่ทรงพลังเพื่อวางรากฐานใหม่ของอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากตะวันตกอีกต่อไป เวทีสัมมนาอย่าง KazanForum กลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในยุคที่ “คำพูดสามารถโค่นกองทัพ” และ “การสร้างภาพจำสามารถล้มอารยธรรม” รัสเซียไม่เพียงปรับยุทธศาสตร์แต่กำลังสร้างสนามใหม่ที่คู่แข่งไม่ถนัดและไม่อาจคุมเกมได้ โลกมุสลิมตอบรับด้วยความกระตือรือร้นเพราะนี่คือพื้นที่ที่ให้เกียรติให้โอกาสและให้อนาคต ในท้ายที่สุด คำถามที่โลกต้องเผชิญไม่ใช่ว่า "รัสเซียกับโลกมุสลิมจะทำอะไรต่อไป?" แต่คือ "จะมีใครกล้าต้านทานพันธมิตรแห่งศรัทธา อำนาจ และภูมิปัญญาใหม่นี้ได้หรือไม่?"

Kowloon Walled City อดีตสลัมที่ไร้ระเบียบแออัดและสกปรกที่สุดในโลก ก่อนจะกลายมาเป็นสวนสวยของฮ่องกง

เราท่านอาจนึกไปว่า 'ฮ่องกง' เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเต็มไปด้วยตึกระฟ้าทันสมัย ถนนในเมือง และผู้คนมีวิถีชีวิตที่ล้ำสมัย แต่ฮ่องกงก็มีด้านมืดเช่นเดียวกันกับเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก บทความนี้จึงขอเล่าเรื่องราวของ Kowloon Walled City (KWC) หรือ 'เมืองกำแพงเกาลูน' ซึ่งเคยเป็นชุมชนที่ไร้ระเบียบ แออัด และสกปรกที่สุดในโลกของฮ่องกง

KWC ตั้งอยู่ในเขตเกาลูนของอดีตฮ่องกงของอังกฤษ KWC ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการทางทหาร ของจักรพรรดิจีน และกลายเป็นดินแดนที่ถูกปกครอง โดยกฎหมายหลังจากที่ดินแดนใหม่ถูกเช่าโดยสหราชอาณาจักรในปี 1898 ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นจำนวนมากหลังจากญี่ปุ่นยึดครองฮ่องกงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งดึงดูดผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ที่หลบหนีสงครามกลางเมืองในจีนที่ปะทุขึ้นใหม่ จนทำให้มีประชากรราว 4-50,000 คน ซึ่งอาศัยอยู่อย่างแออัดเบียดเสียดในพื้นที่ 6.4 เอเคอร์ หรือ 26,000 ตร.ม. หรือ ประมาณสนามฟุตบอลสี่สนาม ทำให้เป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุดในโลก โดยมีความหนาแน่นของประชากรเกือบ 2 ล้านคนต่อตารางกิโลเมตร ลองนึกดูว่า หากมนุษย์ทุกคนเริ่มใช้ชีวิตอย่างอัดแน่นกันเท่ากับคนใน KWC จะเท่ากับพลโลกทั้ง 7.7 พันล้านคนสามารถอาศัยอยู่ในมลรัฐโรดไอแลนด์ของสหรัฐอเมริกาได้

KWC เมืองที่มีกำแพงล้อมรอบเป็นศูนย์กลางของกลุ่มอาชญากรและกลุ่มอาชญากรในพื้นที่ และมีอัตราการค้าประเวณี การพนัน การลักลอบขนของ และการใช้ยาเสพติดสูง ผลจากการขาดระเบียบและระบบกฎหมาย ผู้อยู่อาศัยและธุรกิจในเมืองจึงไม่มีกฎหมายเทศบัญญัติเข้ามาควบคุม เนื่องมาจากความไร้ระเบียบของ KWC ทำให้การค้าสินค้าต้องห้ามผิดกฎหมายเฟื่องฟูตั้งแต่ยาเสพติดไปจนถึงเนื้อสุนัข ในช่วงทศวรรษ 1950 ถึง 1970 KWC ถูกควบคุมโดยองค์กรที่เรียกว่า 'แก๊งสามก๊ก' อาทิ 14K และ Sun Yee On ตั้งแต่ช่วงปี 1950 เป็นต้นมา ทำให้มีอัตราการค้าประเวณี การพนัน และการใช้ยาเสพติดสูง จนแม้แต่ตำรวจฮ่องกงก็ยังเกรงกลัวที่จะเข้ามาในพื้นที่นี้ จนกลายเป็นสวรรค์สำหรับอาชญากร ตำรวจฮ่องกงจะกล้าเข้าไปเฉพาะเมื่อไปเป็นกลุ่มใหญ่เท่านั้น กระทั่งในปี 1973 และ 1974 ตำรวจฮ่องกงได้บุกเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยมากกว่า 3,500 ราย ส่งผลให้จับกุมผู้ต้องหาในคดีต่าง ๆ ได้กว่า 2,500 ราย และยึดยาเสพติดได้กว่า 1,800 กิโลกรัม (4,000 ปอนด์) อำนาจของแก๊งสามก๊กจึงเริ่มลดน้อยลง ด้วยการสนับสนุนจากประชาชน โดยเฉพาะจากผู้อยู่อาศัยที่อายุน้อย การบุกเข้าจับกุมอย่างต่อเนื่องทำให้การใช้ยาเสพติดและอาชญากรรมรุนแรงลดน้อยลงเรื่อย ๆ ในปี 1983 ผู้บัญชาการตำรวจประจำเขตได้ประกาศว่าอัตราการก่ออาชญากรรมในเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว

ด้านล่างของ KWC เต็มไปด้วยคลินิกแพทย์และทันตแพทย์ที่ดำเนินงานโดยไม่มีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ ร้านอาหารเสิร์ฟอาหารที่ย่ำแย่มาก ๆ เช่น เนื้อสุนัข ไม่มีการใส่ใจเรื่องสุขอนามัยและการทำความสะอาดเลย ,uตรอกซอกซอยมากมายใน KWC ที่ทั้งมืดและสกปรกเชื่อมต่อห้องพักที่อยู่อาศัยที่อยู่ลึกเข้าไปในเขตที่มีกำแพงล้อมรอบ ท่อน้ำรั่วตลอดเวลา และผู้คนต่างทิ้งขยะบนระเบียงหรือตรอกซอกซอยด้านล่าง พื้นที่หนาแน่นมากและปิดกั้นแสงที่ส่องมาจากด้านบนเกือบทั้งหมด จนทำให้พื้นที่ด้านล่างมืดสนิท รัฐบาลฮ่องกงไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย KWC จึงเป็นเขตที่เป็นเสมือนเป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ และทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วย นักเลง อันธพาล แมงดา และพ่อค้ายาเสพติด ผู้คนที่อยู่อาศัยใน KWC ใช้จ่ายเงินเฉลี่ย 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือนสำหรับห้องขนาดเล็กเพียง 40 ตารางฟุต มีห้องเล็ก ๆ เช่นนี้หลายพันห้องอยู่ติดกันทอดยาวออกไปทั่วเขต KWC ที่มีกำแพงล้อมรอบ มีอาคารประมาณ 500 หลังที่สร้างขึ้นโดยไม่ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างอย่างถูกกฎหมาย ชั้นต่าง ๆ จะถูกเพิ่มแบบสุ่มตามความต้องการจนกว่าอาคารจะถึงชั้นที่ 14 ไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียและสุขาภิบาล 

แม้ว่า KWC จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อาชญากรรมมายาวนานแล้วก็ตาม แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมใด ๆ และใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ภายใน KWC มีโรงงานและธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จ และชาวเมืองบางส่วนได้รวมกลุ่มกันเพื่อจัดระเบียบและปรับปรุงชีวิตประจำวันในเมือง ความพยายามของรัฐบาลในปี 1963 ที่จะรื้อถอนอาคารบางหลังในมุมหนึ่งของเมืองทำให้เกิด 'คณะกรรมการต่อต้านการรื้อถอน' ซึ่งทำหน้าที่เป็นพื้นฐานของสมาคมไคฟง ทำให้องค์กรการกุศล สมาคมศาสนา และกลุ่มสวัสดิการอื่น ๆ ค่อย ๆ เข้ามาในเมือง ในขณะที่คลินิกและโรงเรียนก็ยังไม่ได้รับการควบคุม รัฐบาลฮ่องกงได้ให้บริการบางอย่าง เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา และกิจการไปรษณีย์

แม้ว่า KWC จะเต็มไปด้วยความน่ากลัว แต่ก็ยังมีลานด้านในซึ่งเป็นที่เดียวในระดับถนนที่ดวงอาทิตย์สามารถมองเห็นได้ KWC ตั้งอยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติ Kai Tak (สนามบินหลักของฮ่องกงในอดีต) เพียงครึ่งไมล์ จึงก่อให้เกิดปัญหามลภาวะทางเสียงอันเนื่องมาจากเครื่องบินบินผ่าน มีทฤษฎีว่า เมืองหยุดเติบโตหลังจากมีอาคารสูง 14 ชั้น เนื่องจากจะทำให้เครื่องบินชนอาคารเหล่านั้นได้ ชีวิตใน KWC นั้นคับแคบ สกปรก เสียงดัง และไม่เป็นมิตร แต่ผู้คนก็ยังคงดึงดูดให้เข้ามาในเมืองนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ 

คุณภาพชีวิตในเมือง โดยเฉพาะสภาพสุขาภิบาล ยังคงตามหลังเขตอื่น ๆ ของฮ่องกงยู่มาก แถลงการณ์ร่วมระหว่างจีนและอังกฤษในปี 1984 ได้วางรากฐานสำหรับการรื้อถอน KWC การตัดสินใจร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองในการรื้อถอน KWC ได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 14 มกราคม 1987 ในวันที่ 10 มีนาคม 1987 หลังจากมีการประกาศว่า KWC จะถูกเปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะ เลขาธิการฝ่ายบริหารของเขตจึงได้ร้องขออย่างเป็นทางการให้สภาเมืองเข้ามาดูแล KWC หลังจากการรื้อถอน เนื่องจากมีพื้นที่สีเขียวอื่น ๆ มากมายในพื้นที่ จึงมีความสงสัยถึงความจำเป็นในการมี 'สวนสาธารณะอีกแห่ง' จากมุมมองการวางแผนและการดำเนินการ แต่ที่สุดสภาเมืองก็ตกลงที่จะยอมรับข้อเสนอของรัฐบาลฮ่องกงโดยมีเงื่อนไขว่า รัฐบาลฮ่องกงจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสวนสาธารณะ

รัฐบาลฮ่องกงได้จ่ายเงินชดเชยจำนวน 2.7 พันล้านเหรียญฮ่องกง (350 ล้านเหรียญสหรัฐ) ให้แก่ประชาชนและธุรกิจประมาณ 33,000 ราย ตามแผนที่คณะกรรมการพิเศษของสำนักงานที่อยู่อาศัยฮ่องกงได้วางแผนไว้ แม้ว่า ประชาชนบางส่วนจะไม่พอใจกับเงินชดเชยและถูกขับไล่โดยใช้กำลังระหว่างเดือนพฤศจิกายน 1991 ถึงกรกฎาคม 1992 ทำให้ KWC กลายเป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่า และถูกใช้ถ่ายทำฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Crime Storyใน ปี 1993 หลังจากการวางแผนที่ใช้เวลา 4 เดือน การรื้อถอน KWC ก็เริ่มต้นในวันที่ 23 มีนาคม 1993 และเสร็จสิ้นในเดือนเมษายน 1994 งานก่อสร้างสวนสาธารณะ KWC เริ่มต้นในเดือนถัดมา 

โครงสร้างทางประวัติศาสตร์บางส่วนภายในสวนสาธารณะเดิมได้รับการอนุรักษ์และผนวกเข้ากับ 'Kowloon Walled City Park' สวนสาธารณะแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ติดกับ Carpenter Road Park มีขนาด 31,000 ตารางเมตร( 330,000 ตารางฟุต หรือ 7.7 เอเคอร์) สร้างเสร็จในเดือนสิงหาคม 1995 และส่งมอบให้กับสภาเมืองได้มีการเปิดอย่างเป็นทางการโดยผู้ว่าการเกาะฮ่องกง คริส แพตเทน ในวันที่ 22 ธันวาคม 1995 การก่อสร้างสวนสาธารณะนี้มีค่าใช้จ่ายรวม 76 ล้านเหรียญฮ่องกง การออกแบบของสวนสาธารณะนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากสวน Jiangnan ของราชวงศ์ชิงตอนต้น สวนสาธารณะแห่งนี้แบ่งภูมิทัศน์ออกเป็น 8 ส่วน โดยมี Yamen ที่ได้รับการบูรณะอย่างสมบูรณ์ เป็นจุดศูนย์กลาง ทางเดินและ ศาลาของสวนสาธารณะตั้งชื่อตามถนนและอาคารต่าง ๆ ของ KWC นอกจากนี้ สิ่งประดิษฐ์จาก KWC เช่น หินสลัก 5 ก้อน และบ่อน้ำเก่า 3 บ่อ ยังจัดแสดงอยู่ในสวนสาธารณะอีกด้วย สวนสาธารณะแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยแผนกบริการสถาปัตยกรรมซึ่งได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจาก Central Society of Horticulture of Germany สำหรับการพัฒนาขึ้นใหม่ 

สวนสาธารณะ 'Kowloon Walled City Park' ประกอบด้วย:
- ทางเดินแห่งดอกไม้ทั้ง 8 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งตั้งชื่อตามพืชหรือดอกไม้ที่แตกต่างกัน
- สวนหมากรุกที่มี กระดานหมากรุกจีนขนาด 3x5 เมตร (9.8x16.4 ฟุต) จำนวน 4 กระดาน
- สวนนักษัตรจีนที่มีรูปปั้นหินรูปนักษัตรทั้ง 12 ของจีน
- สวน 4 ฤดู (จตุรัส Guangyin ตามชื่อพื้นที่เปิดโล่งขนาดเล็กใน KWC) เป็นสวนขนาด 300 ตารางเมตร (3,200 ตารางฟุต) ที่มีต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ของ 4 ฤดู
- Six Arts Terrace พื้นที่จัดงานแต่งงาน ขนาด 600 ตารางเมตร (6,500 ตารางฟุต) ที่มีสวนและศาลาไม้ไผ่
- ศาลากุยซิง ซึ่งรวมถึงประตูพระจันทร์ที่ล้อมรอบด้วยแผ่นหินสองแผ่น และหินกุยบี้ที่สูงตระหง่าน ซึ่งเป็นตัวแทนของการกลับคืนสู่จีนของฮ่องกง
- ศาลาชมวิวภูเขา เป็นอาคาร 2 ชั้น รูปทรงคล้ายเรือจอดเทียบท่า มองเห็นทัศนียภาพของสวนสาธารณะทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
- ศาลาลุงซุน ยุกตง และศาลาลุงนัม
- ย่าเหมินและซากประตูทางทิศใต้

รู้จัก 'Surströmming' ปลาร้าสวีเดน หนึ่งในอาหารที่มีกลิ่นแรงที่สุดในโลก!!

ทุก ๆ ประเทศบนโลกใบนี้ ต่างก็มีการถนอมอาหารด้วยการหมักดองตามวัฒนธรรมของตัวเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นจากพืชผัก อาทิ ผักกาดดองของจีน กิมจิของเกาหลี ผลไม้ดองของหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งรวมทั้งเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ แม้กระทั่งปลา เช่น ปลาเค็ม ปลาแห้ง ปลาร้า ฯลฯ ของบ้านเรา ในประเทศยุโรปเหนืออย่างสวีเดนก็มีการหมักดองปลาเพื่อเป็นการถนอมอาหารเช่นกัน

Surströmming (ซูร์สตรอมมิง) ซึ่งภาษาสวีเดนแปลว่า 'ปลาเฮอริงรสเปรี้ยว' ทำจากปลาเฮอริงทะเลบอลติกหมักเกลือเล็กน้อย Surströmming เป็นอาหารสวีเดนดั้งเดิมตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยปลาเฮอริงชนิดนี้แตกต่างไปจากปลาเฮอริงที่ผ่านการทอดหรือดอง ปลาเฮอริงทะเลบอลติกซึ่งในภาษาสวีเดนเรียกว่า Strömming จะมีขนาดเล็กกว่าปลาเฮอริงแอตแลนติกที่พบในทะเลเหนือ ตามธรรมเนียมแล้ว Strömming จะหมายถึงปลาเฮอริงที่จับได้ในน้ำกร่อยของทะเลบอลติกทางตอนเหนือของช่องแคบคาลมาร์ ปลาเฮอริงที่ใช้ในการทำ Surströmming จะถูกจับก่อนฤดูวางไข่ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม

ในระหว่างการผลิต Surströmming จะใช้เกลือในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาเฮอริงดิบเน่าเสียในขณะที่ยังหมักไม่ได้ที่ โดยกระบวนการหมักใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนซึ่งจะทำให้ปลามีกลิ่นแรงเฉพาะตัวและรสเปรี้ยวเล็กน้อย กระป๋อง Surströmming ที่เปิดใหม่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ถูกจัดว่ามีกลิ่นเหม็นที่สุดชนิดหนึ่งของโลก กลิ่นจะเหม็นแรงยิ่งว่าอาหารหมักประเภทปลา เช่น ฮองเงอโฮเอของเกาหลี คูซายะของญี่ปุ่น หรือฮาคาร์ลของไอซ์แลนด์ ด้วยกลิ่นที่เหม็นอย่างรุนแรงทำให้ Surströmming กลายเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่บรรดานักชิมต้องได้ลิ้มลอง

ในช่วงปลายทศวรรษปี 1940 ผู้ผลิต Surströmming ในสวีเดนได้ล็อบบี้ให้มีพระราชกฤษฎีกา Förordning เพื่อป้องกันไม่ให้ขายปลาหมักไม่สมบูรณ์ พระราชกฤษฎีกาที่ออกนั้นห้ามขายผลผลิตของปีปัจจุบันในสวีเดนก่อนวันพฤหัสบดีที่สามของเดือนสิงหาคม แม้ว่าปัจจุบันพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจะไม่มีผลบังคับใช้แล้วก็ตาม แต่ผู้ค้าปลีก Surströmming ยังคงกำหนดวัน "เปิดตัว" ของปลาที่จับได้ในปีนั้นตามที่เคยมีการกำหนดไว้ Surströmming ต่างจาก Anchovy (แอนโชวี่) ซึ่งทำปลาทะเลขนาดเล็กจำพวกปลากะตัก มักจะถูกนำมาหมักเค็มแล้วแช่ในน้ำมันมะกอกเพื่อนำไปใช้เป็นส่วนผสมในอาหารต่าง ๆ Anchovy มีรสชาติเค็มจัดและกลิ่นหอมเฉพาะตัว

ปลาหมักเป็นอาหารหลักดั้งเดิมของยุโรป การค้นพบทางโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการหมักปลามีอายุ 9,200 ปี และมีต้นกำเนิดมาจากทางใต้ของสวีเดนในปัจจุบัน ตัวอย่างล่าสุดได้แก่ การุม ซึ่งเป็นน้ำปลาหมักที่ทำโดยชาวกรีกและโรมันโบราณ และซอสวูสเตอร์เชอร์ ซึ่งมีปลาหมักผสมอยู่ด้วย การถนอมปลาโดยการหมักในน้ำเกลือเจือจางอาจพัฒนาขึ้นเมื่อการหมักยังมีราคาแพงจากต้นทุนของเกลือ แต่ในยุคปัจจุบัน ปลาจะถูกหมักในน้ำเกลือเข้มข้นก่อนเพื่อดึงเลือดออกมา จากนั้นหมักในน้ำเกลือเจือจางในถังก่อนจะบรรจุลงกระป๋อง

ขั้นตอนการบรรจุกระป๋องซึ่งนำมาใช้ในศตวรรษที่ 19 ทำให้สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในร้านค้าและเก็บไว้ในบ้านได้ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ ขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นการจัดเก็บในถังไม้ขนาดใหญ่และถังขนาดเล็กขนาด 1 ลิตร การบรรจุกระป๋องยังทำให้สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางตอนใต้ของสวีเดนได้อีกด้วย โดยการหมักเกิดขึ้นผ่านการสลายตัวเองและเริ่มต้นจากเอนไซม์กรดแลกติกในกระดูกสันหลังของปลา ร่วมกับแบคทีเรีย กรดที่มีกลิ่นฉุนจะก่อตัวขึ้น เช่น กรดโพรพิโอนิก กรดบิวทิริก และกรดอะซิติก นอกจากนี้ยังมีการเกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ โดยเกลือจะเพิ่มแรงดันออสโมซิสของน้ำเกลือเหนือโซนที่แบคทีเรียที่ทำให้เกิดการเน่าสามารถเจริญเติบโตได้ และป้องกันการสลายตัวของโปรตีนเป็นโอลิโกเปปไทด์และกรดอะมิโนในทางกลับกัน สภาวะออสโมซิสทำให้แบคทีเรียฮาลาเนอโรเบียม เช่น H. praevalens เจริญเติบโตและย่อยสลายไกลโคเจนของปลาเป็นกรดอินทรีย์ ทำให้มีรสเปรี้ยว (เป็นกรด) ซึ่งจะถูกกระตุ้นหากสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ และความเข้มข้นของน้ำเกลือเหมาะสม อุณหภูมิต่ำในสวีเดนตอนเหนือเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ส่งผลต่อลักษณะของผลิตภัณฑ์ในขั้นตอนสุดท้าย

Surströmming แต่ละกระป๋องด้านบนจะโป่งออกอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากก๊าซที่หมักหมมอยู่ภายในปลาเฮอริ่งจะถูกจับในเดือนเมษายนและพฤษภาคม เมื่อพวกมันอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดและกำลังจะวางไข่ โดยที่ตัวยังไม่อ้วนโต ปลาจะถูกนำไปแช่ในน้ำเกลือเข้มข้นประมาณ 20 ชั่วโมงเพื่อดึงเลือดออกมา หลังจากนั้นจึงนำหัวและไส้ออก แล้วจึงนำปลาไปแช่ในน้ำเกลือที่เจือจางลง ถังจะถูกวางไว้ในห้องควบคุมอุณหภูมิที่อุณหภูมิ 15–20 °C (59–68 °F) การบรรจุกระป๋องจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมและต่อเนื่องไปอีก 5 สัปดาห์ ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะถูกจัดส่งไปยังผู้ค้าส่งก่อนกำหนดเวลาเปิดฤดูกาลจำหน่ายราว 10 วัน

ก่อนที่จะมีการพัฒนาวิธีการบรรจุกระป๋องสมัยใหม่ Surströmming จะถูกขายในถังไม้เพื่อบริโภคทันที เนื่องจากแม้แต่ถังขนาดเล็กก็อาจรั่วได้ การหมักดำเนินต่อไปในกระป๋อง ทำให้กระป๋องพองออกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นสัญญาณของเชื้อโบทูลิซึมหรืออาหารเป็นพิษอื่น ๆ ในอาหารกระป๋องที่ไม่ได้ผ่านการหมัก แบคทีเรียฮาลาเนอโรเบียมเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการสุกในกระป๋อง แบคทีเรียเหล่านี้ผลิตคาร์บอนไดออกไซด์และสารประกอบหลายชนิดที่ทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัว ได้แก่ กลิ่นฉุน (กรดโพรพิโอนิก) ไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) เนยหืน (กรดบิวทิริก) และกลิ่นน้ำส้มสายชู (กรดอะซิติก) เนื่องมาจากก๊าซเหล่านี้ ในปี 2014 ระหว่างที่เกิดไฟไหม้ที่โกดังสินค้าในสวีเดน Surströmming หนึ่งพันกระป๋อเกิดระเบิดขึ้นภายในระยะเวลาหกชั่วโมง

Surströmming มีขายในร้านขายของชำทั่วประเทศสวีเดน ตามรายงานจากสถิติ Surströmming Academy ในปี 2009 ระบุว่า มีผู้คนราว 2 ล้านคนที่ทาน Surströmming ทุกปี การส่งออก Surströmming ของสวีเดนคิดเป็นเพียง 0.2% ของ Surströmming ที่ผลิตได้ทั้งหมด แม้ผู้คนมากมายไม่ชอบ Surströmming แต่ก็เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสวีเดนตอนเหนือมากกว่าในส่วนอื่นๆ ของประเทศ ในปี 2023 ซึ่งเป็นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปริมาณปลาเฮอร์ริ่งบอลติกและปลาเฮอร์ริ่งอื่นๆ ที่ชาวประมงสวีเดนจับได้ลดลงอย่างมาก การประมงปลาเฮอร์ริ่งบอลติกถูกใช้ไม่ยั่งยืนมาตั้งแต่ยุคกลาง และการทำประมงมากเกินไปทำให้ประชากรปลาใกล้จะล่มสลาย ด้วยจำนวนการจับที่ต่ำเช่นนี้ ผู้ค้าปลีกจึงสามารถขายหมดสต็อกทั้งหมดภายในไม่กี่นาทีหลังจากการเปิดตัว Surströmming ประจำปี

Surströmming กับมันฝรั่งและหัวหอมบนขนมปังแบนสไตล์สวีเดนที่ทาเนย เสิร์ฟพร้อมนมหนึ่งแก้ว ชาวสวีเดนมักจะรับประทาน Surströmming หลังจากวันพฤหัสบดีที่สามของเดือนสิงหาคม ซึ่งเรียกว่า "วัน Surströmming" จนถึงต้นเดือนกันยายน เนื่องจากมีกลิ่นแรง จึงมักรับประทานกลางแจ้ง กระป๋องที่มีแรงดันมักจะถูกเปิดกลางแจ้งและห่างจากโต๊ะอาหาร โดยมักจะเจาะกระป๋องในขณะที่แช่อยู่ในถังน้ำ หรือหลังจากเคาะและเอียงกระป๋องขึ้น 45 องศา เพื่อป้องกันไม่ให้ก๊าซที่พุ่งออกมาจากน้ำเกลือรั่วออกมา Surströmming มีทั้งแบบไม่ได้ควักไส้และเอาเฉพาะหัวออก โดยปลาจะถูกควักไส้ก่อนรับประทาน และบางครั้งกระดูกสันหลังและบางครั้งก็ลอกหนังออก ไข่ปลาจะถูกรับประทานพร้อมกับปลา

เนื่องจาก Surströmming ทำมาจากปลาเฮอริ่งที่มาจากทะเลบอลติก ปัจจุบันจึงมีไดออกซินและ PCB ในปริมาณที่สูงกว่าที่สหภาพยุโรปอนุญาต สวีเดนได้รับข้อยกเว้นสำหรับกฎเหล่านี้ตั้งแต่ปี 2002 ถึงปี 2011 จากนั้นจึงยื่นขอต่ออายุข้อยกเว้น ผู้ผลิตกล่าวว่าหากใบสมัครถูกปฏิเสธ พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ใช้ปลาเฮอริงที่มีความยาวไม่เกิน 17 เซนติเมตร (6.7 นิ้ว) เท่านั้น เนื่องจากปลาเฮอริงมีปริมาณน้อยกว่า ซึ่งจะส่งผลต่อความพร้อมจำหน่ายของปลาเฮอริง หลังจากที่ Surströmming ได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารที่มีกลิ่นแรงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ในปี 1981 เจ้าของบ้านชาวเยอรมันได้ขับไล่ผู้เช่าออกไปโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าหลังจากที่ผู้เช่าได้ราดน้ำเกลือ Surströmming ลงในช่องบันไดของอาคารอพาร์ตเมนต์ เมื่อเจ้าของบ้านถูกนำตัวขึ้นศาล ศาลได้ตัดสินว่าการยุติสัญญาเป็นเหตุเป็นผลหลังจากที่ฝ่ายเจ้าของบ้านได้แสดงหลักฐานโดยเปิดกระป๋องในห้องพิจารณาคดี ศาลได้สรุปว่าศาลได้ "โน้มน้าวตัวเองว่ากลิ่นปลาที่น่ารังเกียจนั้นเหม็นเกินกว่าที่ผู้เช่าร่วมในอาคารจะสามารถทนได้"

ในเดือนเมษายน 2006 สายการบินหลักหลายแห่ง (เช่น แอร์ฟรานซ์ บริติชแอร์เวย์ ฟินน์แอร์ และเคแอลเอ็ม) ห้ามนำ Surströmming ขึ้นเครื่องบิน โดยอ้างว่าปลากระป๋องอัดแรงดันอาจระเบิดได้ ต่อมาการขายปลาชนิดนี้ก็ถูกยกเลิกที่สนามบินสตอกโฮล์มอาร์ลันดา ผู้ที่เป็นผู้ผลิตปลาชนิดนี้กล่าวว่าการตัดสินใจของสายการบินนี้ "ขาดความรู้ด้านวัฒนธรรม" โดยอ้างว่าเป็น "ปลากระป๋องระเบิดได้เป็นเพียงตำนาน" เท่านั้น วันที่ 4 มิถุนายน 2005 พิพิธภัณฑ์ Surströmming แห่งแรกของโลกได้เปิดทำการในเมืองสเคปส์มาเลน ห่างจากเมืองเอิร์นเคิลด์สวิกซึ่งเป็นเมืองที่ปลายสุดทางเหนือของไฮโคสต์ ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 20 กม. (12 ไมล์) ชื่อของพิพิธภัณฑ์คือ "ฟิสเควิสเทต" (แปลว่า 'ค่ายปลา')

‘มันฝรั่ง’ กลายเป็นดัชนีความเปราะบางของรัฐ หายาก ราคาพุ่งสูง สะท้อน!! ความล้มเหลวในความมั่นคงพื้นฐาน ของชีวิตพลเมือง

เวลาที่รัสเซียพยายามแสดงอำนาจผ่านอาวุธและการทูตพลังงาน วิกฤตเล็กๆ อย่าง “มันฝรั่ง” กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังของความเปราะบางเชิงโครงสร้างของรัฐ เมื่ออาหารหลักของประชาชนกลายเป็นของหายาก ราคาพุ่งสูง และผู้บริโภคต้องหันไปหาทางเลือกที่ด้อยคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น ปรากฏการณ์นี้มิใช่เพียงปัญหาเกษตรกรรม แต่เป็นการสะท้อนความล้มเหลวของกลไกรัฐในการประกันความมั่นคงพื้นฐานของชีวิตพลเมือง

แม้จะเป็นพืชที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดในยูเรเซียแต่มันฝรั่งกลับกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของระบบอาหารรัสเซียอย่างแน่นแฟ้นและยาวนาน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรชนบทที่อาศัยมันฝรั่งเป็นแหล่งแป้งและแคลอรี่หลักที่ราคาย่อมเยา ปรุงง่าย และสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น สิ่งเหล่านี้ทำให้มันฝรั่งมีสถานะพิเศษเหนืออาหารอื่นๆ หลายชนิดในชีวิตของชาวรัสเซีย

มันฝรั่ง « картофель »  มีถิ่นกำเนิดจากเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ โดยชนพื้นเมืองอย่างอินคาเป็นผู้เพาะปลูกมานานนับพันปีก่อนที่นักสำรวจชาวยุโรปจะนำพืชชนิดนี้กลับไปยังยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มันฝรั่งเข้าสู่จักรวรรดิรัสเซียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยมีการบันทึกว่าพระเจ้าปีเตอร์มหาราช (Peter the Great) เป็นผู้นำมันฝรั่งเข้ามาจากเนเธอร์แลนด์และพยายามส่งเสริมให้เกษตรกรรัสเซียเพาะปลูก แต่การรับเอาพืชชนิดนี้กลับไม่ง่าย เนื่องจากชนบทรัสเซียมีความเชื่อแบบอนุรักษนิยม หลายคนมองมันฝรั่งว่าเป็น “พืชของปีศาจ” เพราะลำต้นอยู่ใต้ดินและไม่เหมือนพืชอื่นๆ ที่เคยรู้จัก จึงเกิดกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางจนเกิดเหตุการณ์ที่รู้จักกันในชื่อในภาษารัสเซียว่า «Картофельные бунты»  

ซึ่งแปลตรงตัวว่า "จลาจลมันฝรั่ง" หมายถึงชุดของการลุกฮือของชาวนาในจักรวรรดิรัสเซียในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในช่วง ระหว่างปี 1834–1840s ที่เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลพยายามบังคับให้ชาวนาปลูกมันฝรั่งซึ่งขัดกับวัฒนธรรมความเชื่อและระบบการผลิตแบบดั้งเดิมของท้องถิ่น แม้ว่ามันฝรั่งจะได้รับการแนะนำเข้ามาตั้งแต่สมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแต่การเพาะปลูกอย่างจริงจังในระดับมวลชนเกิดขึ้นในช่วงรัชสมัยของพระเจ้า ซาร์นิโคลัสที่ 1 (Nicholas I) ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 1825–1855 โดยรัฐได้ส่งคำสั่งไปยังเขตต่างๆ ให้ชาวนาเพาะปลูกมันฝรั่งในสัดส่วนที่แน่นอนภายใต้แนวคิดว่าเป็นพืชที่มีผลผลิตสูงและเหมาะกับภูมิอากาศรัสเซีย รวมถึงสามารถช่วยป้องกันความอดอยากแต่สำหรับชาวนาในยุคนั้น โดยเฉพาะกลุ่ม serfs (ไพร่ที่อยู่ภายใต้เจ้าที่ดิน) มันฝรั่งเป็นสิ่งแปลกปลอม มักมองว่าเป็น "พืชปีศาจ" เพราะเจริญเติบโตใต้ดิน ไม่มีลักษณะศักดิ์สิทธิ์เหมือนข้าวสาลีหรือธัญพืชที่เกี่ยวโยงกับศาสนาและพิธีกรรม อีกทั้งยังเชื่อกันว่าอาจก่อโรคภัย 

เนื่องจากไม่รู้วิธีปรุงอย่างถูกต้อง การบังคับของรัฐโดยไม่มีการอธิบายหรือสร้างความเข้าใจประกอบกับความไม่พอใจในระบบไพร่และภาษีทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงทั่วรัสเซียตอนกลาง โดยเฉพาะในเขตเมือง Vladimir, Kazan, Nizhny Novgorod และ Kostroma เหล่าชาวนาได้รวมตัวกันเผาสำนักงานบริหารของรัฐ ทุบทำลายที่เพาะปลูกมันฝรั่งและปะทะกับเจ้าหน้าที่ การลุกฮือเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเด็นเรื่องพืชผลแต่สะท้อนถึงความรู้สึกรังเกียจรัฐ การต่อต้านอำนาจส่วนกลางและความแปลกแยกทางวัฒนธรรมระหว่างชนชั้นปกครองกับประชาชนพื้นบ้านซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ดำรงอยู่ตลอดประวัติศาสตร์รัสเซียรัฐบาลซาร์ตอบสนองด้วยการใช้ทหารเข้าปราบปรามโดยมีผู้ถูกจับกุมหลายพันคน บางพื้นที่มีการประหารชีวิตผู้นำการจลาจล การลุกฮือถูกระงับในทางกายภาพแต่ทิ้งร่องรอยของความไม่พอใจและตอกย้ำภาพลักษณ์ของรัฐในฐานะผู้บังคับใช้มากกว่าผู้รับฟัง การจลาจลมันฝรั่งยังกลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาทางประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์รัสเซียและตะวันตกใช้อธิบายความล้มเหลวของการปฏิรูปแบบบนลงล่างของรัสเซียในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งระหว่างรัฐและชาวบ้านอย่างยาวนาน

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปภายใต้แรงผลักดันของรัฐและความจำเป็นทางเศรษฐกิจ มันฝรั่งก็กลายเป็นพืชสำคัญของเกษตรกรรมรัสเซีย โดยเฉพาะในช่วงสมัยโซเวียตซึ่งเน้นการผลิตอาหารภายในประเทศอย่างเข้มงวด มันฝรั่งไม่เพียงเป็นอาหารหลัก แต่ยังกลายเป็น "ขนมปังลูกที่สอง" «второй хлеб» ในวาทกรรมของโซเวียตสื่อถึงความสำคัญที่ทัดเทียมกับขนมปัง (ข้าวสาลี) ทำให้มันฝรั่งไม่ใช่เพียงอาหารราคาถูกสำหรับชนชั้นแรงงาน หากแต่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของครัวเรือนเกษตรหลายล้านรายทั่วรัสเซีย โดยเฉพาะในรูปแบบ “การเพาะปลูกส่วนตัว” «личное подсобное хозяйство» ซึ่งประชาชนปลูกเองในพื้นที่เล็กๆ รอบบ้าน การปลูกมันฝรั่งจึงมีลักษณะ “กึ่งทางรอด” จากความล้มเหลวของระบบรัฐสวัสดิการ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในทศวรรษ 1990 มันฝรั่งยังถูกใช้อย่างหลากหลายทั้งปรุงสุกเป็นอาหารประจำวัน ทำวอดก้าแบบพื้นบ้านหรือแม้กระทั่งใช้เป็นสินค้าสำหรับแลกเปลี่ยนในระบบเศรษฐกิจนอกตลาด นอกจากนี้มันฝรั่งยังมีความหมายทางจิตวิญญาณในบางวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การปลูกมันในวันสำคัญทางศาสนา เพื่อขอพรเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา มันฝรั่งคือพืชแห่งความอยู่รอด ที่พยุงชีวิตชาวรัสเซียในยามสงคราม ฤดูหนาวอันยาวนาน และความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะในช่วงสงครามโลก วิกฤตหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต หรือช่วงคว่ำบาตรหลังปี 2014 มันฝรั่งคือคำตอบของการพึ่งพาตนเอง «автономия» ในระดับครัวเรือน เป็นพืชที่ปลูกง่ายเก็บได้นานและให้พลังงานสูงในราคาต่ำ มันฝรั่งจึงเคยเป็น “สัญลักษณ์ของเสถียรภาพ” ในระบบที่ไม่เสถียร

แต่เมื่อเข้าสู่ปี ค.ศ. 2024–2025 บทบาทของมันฝรั่งได้กลับหัวกลับหาง—จากสัญลักษณ์ของความมั่นคง กลายเป็นตัวชี้วัดความไม่มั่นคงเชิงโครงสร้างของรัฐรัสเซีย ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ ปกครอง และภูมิรัฐศาสตร์ ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรรัสเซียระบุว่าผลผลิตมันฝรั่งในประเทศลดลงเหลือ 6.8 ล้านตันในปี 2024 จากระดับ 8.6 ล้านตันในปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นการหดตัวราว 21% ภายในเวลาเพียง 12 เดือน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเกษตรกรรมแต่คือคำถามถึงสมรรถภาพของรัฐในการจัดการภัยพิบัติ ทั้งภัยแล้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการเกษตร การหดตัวของผลผลิตยังบีบให้รัฐบาลต้องหันไปพึ่งการนำเข้ามันฝรั่งจากประเทศต่างๆ เช่น จีน ปากีสถาน อิหร่าน และอียิปต์ นี่คือสภาวะที่ไม่ควรเกิดขึ้นในรัฐขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่เพาะปลูกกว้างขวางเช่นรัสเซีย โดยเฉพาะเมื่อรัฐนั้นเคยใช้วาทกรรม "เศรษฐกิจแห่งการทดแทนการนำเข้า" «импортозамещение» เป็นหนึ่งในเสาหลักของยุทธศาสตร์ความมั่นคง ราคาเฉลี่ยของมันฝรั่งในตลาดภายในรัสเซียพุ่งทะลุ 60 รูเบิลต่อกิโลกรัมในบางพื้นที่ ตัวเลขที่ถือว่าสูงผิดปกติสำหรับอาหารพื้นฐานที่เคยถูกมองว่า "ไม่มีวันแพง" เมื่อพืชที่เคยเป็นหลักประกันของความอิ่มท้องกลายเป็นของแพงที่คนยากจนเอื้อมไม่ถึง มันย่อมกระทบความชอบธรรมของรัฐในการดูแลปากท้องประชาชนซึ่งเป็นฐานอำนาจสำคัญของระบอบอำนาจนิยม

การที่รัฐต้องหันไปนำเข้ามันฝรั่งในระดับมหภาคทำให้เกิดความพึ่งพาต่อเส้นทางการค้าและพันธมิตรจากโลกนอก ซึ่งหลายประเทศที่ส่งออกให้รัสเซียในเวลานี้ (เช่น อิหร่านและอียิปต์) ก็เผชิญความไม่มั่นคงภายในเช่นกัน รัสเซียจึงเผชิญกับสภาวะ “อ่อนไหวซ้อน” (double vulnerability) ทั้งจากภายในและภายนอก นอกจากนี้ยังสะท้อนความล้มเหลวในการรักษา "อธิปไตยทางอาหาร" «продовольственный суверенитет» ซึ่งเคยเป็นวาทกรรมหลักของรัฐรัสเซียในการต่อต้านโลกาภิวัตน์เชิงตะวันตกหลังสงครามในยูเครนปี ค.ศ. 2022 การที่รัฐต้องพึ่งพาพืชผลจากประเทศอื่นแม้กระทั่งมันฝรั่งเองจึงกลายเป็นจุดอ่อนในเชิงภาพลักษณ์และยุทธศาสตร์

ในห้วงเวลาที่รัสเซียเผชิญกับแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกการที่พืชธรรมดาอย่างมันฝรั่งกลายเป็นประเด็นระดับชาติ ไม่ใช่เพราะมันฝรั่งมีความพิเศษทางชีววิทยา แต่เพราะมันสะท้อนจุดเปราะบางของรัฐในหลายมิติพร้อมกัน มันฝรั่งคือ สัญลักษณ์ของชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่—กลุ่มประชาชนที่รัฐพยายามเรียกหาให้เสียสละเพื่อชาติในยามสงคราม แต่นโยบายของรัฐกลับไม่สามารถประกันความมั่นคงของสิ่งพื้นฐานที่สุดให้พวกเขาได้ มันฝรั่งจึงกลายเป็นภาพแทนของคำถามที่ว่า “รัฐยังฟังเสียงของประชาชนอยู่หรือไม่?” การขาดแคลนมันฝรั่งในประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกกว้างใหญ่ที่สุดในโลกบ่งชี้ถึงความล้มเหลวเชิงโครงสร้างในการบริหารจัดการทรัพยากรพื้นฐาน ทั้งในเชิงเกษตรกรรม เศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง การที่ประชาชนต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นหรือการนำเข้าในวงกว้างยิ่งสะท้อนภาวะไร้อธิปไตยทางอาหารที่ขัดกับวาทกรรมรัฐที่ย้ำถึงการพึ่งพาตนเองและความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิใหม่ มันฝรั่งจึงไม่ใช่เพียงพืชผลอีกต่อไป—แต่กลายเป็นดัชนีของความเปราะบาง เครื่องวัดความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐ และกระจกสะท้อนความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในสังคมรัสเซียยุคสงคราม เมื่อประชาชนต้องตั้งคำถามว่า “แม้แต่มันฝรั่งเรายังไม่มีพอแล้วรัฐจะนำพาเราไปสู่ชัยชนะในสมรภูมิใดได้?” นั่นคือสัญญาณว่า วิกฤตไม่ได้อยู่แค่ในแปลงเกษตร หากแต่ลุกลามเข้าสู่ความชอบธรรมของรัฐเองอย่างเลี่ยงไม่ได้

บทสรุป วิกฤตมันฝรั่งในรัสเซียปี 2024–2025 ไม่ใช่เพียงปัญหาด้านอาหารแต่เป็น “สัญญาณเตือน” ถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างของรัฐอำนาจนิยมที่กำลังเผชิญสงครามยืดเยื้อ เศรษฐกิจหดตัวและสังคมที่เริ่มตั้งคำถามกับความสามารถของรัฐในการดูแลปากท้องประชาชน อาหารพื้นฐานอย่างมันฝรั่งซึ่งครั้งหนึ่งเคยหล่อเลี้ยงประชาชนในภาวะสงคราม ความอดอยากและการล่มสลาย แต่ตอนนี้กลับเผยให้เห็นถึงขีดจำกัดของอำนาจรัฐในทางที่ธรรมดาที่สุดแต่ลึกซึ้งที่สุด เมื่อรัฐไม่สามารถควบคุมราคาหรือจัดการกับการขาดแคลนอาหารพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความชอบธรรมของระบอบการปกครองย่อมถูกตั้งคำถาม แม้รัฐจะมีขีปนาวุธหรือวาทกรรมภูมิรัฐศาสตร์อันยิ่งใหญ่เพียงใดแต่หากประชาชนยังต้องแย่งกันซื้อมันฝรั่งในราคาที่สูงผิดปกติ ชัยชนะในสนามรบก็อาจกลายเป็นเพียงภาพลวงตา มันฝรั่งจึงไม่ใช่เพียงพืชผลทางเกษตรอีกต่อไปหากแต่คือบททดสอบทางการเมืองที่รัฐรัสเซียจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคที่เสถียรภาพของรัฐถูกวัดจากอาหารในจานของประชาชนไม่แพ้จำนวนรถถังในขบวนสวนสนาม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top