Sunday, 20 April 2025
TRUMP

โลกระทึก 7 Swing States ทรัมป์ คะแนนนำ แฮร์ริส 4 ต่อ 2 รัฐ

(6 พ.ย. 67) ยังสูสีพร้อมพลิกกลับได้เสมอ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ขณะนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปิดหีบไปแล้วส่วนใหญ่ที่ 41 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่รัฐสวิงสเตต (Swing States) ซึ่งจากผลคะแนนตอนนี้โดนัลด์ ทรัมป์" แทบจะสูสีกันแบบคนละครึ่งกับ "คามาลา แฮร์ริส"

ทรัมป์มีคะแนนนำใน 4 รัฐ คือ จอร์เจีย, มินเนโซตา, นอร์ทแคโรไลนา และวิสคอนซิน 

ส่วนแฮร์ริสมีคะแนนนำในรัฐ 2 รัฐ คือ มิชิแกน และเพนซิลเวเนีย 

ก่อนหน้านี้ด้านสำนักข่าว NBC เผยผลสำรวจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวสหรัฐช่วงระหว่างวันที่ 30 ต.ค. ถึง 2 พ.ย. โดยพบว่าจากผลสำรวจทั้งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกกัน และนางกมลา แฮร์ริส ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนผลสำรวจที่สูสีเท่ากับ ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายฝ่ายที่เชื่อว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 นี้ผู้สมัครทั้งสองจะต้องอาศัยการชิงชัยในพื้นที่รัฐสวิงสเตท (Swing States) ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะก้าวสู่ทำเนียบขาว

สำหรับรัฐสวิงสเตทที่จะเป็นตัวชี้ขาดของทั้งสองฝ่ายประกอบด้วย รัฐเนวาดา, รัฐแอริโซนา, รัฐวิสคอนซิน, รัฐมิชิแกน, รัฐเพนซิลเวเนีย, รัฐนอร์ทแคโรไลนา, และรัฐจอร์เจีย

สำหรับผลโพลสำรวจผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในแต่ละรัฐสวิงสเตทพบว่า ทั้งกมลา แฮร์ริสและนายโดนัลด์ ทรัมป์มีคะแนนเสียงสูสีในสวิงสเตททั้ง 7 รัฐ โดยผลสำรวจล่าสุดแสดงให้เห็นว่า รองประธานาธิบดีแฮร์ริสมีคะแนนนำเพียงเล็กน้อยในรัฐเนวาดา นอร์ทแคโรไลนา และวิสคอนซิน ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มีคะแนนนำเพียงเล็กน้อยในรัฐแอริโซนา ขณะที่ทั้งคู่มีคะแนนสูสีกันในรัฐมิชิแกน จอร์เจีย และเพนซิลเวเนีย

รัฐเพนซิลเวเนีย
เพนซิลเวเนียเคยเป็นรัฐที่เดโมแครตวางใจได้ แต่ปัจจุบันเดโมแครตไม่สามารถยึดฐานเสียงในรัฐคีย์สโตนได้อีกต่อไป ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันเคยชนะเสียงข้างมากในรัฐนี้ ซึ่งมีประชากร 13 ล้านคน ด้วยคะแนนนำ 0.7% ในปี 2016 จากนั้นไบเดนก็สามารถเอาชนะในรัฐนี้ได้ด้วยคะแนนนำ 1.2% ในปี 2020

รัฐแอริโซนา
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะในรัฐแอริโซนาในปี 2016 ด้วยคะแนนเกือบ 4 เปอร์เซ็นต์ แต่แพ้รัฐนี้ให้กับโจ ไบเดนในปี 2020 ด้วยคะแนนน้อยกว่าครึ่งเปอร์เซ็นต์ การสำรวจความคิดเห็นในปีนี้พบว่าทรัมป์และกมลา แฮร์ริสมีคะแนนเท่ากัน

รัฐวิสคอนซิน
วิสคอนซินเป็นรัฐที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน โดยโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งที่นั่นในปี 2016 ด้วยคะแนนน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนโจ ไบเดนชนะการเลือกตั้งที่นั่นในปี 2020 ด้วยคะแนนน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน

รัฐจอร์เจีย
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะในรัฐจอร์เจียในปี 2016 ด้วยคะแนนประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่แพ้ให้กับโจ ไบเดนในปี 2020 ด้วยคะแนนน้อยกว่า 12,000 คะแนน การแข่งขันในปีนี้เป็นการเสี่ยงดวง โดยทรัมป์และแฮร์ริสมีคะแนนเท่ากันในการสำรวจความคิดเห็น

รัฐมิชิแกน
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในรัฐมิชิแกนในปี 2016 สร้างความประหลาดใจให้กับพรรคเดโมแครตในรัฐที่พรรครีพับลิกันไม่เคยชนะเลยตั้งแต่ปี 1988 โจ ไบเดนชนะในรัฐนั้นในปี 2020 โดยเอาชนะทรัมป์ไป 3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อกมลา แฮร์ริสและทรัมป์มีคะแนนเท่ากันในทางสถิติ จึงเป็นการเสี่ยงดวงก่อนวันเลือกตั้ง

รัฐเนวาดา 
พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเนวาดาใน 2 ครั้งล่าสุด แต่ผลสำรวจและแนวโน้มการลงคะแนนในรัฐทำให้รัฐนี้กลายเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อพยายามเปลี่ยนรัฐให้หันมาสนใจเขา กมลา แฮร์ริสและทรัมป์มีคะแนนเท่ากัน และรัฐนี้ถือเป็นรัฐที่ “เสี่ยงดวง”

รัฐนอร์ทแคโรไลนา
รัฐนอร์ทแคโรไลนาไม่ได้ลงคะแนนให้พรรคเดโมแครตเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2008 แต่ทีมหาเสียงของกมลา แฮร์ริสตั้งเป้าว่ารัฐนี้จะเป็นรัฐที่เธอสามารถชนะได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชากรผิวดำจำนวนมาก โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในรัฐนี้ในปี 2016 ด้วยคะแนน 3 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2020 ด้วยคะแนน 1 เปอร์เซ็นต์

'ทรัมป์' ลั่นสร้างยุคทองของอเมริกา ประกาศชัยชนะเหนือแฮร์ริส คว้าเก้าอี้ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47

(6 พ.ย.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีประกาศชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังผลการนับคะแนนเบื้องต้นชี้ว่า เขาในฐานะผู้สมัครจากพรรครีพับลิกกันมีคะแนนนำนางกมลา แฮร์ริส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตแบบทิ้งห่างกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยนายทรัมป์ได้กวาดคะแนนเสียงในรัฐสำคัญทั้ง จอร์เจีย เพนซิลเวเนีย นอร์ทแคโรไลนา เซาท์แคโรไลนา และฟลอริด้า ได้ทั้งหมด ทำให้คามาลา แฮร์ริส แคนดิเดตพรรคเดโมแครตเหลือโอกาสน้อยลงทุกทีในการคว้าชัยชนะ เนื่องจากขณะนี้ทรัมป์มีคะแนนนำในสะวิงสเตตอีก 3 รัฐที่เหลือ ขณะที่คะแนนรวมขณะนี้อยู่ที่ 195 ต่อ 266 เรียกได้ว่าทรัมป์ใกล้คว้าชัยเต็มทีที่ต้องการคะแนน 270 เสียง

ในการขึ้นเวทีอ้างชัยชนะ นายทรัมป์กล่าวกับบรรดาผู้สนับสนุนเขาที่มารวมตัวกันที่ศูนย์ประชุมปาล์มบีช เคาน์ตี้ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ในรัฐฟลอริดา ว่า

“ผมขอขอบคุณประชาชนชาวอเมริกันสำหรับเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 และประธานาธิบดีคนที่ 45 ของท่าน” ทรัมป์กล่าวต่อผู้สนับสนุนที่ศูนย์ประชุมในเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา โดยมีครอบครัวและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทีมหาเสียงของเขายืนเคียงข้าง

“เราจะช่วยเยียวยาประเทศของเรา … เราจะแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับประเทศของเรา” ทรัมป์กล่าว และเสริมว่า “เราสร้างประวัติศาสตร์ในค่ำคืนนี้เพื่อเหตุผลบางอย่าง … นี่จะเป็นยุคทองของอเมริกาอย่างแท้จริง”

ในระหว่างที่นายทรัมป์กล่าวปราศรัย เขายังได้กล่าวยกย่องนายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เจ้าของเทสลา และสเปซเอ็กซ์ ที่ทุ่มเงินราว 120 ล้านดอลลาร์ในการสนับสนุนการหาเสียงของนายทรัมป์ โดยนายทรัมป์กล่าวว่า เขาจะแต่งตั้งนายทรัมป์ให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการด้านประสิทธิภาพของรัฐบาล

Foxnews สื่อสายอนุรักษนิยมถือเป็นสื่อแรกที่ออกมาประกาศว่าทรัมป์เป็นผู้คว้าชัยและจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 และเป็นบุคคลที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 ที่ไม่ต่อเนื่องกัน

ด้านสำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานว่า ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่าแฮร์ริสจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้สนับสนุนของเธอในคืนวันอังคารที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดในวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเธอเป็นศิษย์เก่า แต่แฮร์ริสเลือกตัดสินใจที่จะไม่กล่าวสุนทรพจน์ในวันดังกล่าว และจะเลื่อนไปกล่าวสุนทรพจน์ในวันพุธแทนเพื่อรอความชัดเจนของผลคะแนน

รัสเซียชูไอเดีย 'รีเซ็ตการทูต' ฟื้นสัมพันธ์สหรัฐฯ หลังทรัมป์ชนะ

(6 พ.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นาย Kirill Dmitriev ผู้บริหารกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัสเซีย ซึ่งใกล้ชิดทำเนียบเครมลินกล่าว ว่า โอกาสใหม่ๆ ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกและวอชิงตันได้เปิดขึ้นแล้ว หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติบั่นทอนลงอย่างมากในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่สงครามขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ปะทุขึ้นในปี 2022 ทำให้ความสัมพันธ์ของวอชิงตันกับมอสโกย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาในปี 1962

Dmitriev กล่าวว่า ชัยชนะของทรัมป์และพรรครีพับลิกันทั้งในทำเนียบขาวและวุฒิสภาสะท้อนว่าคนอเมริกันทั่วไปเบื่อหน่ายกับการโกหก ความไร้ความสามารถ และความอาฆาตพยาบาทที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของรัฐบาลไบเดน

Dmitriev  อดีตนายธนาคารโกลด์แมนแซคส์ ซึ่งเคยมีสายสัมพันธ์กับทีมงานของทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า “นี่เปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการรีเซตความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ” 

ทั้งนี้ ในปี 2009 ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในขณะนั้น เคยเสนอแนวคิดการ "รีเซ็ต" ความสัมพันธ์กับมอสโก แต่เนื่องจากข้อผิดพลาดในการแปลที่ชัดเจน ประกอบกับสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะประเด็นการผนวกดินแดนไครเมีย ทำให้การรีเซ็ตความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และบารัค โอบามา ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร

ผู้นำนานาชาติร่วมยินดี 'โดนัลด์ ทรัมป์' คัมแบ็คปธน.สหรัฐ

(6 พ.ย. 67) ภายหลังที่โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ประกาศชัยชนะในศึกการเลือกตั้งเหนือนางกมลา แฮร์ริส ผู้ท้าชิงจากพรรคแดโมแครต ซึ่งนับเป็นการหวนคืนกลับทำเนียบขาวอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ในรอบ 4 ปี

บรรดาผู้นำจากหลากหลายประเทศเริ่มส่งข้อความแสดงความยินดีแก่นายทรัมป์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในหลายแพลตฟอร์ม อาทิ

โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน โพสต์ข้อความบน X ว่า "ย้อนกลับไปเดือนกันยายน ตอนที่ผมพบกับประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างยูเครนและสหรัฐ  แผนแห่งชัยชนะ และวิธียุติการรุกรานยูเครนของรัสเซีย

ผมชื่นชมความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อแนวทางสันติภาพด้วยความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นหลักการนำสันติภาพอันแท้จริงมาสู่ยูเครน เรามองเห็นยุคสมัยแห่งความเข้มแข็งภายใต้ภาวะผู้นำอันเด็ดขาดของประธานาธิบดีทรัมป์ และยูเครนยังคงพึ่งพาการสนับสนุนทวิภาคีอันเข้มแข็งจากสหรัฐต่อไป
เราทั้งสองชาติยังคงสนใจที่จะพัฒนาผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจร่วมกัน ยูเครนในฐาน

ที่เป็นหนึ่งในกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของยุโรป ให้คำมั่นว่าจะรักษาความสงบสุขและความมั่นคงในยุโรป ชุมชนพันธมิตรลุ่มสมุทรแอตแลนติกต่อไป หากยังมีการสนับสนุนจากพันธมิตร"

เบนจามิน เนทันยาฮู  นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่า “ถึง โดนัลด์ และเมลาเนีย ทรัมป์ ขอแสดงความยินดีกับการหวนคืนทำเนียบขาวครั้งยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับอเมริกาและคำมั่นสัญญาอันทรงพลังต่อพันธมิตรอันยิ่งใหญ่ระหว่างอิสราเอลและอเมริกา ”

นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย โพสต์ข้อความบน X แสดงยินดีกับทรัมป์ว่า “ขอแสดงความยินดีอย่างสุดหัวใจเพื่อนของผม @realDonaldTrump สำหรับชัยชนะการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของคุณ”

เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ส่งสารแสดงความยินดีมีใจความว่า "ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของทรัมป์ ผู้ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี ผมรอคอยที่จะได้ร่วมทำงานกับคุณไปอีกหลายปีต่อจากนี้

ในฐานะพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด เราเคียงบ่าเคียงไหล่กันเพื่อปกป้องคุณค่าที่เรายึดถือร่วมกัน ทั้งเสรีภาพ ประชาธิปไตย และกิจการสำคัญต่างๆ ผมรู้ว่าสหราชอาณาจักรและสหรัฐจะยังคงเจริญไมตรีของทั้งสองฟากฝั่งของแอตแลนติกต่อไปอีกหลายปีจากนี้”

เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส โพสต์ว่า “ขอแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมที่จะทำงานร่วมกันเหมือนอย่างที่รู้ดีว่าจะทำอย่างไรในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ด้วยความเชื่อมั่นของคุณกับผม ด้วยความเคารพและความทะเยอทะยาน เพื่อสันติภาพและเจริญมากขึ้น”

จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีหญิงของอิตาลี ระบุผ่านโพสต์ว่า ขอแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อิตาลีและสหรัฐฯถือเป็นพันธมิตรที่มั่นคง มันเป็นสายสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งฉันมั่นใจว่าเราจะยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก

ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัสเซียโพสต์ทางบัญชีเทเลแกรมว่า “ทรัมป์ มีคุณสมบัติหนึ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับเรา เขาเป็นนักธุรกิจโดยแก่นแท้ เขาไม่ชอบใช้จ่ายเงินให้กับพวกคนสอพลอ พันธมิตรสอพลอ โครงการการกุศลที่ไม่ดี และพวกองค์กรระหว่างประเทศที่โลภมาก”

ทั้งนี้ นายทรัมป์ วัย 78 ปี เคยกล่าวให้คำมั่นในหลายครั้งว่า เขาจะยุติสงครามในยูเครนอย่างรวดเร็วหากได้รับการเลือกตั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้อธิบายว่าเขาจะทำได้อย่างไรก็ตาม

เปิดปัจจัย คามาลา แฮร์ริส พ่ายแพ้ แม้แต่ผู้ใช้แรงงานยังโหวตทรัมป์

(7 พ.ย.67) นางคามาลา แฮร์ริส ได้ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้หลังทราบผลการเลือกตั้ง ต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกล่าวกับผู้สนับสนุนว่า จะต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และเผยว่าก่อนหน้านี้ได้ต่อสายถึงโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน พร้อมแสดงความจำนงว่าร่วมมือถ่ายโอนอำนาจการบริหารประเทศ พร้อมกับโจ ไบเดน ผู้นำคนปัจจุบัน

ภายหลังการทราบผลเลือกตั้ง สำนักข่าวรอยเตอร์ได้เผยบทความวิเคราะห์ถึงความพ่ายแพ้ของนางแฮร์ริสซึ่งถือว่าเธอทำคะแนนได้แย่กว่าที่คาดคิด โดยรอยเตอร์วิเคราะห์ว่า นางแฮร์ริสซึ่งมาจากพรรคเดโมแครตนั้นกลับไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากสหภาพแรงงานทรงอิทธิพลแห่งหนึ่งซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของพรรคเดโมแครตมาอย่างยาวนาน กลายเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอพ่ายแพ้ 

ในการประชุมระหว่างแฮร์ริสกับสหภาพแรงงาน (International Brotherhood of Teamsters) ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของเดโมแครตเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา แฮร์ริสกล่าวว่าเธอเองจะปกป้องงานของสหภาพแรงงานและความเป็นอยู่ของคนงานได้ดีกว่า โดนัลด์ ทรัมป์  

แต่สหภาพแรงงานกลับไม่เชื่อมั่นในคำพูดของเธอ แม้เธอจะแย้งว่าทรัมป์ไม่ใช่ผู้สนับสนุนชนชั้นแรงงาน ผู้นำสหภาพแรงงานจึงถามเธอว่า ตัวเธอเองและประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ช่วยเหลือคนงานเพียงพอแล้วหรือยัง ไม่กี่วันหลังจากนั้นสหภาพแรงงานทีมสเตอร์ได้ออกมาปฏิเสธที่จะสนับสนุนผู้ชิงตำแหน่งจากพรรเดโมแครต ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ที่สหภาพแรงงานออกมาเคลื่อนไหวไม่สนับสนุนพรรคฝ่ายซ้ายอย่างเดโมแครต

รอยเตอร์ยังวิเคราะห์ต่อว่า แคมเปญหาเสียงของทีมแฮร์ริสก็เป็นอีกปัญหาที่ทำให้เธอต้องพ่ายแพ้ เพราะเธอนอกจากผู้สมัครชิงตำแหน่งแล้วยังถือเป็นรองประธานาธิบดีที่อยู่ในรัฐบาลไบเดน ซึ่งประสบปัญหาในการเอาชนะเงินเฟ้อและการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเป็นประเด็นคู่ขนานที่การสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่าทรัมป์ได้คะแนนจากเรื่องเหล่านี้ 

“การพ่ายแพ้ของเธอเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการการเมืองของอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนใช้แรงงาน (Blue-collar voter) หันมาสนับสนุนพรรครีพับลิกันมากขึ้น" เมลิสสา เด็กแมน (Melissa Deckman) นักรัฐศาสตร์และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทวิจัย พับลิก รีลิเจียน รีเสิร์ช อินสทิทิวต์  ให้ความเห็นว่า แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐในยุคหลังโควิด-19 จะเติบโตค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เจริญก้าวหน้าขึ้นในทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ทีมหาเสียงของแฮร์ริสอธิบายได้ไม่ดีนักว่านโยบายของเธอจะช่วยเหลือชนชั้นกลางได้อย่างไร ข้อความในการหาเสียงของเธอไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากนัก

สีจิ้นผิงแสดงความยินดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับทำเนียบขาว

(7 พ.ย. 67) ซินหัวรายงานว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่าจีนขอแสดงความยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

โฆษกกล่าวคำข้างต้นระหว่างตอบคำถามเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ออกมาแล้ว และโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันเป็นผู้คว้าชัยชนะ

โฆษกระบุว่าจีนเคารพการเลือกของประชาชนชาวอเมริกัน และขอแสดงความยินดีกับทรัมป์ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

"จีนเคารพการเลือกของประชาชนชาวอเมริกัน และขอแสดงความยินดีกับทรัมป์ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ"

เหมาหนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ยังกล่าวว่าอีกว่านโยบายของจีนที่มีต่อสหรัฐฯ นั้นยังคงมีความสอดคล้องกัน

เหมากล่าวระหว่างการแถลงข่าวประจำวันเพื่อตอบคำถามในประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นกิจการภายในของสหรัฐฯ และ “เราเคารพในทางเลือกของประชาชนชาวอเมริกัน”

ทั้งนี้ เหมาระบุว่า “นโยบายของจีนต่อสหรัฐฯ ยังคงมีความสอดคล้องกัน” โดยชี้ว่าจีนจะยังคงมีมุมมองและจัดการความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ โดยยึดหลักการความเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

SpaceX-Tesla รับอานิสงส์ ดันโครงการอวกาศ ลดภาษีคนรวย

(7 พ.ย. 67) การกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวของ โดนัลด์ ทรัมป์ อีกสมัยอาจเป็นชัยชนะครั้งสำคัญสำหรับหนึ่งในผู้สนับสนุนเขามากที่สุดนึงก็คือ นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกเจ้าของ SpaceX และรถยนต์ไฟฟ้า Tesla จะเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0

อีลอน มัสก์ ระบุข้อความผ่าน X ว่า "ประชาชนชาวอเมริกันได้มอบออำนาจที่ชัดเจนให้กับ @realDonaldTrump เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในคืนนี้"

นอกจากนี้ ในสุนทรพจน์แห่งชัยชนะที่ศูนย์การประชุมปาล์มบีช ทรัมป์ใช้เวลาหลายนาทีชื่นชมมัสก์และเล่าถึงความสำเร็จในการลงจอดของจรวดที่ผลิตโดยบริษัท SpaceX ของเขา นอกจากนี้ในการแถลงชัยชนะทรัมป์ได้กล่าวถึงมักส์โดยระบุว่าเตรียมดึงตัวมหาเศรษฐีผู้นี้ร่วมทีมเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์พิเศษของประธานาธิบดี

สำหรับนายมักส์ในฐานะผู้สนับสนุนที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของว่าที่ประธานาธิบดี มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีผู้นี้ได้บริจาคเงินมากกว่า 119 ล้านดอลลาร์ (4.17 พันล้านบาท) เพื่อสนับสนุนกลุ่มการเมืองเชียร์ทรัมป์หรือ Super PAC

สำนักข่าวบีบีซีได้เผยบทวิเคราะห์ระบุถึงผลประโยชน์ที่นายมักส์ จะได้รับหลังการกลับสู่ทำเนียบขาวของทรัมป์ โดยมัสก์มีโอกาสรับผลประโยชน์มากมายอาทิ รับตำแหน่งในกระทรวง "DOGE" โดยนายทรัมป์ว่าที่ประธานาธิบดีได้กล่าวว่าในวาระที่สอง เขาจะเชิญมัสก์เข้าร่วมคณะบริหารเพื่อกำจัดความสิ้นเปลืองของรัฐบาล

มัสก์เรียกความพยายามที่อาจเกิดขึ้นนี้ว่า "กระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล" หรือ Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งเป็นชื่อของมีมและเงินคริปโทที่เขาได้ทำให้เป็นที่นิยม

โครงการSpaceX รับอานิสงส์ดาวเทียมของรัฐ มากไปกว่านั้น มัสก์อาจได้รับประโยชน์จากการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ผ่านความเป็นเจ้าของ SpaceX ซึ่งครองตลาดธุรกิจการส่งดาวเทียมของรัฐบาลขึ้นสู่อวกาศ บทวิเคราะห์ของบีบีซีอ้างว่า ด้วยการมีพันธมิตรที่ใกล้ชิดในทำเนียบขาว มัสก์อาจแสวงหาโอกาสในการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์กับรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ก่อนหน้านี้ มัสก์วิจารณ์คู่แข่งรวมถึงโบอิ้งเกี่ยวกับโครงสร้างสัญญากับรัฐบาล ซึ่งเขากล่าวว่าไม่จูงใจให้ทำงานเสร็จตามงบประมาณและตรงเวลา

SpaceX ยังได้ขยายไปสู่การสร้างดาวเทียมสอดแนมให้กระทรวงกลาโหม โดยเพนตากอนและหน่วยงานสอดแนมของอเมริกาดูเหมือนจะพร้อมที่จะลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในด้านนี้

Tesla รับอานิสงส์จากการผ่อนคลายกฎระเบียบ ขณะเดียวกัน Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของมัสก์ อาจได้รับผลประโยชน์จากการบริหารที่ทรัมป์กล่าวว่าจะมี ภาระด้านกฎระเบียบที่ต่ำที่สุด เมื่อเดือนที่แล้ว หน่วยงานของสหรัฐ ที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยบนท้องถนนได้เปิดเผยว่ากำลังตรวจสอบระบบซอฟต์แวร์ขับขี่อัตโนมัติของTesla

มัสก์ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าพยายามขัดขวางคนงานTesla จากการรวมตัวเป็นสหภาพ โดยสหภาพแรงงานยานยนต์ (UAW) ได้ยื่นข้อกล่าวหาการปฏิบัติด้านแรงงานที่ไม่เป็นธรรมต่อทั้งทรัมป์และมัสก์ หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันเกี่ยวกับการที่มัสก์อ้างว่าได้ไล่คนงานที่นัดหยุดงานออกในระหว่างการสนทนาบน X

สุดท้ายคือการที่ทรัมป์ประกาศในหลายครั้งว่าจะลดภาษีความมั่งคั่งสำหรับบริษัทและคนรวย ซึ่งแน่นอนว่ามัสก์ในฐานะมหาเศรษฐีผู้รวยที่สุดในโลกน่าจะได้รับผลประโยชน์นี้โดยตรง

ทรัมป์หารือผู้นำรัสเซีย ให้คำมั่นสงครามยูเครนต้องจบ

(11 พ.ย.67) สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายนว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และแนะนำไม่ให้เพิ่มความรุนแรงของสงครามในยูเครน ขณะเดียวกันมีรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะขอให้ทรัมป์ไม่หยุดสนับสนุนยูเครน

แหล่งข่าวระบุว่า ปูตินและทรัมป์ได้สนทนากันเมื่อไม่นานมานี้ และทรัมป์ยังได้พูดคุยกับโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เมื่อวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน โดยทรัมป์เคยวิพากษ์วิจารณ์ความช่วยเหลือทางทหารและการเงินจำนวนมากของสหรัฐฯ แก่ยูเครน และให้คำมั่นว่าจะยุติสงครามโดยเร็ว แต่ไม่ได้ระบุวิธีการอย่างชัดเจน

ด้านกระทรวงการต่างประเทศยูเครนระบุว่าไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเกี่ยวกับการสนทนาระหว่างปูตินกับทรัมป์ จึงไม่สามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับการพูดคุยดังกล่าวได้

ขณะเดียวกัน สตีเวน เฉิง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทรัมป์ กล่าวเมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ว่า “เราไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนทนาส่วนตัวระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับผู้นำประเทศอื่น ๆ” รายงานดังกล่าวมีการเปิดเผยครั้งแรกโดยสื่อวอชิงตันโพสต์

ทรัมป์มีกำหนดเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า และปธน.ไบเดนได้เชิญทรัมป์ไปที่ทำเนียบขาวในวันพุธที่ 13 พฤศจิกายนนี้

เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ไบเดนจะยืนยันถึงการถ่ายโอนอำนาจที่ราบรื่น พร้อมทั้งหารือกับทรัมป์ในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง

ผู้นำเกาหลีใต้ซุ่มฝึกวงสวิง ไว้ออกรอบกับปธน.ทรัมป์

(12 พ.ย.67) ประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล ของเกาหลีใต้เริ่มฝึกซ้อมเล่นกอล์ฟอีกครั้งในช่วงไม่นานนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพบปะในอนาคตกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่

สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า ประธานาธิบดียุนได้เดินทางไปสนามกอล์ฟเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งทำเนียบประธานาธิบดีระบุว่า เขาไม่ได้จับไม้กอล์ฟมาตั้งแต่ปี 2016 ทั้งนี้ นายทรัมป์เป็นผู้ที่ชื่นชอบกีฬากอล์ฟอย่างมาก และมีสนามกอล์ฟเป็นของตัวเองหลายแห่งทั่วโลก 

ในการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีหลังจากที่ได้โทรศัพท์แสดงความยินดีกับนายทรัมป์ ยุนกล่าวว่า มีผู้ใกล้ชิดหลายคนบอกเขาว่า เขาและทรัมป์น่าจะเข้ากันได้ดี นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ที่เคยทำงานกับทรัมป์และสมาชิกพรรครีพับลิกันที่พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองผู้นำ

ขณะนี้ เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้กำลังเร่งวางแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น โดยประธานาธิบดียุนได้เรียกร้องให้รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมร่วมปรึกษาหารือกันเมื่อวันอาทิตย์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบที่จะมาพร้อมกับการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายทรัมป์

‘กอบศักดิ์’ ชี้ส่งครามการค้า ‘ยุคทรัมป์ 2.0’ เริ่มพ่นพิษ แปรเปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู – เศรษฐกิจในประเทศตัวเองส่อพัง

(5 มี.ค. 68) นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ผลงาน Trump 2.0 !!!  จากความปั่นป่วนวุ่นวายที่ President Trump สร้างในช่วงที่ผ่านมา

เปิดศึก Trade Wars กับทุกประเทศ แบบไม่เลือกหน้า ทั้งกับ อดีตมิตรประเทศ เช่น แคนาดา เม็กซิโก ที่กำลังจะกลายเป็น อดีตมิตรประเทศ เช่น สหภาพยุโรปที่ยังเป็นมิตรประเทศ เช่น ญี่ปุ่น กับ คู่แข่ง เช่น จีน โดยประกาศขึ้นภาษีนำเข้า Tariffs ใน 3 ระดับ ระดับประเทศ ในทุกสินค้า ระดับอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเหล็กกล้า อลูมินัม และต่อไป ยานยนต์ ยา ชิป ไม้ ฯลฯ ระดับบริษัท ที่เริ่มจากการห้ามการส่งออก Technology และในอนาคตจะมุ่งเป้าไปยังบางบริษัท เพื่อตอบโต้จีนที่ประกาศไม่ให้ขาย Critical Minerals ให้กับบริษัทสหรัฐอีก 15 บริษัท และกำหนดชื่ออีก 10 บริษัทไม่ให้ลงทุน หรือค้าขายกับจีน 

ทั้งหมดนี้ ทำให้นักลงทุนกังวลใจ ไม่แน่ใจกับอนาคตของบริษัทต่างๆ ในสหรัฐ ว่าจะโดนตอบโต้มากน้อยแค่ไหน ทั้งจากสินค้าธรรมดาเช่น ไวน์ สุรา ที่แคนาดาไม่ให้วางขายสัญญากับ Starlink ที่ถูกฉีกโดยแคนาดาในยุโรป เช่นที่ สวีเดน เดนมาร์ค ที่คนกำลังรณรงค์ไม่ให้ซื้อสินค้าสหรัฐ บริษัท Haltbakk Bunkers ของนอร์เวย์ที่ประกาศไม่เติมน้ำมันให้กับเรือรบของสหรัฐและอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้น ขยายเป็นวงกว้าง 

ยิ่ง President Trump ประกาศเพิ่มความเข้มข้น เอาจริงเรื่อง Trade War เร่งขึ้น Tariffs เป็นลำดับ จีน 10% เป็น 20% สั่งให้ดำเนินการเก็บจริง กรณีแคนาดาและเม็กซิโก และเตรียมเก็บ Reciprocal Tariffs เพิ่มในเดือนเมษายน สร้างความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจการค้าโลกอย่างไม่เป็นมาก่อนรวมถึงผลกระทบต่อเงินเฟ้อ เศรษฐกิจสหรัฐ

ทั้งหมดนี้ ได้ทำให้ดัชนีหลักทรัพย์สำคัญของสหรัฐที่เคยดีใจว่า Mr. Donald J Trump กำลังเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ ขึ้นไปทำ New High หลังรู้ผลเลือกตั้งเมื่อ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมาล่าสุด เมื่อเทียบกับวันเลือกตั้ง

S&P500 ได้เริ่มติดลบ -4.61 จุด หรือ -0.08% Nasdaq ติดลบ -154.01 จุด หรือ -0.84% Dow Jones ยังบวกอยู่นิดๆ +299.11 จุด หรือ +0.71% แต่อีกไม่นาน ก็คงติดลบเช่นกัน ยิ่งถ้าเทียบกับวันที่ 20 มกราคมที่เข้ามา ทุกดัชนีติดลบหมดแล้วเรียบร้อย !!! S&P500 -3.64% Nasdaq -6.85% Dow Jones -2.22%!!! 

จึงกล่าวได้ว่า จากที่เคยแอบมีความหวัง กลายเป็นเริ่มกังวลใจมาก จากการแผลงฤทธิ์ ในช่วงที่ผ่านมา 

ยิ่งท่านประธานาธิบดีบอกว่า Just Getting Started ในอนาคตเมื่อ สงครามการค้าเข้าสู่การต่อสู้เต็มรูปแบบ เปิดศึกครบทุกด้าน และได้รับการตอบโต้ในมิติต่างๆ ความกังวลใจก็คงหนักหน่วงกว่านี้ ผลกระทบก็คงจะรุนแรงกว่านี้

ผลตอบแทนของการลงทุนของเรา จะไม่ขึ้นกับเศรษฐกิจ ธุรกิจอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ขึ้นกับสิ่งที่ท่านจะประกาศ ที่จะเขียนใน Social Media และที่จะเลือกทำ และทำให้แรงขึ้น หากอีกข้างไม่สยบยอม

ทั้งหมดนี้ จะเป็น Uncertainty เป็นความไม่แน่นอนอย่างยิ่งให้กับโลกการเงิน ที่เบอร์ 1 ของโลก ที่ปกติจะพยายามรักษาความสงบของโลก ได้กลายร่างมาเป็นผู้ทุบระบบเสียเอง    

บอกว่า ที่ทำเช่นนี้ เพราะกำลังถูกเอาเปรียบจากระบบปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่เป็นระบบที่เขาสร้างขึ้นมา ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ขอเป็นกำลังใจอย่างยิ่งให้กับทุกคน ในยุคโลกปั่นป่วนครับ  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top