Monday, 9 June 2025
TRUMP

‘ราคาทอง’ พุ่ง!! ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สะท้อนยุคเปลี่ยนผ่านของ ‘ระบบดอลลาร์สหรัฐฯ’ หลายประเทศ หันไปถือทอง มองเป็น ‘สกุลเงินที่แท้จริง’ ที่คงคุณค่ามานานกว่า 5,000 ปี

(12 เม.ย. 68) สำนักข่าว Sputnik International รายงานว่า ราคาทองคำที่พุ่งทะลุระดับ 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพียงผลจากความผันผวนระยะสั้นของตลาด แต่เป็นสัญญาณสะท้อนความสั่นคลอนของระเบียบการเงินโลกที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรง

รายงานวิเคราะห์ว่า การคว่ำบาตร การตั้งกำแพงภาษี และความปั่นป่วนในยุคทรัมป์ ได้ทำให้หลายประเทศเริ่มตั้งคำถามกับความมั่นคงของเงินดอลลาร์ พร้อมทั้งหันไปถือครอง ทองคำ ซึ่งถูกยกให้เป็น 'สกุลเงินที่แท้จริง' ที่คงคุณค่ามานานกว่า 5,000 ปี

Claudio Grass นักเศรษฐศาสตร์จากสวิตเซอร์แลนด์ให้สัมภาษณ์กับสปุตนิกว่า หลังสงครามเย็น โลกเคยรวมศูนย์อยู่กับระเบียบที่นำโดยสหรัฐฯ และดอลลาร์ได้รับอานิสงส์อย่างมาก แต่ในปัจจุบัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือกระแส 'แยกตัวออก' ไปสู่ความเป็นระเบียบหลายขั้ว (multipolarity) ที่ลดบทบาทของดอลลาร์ลง

Grass ระบุว่า เรากำลังเข้าสู่ 'ยุคเปลี่ยนผ่านของระบบ'  (system transition) ซึ่งจะเต็มไปด้วยเงินเฟ้อ ความไม่มั่นคง และความสูญเสียทางการเงิน พร้อมเสนอแนวคิดว่า “ประชาชนควรเป็นธนาคารกลางของตนเอง ด้วยการถือทองคำจริงและเงินแท่งไว้นอกระบบ”

ขณะเดียวกัน Tom Luongo นักวิเคราะห์การเงินอิสระกล่าวว่า ความผันผวนของโลกในขณะนี้เป็นสาเหตุให้คนหันกลับมามอง 'ทองคำ' ในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากระบบที่กำลังเปลี่ยนโฉม

ทั้งนี้ สปุตนิกยังรายงานเสริมว่า ธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงรายย่อยจำนวนมาก ต่างเร่งสะสมทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX risk) ในช่วงที่ความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินตะวันตกเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว

นักวิเคราะห์เตือนว่า เราอาจอยู่ในช่วงต้นของ 'สงครามการเงิน' ที่ไม่ใช่แค่ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่ยังรวมถึงความตึงเครียดกับยุโรป ที่พยายามตอบโต้การผลักดันนโยบายดอกเบี้ยต่ำและการลดการพึ่งพาระบบดอลลาร์ของทรัมป์

รายงานของสปุตนิกสรุปว่า ราคาทองที่พุ่งสูงครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการปฏิเสธดอลลาร์โดยตรง แต่เป็นการ 'ป้องกันตัว' จากความวุ่นวายของระบบที่กำลังถูกจัดระเบียบใหม่

ระเบียบโลกใหม่!! อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ‘จีน’ อาจเป็นผู้นำในโลกยุคใหม่ หาก ‘อเมริกา’ ยังเล่นบท ‘นักเลงภาษี’ อาจต้องตกเป็นรอง ในเวทีโลก

(12 เม.ย. 68) ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่สนใจแล้วว่าโลกหมุนทางไหน เพราะตอนนี้เขาหยิบค้อนภาษีมาทุบใส่เกือบทุกประเทศแบบไม่แยกแยะ จีนโดนหนักสุดถึง 145% ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ก็โดนหางเลขกันถ้วนหน้า การเผชิญหน้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกจึงทวีความดุเดือดแบบไม่มีเบรก

ผลคืออะไร? ระเบียบโลกที่เราเคยรู้จักมาตลอด 80 ปีเริ่มสั่นคลอนอย่างชัดเจน นักวิเคราะห์บางคนถึงกับฟันธงว่ามัน "ตายไปแล้ว" และสิ่งใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นนั้น... มีจีนเป็นศูนย์กลาง

Cameron Johnson ผู้เชี่ยวชาญด้านซัพพลายเชนจากเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า “ถ้าคุณยังไม่กระโดดขึ้นรถไฟสายเอเชีย ก็เตรียมตัวถูกทิ้งไว้กลางทางได้เลย”

จีนในวันนี้ไม่ใช่แค่ ‘โรงงานโลก’ แต่กำลังกลายเป็นคู่ค้าที่ประเทศต่าง ๆ หันไปหาด้วยความจำเป็น (หรือสิ้นหวัง) โดยเฉพาะในวันที่อเมริกากลายเป็น ‘พ่อค้าเร่’ ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้

แผนยุทธศาสตร์สายพานและเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ของจีนก็เหมือนกล่องเครื่องมือที่จีนหยิบขึ้นมาใช้ได้ทันที ทั้งถนน รถไฟ ท่าเรือ และเงินทุนที่หลายประเทศใฝ่ฝัน ขณะที่อเมริกายืนกอดอกบอกให้ใครต่อใคร "มาลงทุนในบ้านเราแทน"

ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กลับกลายเป็นโอกาสทองให้จีนได้ขยับบทบาท ยิ่งเมื่อประเทศในเอเชียเริ่มจับมือกันแน่นขึ้น ทั้งจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เพิ่งจัดประชุมร่วมกันครั้งแรกในรอบ 5 ปี

ฝั่งยุโรปเองแม้จะยังไม่ถึงขั้น ‘หวานชื่น’ กับจีน แต่ก็เริ่มขยับเข้าใกล้มากขึ้น เมื่อประธานคณะกรรมาธิการยุโรปและนายกรัฐมนตรีจีนจับสายตรงคุยกัน หารือความร่วมมือ และพยายามประคองความสัมพันธ์ให้ ‘มั่นคงต่อเนื่อง‘

ส่วนแคนาดา? เลือกแนวทาง ‘เสี่ยงต่ำ’ รอดูท่าทีอยู่ห่าง ๆ แบบไม่กล้าเดินเข้าหา แต่ก็ไม่อาจเมินจีนได้เสียทีเดียว นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยยอร์คบอกว่า “จะมองข้ามจีนในโลกยุคนี้ ถือว่า...พลาด”

สรุป: โลกยุคใหม่อาจไม่มีผู้นำคนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นโลกที่หลายขั้วอำนาจลุกขึ้นมาเขียนกติกาใหม่ และถ้าอเมริกายังเล่นบทนักเลงภาษีต่อไป อาจจะต้องทำใจกับบทบาทพระรองในฉากสุดท้ายของเวทีโลกใบนี้

ชายชาวเพนซิลเวเนีย ถูกตั้งข้อหาขู่ฆ่า ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ หลังโพสต์!! เราแค่ต้องเริ่มฆ่าคน ปฏิวัติอเมริกา 2.0

(12 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ที่ #สหรัฐฯ ชายชาวเพนซิลเวเนียถูกตั้งข้อหาขู่ฆ่าทรัมป์

Shawn Monper หรือที่เรียกกันว่า Mr. Satan ถูกตั้งข้อกล่าวหาจากรัฐบาลกลางฐานขู่จะลอบสังหาร Trump, Elon และหน่วยปฏิบัติการทั้งหมดของ Trump

เขาโพสต์ว่า “ไม่ล่ะ เราแค่ต้องเริ่มฆ่าคน…” และสัญญาว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่าการปฏิวัติอเมริกา 2.0

FBI เรียกว่าการกระทำนี้ว่าการก่ออาชญากรรมต่อรัฐบาลกลาง

ขณะนี้เขาต้องเผชิญกับโทษจำคุกอย่างหนักจากสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นโพสต์ที่ ‘ไร้สาระ’

คำเตือน: การขู่ฆ่าทางออนไลน์ไม่ถือเป็นเสรีภาพในการพูด แต่เป็นความโง่เขลาเท่านั้น

‘เซเลนสกี้’ ยอมแล้ว!! หลังจากทะเลาะกันให้โลกดู คาด!! ยอม ‘Rare Earth’ ให้สหรัฐอเมริกา ใช้หนี้

(1 พ.ค. 68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีใจความว่า...

ก้าวแรกสู่การสงบศึก Russia-Ukraine !!
เซเลนสกี้ ยอมแล้ว!!
หลังจากทะเลาะกันให้โลกดูเมื่อเดือนที่แล้ว
จะนำไปสู่การฟื้นฟู Ukraine จากสงคราม 
รวมถึงการปลดพันธนาการพึ่งพา Rare Earth จากจีน
ซึ่ง Rare Earth เหล่านี้ จะนับเป็นการคืนเงินที่สหรัฐช่วยสู้ศึกในช่วงที่ผ่านมา 

‘ดร.กอบศักดิ์’ วิเคราะห์!! สหรัฐอเมริกา กำลังด้อยค่า องค์กรระดับโลก ได้มาซึ่งระบบใหม่ ที่มาจากอำนาจเก่า จบด้วยการที่ ‘Changes’ ไม่ยืนยาว

(10 พ.ค. 68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีใจความว่า...

Changes are Coming แต่จะไม่ยืนยาว ไม่ถาวร!!!

ด้วยมุมมองของผู้นำสหรัฐแบบนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ระเบียบโลก องค์กรต่าง ๆ ที่ถูกสร้างและใช้มา 80 ปี กำลังถูกไม่ให้ค่า และกำลังตกเป็นเป้าที่จะต้องถูกจัดการ WTO IMF World Bank UN NATO แต่ความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งที่สหรัฐกำลังทำ ก็คือ ระบบที่ไม่ได้มาจากการยอมรับจากทุกคน ไม่ได้ฉันทานุมัติสร้างด้วยกำปั้น ฉันจะเอาอย่างนี้ ทุกคนจำยอมจะอยู่ได้นานเท่ากับ 'ความเข้มแข็งของกำปั้น' นั้น ต่อให้สร้างขึ้นมาได้ แต่เมื่อความถดถอย เสื่อมถอยมาเยือน ระบบที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจกำปั้นก็จะเสื่อมถอยอย่างรวดเร็วเช่นกัน เฉกเช่นเดียวกับอาคารที่ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว เมื่อเสาต้นนั้นโคลงเคลง ไม่แข็งแรง สุดท้ายก็จะล้มลงมาเช่นกัน  

ทั้งนี้ สิ่งที่สหรัฐทำ จะสำเร็จอย่างถาวร จะสามารถสร้างระเบียบโลกใหม่ได้อีกรอบ ที่ยืนยาว ตั้งมั่น เลี้ยงตัวเองได้เหมือนกับรอบที่แล้วที่อยู่กันมาได้ 80 ปี หรือไม่จะขึ้นกับนโยบายสำคัญ ๆ ที่สหรัฐยังไม่ได้เดินหน้าโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้
- คน
- ประสิทธิภาพการผลิต
- เทคโนโลยี นวัตกรรม
- ขนาดของเศรษฐกิจและการค้า ของสหรัฐกลับมาเป็นผู้นำของโลกอย่างแท้จริง เพราะถ้าไม่แก้สิ่งเหล่านี้ ไม่มุ่งสร้าง Fundamentals และ Foundations ใหม่ที่จะนำไปสู่การสร้างอำนาจใหม่ ที่แท้จริง

สิ่งที่จะได้ก็คือ ระบบใหม่ ที่มาจากอำนาจเก่า ที่กำลังทรุดโทรมลง จบด้วยการที่ 'Changes' ไม่ยืนยาว 'ระบบใหม่ที่พยายามสร้าง' ไม่ถาวร มาดูกันครับว่า จะเป็นเช่นนี้หรือไม่ 

ปล. หากทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้ โลกจะเดินไปอย่างนี้ในช่วงการเปลี่ยนแปลงสำคัญ รอบนี้อาจจะดี ที่ทุกประเทศที่เหลือระหว่างที่ 'ยอมเดินไปกับเขา' มาเตรียมการวางรากฐานของ 'บ้านใหม่' ที่มาจากความยอมรับของทุกคนอย่างแท้จริง เพราะ ฉันทามติ ความยอมรับของทุกฝ่าย คือ หัวใจที่แท้จริงของความยั่งยืน 

‘มูดี้ส์’ ปรับลด!! อันดับความน่าเชื่อถือของ ‘สหรัฐฯ’ หลังหนี้สาธารณะพุ่งสูง อยู่ในภาวะที่ควบคุมไม่ได้

(17 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

มูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ เนื่องจากหนี้สาธารณะพุ่งสูง

Moody's เพิ่งโจมตีชื่อเสียงทางการเงินของอเมริกาอย่างรุนแรง ด้วยการลดอันดับความน่าเชื่อถือเครดิตของสหรัฐฯ จาก AAA เหลือ Aa1 โดยเข้าร่วมกับคู่แข่งอย่าง S&P และ Fitch ในการประกาศให้สถานะหนี้ของสหรัฐฯ อยู่ในภาวะที่ควบคุมไม่ได้อย่างเป็นทางการ

สำนักงานจัดอันดับเครดิตที่มีอายุ 116 ปีกล่าวโทษ "การขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาล" และต้นทุนดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้การขาดดุลการคลังแตะระดับ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากปีที่แล้ว

“รัฐบาลและรัฐสภาสหรัฐฯ ชุดต่อๆ มาล้มเหลวในการตกลงกันเกี่ยวกับมาตรการเพื่อพลิกกลับแนวโน้มของการขาดดุลงบประมาณรายปีจำนวนมากและต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น”

จังหวะเวลาไม่สามารถแย่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว - การปรับลดระดับดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันปฏิเสธวาระการประชุมใหญ่ของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการขยายเวลาการลดหย่อนภาษีปี 2017

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นทันที 3 จุดพื้นฐานเป็น 4.48% ขณะที่กองทุน ETF พันธบัตรร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนรับรู้ความจริงที่ว่าความน่าเชื่อถือทางการเงินของอเมริกาไม่ได้แข็งแกร่งอีกต่อไป

Peter Boockvar จาก Bleakley Financial สรุปไว้ดังนี้

"นี่คือหน่วยงานจัดอันดับเครดิตหลักที่ออกมาประกาศว่าสหรัฐฯ มีหนี้สินและการขาดดุลที่ตึงตัว"

‘ทรัมป์ – ปูติน’ เตรียมพบกัน ในวันจันทร์นี้ เทียบได้กับการเจรจา!! ในช่วงสงครามเย็น

(18 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

การพบกันระหว่างทรัมป์และปูตินในวันจันทร์นี้คือฝันร้ายที่สุดของยูเครน

หนังสือพิมพ์ The Telegraph รายงานว่าทรัมป์ได้ทรยศต่ออุดมคติของประชาธิปไตยระดับโลกอีกครั้ง และ “ปูตินผู้เจ้าเล่ห์จะดึงดูดความสนใจของทรัมป์ทั้งหมด” ในการประชุมโดยไม่ต้องมีคนกลาง

The Telegraph บ่นอุบอิบว่าบรรดาผู้นำยุโรปต่างหวังว่าการที่ประธานาธิบดีรัสเซียไม่เข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับยูเครนในอิสตันบูลจะทำให้ทรัมป์หมดความอดทน แต่แทนที่จะเข้าข้างยุโรปและใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับตัดสินใจ "ตอบแทน" ประธานาธิบดีรัสเซียด้วยการพบปะเป็นการส่วนตัว

The Telegraph ระบุว่า จากมุมมองของปูติน การเจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะช่วยเสริมสร้างสถานะของรัสเซียในฐานะมหาอำนาจ และการพบปะดังกล่าวจะเทียบได้กับการเจรจาระหว่างมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็น

The Telegraph ระบุหลายครั้งในบทความว่าสำหรับชาวยูเครน การพบปะกันแบบนี้ถือเป็นฝันร้ายที่สุด เนื่องจากปูตินจะดึงดูดความสนใจของทรัมป์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และจะไม่มีคนกลางที่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของเคียฟได้

คาด!! ‘ทรัมป์’ จะอนุมัติการซื้อกิจการ US Steel ของ Nippon Steel ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับ ‘นายกฯญี่ปุ่น อิชิบะ’ ที่ล็อบบี้ให้มีการอนุมัติ

(24 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

อิชิบะพูดคุยทางโทรศัพท์กับทรัมป์ โดยเน้นย้ำข้อเท็จจริงที่ว่าการลงทุนของญี่ปุ่นในสหรัฐฯ จะสร้างงาน

ทรัมป์เผยในโซเชียล

“ข้าพเจ้าภูมิใจที่จะประกาศว่าหลังจากการพิจารณาและเจรจากันอย่างถี่ถ้วนแล้ว US Steel จะยังคงอยู่ในอเมริกา และยังคงตั้งสำนักงานใหญ่ในเมืองพิตต์สเบิร์กที่ยิ่งใหญ่ 

เป็นเวลาหลายปีที่ชื่อ "United States Steel" เป็นชื่อที่สื่อถึงความยิ่งใหญ่ และตอนนี้ก็จะเป็นอีกครั้ง 

นี่คือความร่วมมือที่วางแผนไว้ระหว่าง United States Steel และ Nippon Steel ซึ่งจะสร้างงานได้อย่างน้อย 70,000 ตำแหน่ง และเพิ่มมูลค่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ 

การลงทุนส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายใน 14 เดือนข้างหน้า นับเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเครือรัฐเพนซิลเวเนีย 

นโยบายภาษีศุลกากรของข้าพเจ้าจะทำให้มั่นใจได้ว่าเหล็กจะกลับมาผลิตในอเมริกาอีกครั้ง ตั้งแต่เพนซิลเวเนียไปจนถึงอาร์คันซอ และตั้งแต่มินนิโซตาไปจนถึงอินเดียนา 

AMERICAN MADE กลับมาแล้ว ข้าพเจ้าจะพบกับพวกคุณทุกคนในงาน US Steel ที่พิตต์สเบิร์กในวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคมนี้ เพื่อร่วมการชุมนุมครั้งใหญ่ ขอแสดงความยินดีกับทุกคน”

‘ผู้พิพากษาสหรัฐฯ’ ขวาง!! รัฐบาลทรัมป์ กรณีเพิกถอนสถานะทางกฎหมาย ‘นศ.ต่างชาติ’

(24 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

เจฟฟรีย์ ไวท์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งห้ามรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิกถอนสถานะทางกฎหมายของนักศึกษาชาวต่างชาติที่ศึกษาและทำงานอยู่ในสหรัฐฯ โดยปราศจากการพิจารณารายบุคคล รวมถึงห้ามจับกุมหรือกักขังนักศึกษาที่เกิดในต่างประเทศโดยอ้างอิงสถานะผู้อพยพเพียงอย่างเดียว

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยุติการบันทึกข้อมูลชาวต่างชาติหลายพันคนในฐานข้อมูล "ระบบข้อมูลนักศึกษาและผู้เข้าร่วมการแลกเปลี่ยน" (SEVIS) ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเมื่อเดือนเมษายนด้วยข้ออ้างปราบปรามนักศึกษาชาวต่างชาติที่มีประวัติอาชญากรรม ทำให้นักศึกษาชาวต่างชาติสูญเสียสถานะทางกฎหมายในสหรัฐฯ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกจับกุม กักขัง หรือเนรเทศ

คำสั่งห้ามของวันพฤหัสบดี (22 พ.ค.) ยังห้ามรัฐบาลสหรัฐฯ โอนย้ายโจทก์ในคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณาไปยังเขตอำนาจศาลนอกถิ่นพำนักอาศัย ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการบรรเทาความวิตกกังวลครั้งแรกแก่นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ โดยไวท์ระบุว่ารัฐบาลภายใต้การนำของทรัมป์ "สร้างหายนะ" แก่ชีวิตความเป็นอยู่ของโจทก์ รวมถึงนักศึกษาชาวต่างชาติคนอื่นๆ

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ได้เพิกถอนการรับรองมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดภายใต้โครงการนักศึกษาและผู้เข้าร่วมการแลกเปลี่ยนเมื่อวันพฤหัสบดี (22 พ.ค.) ซึ่งส่งผลให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดไม่สามารถรับสมัครนักศึกษาชาวต่างชาติใหม่เข้าเรียนได้

ด้านมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยื่นฟ้องร้องในวันศุกร์ (23 พ.ค.) ซึ่งผู้พิพากษาในรัฐแมสซาชูเซตส์ได้อนุมัติคำสั่งยับยั้งการเพิกถอนดังกล่าวเป็นการชั่วคราว เพื่ออนุญาตนักศึกษาชาวต่างชาติสามารถลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดต่อไปได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top