Thursday, 3 July 2025
TheStatesTimes

กฟผ. กับภารกิจรักษาความมั่นคงปลอดภัยเขื่อน ด้วยหัวใจของทีมผู้เชี่ยวชาญและนักประดาน้ำ

(2 ก.ค.68) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไม่เพียงแต่มีหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อส่งต่อพลังงานสู่บ้านเรือนและภาคเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น แต่เบื้องหลังพลังงานเหล่านี้ ยังเต็มไปด้วยภารกิจที่ท้าทาย และทีมงานที่ทุ่มเทดูแล 'เขื่อน' ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด

เพราะเขื่อนไม่ใช่แค่ที่เก็บน้ำ...

เขื่อนไม่ใช่เพียงแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในด้านชลประทาน การเกษตร อุปโภคบริโภค หรือการรักษาระบบนิเวศเท่านั้น แต่ยังเป็นโครงสร้างที่มีผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานโดยตรง น้ำที่ระบายจากเขื่อนเป็นพลังงานสะอาดที่ช่วยหมุนกังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้คนไทยใช้ทุกวัน

ดังนั้น ความมั่นคง แข็งแรง และปลอดภัยของเขื่อน จึงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ และต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญของ กฟผ. ซึ่งแบ่งหน้าที่ตรวจสอบออกเป็นหลายด้าน ทั้งบนบก ใต้ดิน และใต้น้ำ

ตรวจสอบแม่นยำด้วยเทคโนโลยี

การตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อนแต่ละแห่ง ดำเนินการอย่างเป็นระบบ เช่น ที่เขื่อนศรีนครินทร์ ทีมผู้เชี่ยวชาญจะเริ่มตรวจด้วยสายตา โดยการเดินสำรวจแนวหินถมบนสันเขื่อน ซึ่งสูงกว่า 140 เมตร เพื่อดูการทรุดตัวของแนวหินและสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น จากนั้นจึงเข้าสู่การตรวจสอบทางเทคนิคด้วยระบบฐานข้อมูล DS-RMS (Dam Safety – Remote Monitoring System) ระบบนี้สามารถวัดพฤติกรรมเขื่อนได้แบบเรียลไทม์ โดยจะเก็บข้อมูลจากเครื่องมือต่าง ๆ ที่ติดตั้งไว้ทั้งในตัวเขื่อนและบริเวณโดยรอบ แล้วแสดงผลออกมาเป็นกราฟ โดยสามารถตรวจสอบครอบคลุมทั้งสภาวะปกติ สภาวะแผ่นดินไหว และสภาวะน้ำหลาก โดยแบ่งสถานะความปลอดภัยเป็น 3 ระดับ คือ

• ปกติ
• แจ้งเตือน
• เฝ้าระวัง
ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทีมวิศวกรสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำว่าควรเข้าดำเนินการหรือไม่

ภารกิจใต้ดินในอุโมงค์ความมั่นคง

นอกจากภายนอกเขื่อนแล้ว ภายในก็ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดเช่นกัน โดยเฉพาะ 'อุโมงค์ตรวจสอบเขื่อน' ซึ่งเป็นพื้นที่อับอากาศ มีความชื้นสูง และบางจุดมีความแคบมาก เช่น ที่เขื่อนศรีนครินทร์ มีความกว้างของรากฐานกว่า 586 เมตร เจ้าหน้าที่ต้องลงบันไดชันที่สูงเทียบเท่าตึก 15 ชั้น และต่อด้วยบันไดเวียนอีกกว่า 250 ขั้น

ภารกิจนี้ไม่เพียงแต่ใช้ความแข็งแรงทางร่างกาย แต่ยังต้องมีความละเอียดและชำนาญสูง เพื่อสำรวจสภาพคอนกรีตและโครงสร้างภายในอย่างละเอียดที่สุด

เบื้องหลังใต้น้ำ : ทีม 'นักประดาน้ำ กฟผ.'

ภารกิจสำคัญอีกด้านที่ไม่อาจมองข้าม ก็คือ 'งานใต้น้ำ' ซึ่งต้องพึ่งพาทีมนักประดาน้ำ กฟผ. โดยตรง ซึ่งนักประดาน้ำ กฟผ. เป็นหนึ่งในหน่วยงานเฉพาะทางขององค์กร ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2519 และในปัจจุบันมีเพียง 48 คนทั่วประเทศ หน้าที่ของพวกเขาคือการ ดำดิ่งลงไปลึกกว่า 50–60 เมตร เพื่อบำรุงรักษาอุปกรณ์ใต้น้ำที่เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้าเขื่อนและโรงไฟฟ้าพลังความร้อน

ภารกิจที่ต้องทำในความมืดมิด เช่น

• เชื่อมและตัดต่ออุปกรณ์ใต้น้ำ
• ขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ
• ตรวจสอบหอหล่อเย็นในพื้นที่แคบ
• ดูแลอุปกรณ์ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายขึ้นมาซ่อมบนบกได้
ประสาทสัมผัสจากมือ ความชำนาญเฉพาะด้าน และการตัดสินใจภายใต้แรงดันน้ำมหาศาล จึงเป็นสิ่งที่ทีมนี้ต้องฝึกฝนอย่างเข้มข้น

ความเสี่ยงที่ต้องซ้อมซ้ำทุกปี

เพื่อให้มั่นใจว่า 'นักประดาน้ำ กฟผ.' พร้อมปฏิบัติงานได้ทุกสถานการณ์ จึงได้จัดฝึกอบรมและทดสอบสมรรถภาพนักประดาน้ำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ทั้งในด้านทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อให้มั่นใจว่านักประดาน้ำมีความพร้อมทางร่างกาย จิตใจ และความรู้ด้านงานช่างตลอดเวลา

เมื่อมนุษย์ไม่อาจเข้าถึง... กฟผ. จึงใช้ ‘ยานใต้น้ำ’

ในบางจุดที่ลึกเกินไปหรือมีความเสี่ยงเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าถึง กฟผ. ยังมีการใช้ 'ยานสำรวจใต้น้ำ' (ROV – Remotely Operated Vehicle) ซึ่งสามารถบันทึกภาพแบบวิดีโอเพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนบำรุงรักษาต่อไปได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำยิ่งขึ้น

ความปลอดภัยของเขื่อน คือ ความมั่นคงของชาติ

ทุกฟันเฟืองที่ทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร ผู้ตรวจสอบ นักประดาน้ำ หรือผู้วิเคราะห์ข้อมูล ล้วนมีส่วนร่วมในภารกิจสำคัญในการรักษาความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อน และส่งต่อความมั่นคงทางพลังงานให้คนไทยทุกคนอย่างยั่งยืน

‘เต้น ณัฐวุฒิ’ ออกโรงค้านคำวินิจฉัยศาลรธน. ซัดแรงอำนาจตุลาการทำลายประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ (1 ก.ค. 68) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ผมไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ  การปลดนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง การยุบพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหนก็ตาม เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นโดยง่าย อย่างที่เราเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเทศนี้ ที่มาและขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ ความจริงย่อมอธิบายได้

รัฐธรรมนูญนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระกำหนดมาตรฐานจริยธรรมขึ้น แม้ต้องฟังความเห็นทั้งสภาผู้แทนฯ วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี แต่ดาบอยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญซึ่งใช้ปลดนายกรัฐมนตรีมาแล้วหนึ่งคน และตัดสิทธิ์นักการเมืองบางคนด้วย จะเรียกว่านิติสงคราม หรือ ตุลาการภิวัฒน์ก็ตาม ความหมายโดยนัยของสองคำนี้คือ เส้นแบ่งระหว่างการเป็นกรรมการกับการเป็นอาวุธทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของอำนาจตุลาการ บางลงจนแทบไม่เห็นช่องว่าง ที่กำลังเป็นอยู่ ไม่ส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตย ไม่เคารพอำนาจอธิปไตยของประชาชนเลยครับ

สล.พมพ.ทรภ.1 จัดกิจกรรมเสริมสร้างความร่วมมือในพื้นที่ชายแดน

ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2568 สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 1 (สล.พมพ.ทรภ.1) ได้จัดกิจกรรมเสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ณ โรงเรียนในอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยมี นาวาเอก กฤษดา จิระไตรพร รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วยผู้แทนจาก ทัพเรือภาคที่ 1, กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) หน่วยประสานงานพื้นที่ชายแดนตราด สมาคมชาวประมงจังหวัดตราด และกลุ่มอาสาสมัคร “ใจถึงใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” 

นำโดย นายฝันเด่น จรรยาธนากร (พี่เล็ก) ร่วมกิจกรรม เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันในมิติต่าง ๆ อาทิ การรักษาความมั่นคงชายแดน การช่วยเหลือประชาชน และการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน กิจกรรมในครั้งนี้ยังรวมถึงการลงพื้นที่ มอบอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ของที่ระลึก ยาและเวชภัณฑ์ ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ ได้แก่ โรงเรียนบ้านหนองม่วง ตำบลไม้รูด อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด โรงเรียนวัดห้วงโสม ตำบลไม้รูด อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด โรงเรียนบ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทัพเรือภาคที่ 1 ในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในด้านความมั่นคงและพัฒนาสังคมในพื้นที่ชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม

สตม.บุกรวบผู้ต้องหาอาชญากรรมค้ายาเสพติดตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน พ่วงผู้ต้องหาเสพและครอบครองยาบ้า 

ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง  รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช./ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย 

กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.,  พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล  รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง รอง ผบก.สส.สตม.,  พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้   

สตม.บุกรวบผู้ต้องหาอาชญากรรมค้ายาเสพติดตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน พ่วงผู้ต้องหาเสพ และครอบครองยาบ้า กก.1 บก.สส.สตม. จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติจีน จำนวน 2 คน ดังนี้
1. นายหลี่ (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 624/2568 ลงวันที่ 16 มิ.ย.2568 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน อาชญากรรมค้ายาเสพติด (ออกหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน) นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ เพื่อส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีน    
2. นายหยู (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี พร้อมด้วยของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า 418 เม็ด และไอซ์ 1.05 กรัม) พร้อมด้วยอุปกรณ์การเสพ จำนวน 2 ชุด โดยกล่าวหาว่า เสพและมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าและไอซ์) โดยผิดกฎหมาย นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ดำเนินคดีตามกฎหมาย

สถานที่จับกุม บ้านพักภายในหมู่บ้านย่านลาดพร้าว 71 นาคนิวาส 48 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ สืบเนื่องจาก สำนักงานอัยการสูงสุด ได้มีหนังสือแจ้งมายัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีสถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ร้องขอให้ทางการราชอาณาจักรไทยให้ส่งตัวนายหลี่ บุคคลสัญชาติจีน เพื่อส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ในความผิดฐาน “อาชญากรรมค้ายาเสพติด” อันเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ ได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขอออกหมายจับนายหลี่ และได้ส่งหมายจับศาลอาญา ที่ 624/2568 ลงวันที่ 16 มิ.ย.2568มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการสืบสวนจับกุม  

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้สั่งการให้ บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามจับกุมนายหลี่ ตามหมายจับของศาลอาญาดังกล่าว พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม. จึงได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามจับกุม จากการสืบสวนของ กก.1 บก.สส.สตม. พบว่า นายหลี่ ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยและพักอาศัยอยู่ในบ้านพักภายในหมู่บ้านย่านลาดพร้าว 71 นาคนิวาส 48 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ จึงได้ขอหมายค้นต่อศาลอาญาเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบนายหลี่ พักอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว และพบ นายหยู ภายในห้องนอนชั้น 2 พร้อมของกลางยาบ้า 418 เม็ด ไอซ์ 1.05 กรัม และอุปกรณ์การเสพ จำนวน 2 ชุด  ซึ่งนายหยูทิ้งลงไว้ใต้เตียงนอนเมื่อทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้น จึงได้ทำการจับกุม นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบแก๊สไนตรัสออกไซด์หรือแก๊สหัวเราะ บรรจุหลอดเล็ก 152 หลอด หลอดใหญ่ 6 หลอด จุกสีขาวสำหรับเสียบหลอดแก๊ส 92 อัน ลูกโป่งถุงใหญ่ 4 ถุง ลูกโป่งถุงเล็ก 2 ถุง ซึ่งนายหลี่อ้างว่าได้ซื้อมาจากย่านอาร์ซีเอไว้เพื่อสูดดมเองจึงได้ตรวจยึดไว้เพื่อทำการตรวจสอบและสืบสวนขยายผลหาผู้กระทำผิดต่อไป

‘สนามบินปักกิ่งต้าซิง’ สุดคึกคักรับฤดูร้อน คาดผู้โดยสารพุ่งทะลุ 9.5 ล้านคนใน 2 เดือน

(2 ก.ค. 68) ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ต้าซิง ซึ่งเป็นสนามบินใหญ่ที่สุดในกรุงปักกิ่ง คาดว่าช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมนี้ จะมีผู้โดยสารหมุนเวียนมากกว่า 9.52 ล้านคน รองรับเที่ยวบินรวมราว 60,400 เที่ยว เพิ่มขึ้นจากปีก่อนทั้งจำนวนเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสาร

คาดว่าการเดินทางจะคึกคักที่สุดในวันที่ 5 สิงหาคม โดยมีเที่ยวบินสูงสุดถึง 1,031 เที่ยว และผู้โดยสารหมุนเวียนถึง 170,500 คน สะท้อนถึงความต้องการเดินทางในช่วงวันหยุดที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

สำหรับการเดินทางภายในประเทศจีนยังคงได้รับความนิยม โดยเฉพาะปลายทางที่มีอากาศเย็นสบายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ ขณะที่เส้นทางต่างประเทศที่ได้รับความสนใจคือจุดหมายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออก รวมถึงยุโรป เช่น ลอนดอน มอสโก และอัมสเตอร์ดัม

นโยบายผ่อนคลายด้านวีซ่าของจีนมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการเดินทางระหว่างประเทศ โดยช่วงฤดูร้อนนี้คาดว่าจะมีเที่ยวบินระหว่างประเทศเฉลี่ยเกือบ 100 เที่ยวต่อวัน และผู้โดยสารข้ามพรมแดนเฉลี่ย 17,000 คนต่อวัน

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ท่าอากาศยานฯ ต้าซิงได้ให้บริการผู้โดยสารระหว่างประเทศไปแล้วมากกว่า 2.7 ล้านคน ตอกย้ำบทบาทสำคัญของสนามบินแห่งนี้ในฐานะประตูเชื่อมต่อจีนกับนานาประเทศ

‘สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ’ เปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น ‘สมาคมคู่สมรสทหารอากาศ’ หนุนความเท่าเทียมทุกเพศ

(2 ก.ค. 68) สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น “สมาคมคู่สมรสทหารอากาศ” อย่างเป็นทางการ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและบทบาทของคู่สมรสในกองทัพอากาศยุคปัจจุบัน รวมถึงสะท้อนความเท่าเทียมทางเพศและการยอมรับในความหลากหลาย

การเปลี่ยนแปลงนี้มีจุดเริ่มต้นจากแนวคิดของคุณมนทิรา พัฒนกุล นายกสมาคมฯ คนปัจจุบัน ที่ต้องการให้ชื่อสมาคมครอบคลุมคู่สมรสทุกเพศทุกสถานะ โดยเฉพาะในกรณีที่นายทหารหญิงมีคู่สมรสเป็นบุรุษ ซึ่งมีสิทธิเป็นสมาชิกและร่วมกิจกรรมของสมาคมได้อย่างเท่าเทียม

ชื่อใหม่ในภาษาอังกฤษคือ “Air Force Spouses Association (AFSA)” โดยยังคงภารกิจหลักเดิมในการดูแลสวัสดิการครอบครัวกำลังพล จัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ และสนับสนุนภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพอากาศควบคู่กันไป

แม้เปลี่ยนชื่อ แต่สมาคมฯ ยืนยันว่าจะสานต่อเจตนารมณ์เดิมอย่างเข้มแข็ง พร้อมปรับบทบาทให้สอดคล้องกับยุคสมัย เพื่อดูแลครอบครัวทหารอากาศในทุกมิติต่อไปอย่างยั่งยืน

'40 ศิลปินไทย' ผนึกกำลังหลอมรวมใจ ร่วมถ่ายทอดบทเพลงพระราชนิพนธ์ 'เราสู้'

(2 ก.ค.68) เพจเฟซบุ๊ก 'กองบัญชาการกองทัพไทย Royal Thai Armed Forces Headquarters' ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ศิลปินไทยกว่า 40 ชีวิต ทุกรุ่น ทุกแนวเพลง พร้อมใจกันถ่ายทอดบทเพลงพระราชนิพนธ์ 'เราสู้' ในโครงการ '๑ ในล้านความดี' เรียบเรียงดนตรีใหม่โดย หนึ่ง จักรวาล เพื่อส่งกำลังใจให้ทหารแนวหน้าและคนไทยทุกคน มาร่วมรับชมและรับฟังบทเพลงแห่งพลังใจนี้พร้อมกัน วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ทางทุกช่องทางออนไลน์ พลังเล็กๆ ของเราทุกคน สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้! รับชมได้จาก https://youtu.be/b7arRoRNFbk

#เราสู้ #หนึ่งในล้านความดี #คนไทยไม่ทิ้งกัน

3 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จฯ เยือนรัสเซีย จุดเริ่มต้นสถาปนาความพันธ์สู่มิตรแท้ที่ยาวนาน

ย้อนอดีต 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินเยือนรัสเซีย นับเป็นปฐมบทความสัมพันธ์ไทย – รัสเซีย มายาวนานครบ 128 ปี

ไทยและรัสเซียได้ยึดถือการเสด็จประพาสรัสเซียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (3-11 กรกฎาคม พ.ศ. 2440/ค.ศ.1897) เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน โดยความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์มีความใกล้ชิด 

การเสด็จฯ ในครั้งนั้น นับเป็นการเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการครั้งแรก ซึ่งต่อมาได้ถือวันดังกล่าวเป็นวันสถาปนาความสัมพันธ์ไทยและรัสเซีย 

โดยก่อนหน้านั้น พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยศที่ "มกุฎราชกุมาร" แห่งรัสเซีย ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยือนราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระสหายสนิทในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ระหว่างวันที่ 20 - 24 มีนาคม พุทธศักราช 2434 รวมเวลาทั้งสิ้น 5 วันโดยได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกีรยติเช่นกัน 

ว่ากันว่า ด้วยพระราชไมตรีอันแน่นแฟ้นของพระราชวงศ์ทั้งสองนี้ ก็ได้คานอำนาจของประเทศมหาอำนาจในยุโรปอย่างฝรั่งเศสและอังกฤษ ทำให้สยามดำรงเอกราชเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคจวบจนกระทั่งทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม ไทยกับรัสเซียไม่มีการติดต่อกันทางการทูตนับแต่ปี 2460 (ค.ศ.1917) เมื่อเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัสเซียจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบสังคมนิยม ทั้งนี้ ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยครั้งใหม่ ในปี พ.ศ.2491 (ค.ศ.1948) โดยได้มีการแลกเปลี่ยนคณะทูตชุดแรกระหว่างกันในระดับอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม ต่อมา เมื่อสหภาพโซเวียตได้สลายตัวลงในปี 2534 (ค.ศ.1991) สหพันธรัฐรัสเซียได้เป็นผู้สืบสิทธิ์ของสหภาพโซเวียตทั้งหมด จึงถือได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียดำเนินต่อมาโดยไม่หยุดชะงัก

๔ กรกฎาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี

สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ประสูติเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2500 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต 

ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์เล็กในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้รับพระราชทานพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

พระนาม จุฬาภรณ์ หมายถึง การอัญเชิญพระนาม 'จุฬา' ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นคำต้นพระนามของพระองค์ เนื่องด้วยในวันประสูตินั้น เป็นวันมหาปีติของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา  

ทรงเริ่มศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนจิตรลดา ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ทรงได้รับการปลูกฝังทางศิลปะ นาฏศิลป์และดนตรี จากพระอาจารย์ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทั้งยังทรงสนพระทัยวิชาคำนวณและวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันโปรดศึกษาวิชาภาษาต่างประเทศ และวิชาศิลปะควบคู่กันไป โดยทรงเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ ในระดับมัธยมปลาย เพื่อนำความรู้มาต่อยอดทำประโยชน์เพื่อความสุขของประชาชน

เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย ทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ สาขาอินทรีย์เคมี เกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทรงสอบได้ที่ 1 ในวิชาเคมีและชีววิทยา ทั้งยังทรงได้รับรางวัลเรียนดีจากมูลนิธิศาสตราจารย์ ดร.แถบ นีละนิธิ 

พ.ศ.2528 ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาอินทรีย์เคมี มหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ยังทรงสำเร็จการอบรมระดับหลังปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยอูล์ม สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

พ.ศ.2550 ทรงสำเร็จการศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

พ.ศ.2557 ทรงสำเร็จการศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพสัตวแพทย์ (หลักสูตรนานาชาติ) จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อนำความรู้ไปช่วยเหลือสัตว์ต่างๆ

ทรงมีพระธิดา 2 พระองค์ คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ

สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ทรงอุทิศพระวรกายเพื่ออาณาประชาราษฎร์ให้มีความสุข อยู่ดีกินดี และร่วมพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ ไม่ว่าจะในแขนงใด 

ด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์นั้น ทรงมีพระราชปณิธานในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาประเทศ โดยทรงแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับต่างประเทศในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ ทำให้เป็นที่ประจักษ์ของชาวโลก 

ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จากยูเนสโก ในปี พ.ศ.2530 ทรงก่อตั้งมูลนิธิจุฬาภรณ์ขึ้น ก่อนพัฒนาเป็นสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ต่อมา เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัย ทั้งทรงก่อตั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ให้บริการทางการแพทย์และการเงินแก่ผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งยากไร้ ทำให้ทรงได้รับการยกย่องเป็น เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์

ทรงดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) และได้เสด็จฯไปทรงร่วมกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มูลนิธิ พอ.สว. ให้การรักษาแก่ผู้ป่วยทุกภูมิภาคของไทย 

ทรงมีพระเมตตาแผ่ถึงบรรดาสัตว์ป่วยอนาถา ทรงรับเป็นประธานกรรมการขับเคลื่อนการดำเนิน “โครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ทั้งยังมีพระดำริให้ก่อตั้งโรงพยาบาลสัตว์ขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศด้วย

พระอัจฉริยภาพด้านศิลปวัฒนธรรมของพระองค์ยังได้ฉายชัด ทรงดนตรี ทรงขับร้องเพลง ทรงนิพนธ์เพลง ทรงวาดภาพ และทรงออกแบบเครื่องประดับและเครื่องแต่งกาย ทรงเชี่ยวชาญเปียโน และกีต้าร์ 

พ.ศ.2543 ขณะเสด็จฯ ไปทรงเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลจีนได้บรรเลง 'กู่เจิง' ถวาย ทำให้ทรงประทับใจและมุ่งมั่นศึกษา ฝึกซ้อมอย่างจริงจัง จนถึงระดับสูงสุด โดยทรงมีพระดำริให้จัดการแสดงดนตรีและวัฒนธรรม 'สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน' กระชับสัมพันธไมตรีไทยกับจีน 

ทรงออกแบบเครื่องประดับผนวกกับงานการกุศล เช่นโครงการ 'ถักร้อย สร้อยรัก' และโครงการ 'ดร.น้ำจิต' นำรายได้สมทบทุนมูลนิธิจุฬาภรณ์ ทั้งยังทรงจัดนิทรรศการภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองด้วย ด้านการศาสนา ทรงดำรงพระองค์เป็นพุทธมามกะ และพุทธศาสนูปถัมภก เอาพระทัยใส่ในพุทธศาสนา ทั้งยังทรงเป็นประธานของโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการเฉลิมพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เป็น “สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี” เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ ใบมะตูม ทรงเจิม พระราชทานพระสุพรรณบัฏและเหรียญรัตนาภรณ์ ร.10 ชั้นที่ 1

สะพานโค้ง 90 องศาอินเดีย กลายเป็นเรื่องขำไม่ออก รัฐสั่งฟันวิศวกร 7 คน แบล็กลิสต์ 2 บริษัทผู้รับเหมา

(2 ก.ค. 68) สะพานแห่งใหม่ในเมืองโภปาล ประเทศอินเดีย กำลังเป็นที่วิจารณ์อย่างหนัก หลังออกแบบให้มีทางโค้งเกือบ 90 องศา เสี่ยงอันตรายต่อผู้ใช้รถ โดยสื่อจากนิวเดลีเผยงบก่อสร้างกว่า 200 ล้านรูปี (ราว 95 ล้านบาท) แต่ยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้เพราะปัญหาด้านความปลอดภัย

ภาพจากมุมสูงเปิดเผยให้เห็นว่า ผู้ขับขี่ที่ขับรถยนต์ขึ้นมาบนสะพานต้องเบรกกะทันหันเพื่อเลี้ยวเข้าโค้งที่แคบอย่างอันตราย ซึ่งวิศวกรผู้ออกแบบอ้างว่าพื้นที่จำกัดใกล้สถานีรถไฟฟ้าทำให้ไม่มีทางเลือกอื่น แต่กลายเป็นยิ่งจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้นในสังคมออนไลน์

ล่าสุด รัฐบาลอินเดียสั่งพักงานวิศวกร 7 ราย และขึ้นบัญชีดำบริษัทรับเหมา 2 แห่ง พร้อมเปิดเผยผลสอบสวนว่าโครงการนี้ “มีความประมาทร้ายแรงทั้งในขั้นวางแผนและก่อสร้าง” แม้เสนอจำกัดการใช้เฉพาะรถยนต์และลดความเร็ว ก็ยังไม่สามารถคลายความกังวลของประชาชนได้

เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาด้านการก่อสร้างในอินเดียที่ยังแก้ไม่ตก ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดกรณีสะพานในเมืองบอมเบย์ที่สร้างแล้วแต่ปลายทั้งสองฝั่งกลับไม่เชื่อมต่อกัน ส่วนที่แคว้นพิหาร มีสะพานอีกแห่งที่จากเดิมที่มีกำหนดว่าจะสร้างเสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้ แต่โครงการกลับไม่แล้วเสร็จตามแผน จึงมีการขอเลื่อนกำหนดสร้างเสร็จออกไปหลายครั้ง รวมทั้งหมดถึง 8 ครั้ง แม้จะเลื่อนมาแล้วหลายรอบ สุดท้ายสะพานก็ยังพังถล่มลงมาอยู่ดีในปี 2023


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top