Friday, 23 May 2025
TheStatesTimes

'หมอเหรียญทอง' โพสต์เดือดฝากถึง 'สิระ' หลังอ้างความดันขึ้นเบี้ยวฟังคำพิพากษาศาลฎีกา

(22 พ.ค 68) ภายหลังศาลแขวงดอนเมือง นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดี พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เป็นจำเลยในความผิดฐานบุกรุกโรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดิน เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2564

อย่างไรก็ตามนายสิระไม่ได้เดินทางมาศาล ขอเลื่อนการฟังคำพิพากษา โดยอ้างว่ามีอาการป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน ศาลจึงอนุญาตให้เลื่อนไปวันที่ 18 มิ.ย.2568

ทั้งนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกนายสิระ เจนจาคะ ฐานหมิ่นประมาท 5 กระทง กระทงละ 2 เดือน รวม 10 เดือน และฐานบุกรุก 6 เดือน รวมโทษทั้งหมด 16 เดือน ไม่รอลงอาญา ต่อมา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาแก้โทษ โดยลดโทษจำคุกเหลือ 10 เดือน และไม่รอลงอาญา

ล่าสุด พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ยังไม่แน่จริง ไม่เข้มแข็งพอ ถึงแม้จะเคยติดคุกมาแล้ว

เมื่อต้องฟังคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสุดท้ายแล้ว ในขณะที่ 2 ศาลยืนตามกัน คือ ศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นพิพากษายืนตามกันให้จำคุกโดยไม่รอลงอาญาทั้ง 2 ศาล

มันคงเครียดมาก นอนไม่หลับ ปวดหัว ความดันขึ้น คนติดคุกก็ต้องเครียดอย่างนี้แหละครับ ...บางรายกลัวคุก จนขี้แตก ท้องร่วง ก็มีนะครับ...บางรายก็ขอให้แพทย์ผ่าตัดอะไรก็ได้...ฉีดสีหลอดเลือดเพื่อหาเหตุให้อ้างว่าป่วยหนัก...อื่นๆ อีกสารพัด...นี่แหละครับ 'กรรม'

รพ.สนามพลังแผ่นดิน ถูกนาย สิระ บุกรุกขัดขวางจนต้องเลื่อนออกไปนานกว่า 1 สัปดาห์ ชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนักขณะนั้นไม่สามารถย้ายเข้า รพ.สนามพลังแผ่นดินที่มีขีดความสามารถ ไอ ซี ยู เพียงแห่งเดียวในสถานการณ์ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียที่รุนแรง

1 สัปดาห์ที่ รพ.สนามต้องเลื่อนออกไปจากการบุกรุกของ นาย สิระ เจนจาคะ นั้น มีผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนัก เสียโอกาสเข้า ไอ ซี ยู รพ.สนาม จนเสียชีวิตจำนวนมาก ผู้เสียชีวิตทั้งหลายไม่มีโอกาสรอดชีวิต เพราะการบุกรุก รพ.สนามโดย นาย สิระ

นายสิระยังมีอีกหลายคดีที่ศาลตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญา หากติดคุกวันนี้แล้ว ยังมีคดีอื่นๆที่จะทยอยตามมาสมทบ นับวันจำคุกเพิ่มเข้าไปอีก 

นายสิระคงคิดหนัก ทั้งยังเป็นคนไม่เข้มแข็ง ก็เลยเครียด ความดันขึ้น ติดคุกให้จบๆ แล้วประพฤติตนเสียใหม่ชีวิตบั้นปลายจะได้มีสุข

23 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 รัชกาลที่ 10 ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ 'โรงพยาบาล 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ'

ย้อนไปเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2545 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ไปทรงประกอบพิธี วางศิลาฤกษ์ พร้อมพระราชทานนาม 'โรงพยาบาล 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ' ณ บ้านปลาดุก หมู่ 3 อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

สำหรับโรงพยาบาลแห่งนี้ เกิดขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลสงฆ์ต้นแบบ เพื่อบำบัดโรคาพาธ ดูแลสุขภาพพระภิกษุสามเณร และดูแลสุขภาพประชาชนผู้ด้อยโอกาส ในชนบทของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด

เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา พระสงฆ์ในชนบทของประเทศไทย เวลาอาพาธจะเข้ารับการบำบัดรักษาที่โรงพยาบาลท้องถิ่นในอำเภอ หรือในจังหวัดของตนปะปนและแออัดกับคนไข้คฤหัสถ์ ซึ่งมีจำนวนมากอยู่แล้วจนเตียงและห้องไม่เพียงพอ อันเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม ในกรณีที่เป็นเรื่องสำคัญก็จะเข้าไปรับการบำบัดที่โรงพยาบาลสงฆ์ในกรุงเทพฯ ซึ่งก็มักจะมีปัญหาในเรื่องหาที่พำนักก่อนเข้าโรงพยาบาล รวมถึงปัญหาค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่าง ๆ เช่น ค่าพาหนะและภัตตาหารตลอดถึงจะต้องหาพระเถระผู้ใหญ่ให้การรับรองเข้าโรงพยาบาลเป็นต้น

ปัญหาเรื้อรังตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็คือ พระสงฆ์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในประเทศ ต่างประสบความเดือดร้อนในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น พระสงฆ์และประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงต้องการให้มี 'โรงพยาบาลสงฆ์' ขึ้น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อขจัดขั้นตอนปัญหาต่าง ๆ ในการบำบัดอาพาธของพระสงฆ์ และเพื่อแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลท้องถิ่น ในการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บของประชาชนในชนบทด้วย แต่ความต้องการในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว ยังมิได้รับการสนองตอบจากรัฐบาล เนื่องจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ คณะสงฆ์และประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเห็นควรรณรงค์ประชาชนร่วมกันบริจาคต้นทุนก่อสร้างตามกำลัง ก่อนที่จะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งยังเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงทราบถึงปัญหาและทรงตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลนี้ เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ ในมหามงคลเฉลิมพระชนม 50 พรรษา ในปีพุทธศักราช 2545 พร้อมพระราชทานนามโรงพยาบาลนี้ว่า 'โรงพยาบาล 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ'

‘อิสราเอล’ เปิดฉากยิงเตือนคณะต่างชาติ จี้สอบด่วน..ทูตญี่ปุ่น-ยุโรปหวิดโดนลูกหลง

(22 พ.ค. 68) เกิดเหตุทหารอิสราเอลยิงปืนเตือนใส่คณะผู้แทนทางการทูตกว่า 20 ประเทศ ขณะลงพื้นที่ใกล้แคมป์ผู้ลี้ภัยในเมืองเจนิน เขตเวสต์แบงก์ เมื่อวันที่ 21 พ.ค. โดยมีเจ้าหน้าที่จากญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศส ตุรกี อียิปต์ รัสเซีย และอีกหลายประเทศร่วมอยู่ด้วย แม้ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่หลายชาติแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้อิสราเอลสอบสวนเหตุการณ์

รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่ามีเจ้าหน้าที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ และได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการ โดยเรียกร้องให้อิสราเอลชี้แจงและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ ด้านโฆษกของสหประชาชาติระบุว่า การยิงปืนใส่คณะทูต 'ไม่อาจยอมรับได้' และขอให้อิสราเอลเคารพความปลอดภัยของคณะทูตทุกชาติ

ขณะที่ กองทัพอิสราเอลชี้แจงว่าคณะทูตเบี่ยงเบนจากเส้นทางที่ได้รับอนุญาตและเข้าสู่เขตหวงห้าม จึงจำเป็นต้องยิงปืนเตือนเพื่อป้องกันความเสี่ยง พร้อมแสดงความเสียใจต่อ 'ความไม่สะดวก' ที่เกิดขึ้น ขณะที่หลายประเทศ ได้แก่ แคนาดา เยอรมนี อิตาลี สเปน และตุรกี ได้เรียกตัวทูตอิสราเอลเข้าชี้แจง หรือเตรียมดำเนินมาตรการทางการทูต

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันต่ออิสราเอลจากนานาชาติให้หยุดปฏิบัติการรุนแรงในฉนวนกาซา ซึ่งส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตกว่า 53,000 ราย และเกิดวิกฤตมนุษยธรรมอย่างรุนแรง ขณะที่สหภาพยุโรปเริ่มทบทวนความร่วมมือกับอิสราเอล และบางประเทศเสนอให้พิจารณาคว่ำบาตรรัฐมนตรีอิสราเอลด้วย

'เนติวิทย์' ขึ้นศาล! คดีหนีทหารครั้งแรก ยังยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมสู้คดี

(22 พ.ค.68) นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กว่า ขึ้นศาลคดีต่อต้านเกณฑ์ทหารครั้งแรก วันนี้ 22 พฤษภาคม ครบรอบ 11 ปีของการรัฐประหารในประเทศไทย (English version below)

เช้าวันนี้ เวลา 10.00 น. ผมเดินทางไปที่ศาลแขวงสมุทรปราการ หลังจากอัยการมีคำสั่งฟ้องผมในข้อหาหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร

เมื่อปีที่ผ่านมา ผมได้ไปที่หน้าหน่วยตรวจเลือก แต่ปฏิเสธที่จะร่วมจับใบดำใบแดง ผมไม่ได้หลบหนี แต่เลือกที่จะไม่ร่วมมือกับระบบที่ผมไม่เชื่อถือ ด้วยเหตุผลทางมโนธรรม

ผมขอยืนยันการปฏิเสธข้อกล่าวหา

การปฏิเสธเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลทางมโนธรรม (conscientious objection) เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

ประชาชนไม่ควรถูกบังคับให้เข้าร่วมในระบบที่ฝึกฝนความรุนแรงหรือขัดต่อความเชื่อส่วนบุคคล ตลอดประวัติศาสตร์ มีผู้คนมากมายลุกขึ้นปฏิเสธการเกณฑ์ทหารด้วยจิตสำนึกทางศีลธรรม หนึ่งในนั้นคือ มูฮัมหมัด อาลี ตำนานนักมวยผู้ประกาศอย่างกล้าหาญว่า “ผมไม่มีเรื่องอะไรกับพวกเวียดกง”

เขาสูญเสียตำแหน่งแชมป์โลก และถูกจำคุก แต่จุดยืนของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลก ในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ เยอรมนี อิสราเอล และอีกมากมาย

มีผู้ปฏิเสธการเกณฑ์ทหารอย่างสันติและยอมแลกด้วยเสรีภาพส่วนตัว พวกเขาคือแรงบันดาลใจของผม

ระบบเกณฑ์ทหารในไทย เป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชัน ความรุนแรง และการใช้อำนาจของกองทัพเกินขอบเขตมาช้านาน ผมเชื่อว่า การต่อสู้ด้วยสันติวิธีครั้งนี้จะนำไปสู่กองทัพที่โปร่งใสขึ้น และสังคมไทยที่เคารพเสรีภาพมากขึ้น เหมือนเมื่อ 11 ปีก่อนที่ผมลุกขึ้นต่อต้านรัฐประหาร

วันนี้ ผมยังคงยืนหยัดในแนวทางเดิม แนวทางของเสรีภาพ มโนธรรม และความไม่รุนแรง

อย่างไรก็ตาม ศาลแขวงสมุทรปราการมีคำสั่ง อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ไม่ต้องวางหลักทรัพย์ แต่ให้สาบานตนแทน

ผู้เชี่ยวชาญชี้แผน ‘Golden Dome’ เสี่ยงล้มเหลวสูง เทคโนโลยียังไม่พร้อม รับมือ ‘ขีปนาวุธข้ามทวีป’ ได้ไม่จริง

(22 พ.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดตัวแผนงานใหญ่ชื่อ “Golden Dome” มูลค่ากว่า 175 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธที่ครอบคลุมทั้งภาคพื้นดินและอวกาศ โดยหวังให้เป็นประการสำคัญในการสกัดภัยคุกคามจากขีปนาวุธข้ามทวีปในอนาคต โดยได้แรงบันดาลใจจากระบบ “Iron Dome” ของอิสราเอลที่ใช้รับมือจรวดจากฉนวนกาซา

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารหลายรายแสดงความกังวลว่า แผนของทรัมป์อาจไม่สามารถบรรลุผลตามที่ตั้งเป้าไว้ ยูริ คนูตอฟ นักประวัติศาสตร์ด้านกองกำลังป้องกันทางอากาศของรัสเซีย ระบุว่า Iron Dome มีจุดแข็งในการจัดการเป้าหมายเดี่ยวหรือกลุ่มเล็ก แต่ไม่สามารถรับมือการโจมตีแบบรวมหมู่หรือการยิงขีปนาวุธจำนวนมากได้ ซึ่งเป็นลักษณะของภัยคุกคามในยุคสงครามนิวเคลียร์

อิกอร์ โคโรตเชนโก บรรณาธิการนิตยสาร National Defense เสริมว่า จุดต่างสำคัญระหว่าง Iron Dome และ Golden Dome คือระดับภัยคุกคามที่ต้องรับมือ โดย Iron Dome ออกแบบมาเพื่อสกัดจรวดทำเองของกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ขณะที่ Golden Dome มีเป้าหมายรับมือขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่ซับซ้อนและเร็วกว่า ซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีใดในปัจจุบันที่สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังตั้งข้อสังเกตว่า Golden Dome มีลักษณะคล้ายคลึงกับโครงการ “สงครามดวงดาว” (Strategic Defense Initiative – SDI) ที่ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน เสนอในยุค 1980 ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีล้ำยุค เช่น เลเซอร์และขีปนาวุธจากอวกาศ แต่ล้มเหลวเพราะข้อจำกัดทางเทคนิคและงบประมาณ แม้เวลาผ่านมากว่า 40 ปี สหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านั้นให้เป็นจริงได้

แม้ส่วนภาคพื้นดินของแผน Golden Dome จะสามารถอัปเกรดจากระบบป้องกันขีปนาวุธที่มีอยู่แล้ว เช่น THAAD, Aegis และ Patriot ได้ แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอวกาศจะต้องพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นภารกิจที่ท้าทายและใช้เวลานาน ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากเกิดการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปในจำนวนมาก Golden Dome ก็อาจไม่สามารถรับมือได้ในเชิงปฏิบัติ และอาจกลายเป็นอีกหนึ่งโครงการล้มเหลวเช่นเดียวกับในอดีต

ทรูยอมรับสัญญาณขัดข้อง แจ้งชดเชยผ่าน SMS กสทช. จี้มาตรฐานบริการ เตือนอาจมีบทลงโทษ

(22 พ.ค. 68) ภายหลังผู้ใช้บริการเครือข่ายทรู (True) ทั่วประเทศประสบปัญหาสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ตล่มนานหลายชั่วโมง ส่งผลกระทบต่อการติดต่อสื่อสารและการดำเนินธุรกิจอย่างกว้างขวาง กสทช. ได้เรียกผู้บริหารของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) เข้าชี้แจงโดยด่วน พร้อมสั่งให้รายงานสาเหตุปัญหาและมาตรการเยียวยาผู้ใช้ภายในวันเดียวกัน

ทรูประกาศขออภัยลูกค้า พร้อมแจ้งว่าบริการวอยซ์และดาต้ากลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้วทั่วประเทศ พร้อมเตรียมส่ง SMS แจ้งรายละเอียดการชดเชยให้ลูกค้าระบบรายเดือนและเติมเงินที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ กสทช. สั่งกำชับให้บริษัทเร่งตรวจสอบและพัฒนาระบบเครือข่ายให้มีความเสถียร พร้อมเตือนว่าหากเกิดเหตุซ้ำอีกจะพิจารณาบทลงโทษขั้นต่อไป

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน คณะผู้บริหารทรูได้เข้าพบ กสทช. เพื่อรายงานแผนป้องกันไม่ให้เหตุลักษณะนี้เกิดซ้ำ และแสดงความพร้อมในการเยียวยาผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุขัดข้องในครั้งนี้

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรับมอบเงินสนับสนุนกิจกรรมสาธารณประโยชน์ ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2568 พร้อมมอบรางวัลให้กับทีมสืบสวนดีเด่น และทีมคิดหุ่นตำรวจอัจฉริยะ 'AI Police Cyborg 1.0'

เมื่อวานนี้ (21 พ.ค.68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2568 โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , จเรตำรวจแห่งชาติ , ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ , ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บังคับบัญชาหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ ร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีข้อสั่งการในการประชุม ดังนี้
1. กำชับให้ทุกหน่วยขับเคลื่อนและดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในด้านการป้องกันปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ หนี้นอกระบบ คนต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย อาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน บุหรี่ไฟฟ้า กัญชา พืชกระท่อมที่ผิดกฎหมาย อย่างเด็ดขาดและจริงจัง ทุกหน่วยจะต้องร่วมกันดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตรวจสอบและประเมินผลได้ โดยให้ถือเป็นนโยบายสำคัญที่ยึดถือปฏิบัติ และให้ทุกหน่วยนำมาใช้เป็นข้อมูลในการบริหารงานบุคคลทุกระดับต่อไป

2. กำชับให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจ ห้ามมิให้ไปช่วยราชการในหน้าที่อื่นโดยเด็ดขาด เพราะอาจขัดต่อกฎหมายตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจ หากกำลังพลไม่เพียงพอให้บริหารจัดการกำลังพลในระดับกองบังคับการ หากมีความจำเป็นหรือไม่เพียงพอให้กองบัญชาการพิจารณาดำเนินการ

3. กรณีพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้พบการก่อเหตุต่อเจ้าหน้าที่รัฐหรือตำรวจเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมา ศปก.ตร.สน.จะต้องปรับแผนการปฏิบัติ แผนเผชิญเหตุ เน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด การสืบสวนก่อน ขณะ และหลังเกิดเหตุ ทำรายงานการสืบสวนโดยละเอียด ขยายผลไปยังตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ถือความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และประชาชนเป็นสำคัญ จะต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยสถานที่เจ้าหน้าที่ในการทำงานและปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้โดยเคร่งครัด

4. กำชับให้ทุกหน่วยเสริมสร้างความสามัคคีภายในหน่วย ให้ผู้บังคับบัญชากำกับดูแลควบคุมการทำงานภายในหน่วย เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำหน้าที่และปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ และจัดโครงการ/กิจกรรมเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการทำงาน ความร่วมมือภายในหน่อย ที่สอดคล้องกับภารกิจของหน่วย

ทั้งนี้ ก่อนการประชุมบริหาร ตร. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เป็นประธานพิธีมอบเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมสาธารณประโยชน์ ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2568 , พิธีมอบรางวัลให้แก่หน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติการระดมกวาดล้างอาชญากรรม เป้าหมายผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปื่น และสืบสวนจับกุมบุคคลตามหมายจับดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 และพิธีมอบรางวัลให้กับโครงการยกระดับมาตรฐานงานสืบสวน ป้องกันปราบปรามและความปลอดภัยสาธารณะ ด้วยเทคโนโลยีระบบหุ่นตำรวจอัจฉริยะ “AI Police Cyborg 1.0”

สำหรับพิธีมอบเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมสาธารณประโยชน์ ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2568 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นประธานรับมอบเงินสนับสนุนจากหน่วยงานหน่วยงานต่าง ๆ โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย คุณอาภิพร ชูวงศ์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , คุณนภัสนันท์ วุฒิจรัสธำรงค์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ และคุณศิริเพ็ญ ตั้งทวีสุโข นวลมา กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ , คุณชนาพร ไกรทอง , คุณลภัทธิตา จินตกานนท์ กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ , คุณมนสิการ สำราญสำรวจกิจ กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมพิธี โดยรับมอบจากผู้สนับสนุนจำนวน 4 หน่วยงาน ได้แก่ 

- เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดย คุณภัคพล งามลักษณ์ ประธานคณะผู้บริหารด้านปฏิบัติการเครือเจริญโภคภัณฑ์ มอบทุนการศึกษาให้กับบุตรข้าราชการตำรวจ จำนวน 10,000,000 บาท และเงินสนับสนุนโครงการสาธารณประโยชน์ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ จำนวน 2,000,000 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 12,000,000 บาท 

- มูลนิธิมาดามแป้ง โดย พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองมูลนิธิมาดามแป้ง ลำดับที่ 1 มอบเงินจำนวน 1,000,000 บาท เพื่อโครงการทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจ

- บริษัท เอเซีย เมทัล จำกัด (มหาชน) โดย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล , คุณชูศักดิ์ ยงวงศ์ไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ คุณเพ็ญจันทร์ ยงวงศ์ไพบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการ/ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มอบเงินจำนวน 1,000,000 บาท เพื่อโครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” ด้านตำรวจทุพพลภาพ

- บริษัท ฮาตาริ อิเลคทริค จำกัด โดย คุณวิทยา พานิชตระกูล กรรมการบริหาร และ คุณชัญญา พานิชตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ มอบเงินจำนวน 1,000,000 บาท เพื่อโครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” ด้านเด็กพิเศษ

โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจจะนำเงินสนับสนุนดังกล่าวไปดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของผู้สนับสนุน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการให้ความช่วยเหลือ พัฒนาศักยภาพ และส่งเสริมขวัญกำลังใจ แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัวต่อไป

พิธีมอบรางวัลให้แก่หน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติการระดมกวาดล้างอาชญากรรม เป้าหมายผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปื่น และสืบสวนจับกุมบุคคลตามหมายจับดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่งานสืบสวน  
- กลุ่มการปฏิบัติที่ 1 : ดีเด่นอันดับ 1 ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 3 , ดีเด่นอันดับที่ 2 ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 5 , ดีเด่นอันดับที่ 3 ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 4 และหน่วยที่มีผลการปฏิบัติดี จำนวน 8 หน่วย ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 7 , กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 8 , ตำรวจภูธรภาค 1 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , ตำรวจภูธรภาค 2 , ตำรวจภูธรภาค 6 และตำรวจภูธรภาค 9
- กลุ่มปฏิบัติการที่ 2 : ดีเด่นอันดับที่ 1 ได้แก่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยที่มีผลการปฏิบัติดี จำนวน 4 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน

พิธีมอบรางวัลให้กับโครงการยกระดับมาตรฐานงานสืบสวน ป้องกันปราบปรามและความปลอดภัยสาธารณะ ด้วยเทคโนโลยีระบบหุ่นตำรวจอัจฉริยะ “AI Police Cyborg 1.0” หรือ พ.ต.อ.นครปฐม ปลอดภัย หุ่นกล้อง AI อัจฉริยะที่สามารถตรวจจับสภาพการจราจร ตรวจสอบใบหน้าบุคคลเชื่อมข้อมูลกับฐานข้อมูลหมายจับ รวมถึงการทำงานเพิ่มประสิทธิภาพของตำรวจ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้พัฒนางานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยการแสวงหาความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชน โดยตำรวจภูธรภาค 7 และตำรวจสอบสวนกลาง จึงได้ร่วมกับหลายภาคส่วน พัฒนาระบบหุ่นตำรวจอัจฉริยะ “AI Police Cyborg 1.0” ซึ่งเป็นระบบ Face Recognition เพื่อพิสูจน์ทราบบุคคลตามหมายจับจากฐานข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งจนถึงปัจจุบันสามารถจับกุมบุคคลตามหมายจับได้ 20 หมาย นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ มีข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 7 และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รับมอบรางวัลจำนวน 13 นาย นำโดย พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

สตม.รวบผู้ต้องหาเอี่ยวพนันออนไลน์ ก่อนเผ่นออกนอกประเทศ

พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สตม. ได้สั่งการให้ บก.ตม.2 เข้มงวดกวดขันและตรวจสอบความปลอดภัยให้คนที่เดินทางเข้า-ออกประเทศ โดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวานนี้ (21 พ.ค.68) เวลาประมาณ 15.50 น. กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ได้รับการประสานจาก กก.2 บก.สอท.3 ว่า นางสาวรัชนีวรรณ อายุ 30 ปี สัญชาติไทย เป็นบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น ในความผิดฐาน "ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน" ทาง กก.2 บก.สอท.3 ได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชีที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหากว่า 10 ล้านบาท โดยได้รับแจ้งว่าบุคคลดังกล่าวจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบิน CATHAY PACIFIC เที่ยวบินที่ CX706 เส้นทาง BKK - HKG ในวันเดียวกัน และขอให้ดำเนินการติดตามจับกุม รวมถึงบันทึกข้อมูลในระบบสารสนเทศ สตม.

ชุดปฏิบัติการที่ 1 กก.สส.ปป.บก.ตม.2 จึงได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์และตรวจสอบตามช่องทางบริเวณพื้นที่ฝ่าย ตม.ขาออก ด่านตรวจคนเข้าเมือง  ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น. ได้พบนางสาวรัชนีวรรณ  ณ บริเวณห้องโถงผู้โดยสารขาออก ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะกำลังจะผ่านการตรวจ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตนและแสดงหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น พร้อมทั้งแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้ผู้ต้องหาทราบเบื้องต้น จากนั้นจึงได้ควบคุมตัว การจับกุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุรุนแรง และได้นำตัวผู้ถูกจับส่ง กก.2 บก.สอท.3 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

แม่ทัพภาคที่ 3 ตรวจเยี่ยมหน่วยในพื้นที่กองกำลังผาเมือง

พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่  3 เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของหน่วย ในพื้นที่กำลังผาเมือง ด้านจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดพะเยา ในห้วงวันที่ 21 – 22 พฤษภาคม 2568 ณ กองบังคับการหน่วยเฉพาะกิจไชยานุภาพ ค่ายพิชิตปรีชากร ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จัวหวัดเชียงใหม่ โดยมี พลตรี กิดากร จันทรา ผู้ บัญชาการกองกำลังผาเมือง ให้การต้อนรับ

จากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ ณ ฐานปฏิบัติการแก่งทรายมูล กองร้อยทหารพรานที่ 3209 กองบังคับการควบคุมทหารพรานศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และกองบังคับการหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย และในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 แม่ทัพภาคที่ 3 และคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยป้องกันชายแดน ในพื้นที่รับผิดชอบ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 31โดยรับฟังบรรยายสรุปประกอบภูมิประเทศ และมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดตรวจการณ์ เนิน 103 บ้านผาตั้ง ตำบลปอ อำเภอเวียงแกน จังหวัดเชียงราย

‘ยิ่งลักษณ์’ ยืนยันจำนำข้าวตั้งใจช่วยชาวนา แต่ต้องรับกรรม…หนี้หมื่นล้านชดใช้จนวันตาย

(22 พ.ค. 68) จากกรณีศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ชดใช้คดีจำนำข้าว 10,028 ล้านบาท ชี้พฤติการณ์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต้องรับผิดทางละเมิดต่อกระทรวงการคลัง

ล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียในวันครบรอบ 11 ปีรัฐประหาร แสดงความเสียใจและไม่เห็นด้วยต่อคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ที่ตัดสินให้เธอต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาทจากโครงการระบายข้าว ทั้งที่ไม่ได้เป็นจำเลยในคดีโดยตรง และก่อนหน้านี้ศาลปกครองกลางเคยวินิจฉัยว่าเธอไม่ต้องชดใช้

อดีตนายกรัฐมนตรีระบุว่า ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร เธอถูกกล่าวหาว่าละเลยการกำกับดูแล แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการระบายข้าวโดยตรง โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่มีเจตนาช่วยเหลือชาวนาให้มีรายได้และชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พร้อมตั้งคำถามถึงความยุติธรรม หากผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งยังถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

เธอกล่าวด้วยว่า “หนี้ 10,000 ล้านบาท ชดใช้ทั้งชีวิตยังไงก็ไม่มีวันหมด” พร้อมสะท้อนว่าการทุ่มเททำงาน ท่ามกลางแรงเสียดทานทั้งทางการเมืองและด้านอื่น ๆ เพื่อค้ำยันราคาข้าวให้มีเสถียรภาพ สร้างโอกาสให้ชาวนามีชีวิตที่ดีขึ้น กลับจบลงด้วยบทสรุปที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับตนเอง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังกล่าวถึงความไม่คืบหน้าในการตรวจสอบการขายข้าวหลังรัฐประหาร ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายนับแสนล้านบาท โดยไม่มีผู้รับผิดชอบ พร้อมย้ำว่า ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา เธอเผชิญกับการยึดอำนาจ คดีความ และการยึดทรัพย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่จะยังคงยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมจนถึงที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top