Thursday, 22 May 2025
TheStatesTimes

‘พีระพันธุ์’ เดินหน้ารื้อสัญญาชั่วนิรันดร์ Adder - FiT พร้อมเร่งลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้าให้ประชาชน

เมื่อวันที่ (19 พ.ค.68) นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE 100) และคณะตัวแทนสมาคมฯ ได้เข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอหารือและรับทราบแนวทางเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ปัญหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบมีค่า Adder และ Feed-in Tariff (FiT) ที่ต้องจ่ายให้กับกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและเล็กมาก (Non-Firm SPP) แบบไม่มีวันหมดอายุสัญญา หรือที่เรียกกันว่า 'สัญญาชั่วนิรันดร์' ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน

ทั้งนี้ ระบบ Adder และ Feed-in Tariff เป็นนโยบายที่ภาครัฐให้เงินสนับสนุน หรือให้เงินส่วนเพิ่มจากอัตราค่าไฟปกติแก่ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อจูงใจภาคเอกชนให้มาลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยโรงไฟฟ้าเหล่านี้สามารถต่อสัญญาขายไฟฟ้าได้เรื่อย ๆ ครั้งละ 5 ปี และต่อเนื่องโดยอัตโนมัติแบบไม่มีวันหมดอายุสัญญา ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้รัฐต้องแบกรับภาระและทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น

ในการหารือครั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในส่วนของสมาคมฯ ได้อธิบายถึงปัญหาข้อขัดข้องในอดีตซึ่งเป็นที่มาของสัญญาดังกล่าว อีกทั้งยังได้รับทราบและเห็นด้วยกับแนวทางที่กระทรวงพลังงานกำลังดำเนินการในการปรับเปลี่ยนสัญญาให้ถูกต้องและเป็นธรรม โดยนายพีระพันธุ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ( กบง.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Non-Firm เพื่อลดผลกระทบค่าไฟฟ้า และได้กำชับให้คณะอนุกรรมการดังกล่าวเร่งดำเนินการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการพยายามแก้ปัญหาระบบ Adder และ Feed-in Tariff ที่สะสมมานาน โดยทางสมาคมฯ ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้ และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะลดผลกระทบที่มีต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน

มูลนิธิพระราหูเปิดสารคดี ‘นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ’ ‘ดร.หิมาลัย’ หวังช่วยสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชนไทย

มูลนิธิพระราหูเปิดตัวสารคดีชุด ‘นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ’ สร้างแรงบันดาลใจแก่นักเรียนและเยาวชน ผ่าน 4 นักเรียนต้นแบบ เผยแพร่ผ่าน YouTube และ Facebook มูลนิธิพระราหู ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ 

(22 พ.ค.68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู เปิดเผยว่า ตามที่มูลนิธิพระราหู โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู และพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ได้ดำเนินการโครงการนักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแบบอย่างของนักเรียนและเยาวชนที่มีความรักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงมีความประพฤติที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียนและเยาวชนคนอื่น ๆ 

เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจแก่นักเรียนและเยาวชนทั่วประเทศทางมูลนิธิพระราหูจึงได้จัดทำสารคดีชุด’นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ’จำนวน 4 ตอน ที่จะนำเสนอแนวคิดและการดำเนินชีวิตของ 4 นักเรียนที่พร้อมต่อสู้กับทุก ๆ อุปสรรค เพื่อเดินหน้าสู่ความหวังและความฝันโดยยังยึดมั่นในคุณงามความดี รวมทั้งบทบาทและหน้าที่ในฐานะ ‘นักเรียน’

สำหรับทั้งสารคดีทั้ง 4 ตอน ได้แก่ .

- นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ EP1 : เรื่องของไอซ์ 
เรื่องราวของเด็กผู้ชายที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ในการที่จะเดินหน้าสู่อาชีพ ‘นักการเมืองท้องถิ่น’ ภายใต้แนวคิดซื่อตรง-ไม่โกง พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาให้กับประชาชน 

- นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ EP2 : เรื่องของแตงโม 
เรื่องราวของเด็กนักเรียนที่ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีพร้อมเหมือนคนอื่น แต่พร้อมที่จะเดินหน้าสู้กับปัญหาความไม่พร้อม ผ่านการแบ่งเบาภาระของครอบครัวอย่างเต็มที่ภายใต้เรี่ยวแรงของตนเอง 

- นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ EP3 : เรื่องของเอม 
นักร้อง นักเรียน และนักสู้ชีวิต ที่พร้อมเดินหน้าเผชิญหน้ากับทุก ๆ อุปสรรคและขวากหนามที่เข้ามาและตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ภายใต้เสียงเพลง ภายใต้ชีวิตและความฝันที่อยากจะดูแล ‘คุณยาย’ 

- นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ EP4 : เรื่องของแก้ว
เรื่องของเด็กดื้อที่จะทำตามความใฝ่ฝันในการเป็น ‘นักร้อง’ ของตัวเอง ที่สำคัญเรื่องของ ‘แก้ว’ ยังเป็นคนที่พร้อมสู้กับทุกเรื่องเพื่อให้สำเร็จไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความฝัน เรื่องของการเรียน และพร้อมที่จะใช้บ่าเล็ก ๆ รับความกดดันเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายของตัวเอง 

โดยทางมูลนิธิพระราหูจะดำเนินการเผยแพร่สารคดีในทุก ๆ วันพฤหัสบดี เวลา 09.00 น. ผ่านทาง Facebook และ Youtube ของ ‘มูลนิธิพระราหู’ และ Facebook และ Youtube ของ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ

วุฒิสภาแฉ ‘สหรัฐฯ’ รู้ความเสี่ยงวัคซีนโควิด mRNA แต่เลือกเงียบ..ชะลอเตือนเรื่องกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

(22 พ.ค. 68) รายงานจากวุฒิสมาชิก รอน จอห์นสัน เผยว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงในรัฐบาลสมัยโจ ไบเดน ซึ่งทราบถึงรายงานปัญหาทางหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) หลังรับวัคซีน mRNA ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 แต่กลับรอถึงปลายเดือนมิถุนายนกว่าจะปรับคำเตือนในฉลากวัคซีน

ในช่วงที่ภาครัฐยังไม่แจ้งเตือน กลับมีการจำกัดเสรีภาพของแพทย์ที่ออกมาเตือนเรื่องผลข้างเคียง โดยบางรายถูกลบโพสต์หรือระงับบัญชี โฆษกรายงานชี้ว่า จนถึงกลางปี 2021 มีรายงานอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบกว่า 158 เคสในระบบ VAERS

กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลติดต่อ CDC และ FDA ตั้งแต่ปลายกุมภาพันธ์ 2021 ถึงเคสกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มวัยรุ่นจากวัคซีนไฟเซอร์ แต่เจ้าหน้าที่ FDA กลับชี้ว่าข้อมูลยังไม่เพียงพอ และไม่ต้องการ “สร้างความตื่นตระหนก”

แม้ในเดือนพฤษภาคม 2021 มีการหารือกันภายใน CDC ว่าควรส่ง “ประกาศเตือนภัยด้านสุขภาพแห่งชาติ (HAN)” เกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน แต่ผู้นำหน่วยงานหลายคน รวมถึงอดีตกรรมาธิการ FDA ไม่เห็นด้วย โดยเลือกเพียงเผยแพร่ประกาศทั่วไปในเว็บไซต์

จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2021 FDA จึงปรับฉลากวัคซีน Pfizer และ Moderna ให้มีคำเตือนเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ รายงานชี้ว่าช่วงเวลาดังกล่าว มีรายงานเคสในระบบพุ่งถึง 752 เคส ขณะที่ทำเนียบขาวยังคงเผยแพร่ข้อความว่า “อาการเหล่านี้พบได้ยาก”

‘เนทันยาฮู’ ยืนยันอิสราเอลอาจสังหาร ‘โมฮัมหมัด ซินวาร์’ ผู้นำฮามาสในกาซาไปแล้ว พร้อมเดินหน้าปฏิบัติการควบคุมฉนวนกาซาทั้งหมด

(22 พ.ค. 68) นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู แถลงว่า อิสราเอล “น่าจะสังหาร” โมฮัมหมัด ซินวาร์ ผู้นำระดับสูงของกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาได้สำเร็จ ระหว่างการโจมตีทางอากาศที่โรงพยาบาลในเมืองคานยูนิสเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 28 ราย และบาดเจ็บกว่า 50 คน

ซินวาร์เป็นน้องชายของยาห์ยา ซินวาร์ อดีตผู้นำฮามาสในกาซาที่ถูกอิสราเอลสังหารไปก่อนหน้านี้ หากได้รับการยืนยัน การเสียชีวิตของเขาจะเป็นอีกหนึ่งความสูญเสียสำคัญของฝ่ายฮามาส แม้กลุ่มยังคงรักษาอำนาจในพื้นที่ไว้ได้บางส่วน

นอกจากนี้ เนทันยาฮูประกาศว่า อิสราเอลจะไม่ยุติปฏิบัติการทางทหารในกาซา จนกว่าจะสามารถควบคุมพื้นที่ทั้งหมดได้ พร้อมระบุว่าอาจยอมรับการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อแลกกับการปล่อยตัวตัวประกัน แต่จะไม่ยุติสงครามจนกว่าฮามาสจะถูกโค่นล้ม และกาซาจะถูกปลดอาวุธ

เนทันยาฮูยังกล่าวถึง “แผนอพยพโดยสมัครใจ” ตามแนวทางของสหรัฐฯ เพื่อเปิดทางให้ชาวกาซาที่ต้องการออกจากพื้นที่สามารถทำได้ พร้อมย้ำว่าอิสราเอลมีสิทธิในการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามของอิหร่าน ซึ่งกำลังอยู่ภายใต้การจับตามองเรื่องโครงการนิวเคลียร์

'บิ๊กอู๊ด' โพสต์ถึง 'เสก โลโซ' ยกย่องลูกผู้ชาย กล้าทำ-กล้ายอมรับ แม้สนิทแต่ทำผิดก็ต้องจับ

‘บิ๊กอู๊ด’ อดีตตำรวจคนดังมือจับผู้พันตึ๋งโพสต์ถึง ‘เสก โลโซ’ ถือเป็นลูกผู้ชาย กล้าทำ กล้ายอมรับ และสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำลงไป แต่หน้าที่พี่ต้องทำ น้องทำผิดพี่ก็ต้องจับ

เมื่อวันที่ (21 พ.ค. 68) พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง อดีต ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. ในฐานะ รองนายกสมาคมตำรวจ โพสต์ถึง ‘เสก โลโซ’ ว่า ในฐานะที่เรารู้จักกันมายาวนาน 10 กว่าปี ความผูกพันมันต้องมี แต่หน้าที่พี่ต้องทำ น้องทำผิดพี่ก็ต้องจับ ก็ขอเป็นกำลังให้เสกเพราะถือเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง กล้าทำ กล้ายอมรับ และสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำลงไป

อย่างไรก็ตาม ขณะเล่นคอนเสิร์ตเขาก็ตักเตือนเยาวชนแล้วว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ตัวอย่างมีให้เห็นมาแล้ว

‘ทรัมป์’ เปิดคลิปฟาดใส่ผู้นำแอฟริกาใต้ กล่าวหา “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนขาว” กลางวงหารือ

(22 พ.ค. 68) เกิดเหตุเผชิญหน้าสุดตึงเครียดในห้องรูปไข่ของทำเนียบขาว เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดวิดีโอที่อ้างว่าแสดงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาวในแอฟริกาใต้ต่อหน้าประธานาธิบดีซีริล รามาโฟซา ที่เดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา สร้างความงุนงงและอึดอัดให้กับผู้นำแอฟริกันอย่างเห็นได้ชัด

วิดีโอที่ฉายแสดงภาพไม้กางเขนสีขาว และคำพูดปลุกระดมจากนักการเมืองฝ่ายค้านในแอฟริกาใต้ ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าคือหลักฐานของความรุนแรงที่รัฐเพิกเฉย พร้อมระบุว่าคนกลุ่มนี้ควรถูกจับกุม โดยการกระทำครั้งนี้ซ้ำรอยการหักหน้าผู้นำยูเครนเมื่อต้นปี สะท้อนถึงพฤติกรรมที่สร้างความลำบากใจให้ผู้นำต่างชาติที่มาเยือน

รามาโฟซาตอบโต้ด้วยความสุภาพ แต่ชัดเจน โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และย้ำว่าไม่เคยเห็นคลิปนี้มาก่อน พร้อมชี้ว่า หากมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริง นักกอล์ฟและนักธุรกิจชาวแอฟริกาใต้ผิวขาวที่ร่วมเดินทางมากับเขาคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ท่าทีดังกล่าวกลับยิ่งกระตุ้นให้ทรัมป์โต้กลับอย่างเผ็ดร้อน พร้อมโชว์เอกสารบทความสนับสนุนคำกล่าวอ้างของตน

นอกจากนี้ รามาโฟซายังระบุว่า ปัญหาอาชญากรรมในแอฟริกาใต้มีอยู่จริง แต่เหยื่อส่วนใหญ่กลับเป็นประชาชนผิวดำ ไม่ใช่เฉพาะชาวไร่ผิวขาวดังที่ทรัมป์กล่าว ขณะที่บรรยากาศการประชุมกลับตึงเครียดยิ่งขึ้น เมื่อทรัมป์แทรกขึ้นว่า “ชาวนาไม่ใช่คนผิวดำ” ก่อนที่ผู้นำแอฟริกาจะตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “เรายินดีจะพูดคุยกับคุณในเรื่องนี้”

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เหตุการณ์นี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้นำชาติอื่น ๆ ที่กำลังพิจารณารับคำเชิญเยือนสหรัฐฯ ในสมัยทรัมป์ เนื่องจากเสี่ยงต่อการถูก “ทำให้อับอาย” ต่อหน้าสาธารณะและสื่อมวลชน ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับแอฟริกาใต้ก็ดูจะห่างเหินยิ่งขึ้น

'ดร.อานนท์' เผยเหตุผลทำไมต้องแก้ไข พรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

(22 พ.ค 68) รศ. ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล (Citizen data sciences) คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊เผยแพร่บทความเรื่อง "ทำไมจึงต้องแก้ไขพรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปี ๒๕๖๘" มีเนื้อหาดังนี้

สำนักงานพระคลังข้างที่ กลายเป็นหน่วยงานเล็กๆ ในสังกัดสำนักพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวัง หลังจากมีการจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ตาม พรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๔๙๑ และแม้จะมีการแก้ไข พรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๕๖๐ และ อีกครั้งใน พ.ศ. ๒๕๖๑ แต่สำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวังก็ยังคงอยู่ เป็นสำนักงานเล็ก ๆ มาโดยตลอด โดยมีภาระหน้าที่ที่เหลืออยู่ไม่มากนัก ดังนี้

หนึ่ง ทำหน้าที่ดูแลการจ่ายเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ เงินปีเป็นเงินที่แต่เดิมรัฐบาลจัดถวายให้พระมหากษัตริย์พระราชทานให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปได้รับพระราชทานไปใช้เป็นการส่วนพระองค์ของเจ้านายแต่ละพระองค์ และรัฐบาลก็ถวายพระมหากษัตริย์ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชย์ ไม่ทรงรับเงินปีจากรัฐบาล พระราชทานคืนกรมบัญชีกลางกระทรวงการคลังทั้งหมด ต่อมาไม่ทรงรับเงินปีที่รัฐบาลจัดถวายเพื่อให้พระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงส่งคืนกรมบัญชีกลางเช่นกัน และทรงใช้เงินส่วนพระองค์พระราชทานเงินปีให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์แทน โปรดอ่านได้จากบทความ เงินปี งบประมาณประจำปี และเงินรายปีวาทกรรมประดิษฐ์บิดเบือนเป็นเท็จใส่ร้ายป้ายสีสถาบันฯ https://mgronline.com/daily/detail/9640000089488

สอง สำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง ทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินและเก็บผลประโยชน์ เช่น ค่าเช่า ของพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์

จะเห็นได้ว่าภาระหน้าที่ของสำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวังมีไม่มากนัก เพราะได้ถ่ายโอนไปที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไปจนหมดแล้ว นับแต่ พ.ศ. ๒๔๙๑

เมื่อมีการตราพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๕ แล้ว สำนักพระราชวัง ก็ย้ายมาสังกัดหน่วยราชการในพระองค์ สำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง ย้ายไปสังกัดกรมบังคับการสำนักพระราชวัง จนกระทั่งในปัจจุบัน

จนกระทั่งหากร่าง พรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2568 ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และกำลังจะนำไปสู่การลงมติของรัฐสภา และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธยแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังแสดงในแผนภาพด้านล่างนี้ ดังนี้

หนึ่ง มีการโอน สำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง ไปสังกัดสำนักงานพระคลังข้างที่ที่เปลี่ยนชื่อมาจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

สอง เปลี่ยนการเรียกชื่อตำแหน่ง จากคณะกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ไปเป็น คณะกรรมการพระคลังข้างที่ และผู้อำนวยการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ไปเป็นผู้อำนวยการพระคลังข้างที่

แต่กลับเกิดการโจมตีของมีความคิดเห็นอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จากต่างแดน เช่น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กับ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ว่านี่คือการกลับไปสู่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างแท้จริง

ประการแรก ตามทฤษฎีองค์การ (Organizational theories) ยังไม่อาจจะเข้าใจได้เลยว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ (Organizational structure) กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (Political regime) ไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหาร (Management system) อะไรไปมากเลย กลับกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไปได้ช่างเป็นตรรกะวิบัติ (Logical fallacy) ของนักวิชาเกินโดยแท้

ประการสอง ทรัพย์สินในพระองค์ กับ ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ ยังคงแยกออกจากกันอย่างชัดเจน อันเป็นไปตาม พรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เช่นเดิม ทั้งนี้ทรัพย์สินในพระองค์ เป็นทรัพย์สินของราชสกุลมหิดล นับตั้งแต่ก่อนครองสิริราชสมบัติ เดิมมีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์ตั้งอยู่ในวังสระปทุม แต่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าเป็นการจัดโครงสร้างองค์การที่ซับซ้อน เพราะมีคณะกรรมการชุดเดียวกัน ควรนำมารวมหน่วยงานกันเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการจัดการมากขึ้น แต่ยังแยกออกจากทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ อันเป็นทรัพย์สินที่จะตกทอดต่อไปยังพระมหากษัตริย์ในภายภาคหน้าให้สามารถทรงใช้เพื่อบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทำนุบำรุงแผ่นดินได้สืบไป

ประการสาม การเปลี่ยนชื่อกลับไปใช้คำโบราณ อันเป็นคำที่เรียกมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเก็บเงินที่ทรงค้าสำเภาได้ไว้ในถุงแดง ข้างพระแท่นที่บรรทม จึงทรงเรียกว่าพระคลังข้างที่ การกลับไปใช้คำโบราณ อันเป็นคำเก่าเฉย ๆ ไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (Political regime) ได้แต่ประการใด ไม่ทราบว่าคนพวกนี้ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ กันมาได้อย่างไร

อันที่จริงร่าง พรบ. ฉบับนี้ก็ได้เขียนเหตุผลในการตรากฎหมายไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า โดยที่พระคลังข้างที่เป็นหน่วยงานที่มีภาระหน้าที่ในการจัดการดูแลพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มาแต่โบราณกาล ซึ่งต่อมาได้มีการจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เพื่อทำหน้าที่แทน เพื่อเป็นการสืบทอดประวัติความเป็นมาให้สอดคล้องกับโบราณราชประเพณี จึงสมควรเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นสำนักงานพระคลังข้างที่ และสมควรรวมกิจการของสำนักพระราชวังเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานพระคลังข้างที่เดิมเข้ามาบริหารจัดการโดยสำนักงานพระคลังข้างที่ตามพระราชบัญญัตินี้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

ประการที่สี่ การรวมกิจการของสำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวังเดิม มาสังกัดสำนักงานพระคลังข้างที่ที่เปลี่ยนชื่อจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ นั้นเป็นการถูกต้องตามหลักการทางการจัดการการเงิน เพราะสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เดิม มีความชำนาญ (Specialization) ในการจัดการทรัพย์สินมากกว่า มีบุคลากรพร้อมกว่า อันน่าจะตอบโจทย์ในภารกิจที่สองของสำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง (เดิม) ได้ดีมีประสิทธิภาพกว่า

นอกจากนี้ในเชิงการบัญชีและการเงิน การจ่ายเบี้ยหวัดเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นการใช้จ่ายเงินส่วนพระองค์ อันน่าจะเกิดจากผลประโยชน์งอกเงยของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ที่บริหารการเงินและทำบัญชีโดยสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (เดิมอยู่แล้ว) ย่อมทำให้ลดขั้นตอนในการทำงาน ทำให้ทำงานได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องโอนเงินไปมาข้ามหน่วยงานอีกต่อไป ทำให้น่าจะตอบสนองต่อภารกิจในการจ่ายเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ ได้สะดวกรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะน่าจะลดขั้นตอนในการโอนเงินระหว่างหน่วยงานได้

ประการที่ห้า การเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงค้าสำเภาได้กำไรเป็นเงินตราต่างประเทศ เหรียญทองปีกนกเม็กซิโกเป็นจำนวนมาก แล้วทรงใส่ไว้ในถุงผ้าสีแดง ไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม จงทรงเรียกว่าพระคลังข้างที่ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เงินถุงแดงนี้ในการกอบกู้ชาติบ้านเมืองเมื่อคราววิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 การที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไปเป็นสำนักงานพระคลังข้างที่อันเป็นคำที่ใช้มาแต่โบราณ จึงมีนัยยะที่มีพระราชประสงค์ถวายพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยอีกประการหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้จึงมิใช่การเปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นการสืบทอดประวัติความเป็นมาให้สอดคล้องกับโบราณราชประเพณีแต่ประการเดียว และไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองใด ๆ ทั้งสิ้นด้วย

ส.วิศวกรฯ ผ่า 4 ปมเหตุอาคาร สตง. ถล่ม จี้สอบวิศวกร–ปรับกฎหมาย สกัดโศกนาฏกรรมซ้ำ

(22 พ.ค. 68) จากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ในเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ส่งผลให้อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างพังถล่ม มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ราย เบื้องต้นพบจุดเริ่มต้นถล่มน่าจะมาจากผนังปล่องลิฟต์ ซึ่งดึงให้โครงสร้างอื่นถล่มตาม ยังอยู่ระหว่างสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง

นายอมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ ระบุว่า มี 4 ปัจจัยที่ต้องตรวจสอบ ได้แก่ ความแรงของแผ่นดินไหว การออกแบบ การก่อสร้าง และคุณภาพวัสดุ โดยต้องอาศัยองค์ความรู้ด้านนิติวิศวกรรม พร้อมเก็บหลักฐาน วิเคราะห์โครงสร้าง และเปิดเผยผลต่อสาธารณะ

อีกทั้ง เรียกร้องให้สภาวิศวกรดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทันที หากพบความผิด เช่น การปลอมลายมือชื่อ หรือวิศวกรไร้คุณสมบัติ โดยไม่ต้องรอให้มีผู้ร้องเรียน พร้อมเสนอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อวางแนวปฏิบัติอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ มีข้อเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.วิศวกร, พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร, พ.ร.บ.การผังเมือง ฯลฯ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการออกแบบ-ก่อสร้างอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว และสร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใสครอบคลุมทุกขั้นตอน

จีนควักเพิ่ม 500 ล้านเหรียญหนุน WHO แทนที่สหรัฐฯ หลังทรัมป์ประกาศถอนตัว

(22 พ.ค. 68) รองนายกรัฐมนตรีจีน หลิว กั๋วจง ประกาศมอบเงินสนับสนุนเพิ่มเติม 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่องค์การอนามัยโลก (WHO) ภายในระยะเวลา 5 ปี ระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลกเมื่อวันที่ 20 พ.ค. เพื่อชดเชยช่องว่างงบประมาณ หลังสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาลทรัมป์ถอนตัวจากการเป็นผู้สนับสนุนหลัก

หลิว กั๋วจงกล่าวว่า โลกกำลังเผชิญความท้าทายด้านความมั่นคงสุขภาพจากแนวคิดฝ่ายเดียวและการเมืองอำนาจ พร้อมย้ำว่า “พหุภาคีนิยมคือทางออกที่มั่นคง” ขณะที่ WHO ปรับลดงบประมาณปี 2026–2027 ลง 21% เหลือ 4.2 พันล้านดอลลาร์

การปรับงบใหม่ของ WHO ที่จะมีมติในที่ประชุม ยังรวมถึงการเพิ่มค่าธรรมเนียมสมาชิกรายประเทศขึ้น 20% ภายใน 2 ปี ซึ่งจะทำให้จีนกลายเป็นผู้บริจาครายใหญ่สุดรายใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าเงิน 500 ล้านดอลลาร์ดังกล่าวรวมค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นหรือไม่

‘จอม’ ฟาดแรง ‘นายกฯอิ๊งค์’ ขาดวุฒิภาวะ ปมมองสส. ย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติเหมือนย้ายที่ทำงาน

(22 พ.ค. 68) จอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ ที่กำลังลี้ภัยหนีคดีความมั่นคงในประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข่าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณี สส.ย้ายพรรค พร้อมระบุข้อความว่า...

ทรยศ หักหลัง ประชาชน ในทางการเมือง ถือเป็นความผิดร้ายแรงพอ ๆ กับการทุจริตคอร์รัปชันเพราะคือการ หลอกลวง คดโกง  แต่ นายกรัฐมนตรีหญิงคนนี้ของไทย กลับมองการย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติ เท่ากับ การย้ายที่ทำงาน.... ความคิดความอ่านทางการเมืองที่ไร้เดียงสา ขาดวุฒิภาวะแบบนี้ ... ได้แต่เอาตีนก่ายหน้าผาก..อนิจจาประชาชนคนไทย...อีก 10 ปีก็ยังไม่เห็นอนาคตที่สดใส


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top