Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

ญี่ปุ่นเตือนแรง มาตรการภาษี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ กำลังเขย่าพันธมิตร ชี้อาจเป็นบูมเมอแรงทำเอเชียตีตัวออกห่างสหรัฐฯ ซบอกจีนแทน

(29 เม.ย. 68) อิตสึโนริ โอโนเดระ (Onodera Itsunori) หัวหน้าฝ่ายนโยบายของพรรครัฐบาลญี่ปุ่น (LDP) แสดงความกังวลว่า มาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้หลายประเทศในเอเชียที่เคยมีท่าทีใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น หันไปสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาค

คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นระหว่างที่โอโนเดระร่วมงานที่สถาบันฮัดสัน กรุงวอชิงตัน โดยเขาระบุว่าหลายประเทศในเอเชียเริ่มไม่สบายใจกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะมาตรการภาษีของทรัมป์ที่อาจสร้างแรงจูงใจให้พันธมิตรเดิมเปลี่ยนทิศทางทางยุทธศาสตร์

โอโนเดระยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมความร่วมมือด้านกลาโหมกับสหรัฐฯ ท่ามกลางภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากจีน โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลในช่องแคบไต้หวัน การซ้อมรบเชิงรุก และการกดดันด้านจิตวิทยาในประเด็นดินแดนพิพาท

ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นเตรียมเปิดเจรจาการค้ารอบใหม่กับสหรัฐฯ โดยมีรายงานว่าทรัมป์พยายามผลักภาระค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันให้ญี่ปุ่นมากขึ้น โอโนเดระเสนอให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณาความร่วมมือในการผลิตและส่งออกอาวุธ เช่น กระสุน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายใหม่ของญี่ปุ่นที่เปิดทางสู่การส่งออกยุทโธปกรณ์มากขึ้นในอนาคต

30 เมษายน พ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทอดพระเนตรสุริยุปราคากับคณะทูตฝรั่งเศส ปูทางสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสมัยอยุธยา

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระโอรสของพระเจ้าปราสาททองและพระราชเทวี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 27 ของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงปกครองประเทศด้วยพระปรีชาสามารถและวิสัยทัศน์ที่ล้ำลึก ทั้งด้านการทหาร การทูต และการส่งเสริมวัฒนธรรมและวิทยาการ โดยเฉพาะการเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก ซึ่งในขณะนั้น ฝรั่งเศสเป็นประเทศหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับกรุงศรีอยุธยาอย่างใกล้ชิด พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการศึกษาและการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงการสังเกตดาราศาสตร์ผ่านกล้องดูดาวที่พระองค์ทรงได้รับการช่วยเหลือจากคณะบาทหลวงฝรั่งเศส ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่พระองค์และข้าราชการไทย

โดยในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 เป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทย เนื่องจากในวันดังกล่าว สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่เกิดขึ้น ณ พระที่นั่งเย็น พระที่นั่งตำหนักกลางทะเลชุบศร เมืองลพบุรี โดยมีคณะบาทหลวงฝรั่งเศสและข้าราชบริพารฝ่ายไทยร่วมทอดพระเนตรด้วยกัน เหตุการณ์นี้ถือเป็นการแสดงออกถึงพระราชความสนใจในวิทยาการและการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ซึ่งพระองค์ทรงมุ่งมั่นที่จะนำความรู้จากตะวันตกมาปรับใช้ในการปกครองและพัฒนาประเทศไทยในด้านต่าง ๆ

การทอดพระเนตรสุริยุปราคาในครั้งนี้สะท้อนถึงความสนพระทัยของสมเด็จพระนารายณ์ในวิทยาการและความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ พระองค์ไม่เพียงแต่สนใจในเรื่องการทหารและการปกครองเท่านั้น แต่ยังทรงมีพระราชวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาอาณาจักรอยุธยาในด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคแห่งการเรียนรู้และเปิดรับความรู้จากต่างประเทศ

ในรัชสมัยของพระองค์ การทูตกับฝรั่งเศสมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการส่งคณะราชทูตไปยังฝรั่งเศสเพื่อสร้างความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ซึ่งในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสภายใต้การปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ให้ความสำคัญกับการส่งคณะทูตและนักวิทยาศาสตร์มายังประเทศไทย การเชื่อมสัมพันธ์ทางการทูตนี้นอกจากจะส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการทหารแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการเปิดประตูสู่วัฒนธรรมตะวันตกในประเทศไทยอีกด้วย

เหตุการณ์ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 เป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในฐานะพระมหากษัตริย์ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ทั้งในด้านการปกครอง การทหาร และการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการสนใจในดาราศาสตร์และการสังเกตการณ์สุริยุปราคา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในการพัฒนาประเทศผ่านการศึกษาความรู้จากต่างประเทศ การทอดพระเนตรสุริยุปราคาครั้งนี้จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความรู้ในวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเปิดรับนวัตกรรมและวิทยาการจากโลกภายนอก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอาณาจักรอยุธยาในหลายมิติ

'อดีตข้าราชการ กต.' เผยเหตุ 'ในหลวง-พระราชินี' ทรงขับเครื่องบินเยือน ‘ภูฏาน’ ด้วยพระองค์เอง

(29 เม.ย. 68) นายบุญญ์พัชรเกษม เสริมวัฒนากุล อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ผลิตสารคดีเทิดพระเกียรติ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก "Boonpachakasem Sermwatanarkul" ระบุว่า Why not? คำถามซ่อนความนัย ทำไมถึงต้องทรงขับเครื่องบินด้วยพระองค์เองล่ะ?

ทำไมไม่ให้นักบินประจำเครื่องบินพระที่นั่งขับเครื่องบินถวายเพื่อพระองค์ท่านจะได้พักพระวรกายก่อนทรงงานตามหมายเสด็จพระราชดำเนินเต็มทั้งวันและทุกวันในการเสด็จเยือน?

ทำไม ทำไม และทำไม ที่ไม่อาจนำคำถามสารพันและสารเลวมาโพสให้ย่ำยีหัวใจคนไทยที่กำลังเปี่ยมสุขและเต็มปิติในการเสด็จเยือนต่างประเทศเป็นทางการ หรือ State Visit เป็นครั้งแรกแห่งรัชสมัยที่ 10

ก่อนจะตอบตามความเข้าใจของข้าพเจ้าที่เฝ้าติดตามอ่าน รับฟังและรับชมข่าวพระราชสำนักผ่านหนังสือพิมพ์ ฟังประกาศทางวิทยุทรานซิสเตอร์ ผ่านหน้าจอทีวีขาวดำเลยจนมาเป็นทีวีสี ผ่านสื่อมวลชนทั้งหมดเหล่านี้คือรวมเวลาประสบการณ์ในการเป็นผู้รับข่าวสารราชสำนักมามากกว่า #ครึ่งศตวรรษ แล้วยิ่งได้ใช้เวลาร่ำเรียนฝึกปรืองานพิธีทางการทูตไทย #เกือบ2ทศวรรษ กับการทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ และ #กว่า1ทศวรรษ ในการตระเวนตะลุยเกือบทุกจังหวัดในทุกภูมิภาคและคนไทยในต่างประเทศเพื่อถ่ายทำถ่ายทอดหัวใจคนไทยทุกหมู่เหล่าผ่านสารคดีเฉลิมพระเกียรติ เพื่อจะแสดงยืนยันถึง #สัญญะของการตั้งใจมุ่งมั่น หรือ #มีเจตนาอย่างแน่วแน่ ที่จะมอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อแสดงความหมายที่ถ่องแท้ของคำว่า #มิตรภาพอันยิ่งใหญ่ ให้กับใครสักคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง

การทรงขับเครื่องบินเพื่อลงจอดหรือขึ้นบินบนสนามบินที่ได้ชื่อว่า เป็น #สนามบินที่หินที่สุดและยากที่สุดอันดับต้นของโลก แค่มีรับสั่งอย่างฉับพลันทันใดแล้วก็ทรงประทับที่นั่งและทรงขับเครื่องบินได้ทันทีกระนั้นหรือ

เปล่าเลย..ไปถามนักบินทุกคนไม่ว่านักบินไทยหรือต่างชาติ การจะบินลงสนามบินที่ภูฏานคงต้องซ้อมบินในห้องนักบินจำลองไม่รู้กี่สิบหรือร้อยชั่วโมงบิน ถึงจะชำนาญและมั่นใจพร้อมจะทำการบินได้จริง

พระองค์ท่านล่ะ..ก็คงต้องทรงงานไม่ต่างจากนักบินคนอื่นๆ คงทรงตระเตรียมเส้นทางการบิน ทรงซ้อมบิน ทรงวางแผนการบินมาอย่างดี ด้วยพระประสงค์ประการเดียว คือ ทรงให้การตั้งพระราชหฤทัยมุ่งมั่นในการบินของพระองค์ครั้งนี้เป็นเสมือน #ของขวัญพิเศษ เป็นประจักษ์หลักฐานแห่งมิตรภาพระหว่างทั้งสองประเทศ ระหว่างทั้งสองพระราชวงศ์และสัมพันธภาพของประชาชนชาวภูฏานและชาวไทย

#สัญญะ คือ #ความตั้งพระทัย ในครั้งนี้ ทุกคนทุกฝ่ายทุกดวงใจประจักษ์ตรงกันเที่ยงแท้แน่นอนว่า ทรงมุ่งมั่น ทรงกล้าหาญ และทรงตั้งพระทัยพระราชทานมอบความกล้าหาญของทั้งสองพระองค์นี้ฝากไว้บนดินแดนแห่งเทือกเขาหิมาลัย บนแผ่นดินราชอาณาจักรภูฏานไปจนตราบนานแสนนาน

#ที่เราเห็นอาจเป็นเพียงเสี้ยว
#ที่เราไม่เห็นยังมีอื่นๆอีกมากมาย
#สิ่งสำคัญคือมิตรภาพงดงามตราบนาน

ขอพระราชทานพระราชานุญาต กราบถวายบังคมแทบเบื้องพระยุคลบาทของทั้งสองบดินทร์ เพื่อปักปิ่นมิตรภาพไทยและภูฏานให้แน่นแฟ้น และเพื่อเป็นเช่นปิ่นหทัยบนกลางดวงใจพสกนิกรทั้งสองแผ่นดิน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า นายบุญญ์พัชรเกษม เสริมวัฒนากุล (ผู้ร้อยเรียงเรื่องราวแห่งสัญญะอันสง่างาม) 

1 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนธรรมเนียมในราชสำนัก จากการหมอบกราบบนพื้น เป็นนั่งเก้าอี้ทำงานตามแบบตะวันตก

ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการทำงานภายในราชสำนัก โดยเฉพาะในระบบราชการหรือ 'ออฟฟิศ' จากธรรมเนียมไทยแบบเดิมที่ต้องนั่งพับเพียบหรือหมอบกราบบนพื้น มาเป็นการ 'ยืน' และ 'นั่งเก้าอี้' ตามแบบอย่างของชาวตะวันตก ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของประเทศที่เจริญแล้วในยุคนั้น

ในหนังสือ ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่ม 3 ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์ โดยกรมศิลปากร ได้เล่าว่า “เมื่อราชสำนักเลิกหมอบเฝ้าและใช้เก้าอี้ในระยะแรกๆ คนไทยยังคงนั่งเก้าอี้ไม่เป็น ผู้หญิงขึ้นไปนั่งพับเพียบ ส่วนชายนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ จนรัชกาลที่ 5 ต้องมีพระราชโองการแนะนำวิธีการนั่งเก้าอี้ โดยใช้วิธีหย่อนก้นเท่านั้นลงบนเก้าอี้ ส่วนขาให้ห้อยลงไป”​

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงพยายามปรับปรุงระเบียบแบบแผนของราชการไทยให้ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของประเทศที่เจริญและมีความเสมอภาคระหว่างผู้ปฏิบัติราชการ ซึ่งเป็นรากฐานหนึ่งของการปฏิรูประบบราชการไทยในยุคใหม่

นอกจากนี้ ยังนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการปรับตัวของสังคมไทยเข้าสู่ระบบบริหารจัดการแบบตะวันตก อันมีอิทธิพลต่อโครงสร้างราชการ ระบบกฎหมาย และวัฒนธรรมองค์กรของไทยในเวลาต่อมา

2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ครบรอบ 9 ปี แชมป์ประวัติศาสตร์ ‘เลสเตอร์ ซิตี้’ จากทีมรองบ่อนสู่ถ้วยพรีเมียร์ลีก และการตกชั้นล่าสุดที่สะเทือนใจแฟนบอล

ในค่ำคืนประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้รับการประกาศให้เป็น แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16 อย่างเป็นทางการ หลังจากผลการแข่งขันระหว่าง เชลซี กับ ทอตนัม ฮอตสเปอร์ จบลงด้วยผลเสมอ 2-2 ที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์

แม้เลสเตอร์จะไม่ได้ลงสนามในวันนั้น แต่ผลเสมอดังกล่าวทำให้คะแนนของทอตนัม ฮอตสเปอร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งลุ้นแชมป์อันดับสองในขณะนั้น ไม่สามารถไล่ตามเลสเตอร์ทัน ในช่วงสองนัดสุดท้ายของฤดูกาล ส่งผลให้ 'จิ้งจอกสยาม' คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรในปี 1884

ชัยชนะในฤดูกาลนี้ถือเป็นหนึ่งใน เรื่องราวปาฏิหาริย์ของวงการกีฬา เพราะก่อนเปิดฤดูกาล เลสเตอร์ถูกมองว่าอาจต้องหนีตกชั้น และมีอัตราต่อรองแชมป์อยู่ที่ 5,000 ต่อ 1 จากบ่อนรับพนันในอังกฤษ แต่ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี และการเล่นอย่างยอดเยี่ยมของนักเตะอย่าง เจมี วาร์ดี, ริยาด มาห์เรซ และ เอ็นโกโล ก็องเต ทีมสามารถสร้างปรากฏการณ์ 'เทพนิยายเลสเตอร์' ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2024–25 เลสเตอร์ ซิตี้ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อพวกเขาตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง หลังจากพ่ายแพ้ให้กับทีมแชมป์อย่างลิเวอร์พูล 0-1 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 นับเป็นการตกชั้นครั้งที่สองในรอบสามฤดูกาลของสโมสร โดยก่อนหน้านี้ในฤดูกาล 2022–23 เลสเตอร์จบอันดับที่ 18 ของตารางและต้องตกชั้นลงสู่แชมเปียนชิป

การตกชั้นล่าสุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาภายในสโมสร ทั้งในด้านการบริหารและผลงานในสนาม แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมและความพยายามในการปรับปรุงทีม แต่เลสเตอร์ก็ไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีพอที่จะอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้ ซึ่งการตกชั้นนี้ทำให้สโมสรต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับโครงสร้างทีมและวางแผนเพื่อกลับคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในอนาคต

เรื่องราวของเลสเตอร์ ซิตี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในวงการฟุตบอล ที่ความสำเร็จในอดีตไม่ได้รับประกันความสำเร็จในอนาคต และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสำเร็จอย่างยั่งยืน​

ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ต้อนรับคณะเจ้ากรมข่าวทหารเรือ พร้อมด้วยคณะผู้ช่วยทูตทหาร 15 ประเทศ ในโอกาสเยี่ยมชมหน่วยเพื่อสร้างการรับรู้การบริหารจัดการในการฝึกทหารกองประจำการ

เมื่อวานนี้ (29 เม.ย.68) น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) ต้อนรับ พล.ร.ท.พิบูลย์ พีรชัยเดโช เจ้ากรมข่าวทหารเรือ และคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ/กรุงเทพฯ ที่มีถิ่นพำนักในต่างประเทศ ในการเข้าเยี่ยมชมหน่วย ณ ศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี

กรมข่าวทหารเรือ กำหนดจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือกับผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศฯ ประจำปีงบประมาณ 2568 (MAC-T Tour 2025) ระหว่างวันที่ 29 เม.ย.68 - 1 พ.ค.68 ในพื้นที่ภาคตะวันออก (จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง) โอกาสนี้เพื่อให้การสร้างการรับรู้ภารกิจในการฝึกทหารกองประจำการของกองทัพเรือถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรืองที่คณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศฯ ให้ความสนใจ เจ้ากรมข่าวทหารเรือ จึงได้นำคณะฯ เข้าเยี่ยมชมศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ 

โดยศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ เป็นหน่วยงานหลักของกองทัพเรือที่มีภารกิจดำเนินการฝึกอบรม ให้การศึกษา และปกครองบังคับบัญชาทหารกองประจำการ ปีงบประมาณละ 4 ผลัด ผลัดละ 3,000 นาย โดยมีระยะเวลาในการฝึกอบรม 8 สัปดาห์ต่อผลัด เพื่อเปลี่ยนแปลงทหารใหม่จากพลเรือนให้มีลักษณะทางทหารและฝึกอบรมความรู้ที่สำคัญประกอบด้วย วิชาทหารราบ ตามคู่มือแบบฝึกพระราชทาน โรงเรียนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ (รร.ทม.รอ.), วิชาชีพทหารเรือทั่วไป เช่น การอาวุธ, การผูกเชือก, การตีกระเชียงเรือ และการฝึกป้องกันความเสียหาย เพื่อสร้างความเป็นทหาร ความเป็นชาวเรือ 

นอกจากนี้แล้วยังมีการฝึกอบรมด้านอาชีพเพิ่มเติม เช่น ศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ตลอดจนการแนะแนวการมีอาชีพจากคณะกรรมการพัฒนาอาชีพกองประจำการ กองทัพเรือ เพื่อเป็นแนวทางในการอบรมอาชีพที่ทหารใหม่สนใจก่อนปลดประจำการต่อไป

การเยี่ยมชมครั้งนี้เป็นไปตาม นโยบาย ผบ.ทร.ประจำปี งป.68 นโยบายหลัก ด้านยุทธการและการฝึก เสริมสร้างความร่วมมือและริเริ่มการสร้างกลไกการประสานงานร่วมกัน ระหว่าง กองทัพเรือและหน่วยงานความมั่นคงทางทะเล และ ภาคเอกชน/On Tuesday 29 April 2025, Capt. Tiwa Onlaor, Commanding Officer, Recruit Training Centre, Naval Education Department, greeted Vice Adm. Pibul Peerachaidecho, Director General, Naval Intelligence Department, and Defence Attaches who reside aboard in an occasion of an official visit at the New Theory Learning Centre, Recruit Training Centre, Naval Education Department, Sub District of Bangsarey, District of Sattahip, Chonburi Province.

Naval Intelligence Department hosted a relationship-enhancing activity between the Royal Thai Navy and International Defence Attaches 2025 (MAC-T Tour 2025). The activity will take place during 29 April 2025-1 May 2025 in the eastern part of Thailand (provinces of Chonburi and Rayong). The tour aims to enhance International Defence Attaches’ understanding of Royal Thai Navy Recruit Trainings. Royal Thai Navy Recruit Training Program is considered as one of the various interesting topics in International Defence Attaches’ attention. Thus, the Director General of Naval Intelligence led the International Defence Attaches in this official visit to Recruit Training Centre, Naval Education Department.

The Recruit Training Center, Naval Education Naval Department, is the main institution that is responsible for training, instructing, and administering enlisted soldiers each fiscal year. The Royal Thai Navy receives approximately 12,000 recruits yearly, through 4 intakes of 3,000 each. Recruits will go through an 8-week course which aims to transform them into sailors. The recruits training course encompasses a number of subjects  which includes basic infantry instruction as outlined by the King’s Royal Guard School, and basic naval training such as weapons, knot tying, boat safety and rescue, and damage control trainings. Moreover, the center also provides recruits with multiple apprenticeship training and guidance courses like the Agricultural Learning Center and the Navy’s Board of Apprenticeship Development, which are designed to help recruits find work after completing their national service.

The tour is in accordance with the principal policy of the Commander-in-Chief, Royal Thai Navy 2025 in an aspect of operations and trainings. The policy aims to enhance cooperation and initiate building collaboration mechanism among the Royal Thai Navy, Maritime Security Agencies, and Private Sector

‘หวังอี้’ พบ รมว.ต่างประเทศไทย ย้ำสัมพันธ์จีน-ไทยแน่นแฟ้น พร้อมหนุนเข้าร่วม BRICS ดันโครงการรถไฟ-วิจัย-ต้านอาชญากรรม

(30 เม.ย. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน แสดงจุดยืนระหว่างพบปะกับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ว่าจีนให้ความสำคัญระดับสูงกับความสัมพันธ์จีน-ไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน และพร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ เพื่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค

นอกจากนี้ จีนยังสนับสนุนไทยเข้าร่วมกลุ่มประเทศ BRICS โดยหวังอี้ระบุว่า จีนยินดีต้อนรับบทบาทของไทยในฐานะประเทศหุ้นส่วน และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในความร่วมมือที่หลากหลาย

ด้าน รมว.มาริษของไทยเห็นว่า การพัฒนาของจีนคือโอกาสสำคัญของไทย และแสดงความตั้งใจเข้าร่วมกลุ่ม BRICS อย่างเต็มที่ เพื่อเสริมความร่วมมือกับประเทศกำลังพัฒนา และปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศโลกใต้ พร้อมทั้งเห็นพ้องร่วมกับจีนในการผลักดันความร่วมมือ เช่น รถไฟจีน-ไทย การวิจัยแพนด้า การต่อต้านอาชญากรรมข้ามพรมแดน และการพัฒนา FTA จีน-อาเซียน รุ่น 3.0

หวังอี้ยังกล่าวถึงบทบาทของสหรัฐว่า เน้นผลประโยชน์ตนเองมากเกินไป ใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือกดดันประเทศอื่น พร้อมเตือนว่าการประนีประนอมกับพฤติกรรมล้ำเส้นจะยิ่งเปิดทางให้ 'คนพาล' กลั่นแกล้งมากขึ้น จึงเรียกร้องให้กลุ่ม BRICS ร่วมต้านการกีดกันทางการค้า และสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่ยึด WTO เป็นศูนย์กลางอย่างเข้มแข็ง

‘ศิษย์เก่า มธ.’ ถาม อธิการบดี มธ. ทำอะไรอยู่ รู้หรือไม่! คนบางกลุ่มกำลังจะใช้พื้นที่ด้อยค่าประเทศ

นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศิษย์เก่าปริญญาโท คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีจะมีการจัดงานปาฐกถา เรือง ‘โจรสยาม ปะทะ เคลมโบเดีย : ปัญหาทะเลาะกันที่ไม่มีวันรู้จบ’ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันที่ 2 พ.ค. นี้ โดยระบุว่า ...

30 เมษายน พ.ศ. 2568
เรียนอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผม นายสมภพ พอดี อดีตนักศึกษาปริญญาโท คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ปี พ.ศ. 2534 ขอเรียนถามท่านดังต่อไปนี้

1. ท่านทราบหรือไม่ว่าจะมีการใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยในความดูแลของท่านจัดงานปาฐกถา ที่ตั้งชื่อว่า
โจรสยาม ปะทะ เคลมโบเดีย : ปัญหาทะเลาะกันที่ไม่มีวันรู้จบ 

ในวันศุกร์ที่ ๒ พ.ค. ๒๕๖๘ เวลา ๑๓:๐๐ - ๑๖:๐๐ น. ที่ห้องอดุล วิเชียรเจริญ (ศศ. ๒๐๑) คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

2. ท่านทราบหรือไม่ว่าคำว่า โจรสยาม หมายความว่าอะไร มีนัยยะของการดูถูก ดูแคลน เหยียดหยาม ด้อยค่า สยามซึ่งคือชื่อเดิมของประเทศไทยอย่างไร

3. หากท่านรับทราบแล้วทั้งข้อ 1 และ 2 ท่านยังจะอนุญาตให้มีการใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยในความรับผิดชอบของท่านจัดงานเพื่อดูถูก ดูแคลน เหยียดหยาม ด้อยค่า สยามซึ่งคือชื่อเดิมของประเทศไทย ต่อไปตามกำหนดการหรือไม่ หรือว่าจะยับยั้งการกระทำดังกล่าว

หากท่านคิดและเชื่อว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในความรับผิดชอบของท่านสมควรจัดงานดังกล่าว ผมขอให้ท่านเพิกถอนปริญญาบัตรของผมด้วย เพราะผมละอายที่จะมีความเกี่ยวข้องและเกี่ยวพันใดกับสถาบันการศึกษาที่สร้างและดำเนินการจากภาษีของประเทศไทย แต่ปล่อยให้มีคนบางกลุ่ม บางคนใช้สถานที่เพื่อดูถูก ดูแคลน เหยียดหยาม ด้อยค่า สยามซึ่งคือชื่อเดิมของประเทศไทย

จึงเรียนมาเพื่อทราบและดำเนินการตามหน้าที่และความรับผิดชอบของท่าน
ขอแสดงความนับถือ
สมภพ พอดี

‘มิน อ่อง หล่าย’ อาจวางมือ…ปิดฉากยุคกองทัพคุมประเทศ วิเคราะห์เบื้องหลัง? คาดเจอแรงกดดันหนักจากแผ่นดินไหวและเกมของมหาอำนาจ

(1 พ.ค. 68) มีข่าวสะพัดออกมาในช่วงที่เอย่าเดินทางไปมัณฑะเลย์ เพื่อพบปะกับเจ้าหน้าที่คนไทยที่เข้าไปช่วยกู้ภัยในเมียนมา ซึ่งข่าวนี้ทำให้เอย่าต้องหูผึ่ง จนต้องเขียนบทความในครั้งนี้ เพราะเป็นข่าวลือที่ว่า 'นายพล มิน อ่อง หล่าย' จะลาออกจากตำแหน่งผู้นำกองทัพเมียนมา

แต่ก่อนที่เราจะมาคุยเรื่องนี้ เอย่าขอเล่าให้ผู้อ่านชาวไทยเข้าใจบริบทในเมียนมาก่อน เพราะมีสื่อโซเชียลบางส่วนพยายามโจมตีภาพลักษณ์ของรัฐบาลทหารเมียนมาว่าไม่เหลียวแลประชาชนเลย ซึ่งคนอ่านก็ด่าตามโดยไม่ไตร่ตรอง

เอาแบบนี้… มาตั้งสติแล้วคิดตามเอย่าสักนิดนะคะ

หลังเกิดแผ่นดินไหว ประเทศไทยที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าเมียนมา ได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายเท่า ยังต้องตั้งกองทุนฟื้นฟูเพื่อซ่อมแซมบ้าน ดูแลผู้ประสบภัย และจัดการอาคารที่เสียหาย แล้วถามกลับว่า รัฐบาลเมียนมาชุดนี้ ที่ถูกคว่ำบาตรจากนานาประเทศ และยังถูกบางกลุ่มในไทยใส่ร้าย สนับสนุนกลุ่มต่อต้าน ทั้งเรื่องที่พักพิง อาวุธ และแหล่งเงินทุน พวกเขาจะมีทรัพยากรพอแค่ไหน? ขนาดไทยยังแจกค่าซ่อมบ้านแค่หลักร้อยหลักพัน แล้วจะให้เมียนมาทำได้ขนาดไหน?

คนเมียนมาที่ให้ข้อมูลกับเอย่าบอกว่า เขาอยากทำแบบไทยมาก แต่ก็ทำได้เท่าที่งบประมาณมี ดังนั้น หากใครเป็นสื่อแต่ไม่เข้าใจคำว่า 'จรรยาบรรณ' แล้วอ้างคำว่า 'เสรีภาพสื่อ' เพื่อทำข่าวตามใจผู้จ่ายเงิน ก็ไม่ควรเรียกตัวเองว่าสื่อ และควรเลิกอ้างว่ารักประเทศเมียนมา เพราะหากรักจริง ต้องช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ไม่ใช่ซ้ำเติมประเทศของเขา

ว่าแล้ว… มาต่อเรื่องข่าวของเราดีกว่าค่ะ ช่วงที่ผ่านมา มีข่าวลือหนาหูว่า 'มิน อ่อง หล่าย' อยากจะลาออก โดยแหล่งข่าวของเอย่าระบุว่า ครั้งนี้เขาเสียใจจริง ๆ จนสภาพจิตใจย่ำแย่ ส่งผลต่อสุขภาพที่แย่ลง และมีข่าวว่าอาจลาออกถาวรหลังการเลือกตั้ง และจะไม่รับตำแหน่งใด ๆ อีก

จริงๆ แล้วข่าวลือเรื่องลาออกนั้นมีมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว โดยมีรายงานว่าจีนเคยกดดันให้ 'มิน อ่อง หล่าย' ลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว แลกกับการที่จีนจะช่วยคืนเมืองล่าเสี้ยวและอีก 2 เมืองที่ถูกกลุ่มชาติพันธุ์ยึดไว้ แต่สุดท้าย แทนที่จะทำตาม จู่ ๆ ผู้นำเมียนมากลับไปร่วมมือกับปูติน ผู้นำรัสเซีย ทำให้จีนต้องหันกลับมาง้อ พร้อมอาสาจัดการคืนเมืองต่าง ๆ แทนแบบที่เมียนมาไม่ต้องออกแรงเลย

แต่ข่าวลาออกรอบนี้นักวิเคราะห์คาดการณ์มาเป็นสามสาย

อันแรกคือเป็นไปได้ที่ผู้นำเมียนมาจะลาออกแล้วลงเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว

อันที่ 2 คือลาออกแล้วมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำ SAC เดี่ยวๆเลย เพื่อควบคุมรัฐบาลที่เลือกตั้งมาอีกที

อันสุดท้ายที่มีคนพม่าจำนวนไม่มากเชื่อว่ารอบนี้อาจจะลาออกจริงเพื่อไปพักแล้ว เพราะจากสถานการณ์แผ่นดินไหวนี้ได้สร้างความบอบช้ำในจิตใจของนายพล มิน อ่อง หล่าย ไม่น้อย และนี่อาจจะเป็นเวลาที่ดีที่ลงจากตำแหน่ง

มีคนพม่าในไทยบางคนเปรียบเปรยว่า 'มิน อ่อง หล่าย' คล้ายกับ 'ลุงตู่' ที่ขณะดำรงตำแหน่งก็ถูกวิจารณ์อย่างหนัก แต่หากวันหนึ่งไม่มีเขา คนอาจกลับมาคิดถึง และนั่นอาจเป็นบทเรียนของเมียนมาก็ได้... ดั่งเสียงเรียกร้องให้ลุงตู่กลับมาในโลกโซเชียลที่ดังขึ้นทุกวัน — แต่วันนั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะเราไม่เห็นค่าของเขาในวันที่เขายังอยู่

สิงคโปร์สั่ง Meta บล็อกด่วน โพสต์เฟซบุ๊กชาวต่างชาติ 3 ราย หวั่นแทรกแซงการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้

รัฐบาลสิงคโปร์มีคำสั่งให้ Meta บริษัทแม่ของ Facebook ปิดกั้นการเข้าถึงโพสต์ของชาวต่างชาติ 3 คน ซึ่งรวมถึงนักการเมืองมาเลเซียและชาวออสเตรเลีย โดยกล่าวหาว่าโพสต์เหล่านี้เป็นความพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งทั่วไปที่จะจัดขึ้นในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้

กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกิจการเลือกตั้งของสิงคโปร์ระบุว่า โพสต์ดังกล่าวเป็นภัยต่อความสามัคคีทางเชื้อชาติและศาสนา พร้อมเน้นย้ำว่าการกระทำของชาวต่างชาติในกรณีนี้เป็นการละเมิดกฎหมายโซเชียลมีเดียฉบับใหม่ ที่ห้ามไม่ให้ชาวต่างชาติเผยแพร่เนื้อหาทางการเมืองในประเทศ

ผู้ใช้งานที่ถูกสั่งบล็อกประกอบด้วยรัฐมนตรีมาเลเซียจากพรรค PAS ชาวออสเตรเลียที่เคยถือสัญชาติสิงคโปร์ และผู้นำเยาวชน PAS ซึ่งแชร์โพสต์ที่วิจารณ์นักการเมืองมุสลิมในสิงคโปร์ 

คำสั่งดังกล่าวอ้างอิงจากพระราชบัญญัติความปลอดภัยออนไลน์ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2023 ซึ่งให้อำนาจหน่วยงานควบคุมสื่อในการสั่งลบเนื้อหาที่เป็นอันตราย รวมถึงโพสต์ที่ปลุกปั่นความขัดแย้งทางชาติพันธุ์หรือศาสนา และกฎหมายอื่น ๆ ที่สิงคโปร์บังคับใช้เพื่อสกัดกั้นอิทธิพลจากต่างชาติ

แม้รัฐบาลจะอ้างถึงการปกป้องเอกภาพของชาติ แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนและนักวิเคราะห์บางฝ่ายชี้ว่า การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้อาจเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความเห็น และสะท้อนความหวาดระแวงของรัฐบาลต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากต่างชาติในโลกออนไลน์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top