Monday, 7 July 2025
TheStatesTimes

หนุ่มโคราชร้อง กกต.ให้ตรวจสอบ ‘เจ๊หน่อย’ ผู้สมัครนายก อบจ.เพื่อไทย โอนงบกว่า 23 ล้านบาทโดยมิชอบ อาจถึงขั้นโดนใบแดง!!

(4 ม.ค. 68) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสุนทร ชาว อ.เมือง จ.นครราชสีมา เดินทางเข้าพบนายสุรพงษ์ ทิพย์โอสถ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา เพื่อร้องขอให้ตรวจสอบการกระทำอันอาจจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งของ นางยลดา หวังศุภกิจโกศล หรือ หน่อย ผู้สมัครนายก อบจ.นครราชสีมา เบอร์ 2 พรรคเพื่อไทย และพวก จำนวน 35 คน ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.อบจ.นครราชสีมา

นายสุนทรกล่าวว่า วันนี้มาในฐานะประชาชนชาวโคราชคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.อบจ.ในพื้นที่ อยากเห็นผู้สมัครทุกคนมีความสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ จึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร วันนี้มาร้องเรียนขอให้ กกต.ประจำจังหวัดนครราชสีมา ตรวจสอบคุณสมบัติของนางยลดา อดีตนายก อบจ.นครราชสีมา คนล่าสุด ซึ่งพบว่าขณะดำรงตำแหน่งนายก อบจ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 ในการประชุมสภา อบจ.นครราชสีมา สมัยสามัญที่ 2 ครั้งที่ 3 ได้ยื่นญัตติขออนุมัติโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ไปตั้งจ่ายเป็นรายการใหม่ โดยมี ส.อบจ.เข้าร่วมประชุม จำนวน 39 คน ยกมือเห็นชอบตามที่ นายก อบจ.นครราชสีมา เสนอญัตติ จำนวน 36 คน (รวมนายก อบจ.) และงดออกเสียง จำนวน 3 คน

นายสุนทรกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 65 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 (และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566 รวมทั้งสิ้น 12 โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 23,873,918 บาท เนื่องจากในห้วงระยะเวลาดังกล่าวไม่มีภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติแต่อย่างใด

ต่อมา นางยลดาได้ขอลาออกจากตำแหน่งนายก อบจ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 พร้อมกับ ส.อบจ.ในกลุ่มอีก 15 คน ก่อนจะลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ในครั้งนี้ ซึ่งการกระทำของนางยลดาและ ส.อบจ.เกี่ยวกับการอนุมัติโครงการดังกล่าว อาจเป็นการกระทำฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566 มาตรา 65 ซึ่งมีโทษตาม 126 แห่งกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากหากพบว่ากระทำผิดจริงก็อาจถึงขั้นโดนใบแดงได้เลย วันนี้จึงมาร้องขอให้ กกต.ประจำจังหวัดนครราชสีมา เร่งดำเนินการตรวจสอบ เพราะจะมีผลกระทบต่อความไม่สุจริตในการเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.อบจ.นครราชสีมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

ด้านนายสุรพงษ์เปิดเผยว่า หลังจากเปิดรับสมัครเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 23-27 ธันวาคม 2567 มีผู้สมัครนายก อบจ.จำนวน 4 คน ประกอบด้วย เบอร์ 1 นายทักษิณ เขื่อนโคกสูง, เบอร์ 2 นางยลดา หวังศุภกิจโกศล, เบอร์ 3 นายมารุต ชุ่มขุนทด และเบอร์ 4 ร.ต.อ.นิติรักษ์ ฟักกระโทก ในส่วนผู้สมัคร ส.อบจ.นครราชสีมา ทั้ง 48 เขต จาก 32 อำเภอ มีผู้สมัครจำนวนทั้งสิ้น 153 คน โดย กกต.ประจำองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ตรวจสอบคุณสมบัติเสร็จสิ้นไปแล้ววันสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ผลการตรวจสอบคุณสมบัติปรากฏว่าผู้สมัครนายก อบจ.ทั้ง 4 คน มีคุณสมบัติครบทุกคน

นายสุรพงษ์กล่าวว่า ขณะที่ผู้สมัคร ส.อบจ.จำนวน 153 คน พบว่า ขาดคุณสมบัติไป 3 คน ประกอบไปด้วย ผู้สมัคร ส.อบจ.เขต 2 อ.สีคิ้ว, เขต 1 อ.จักราช และ เขต 1 อ.ชุมพวง ซึ่งผู้สมัครทั้ง 3 รายนี้ ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อมเทศบาล จึงทำให้ขาดสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.อบจ.ในครั้งนี้

ส่วนเรื่องการร้องเรียนขณะนี้มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องผู้สมัครร้องเรียนพฤติกรรมของผู้สมัครด้วยกันเอง ที่อาจเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน เรื่องการป้องกันเหตุความรุนแรงในพื้นที่ ขณะนี้ กกต.จังหวัดนครราชสีมา ได้ตั้งชุดสืบสวนข่าว 3 ชุด และชุดเคลื่อนที่เร็ว 6 ชุด ทำงานร่วมกับผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา 8 คน เพื่อหาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่อาจจะก่อเหตุความรุนแรง หากมีเบาะแสก็พร้อมประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุก สภ.เข้าไประงับเหตุได้ทันที ซึ่งได้มีการลงพื้นที่ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา

‘สาวเวียดนาม’ โดนโซเชียลถล่มยับ!! หลังเชียร์นักเตะช้างศึก ทีมชาติไทย

(4 ม.ค. 68) Youtube ช่อง ‘UP Comment’ ได้นำเสนอเรื่องราวของ 'สาวเวียดนาม' ซึ่งโดนโซเชียลถล่มหนัก หลังเชียร์ทีมชาติไทย โดยในคลิปนั้นมีใจความว่า ...

เป็นประเด็นในโซเชียลมีเดีย ประเทศเวียดนาม เมื่อ ‘ง็อก-เหวียน-โด’
สาวเวียดนามรายหนึ่ง ที่ได้มีการปรากฏภาพของเธอสวมเสื้อเชียร์ทีมชาติไทยในศึกเอเอฟเอฟคัฟ ที่เวียดนาม นั้นสามารถเปิดบ้านเอาชนะทีมชาติไทยไปได้สองประตูต่อหนึ่ง 

งานนี้เธอโดนชาวเวียดนามรุมประณามอย่างหนักด้วยข้อหาไม่รักชาติพร้อมกับตั้งคําถามเพราะเหตุอันใดเธอจึงเชียร์ทีมชาติไทย

ตามข้อมูล ได้มีการระบุว่า เธอได้มีการติดตามเชียร์ทีมชาติไทยมากว่า 10 ปีแล้วและทุกครั้งที่ทีมชาติไทยมาแข่งขันที่ประเทศเวียดนามเธอก็มักจะเข้าไปให้กําลังใจทีมชาติไทยอยู่เสมอ ซึ่งจากภาพดังกล่าวที่ถูกสื่อเวียดนามเผยแพร่นี้เอง ก็สร้างความไม่พอใจให้กับชาวเวียดนามเป็นจํานวนมาก จนถึงขั้นที่เธอนั้นถูกชาวเวียดนามรุมสาปแช่ง แล้วรวมถึงมีการรุมรีพอร์ตเฟซบุ๊ก และติ๊กต็อกของเธอจน ถูกระงับการใช้งานไปเป็นที่เรียบร้อย

นอกจากนี้ชาวเวียดนาม ได้มีการออกมาแสดงความคิดเห็นที่ค่อนข้างรุนแรง รวมถึงมีการบูลลี่เธอเป็นอย่างมาก 

เรามาเริ่มต้นกันที่ความคิดเห็นของชาวเวียดนามท่านแรกครับท่านนี้เค้าบอกว่า ถ้าผมอยู่ใกล้ ๆ ผมจะฉีกเสื้อตัวนั้นทิ้งท่านนี้ก็น่าจะหมายถึงเสื้อทีมชาติไทยนะครับ

ความคิดเห็นต่อไป ช่างมันเถอะมันก็โต ๆกันแล้ว แล้ว เธอมีจุดประสงค์อะไรที่ไปสนามกีฬาที่มีคนเวียดนามเยอะขนาดนั้น

ความคิดเห็นต่อไป นอกจากกีฬาสีแล้วฉันยังไม่เคยเห็นใครทําร้ายเด็กแบบนี้เลย ชอบทีมไหนเชียร์ทีมไหนก็ลุยเลยเธอไม่ใช่คนทรยศเธอไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายและเธอก็ไม่เคยสาปแช่งประเทศตัวเอง

คุณกินข้าวเวียดนามดื่มน้ำเวียดนามและสูดอากาศของเวียดนามที่บรรพบุรุษต้องเสียสละ เพื่อให้ได้มันมา แต่พอเวียดนามยิงประตูได้ ทําไมเธอถึงโกรธ

ความคิดเห็นต่อไป ทําไมคนไทยคนนี้ถึงมีชื่อเหมือนเวียดนามท่านนี้ก็แสดงความคิดเห็นแบบประชดประชันไว้

ตั้งฐานทัพบินมาถล่มเวียดนาม อยากจะถามเธอว่าเธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า

เธอคงตั้งหน้าตั้งตาที่จะไปทํางานในประเทศไทยนั่นแหละ เธอเลยสร้างภาพเพื่อให้ได้สมัครงานมาง่าย ๆ

ความคิดเห็นต่อไปครับทั้งนี้เขาบอกว่าทุกคนคงยังไม่เข้าใจอะไรบางอย่างจริง ๆ แล้วเธอคนนี้เป็นเด็กผู้ชายที่เกิดมาในร่างของเด็กผู้หญิงดังนั้นเธอจึงต้องการไปที่ประเทศไทยเพื่อกลายเป็นคนข้ามเพศ เธอจงใจดึงดูดความสนใจเพื่อที่จะทําให้เธอเป็นคนข้ามเพศในไทยและทําให้คนไทยนั้นเห็นใจเธอ

‘ไมค์ จอห์นสัน’ ได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอีกสมัย โดยได้รับการสนับสนุนหลักจาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีคนใหม่

(4 ม.ค. 68) ‘ไมค์ จอห์นสัน’ จากพรรครีพับลิกัน ได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอีกครั้ง หลังผ่านกระบวนการอันตึงเครียดในรัฐสภา

จอห์นสันทำให้สมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านโกรธเคืองด้วยการร่วมมือกับพรรคเดโมแครตในการผ่านกฎหมายงบประมาณ และชัยชนะของเขาได้มาหลังจากการเจรจาภายในห้องลับที่ตึงเครียดซึ่งมีสมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกันมากกว่าสิบคนแสดงความสงสัยต่อความเป็นผู้นำของเขา

การประชุมงบประมาณในปี 2023-2025 ที่วุ่นวายนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นของกลุ่มอนุรักษนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการจัดการการเจรจาการใช้จ่ายของรัฐบาลไบเดน โดยที่กลุ่มผู้ต่อต้านการคลังเรียงคิวกล่าวหาว่าเขาไม่เข้มงวดกับการขาดดุล

ในท้ายที่สุด มีเพียง 3 คนที่ยังคงสนับสนุนพรรครีพับลิกันเมื่อการลงคะแนนเสียงเริ่มต้นขึ้น โดยสมาชิกพรรคเดโมแครตทั้ง 215 คนสนับสนุนฮาคีม เจฟฟรีส์ ผู้นำของพวกเขา

สำนักข่าว Punchbowl News ซึ่งเป็นสื่อของรัฐสภา รายงานว่าจอห์นสันสามารถรักษาความทะเยอทะยานในการเป็นประธานสภาไว้ได้ หลังจากที่ทรัมป์เข้าแทรกแซงเป็นการส่วนตัวเพื่อพูดคุยกับกลุ่มกบฏ 2 คนทางโทรศัพท์ ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนคะแนนเสียง

"หลังจากสี่ปีของภาวะเงินเฟ้อสูง เรามีวาระสำคัญ เรามีอะไรต้องทำอีกมาก และเราสามารถทำได้โดยปราศจากการผูกขาด" จอห์นสันกล่าวในขณะที่เขาให้คำมั่นว่าจะช่วยทรัมป์ให้เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจได้สำเร็จ

"เราสามารถต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อสูงได้ และเราต้องทำ เราจะให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกัน และเราจะขยายเวลาการลดหย่อนภาษีของทรัมป์ เราจะลดขนาดและขอบเขตของรัฐบาลลงอย่างมาก เราจะคืนอำนาจกลับสู่ประชาชน" จอห์นสันกล่าว

โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวถึงประธานสภาฯคนใหม่แต่หน้าเดิมว่า "ไมค์จะเป็นผู้พูดที่ยอดเยี่ยม และประเทศของเราจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ ประชาชนชาวอเมริกันรอคอยสามัญสำนึก, ความเข้มแข็ง และความเป็นผู้นำมาเป็นเวลา 4 ปี และอเมริกาจะยิ่งใหญ่กว่าที่เคย"

การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ที่ใกล้จะมาถึงมีผลอย่างมากในการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอิทธิพลสำคัญในวอชิงตัน โดยควบคุมดูแลกิจการของสภาผู้แทนราษฎร และอยู่ในลำดับสามต่อจากตำแหน่งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี

แต่จอห์นสันอ่อนแอลงจากการเผชิญหน้ากับกลุ่มหัวรุนแรงในพรรคฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่พวกเขามี เนื่องจากพรรครีพับลิกันมีเสียงข้างมากเพียงเล็กน้อยในสภาผู้แทนราษฎรของรัฐสภา

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกัน มีกำหนดจะรวมตัวกันที่วอชิงตันในวันเสาร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการสำหรับปี 2025 และผู้นำพรรคฯจะพบกันอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่เมืองบัลติมอร์

แต่ลำดับแรกที่จะต้องดำเนินการคือการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งควบคุมการดำเนินงานประจำวัน โดยจะอนุญาตให้เฉพาะสมาชิกพรรครีพับลิกันเท่านั้นที่จะบังคับให้มีการลงคะแนนเสียงเพื่อปลดประธานสภาผู้แทนราษฎรได้

พรรคเดโมแครตโต้แย้งว่าการปฏิรูปดังกล่าวจะทำให้จอห์นสันต้องรับผิดชอบต่อฝ่ายของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งสภา โดยในสภาคองเกรสชุดที่แล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนใดคนหนึ่งก็สามารถเสนอ ‘ญัตติเพื่อถอดถอน’ ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้

‘ดร.สุวินัย’ โพสต์ข้อความ แลกเปลี่ยนกับ ‘สมภพ พอดี’ เรื่อง!! ‘วิกฤตการศึกษาของเด็กไทย และคนไทย’

(4 ม.ค. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

แลกเปลี่ยนกับคุณสมภพ พอดี เรื่องวิกฤตการศึกษาของเด็กไทยและคนไทย

ผมเขียน : 
ในยุค post-post modern และเป็นยุค dataism อย่างในยุคปัจจุบัน การศึกษาสายสังคมศาสตร์ในมหาลัยกำลังถูกดิสรัป และเผชิญวิกฤตของการดำรงอยู่ ... มาทำความเข้าใจตรงกันในประเด็นนี้ก่อนดีมั้ยเอ่ย 

ขอให้กำลังใจคุณสมภพ พอดีที่เปิดประเด็นเรื่องวิกฤตการศึกษาของเด็กไทยและคนไทยครับ

คุณสมภพ พอดี ตอบ :
ถ้าผมตรงเกินไป ขออภัยด้วยนะครับ
การศึกษาสายสังคมปัจจุบันเป็นความสิ้นเปลือง เป็นภาระของสังคมมากครับ
เด็กนักเรียนใช้เวลาที่ดีที่สุดของชีวิต 4 ปี ใช้เงินทอง เรียนในสิ่งที่เอาไปใช้ทำอะไรในโลกปัจจุบันและอนาคตแทบจะไม่ได้ ใช้ทำธุรกิจหรืออุตสาหกรรมใดๆไม่ได้ ใช้ทำมาหากินสร้างตัว สร้างชีวิต ไม่ได้ แถมไม่สอน ไม่ฝึกฝนให้คนเรียนรู้จักคิดด้วยตรรกะ วิเคราะห์ด้วยเหตุผล

วันนึงในอนาคต หากมนุษยชาติยังคงอยู่ เขาจะตั้งคำถามว่า ทำไมคนในอดีตจำนวนมากมายถึงเสียเวลากับเรื่องพวกนี้

ผมตอบ : 
ผมเข้าใจประเด็นของคุณสมภพดีครับ อย่างไรก็ตามไม่ว่ายุคสมัยไหน สังคมย่อมต้องการ ‘นักปราชญ์’ มาพัฒนา ‘ความคิด’ อยู่ดี เพื่อตอบปัญหา ‘ความหมายของชีวิต’ (ikigai) ... เพราะในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ มันต้องการองค์ความรู้ที่กว้างกว่าและลึกกว่าวิชาทำมาหากิน 

สั้น ๆ คนเราต้องการเสพทั้ง 'ความจริง ความดี และความงาม' เพื่อบรรลุความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง (ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สังกัดอยู่ใน 'ความจริง', ความรู้ทางศาสนาสังกัดอยู่ใน 'ความดี' และความรู้ทางศิลปะ-วัฒนธรรมสังกัดอยู่ใน 'ความงาม')

‘นักปราชญ์’ หรือ ผู้นำความคิด/ ผู้ผลิตความคิดที่เป็น ‘ความจริง ความดี ความงาม’ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในทุกยุคทุกสมัย เพื่อวิวัฒน์อารยธรรมของมนุษยชาติให้รุดหน้า

แต่ในความเป็นจริงก็คือ ยุคสมัยไม่ได้ต้องการ 'นักปราชญ์หรือผู้นำความคิด' จำนวนมากมายเลย แต่มันต้องมีและต้อง 'ผลิตซ้ำ' ออกมาอย่างต่อเนื่องในระดับหัวกะทิ เพราะคนพวกนี้เปรียบเหมือน นักกีฬาโอลิมปิคในวงการความคิด

ปัญหาของสังคม Mass Society ที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับระบบ Mass Production ของเศรษฐกิจระบบทุนนิยม คือ มันสร้างระบบมหาลัย และคณะสังคมศาสตร์ ที่ผลิตนักศึกษาสายสังคมศาสตร์ออกมาในระดับ mass เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความสิ้นเปลืองของสังคมจริง ๆ เพราะ 99.9% ของนักศึกษาเหล่านี้ ไม่สามารถแสดงบทบาทหน้าที่ของ ‘นักปราชญ์’ หรือ ‘ผู้นำความคิด’ ที่สังคมต้องการได้

‘ปวิน’ แซะ ‘ลิซ่า’ คบ ‘เฟรเดริก’ เพราะรวย เลยดูดีไปหมด ชี้!! หน้าตา ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่หล่อ!! เพราะเป็นทายาทหลุยส์

(4 ม.ค. 68) นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ หนึ่งในผู้ลี้ภัยการเมืองที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการโพสต์ข้อความถึง ‘เฟรเดริก อาร์โนลต์’ ซีอีโอทายาทอาณาจักรแบรนด์หรู LVMH แฟนหนุ่มของนักร้องหญิงไทย ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล โดยระบุว่ามีหน้าตาที่ธรรมดา ๆ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

แต่ที่ทำให้เจ้าตัวดูดีก็เพราะความรวย นอกจากนี้เจ้าตัวยังแซะ ‘ลิซ่า’ ทำนองว่าคบหาอีกฝ่ายก็เพราะเป็นทายาทหลุยส์ฯ นั่นเอง

โดยข้อความที่เจ้าตัวโพสต์นั้นระบุว่า … 

"ทายาท Louis Vuitton ถ้าไม่ใช่ทายาท ก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง หน้าตา below average แต่พอรวย เลยดูดีไปหมด ดูดีคู่ควรนักร้องสาว เหมาะสมกันดี และดิชั้นก็เชื่อว่า นักร้องสาวรักเค้าไม่ใช่เพราะเค้าเป็นทายาทหลุยส์แต่เป็นเพราะเค้าเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น..."

ทั้งนี้โพสต์ดังกล่าวได้มีคนเข้ามาแสดงความเห็นมากมายและส่วนใหญ่ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าตัวโพสต์แต่อย่างใด

พีระพันธุ์ เดินหน้า!! ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อไป เพื่อคนไทยทุกคน

ขอบคุณที่เป็นกำแพงเหล็ก ให้ผมพิงในการทำงาน!!
‘พีระพันธุ์’ อวยพรคนไทย ให้มีความสุข สมหวัง สำเร็จ ในปี 2568 ย้ำ!! ยังคงเดินหน้า เรื่องพลังงาน เพื่อประโยชน์ ของชาติบ้านเมือง

เมื่อวานนี้ (4 ม.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ในวารดิถีขึ้นปีใหม่ 2568 นี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่พี่น้องประชาชนแต่ละท่านเคารพนับถือ โปรดดลบันดาลและอำนวยพรให้ทุกท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข ความสมหวัง และความสำเร็จในทุกสิ่งที่มุ่งหวัง ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เดินทางไปไหนก็ขอให้คลาดแคล้วจากอุบัติเหตุอันตราย ใครที่ประสบความสำเร็จในปี 2567 อยู่แล้ว ก็ขอให้ประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไปในปี 2568 ใครที่ยังไปไม่ถึงฟากฝั่งในปี 2567 ก็ขอให้ไปให้ถึงเป้าหมายในปีใหม่ 2568 นี้ ขอให้ทุกท่านมีพลังกายและพลังใจที่เข้มแข็ง ชนะอุปสรรคได้ทั้งปวง พบแต่สิ่งดีๆ และคนดีๆ ตลอดปี 2568 และตลอดไปครับ

สำหรับผม ปี 2567 ที่เพิ่งผ่านไป ถือเป็นปีที่เหนื่อยมาก เพราะต้องทำงานแข่งกับเวลาที่หมดไปอย่างรวดเร็วในแต่ละวันโดยแทบไม่มีการหยุดพัก แต่อย่างน้อยผมก็ทำสำเร็จเกือบ 100% ตามที่บอกไว้ครับ

1. ตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่หน่วยละ 4.18 บาท และคงค่าไฟฟ้าสำหรับกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกินเดือนละ 300 หน่วย ไว้ที่ราคาหน่วยละ 3.99 บาท มาได้ตลอดทั้งปี 2567 สำหรับปี2568 ช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 ค่าไฟฟ้าก็จะอยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท ทั้งนี้ ด้วยการสนับสนุนของท่านนายกฯ เศรษฐาและท่านนายกฯ แพทองธาร 

2.ร่างกฎหมายกำกับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังตรวจแก้ไขต้นร่างเกือบเสร็จแล้ว รออีกนิดนะครับ กฎหมายนี้จะมีกติกาที่ไม่ให้ปรับราคาน้ำมันขึ้นลงรายวัน มีระบบพิสูจน์ต้นทุน และยกเลิกการอ้างอิงราคาน้ำมันที่ตลาดสิงคโปร์ โดยนำระบบต้นทุนบวกค่าใช้จ่ายจริงที่เรียกว่าระบบ COST PLUS มาใช้แทน ที่สำคัญคือ จะให้มีน้ำมันเพื่อเกษตรกร และชาวประมงในราคาที่ถูกลง และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่งและองค์กรสาธารณกุศลสามารถนำน้ำมันเข้ามาใช้ได้เอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนลงได้มาก และยังจะเปิดโอกาสให้รัฐสามารถจัดให้มีน้ำมันเพื่อผู้มีรายได้น้อยด้วย 

3. กฎหมายฉบับที่สองที่ทำเสร็จแล้ว คือกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์รูฟ ซึ่งจะพังทลายกฎเกณฑ์กติกาเดิมๆ ที่ทำให้การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นเรื่องยุ่งยากและล่าช้า ผมยกเลิกการขออนุญาตทุกรูปแบบโดยเปลี่ยนมาเป็นการติดตั้งได้ทันทีตามกฎเกณฑ์ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน เมื่อติดตั้งแล้วก็ใช้ระบบแจ้งให้ทราบ จากนั้นแต่ละหน่วยงานก็จะไปตรวจสอบเอง หากมีสิ่งใดต้องแก้ไขก็ว่ากันไป ไม่ต้องเสียเวลารอการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ไม่กี่คน ขณะที่คนทั้งประเทศต้องรอกันทั้งชาติ กฎหมายนี้จะเสนอในนามของรัฐบาลด้วย แต่ขั้นตอนช้า ต้องดำเนินการอีกหลายอย่าง ผมเลยให้เสนอเข้าสภาฯ ในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติก่อน ซึ่งดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ครับ

สำหรับปี 2568 นี้ สิ่งที่ผมวางเป้าหมายไว้เป็นเรื่องแรกเลย คือ จะร่างกฎหมายสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง หรือStrategic Petroleum reserve (SPR) ที่จะนำมาใช้แทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและสร้างความมั่นคงให้ประเทศ ซึ่งจะทำต่อจากกฎหมายกำกับกิจการค้าน้ำมัน ไม่น่าเชื่อว่าประเทศเราไม่เคยมีสำรองน้ำมันของประเทศเลย ที่มีอยู่ก็เป็นการสำรองของภาคเอกชนเพื่อประโยชน์ทางการค้าเป็นหลักตามกฎหมายการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น และเก็บสำรองเพียงประมาณ 20-25 วัน แต่หลักเกณฑ์ของการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคงของประเทศต้องไม่ใช่เพื่อการค้าแต่เพื่อประโยชน์ของชาติ และต้องมีสำรองขั้นต่ำ 90 วัน โดยผมจะนำระบบนี้มาใช้แทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะเปลี่ยนการเก็บเงินจากการซื้อขายน้ำมันที่ไล่เก็บจากประชาชนไปเข้ากองทุนน้ำมัน เป็นระบบเก็บเป็นน้ำมันจากผู้ค้าน้ำมันแทน ระบบนี้จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงทันทีอย่างน้อย 2.50 บาท ถึง 4 บาทกว่าๆ แล้วแต่ประเภทของน้ำมันเพราะไม่มีการเก็บเงินส่วนนี้จากประชาชนอีก แล้วใช้น้ำมันในส่วนนี้ไปชดเชยราคาน้ำมันให้ผู้ค้าน้ำมันแทนเงินที่เก็บจากประชาชน

ส่วนเรื่องค่าไฟฟ้าจะต่อยอดจากกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อช่วยประชาชนให้ลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าลงนั้น ผมกำลังดำเนินการให้กระทรวงพลังงานผลิตอุปกรณ์ที่เป็นอุปกรณ์หลักในการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เรียกว่าเครื่อง Invertor ที่มีราคาแพงประมาณเครื่องละ 30,000-40,000 บาท โดยน่าจะผลิตได้ในราคาเพียง 1 ใน 3 ของราคาในท้องตลาดเท่านั้น ตอนนี้เครื่องต้นแบบผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งจากสถาบัน สวทช. แล้ว และกำลังรอทดสอบอีกสองขั้นตอน เมื่อผ่านหมดก็จะเริ่มเข้าสู่แผนการผลิตจำหน่ายให้ประชาชนในราคาถูกที่สุด และจะหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อให้ประชาชนสามารถหักค่าใช้จ่ายส่วนนี้จากภาระภาษีเงินได้ประจำปีด้วย อีกทั้งยังกำลังดำเนินการหาแนวทางให้กองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในสังกัดกระทรวงพลังงานสามารถสนับสนุนเงินทุนหรืออย่างใดอย่างหนึ่งให้ประชาชนด้วย 

ผมเชื่อว่าผลงานของรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานตั้งแต่ปลายปี 2567 ต่อยอดไปถึงปี 2568 จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชนได้ตามนโยบายรัฐบาลและตามที่ท่านนายกฯแพทองธารประกาศไว้ และจะช่วยทำให้ประเทศมีความมั่นคงด้านพลังงานมากขึ้นด้วย

สุดท้าย ผมเคยพูดไว้ว่า สิ่งที่ผมทำเพื่อพี่น้องประชาชนจะมีคนที่เคยได้ประโยชน์กันมากว่า 50 ปีเป็นอย่างน้อยต้องเสียประโยชน์ ผมรู้ว่าผมจะต้องโดนวิชามารกระหน่ำแบบไหน แต่ผมไม่กลัวและผมจะทำให้ได้ ขอเพียงพี่น้องประชาชนช่วยเป็นกำแพงให้ผมพิงเท่านั้นก็พอ ความสำเร็จของการทำงานเพื่อประชาชนเริ่มทยอยปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่ปลายปี 2567 ตามที่ผมวางเป้าหมายไว้ และเป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงสองสามเดือนก่อนสิ้นปี 2567 ผมถูกกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าสื่อบางกลุ่มรุมกระหน่ำปั้นข่าวทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวเปิดตัวพรรคใหม่ทุนหนา ก็มีบัญชีอวตารเปิดใหม่พรึ่บเพื่อใช้ถล่มผมแบบไม่ยั้งมือ แต่ผมไม่เคยหวั่นไหวและจะทำในสิ่งที่ต้องทำเสมอครับ

พอเห็นว่ากลยุทธ์แบบเดิมทำท่าจะเล่นงานไม่ไหว ก็ไปปั้นข่าวว่าผมขัดแย้งกับนายกฯบ้างขัดแย้งกับพรรคแกนนำรัฐบาลบ้าง ทั้งๆ ที่ผมและทั้งนายกฯ แพทองธารและอดีตนายกฯ เศรษฐาไม่เคยมีอะไรขัดแย้งกันเลย แถมทั้งสองท่านก็สนับสนุนการทำงานของผมตลอดมา เพราะเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลทั้งสิ้น ผลงานเรื่องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานก็สำเร็จด้วยดีเพราะการสนับสนุนทั้งสองท่าน ล่าสุดที่ท่านนายกฯ แพทองธารประกาศว่าจะทำลายทุนผูกขาด ท่านก็พูดจริง ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา ท่านนายกฯ ติดภารกิจด่วนก็มอบให้ผมเป็นประธานการประชุมแทน และกำชับให้ผมขอมติคณะกรรมการ กพช. ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องประมูลไฟฟ้าพลังงานสะอาดด้วย โดยมีท่านเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นผู้ประสานงานและติดตามงานตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ใครจะปั้นข่าวอะไรผมไม่สนใจ ผมสนใจแต่การทำงานและประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเท่านั้นครับ

อย่างไรก็ตาม ผมขอขอบคุณอีกครั้ง สำหรับทุกกำลังใจที่มีให้ผมและพรรครวมไทยสร้างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ และขอบคุณที่เป็นกำแพงเหล็กให้ผมพิงในการทำงาน และในปี 2568 นี้ ผมจะทำงานให้หนักขึ้นเพื่อความสำเร็จและประโยชน์ชาติบ้านเมืองครับ

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ!! ปชช. เชื่อ ‘อุ๊งอิ๊ง’ อยู่ยาวตลอดทั้งปี มอง!! สถานการณ์การเมืองไทย ยังวุ่นวายต่อไป เหมือนเดิม

(5 ม.ค. 68) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ ของประชาชน เรื่อง ‘การเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต ในปี 2568’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ในปี 2568 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนด ค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงสถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยทั่วไป ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 50.61 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 39.92 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายมากขึ้น ร้อยละ 7.33 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายน้อยลง และร้อยละ 2.14 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะไม่วุ่นวายเลย

ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในปี 2568 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 51.22 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่ยาวตลอดทั้งปี รองลงมา ร้อยละ 21.60 ระบุว่า รัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 15.34 ระบุว่า จะมีการยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 15.04 ระบุว่า จะเกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล และทำให้รัฐบาลล่ม ร้อยละ 5.88 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะลาออก ร้อยละ 5.73 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนชุมนุมขับไล่ ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 3.05 ระบุว่า รัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนรัฐประหาร ร้อยละ 2.82 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนคดีความทางการเมืองจนต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 1.76 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะเปิดทางให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีแทน และร้อยละ 1.15 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทย ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 32.82 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่ลง ร้อยละ 21.99 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีขึ้น และร้อยละ 10.84 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีเหมือนเดิม

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงคุณภาพชีวิตโดยทั่วไปในสังคมไทย ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.43 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะแย่เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 33.20 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะแย่ลง ร้อยละ 20.46 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะดีขึ้น และร้อยละ 11.91 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะดีเหมือนเดิม

‘ดร.เสรี’ ฟันธงชี้!! หลังปีใหม่นี้ มีหนาวต่อแน่ กทม. อาจจะลงไปถึง!! 15℃ วันที่ 6 มกรา นี้

(5 ม.ค. 68)  รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการ ‘ศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต’ โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า …

#สวัสดีหลังปีใหม่สภาพอากาศหนาวเย็นช่วงแรก 5-6-7 มกราคมนี้

มาแล้วครับหนาวจริงหนาวจังหนาวแรกปีใหม่ระหว่าง 5-7 มกราคม โดยจะหนาวสุดในวันที่ 6 มกราคมนี้ครับ อุณหภูมิจะลดลงไปอีก 2-3℃ อุณหภูมิต่ำสุด กทม. และปริมณฑลอาจจะลงไปถึง 15℃ส่วนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 12℃ความหนาวเย็นจะอยู่กับเราจนถึงประมาณวันที่ 20 มกราคม จะเริ่มอุ่นขึ้น

ส่วนเรื่องของฝนก็ยังคงไม่มีอะไรน่ากังวลน่ะครับช่วงนี้ แม้ว่ามีโหราจารย์หลายสำนัก ฟันธงปีนี้จะเป็นปีดุ น้ำท่วมหนัก แต่การคาดการณ์ทางวิทยาศาตร์บ่งชี้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกปี 2568 จะต่ำกว่าปีที่แล้ว แต่ยังคงเป็นปีที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 1.41℃ (ปีที่แล้ว > 1.5℃) จากยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ดังนั้นสภาวะโลกร้อน และ Climate Change ยังคงส่งผลกระทบกับโลกต่อไป ประกอบกับเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว เช่นกรณี Rain bomb ไม่สามารถคาดการณ์ระยะยาวได้ จึงควรตระหนัก และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทครับ

‘จีน’ ส่ง BYD ตีชนะ!! Tesla ‘เวียดนาม’ เดินหน้า พัฒนาอุตสาหกรรม ‘เซมิคอนดักเตอร์’ ‘รัฐบาลไทย’ มุ่งสร้าง!! ฐานประชานิยม เน้นแค่หาเสียง เพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาล

(5 ม.ค. 68) ข่าวส่งท้ายปี 2567 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะการเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จากการเปิดเผยของ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง (24 ธ.ค.2567)

ซึ่งคงต้องมีการสรรหากันใหม่ คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเดือนมกราคม 2568

แรงกดดันจากฝ่ายการเมือง ที่จะเข้าไปแทรกแซงการกำหนดนโยบายทางการเงิน การคลัง รวมทั้งเงินสำรองระหว่างประเทศ ก็คงซาไปอีกระยะ จนกว่าจะมีการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหากันอีกครั้ง

และข่าวเริ่มต้นปีมะเส็ง 2568 กับการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่า บีวายดี (BYD) ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก โดยในไตรมาส 4 ของปี 2024 บีวายดีแซงหน้าเทสลา (Tesla) เป็นครั้งที่สอง

จากรายงานระบุว่า บีวายดี ผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่ที่สุดของจีน ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (All-Electric Vehicles) จำนวน 207,734 คันในเดือนธันวาคม 2024 เพิ่มขึ้นประมาณ 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ในไตรมาส 4 ปี 2024 บีวายดีส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบรวมประมาณ 595,000 คัน มากกว่าเทสลาที่ส่งมอบได้ 496,000 คัน แม้ตัวเลขดังกล่าวจะเป็นสถิติใหม่ของเทสลา แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 507,000 คัน

สำหรับยอดขายทั้งปี 2024 บีวายดีสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าได้รวม 1.768 ล้านคัน เพิ่มขึ้นราว 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่เทสลามียอดขายรวม 1.79 ล้านคัน ลดลงประมาณ 1% เมื่อเทียบกับปี 2023

ตามด้วยข่าว รัฐบาลเวียดนามเสนอเงินอุดหนุน 50% ของมูลค่าลงทุนให้กับโครงการวิจัยและพัฒนาหลักในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

โครงการที่มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุนดังกล่าวซึ่งระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกาที่ออกเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2024 จะต้องมีการลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านล้านดอง (4.07 พันล้านบาท), ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศนวัตกรรม (innovation ecosystem), ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ก้าวล้ำ และผู้พัฒนาโครงการจะต้องไม่มีภาษีค้างชำระหรือหนี้กับรัฐบาล โดยผู้พัฒนาโครงการจะต้องชำระทุนจดทะเบียนอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอง (1.35 พันล้านบาท) ภายใน 3 ปีนับจากได้รับการอนุมัติการลงทุน

รัฐบาลเวียดนาม ยังคงเดินนโยบายด้านเศรษฐกิจ ดึงนักลงทุน และส่งเสริมการลงทุน ในส่วนโครงการเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อผลักดันการเติบโตของประเทศ ที่มั่นคง ยั่งยืน โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากร การวิจัยและพัฒนา การลงทุนในสินทรัพย์ การผลิต และโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจได้เป็นจำนวนมาก

หันกลับมาดูการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย กลับเป็นนโยบายประชานิยม ที่แทบจะสร้างฐานสำหรับอนาคตของประเทศไม่ได้ ซ้ำยังส่งผลเสียต่อวินัยทางการเงินของประชาชนไปเรื่อยๆ เน้นแค่หาเสียงเพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลในสมัยต่อไป 

มารอดูกันต่อว่า ประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ที่มีอยู่ 4 ล้านกว่าคน ที่เหมือนต้องแบกการใช้จ่ายงบประมาณ ไปกับนโยบายประชานิยม จะทนต่อได้มากน้อยแค่ไหน หากคนกลุ่มนี้เริ่มส่งเสียง เก้าอี้รัฐบาล จะเริ่มสั่นคลอน ... สวัสดีปีใหม่ 2568 ครับ 

‘อังกฤษ’ ขุดพบ!! ‘รอยเท้าไดโนเสาร์’ ทั้งสายพันธุ์ ‘กินพืช – ล่าเนื้อ’ ในยุค 166 ล้านปีก่อน ยาวเป็นทางเดิน คาดขนาดจริง คงตัวใหญ่มาก

(5 ม.ค. 68) นักบรรพชีวินวิทยาค้นพบหลุมแปลก ๆ ในเหมืองหินแห่งหนึ่งในอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ซึ่งรอยบุ๋มเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นรอยเท้าไดโนเสาร์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน ซึ่งการค้นพบนี้เกิดขึ้นหลังจากคนงานในไซต์รายงานว่า พบเนินและหลุมเยอะผิดปกติ

การค้นพบทางเดินยาวเกือบ 500 ฟุตที่เต็มไปด้วยร่องรอยของสัตว์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ขนาดยักษ์ในอ็อกซ์ฟอร์ดเชียร์ ใกล้กับลอนดอนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ถนนทางหลวงไดโนเสาร์” ตามที่ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม เชื่อกันว่าการค้นพบในศตวรรษที่ 20 นี้ยังมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับยุคจูราสสิกตอนกลาง เมื่อประมาณ 166 ล้านปีก่อน

เริ่มตั้งแต่ฤดูร้อนปี 2024 นักวิทยาศาสตร์ นักศึกษา และอาสาสมัครมากกว่า 100 คนจะเข้าร่วมงานขุดเหมืองหิน ซึ่งแกรี่ จอห์นสันค้นพบรอยเท้าเหล่านี้ครั้งแรกเมื่อเขาขับรถขุด 

“ผมเพิ่งทำความสะอาดดินเหนียว แล้วก็โดนกระแทก ตอนแรกคิดว่ามันเป็นเพียงหลุมที่ไม่เรียบในดิน แต่ไม่คาดคิดมาก่อน เมื่อว่าจะหลุมคล้าย ๆ กันอยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร”

เนื่องจากมีการค้นพบรอยเท้าไดโนเสาร์ในบริเวณใกล้เคียงในช่วงทศวรรษ 1990 แกรี่จึงตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า หลุมเหล่านี้อาจเป็นรอยเท้าของไดโนเสาร์ พร้อมกล่าวว่า 

“ผมคิดว่า ผมเป็นคนแรกที่ได้เห็นรอยเท้าเหล่านี้ มันช่างเหนือจริงและน่ากังวลเล็กน้อย”

บีบีซี รายงานว่า ทีมวิจัยพบรอยเท้าทั้งหมด 5 รอย โดย 4 รอยเท้ามาจากซอโรพอด เซติโอซอรัส ไดโนเสาร์กินพืชที่เดินด้วย 4 ขาและอาจยาวได้ถึง 18 เมตร รอยเท้าดังกล่าวดูใหญ่โตเล็กน้อย มีขนาดใหญ่กว่ามาก อีกตัว คือ เมกาโลซอรัส ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อสองขาที่ว่องไวมีลักษณะสามนิ้วถูกพบเห็นว่าทับซ้อนกับรอยเท้าของสัตว์กินพืชคอยาวหลายตัว

ดร.เอ็มมา นิโคลส์กล่าวว่า “นักวิทยาศาสตร์รู้จักและศึกษาเมกาโลซอรัสมานานกว่าไดโนเสาร์ตัวอื่น ๆ บนโลก อย่างไรก็ตาม การค้นพบล่าสุดเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่ายังมีหลักฐานใหม่ ๆ เกี่ยวกับสัตว์เหล่านี้ที่รอการค้นพบอยู่”

ปัจจุบันส่วนที่ยาวที่สุดของรอยเท้าที่พบสูงถึง 150 เมตร และในขณะที่การขุดค้นดำเนินไปก็อาจขยายออกไปอีก เคิร์สตี เอ็ดการ์ นักบรรพชีวินวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมกล่าวว่า 

“นี่เป็นหนึ่งในรอยเท้าที่น่าทึ่งที่สุดที่ผมเคยพบเห็นในแง่ของขนาดและขนาดรอยเท้า คุณสามารถย้อนเวลากลับไปและจินตนาการถึงสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์เหล่านี้ที่เดินไปมาได้”

ริชาร์ด บัตเลอร์ นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมกล่าวว่า 

“รอยเท้าไดโนเสาร์หรือแม้แต่รอยเท้าทั้งหมด เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของชีวิตสัตว์เหล่านี้ คุณสามารถเข้าใจได้ว่าสัตว์เหล่านี้เคลื่อนไหวอย่างไร และสภาพแวดล้อมที่พวกมันอาศัยอยู่เป็นอย่างไร ข้อมูลนี้ไม่สามารถระบุได้จากกระดูกฟอสซิล สำหรับสาเหตุที่รอยเท้าถูกเก็บรักษาไว้นั้น เราไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่อาจเป็นพายุที่ทำให้เกิดตะกอนจำนวนมากเหนือรอยเท้า ซึ่งหมายความว่ารอยเท้าเหล่านั้นถูกเก็บรักษาไว้และไม่ถูกพัดพาออกไป”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top