Saturday, 5 July 2025
TheStatesTimes

สส.ไต้หวัน ตะลุมบอน!! กลางสภา ขวางร่างแก้ไขกฎหมาย อ้าง!! อันตรายต่อประชาธิปไตย ลิดรอนสิทธิผู้เลือกตั้ง

(21 ธ.ค. 67) สส.พรรครัฐบาลกับสส.ฝ่ายค้าน ตะลุมบอน!! ซัดกันสุดชุลมุนกลางรัฐสภา ในขณะที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า(ดีพีพี) พรรครัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ของไต้หวัน พยายามขัดขวางการผ่านร่างแก้ไขกฎหมายที่สส.พรรคฝ่ายค้านเสนอ ซึ่งพรรครัฐบาลชี้ว่าอาจเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยของไต้หวันที่ปกครองตนเองแห่งนี้

สส.พรรคพีพีพีพยายามขัดขวางร่างแก้ไขกฎหมาย 3 ฉบับ ที่พรรคก๊กมินตั๋ง(เคเอ็มที) แกนนำพรรคฝ่ายค้าน และพรรคประชาชนไต้หวัน(ทีพีพี) พรรคพันธมิตรร่วมกันเสนอ ซึ่งพรรคดีพีพีชี้ว่าจะทำให้เป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการที่จะถอดถอนเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งพวกเขาเห็นว่าไม่เหมาะสมให้พ้นตำแหน่งไป

สส.พรรคดีพีพีบางคนตะโกนใส่หน้าสส.พรรคฝ่ายค้านว่าเป็น เผด็จการรัฐสภา’ ขณะที่แถลงการณ์ของพรรคดีพีพีระบุว่า “หากพรรคเคเอ็มทีบังคับให้ผ่านร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว กลไกการตรวจสอบตนเองตามระบอบประชาธิปไตยและการฟื้นฟูไต้หวันจะสูญสิ้นไปและจะสร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญและไม่สามารถย้อนกลับได้ต่อภาคประชาสังคมและประชาธิปไตยของไต้หวัน”

ก่อนหน้านี้ สส.พรรคดีพีพีหลายคนได้เข้ายึดเวทีของห้องประชุมใหญ่ของรัฐสภามาตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดี(19 ธ.ค.) และยังนำเก้าอี้มากั้นขวางทางเข้าด้วย

ขณะที่หน้ารัฐสภาไต้หวัน ในกรุงไทเป มีประชาชนหลายพันคนรวมตัวชุมนุมกันอยู่ เพื่อประท้วงการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว โดยมีการตะโกนร้องร่วมกันว่า “เอาร่างแก้ไขที่ชั่วร้ายกลับไป” และ ปกป้องไต้หวัน”

ผู้ประท้วงรายหนึ่งกล่าวว่า ตนมาที่นี่เพื่อประท้วงพรรคฝ่ายค้านที่พยายามลิดรอนสิทธิของประชาชนในการถอดถอนเจ้าหน้าที่รัฐ

หนึ่งในร่างแก้ไขกฎหมายที่มีการโต้แย้งดังกล่าวคือร่างแก้ไขรัฐบัญญัติการเลือกตั้งและการถอดถอนเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคทีพีพีผลักดันเพื่อให้มีการเพิ่มเกณฑ์ในการถอดถอนเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคก๊กมินตั๋งกล่าวว่าจะป้องกันไม่ให้ ‘อำนาจการถอดถอน’ ถูกละเมิดได้

ขณะที่สส.พรรคดีพีพีกล่าวว่า พวกเขาเกรงว่าการผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็นการลิดรอนสิทธิของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการจะปลดเจ้าหน้าที่รัฐที่พวกเขาเห็นว่าไม่เหมาะสมออกจากตำแหน่ง

ศาลปกครอง มีคำสั่ง ค้างค่าปรับ ‘ใบสั่งจราจร’ ให้!! ต่อทะเบียนได้ พร้อมป้ายเสียภาษี ชี้!! ชำระภาษี เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวรถ แต่ทำผิดกฎจราจร เป็นเรื่องของบุคคล

(21 ธ.ค. 67) ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษา ตามคดีหมายเลขดำที่ 2120/2567 คดีหมายเลขแดงที่ 2682/2567 ลงวันที่ 18 ธ.ค.2567 เกี่ยวกับการต่อภาษีรถยนต์ ที่ค้างค่าปรับใบสั่ง ตามกฎหมายจราจร ระหว่าง นายอำนาจ ผู้ฟ้องคดี กับผู้ถูกฟ้องคดี ประกอบด้วย กรมการขนส่งทางบก ที่ 1 อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ที่ 2 สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 ที่ 3 ฝ่ายทะเบียนสำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 ที่ 4 นายทะเบียนตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ที่ 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 6 ผู้ถูกฟ้องคดี

เรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวว่าเกินสมควร

คดีนี้อธิบดีศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโดยเร่งด่วนตาม ข้อ 49/2 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543

ตามฟ้องโจทก์ระบุว่า นายทะเบียน กรมการขนส่งทางบก ไม่ออกป้ายภาษีวงกลมให้ โดยส่งมอบแค่ใบเสร็จชำระค่าภาษีประจำปีแล้วประทับตรา ว่าใช้แทนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีไม่เกิน 30 วัน ให้แทน พร้อมเอกสารที่ปรินต์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ แสดงรายละเอียดข้อมูลการกระทำความผิดตามกฎหมายจราจร

โดยอ้างข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับกรมการขนส่งทางบก เพียงฝ่ายเดียว เป็นการละเลยและไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการของพระราชบัญญัติการจราจรทางบก ดังนั้นจึงไม่มีอำนาจในการชะลอการออก ป้ายภาษีวงกลม ให้กับเจ้าของรถที่ค้างชำระค่าปรับจราจร

“หลักการชำระภาษีรถเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวรถ แต่การทำผิดกฎจราจรเป็นเรื่องของบุคคล การนำ 2 เรื่องมาเชื่อมโยงกันจึงไม่ถูกต้อง เป็นการบังคับทางอ้อมให้เจ้าของรถต้องยินยอมชำระค่าปรับ” คำฟ้องตอนหนึ่งระบุ

ทั้งนี้ ศาลปกครองกลาง ยังสั่งให้ กรมการขนส่งทางบก จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีด้วย

“พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีรถประจำปี พ.ศ. 2568 ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ทั้งนี้ภายในสามวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นเงินจำนวน 3,151.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา 7 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามคำขอของผู้ฟ้องคดี ทั้งนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 คืนค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนตามส่วนของการชนะคดีให้แก่ผู้ฟ้องคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก” 

ท้ายคำพิพากษาระบุ

‘นิพิฏฐ์’ ชี้!! ต้องแยกแยะ ‘การเมืองท้องถิ่น’ ออกจาก ‘การเมืองระดับชาติ’ ลั่น!! รู้จักผู้สมัครจาก ‘พรรคประชาชน’ ในบางจังหวัด มีคุณสมบัติเหมาะสม

(21 ธ.ค. 67) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า …

ผมดูรายชื่อผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ‘พรรคประชาชน’ ในบางจังหวัด ต้องยอมรับอย่างตรงไป-ตรงมา ว่า ในบางจังหวัดที่ผมรู้จักคุณสมบัติของเขาเหนือกว่าคู่แข่งจริง ๆ มีความเหมาะสมในการบริหารท้องถิ่น และประชาชนในท้องถิ่นน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า

จึงอยากให้แยกการเมืองระดับชาติ กับ ระดับท้องถิ่นออกจากกัน ประชาชนในพื้นที่จะรู้ดี ว่าใครเป็นอย่างไร ใครเก่ง-ไม่เก่ง,ใครดี-ไม่ดี,ใครซื้อเสียง-ไม่ซื้อเสียง เลือกเอาตามที่ถนัดครับ

เมื่อแยกการเมืองระดับชาติ กับ ท้องถิ่น ออกจากกันแล้ว เราเลือกนักการเมืองท้องถิ่นอย่างไร ก็สะท้อนตัวตนของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ ว่า เป็นอย่างไร

‘จิรายุ’ เผย!! ‘แพทองธาร’ เป็นนายกรัฐมนตรี 3 เดือน ทำงานเข้าตาประชาชน วางเป้า!! ทำให้คนไทย หลุดจาก ‘กับดักความยากจน’ ก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้ว

(21 ธ.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นของนอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ท กรุงเทพ ในประเด็น ‘ท่านเห็นว่าบุคคลใดที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นนักการเมืองแห่งปี 2567’ พบว่า ประชาชนชื่นชมและชื่นชอบโหวตให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มาเป็นอันดับหนึ่ง นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกกำลังใจ ถือว่าจะเป็นอีกแรงผลักดันสำคัญในการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป

นายจิรายุ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารประเทศมาเพียง 3 เดือน ได้เร่งผลักดันแก้ไขปัญหาที่เป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติและตรงตามความต้องการของประชาชน ซึ่งผลการสำรวจความคิดเห็นนี้จะเป็นอีกเสียงที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการทำงาน ความสำเร็จที่เห็นผล อย่างเป็นรูปธรรมในการเดินหน้าในทุกนโยบาย ของรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐบาลรับฟังความคิดเห็นทั้งคำชมหรือข้อแนะนำเพื่อนำไปปรับปรุงให้เป็นประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน

นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลยืนยันว่าจะขอทำงานให้หนักมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการลงพื้นที่แก้ไขปัญหาในทุก ๆ หมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัดและทุกภาคของประเทศและการเป็นตัวแทนของประเทศเพื่อนำพาประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักและเชิญชวนนักลงทุนและนักท่องเที่ยวมาประเทศไทยให้ได้มากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าในทุกตารางนิ้วของประเทศ ตามนโยบาย 2568 โอกาสไทยทำได้จริง หลังจากภาวะเศรษฐกิจ สังคมหยุดนิ่งมานานหลายปี

โฆษกรัฐบาล ยังกล่าวอีกด้วยว่า นายกรัฐมนตรียืนยันว่าปีหน้าจะเร่งสปีดนโยบายต่างๆโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งช่วงหน้าฝน ประชาชนจะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงภัยกับอุทกภัยซ้ำซากแบบนี้อีก นอกจากนี้การเร่งรัดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจะเร่งทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้เห็นผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว รวมทั้งการปราบปรามยาเสพติดที่ มอบนโยบายเร่งด่วนให้ส่วนราชการให้ดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียืนยันและขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะนำพาเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งสิ่งดี ๆ กลับคืนสู่พี่น้องประชาชนให้ได้ในเร็ววันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะต้องทำให้ประเทศไทยหลุดกับดักความยากจนและก้าวไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วให้ได้

2 ตายาย ใช้ยางรถยนต์เก่า ตกแต่งเป็น ‘ต้นคริสต์มาส – ตุ๊กตาหิมะ’ ชาวเน็ตแห่ชื่นชม!! ‘ความคิดสร้างสรรค์ – ความครีเอท’ แบบรีไซเคิล

(21 ธ.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพสุดน่ารักลงในกลุ่ม ‘อวดบ้านกันนะ’ โดยเผยให้เห็น 2 ตายาย กำลังตกแต่งต้นคริสต์มาสกันอย่างขะมักเขม้น โดยได้ใช้ยางรถยนต์นำมาพ่นสีเขียวเรียงทับ ๆ กันจนกลายเป็นต้นคริสต์มาส และมีการตกแต่งด้วยไฟ นอกจากนี้ข้าง ๆ ต้นคริสต์มาสก็ยังมีตุ๊กตาหิมะที่ทำจากยางรถยนต์อีกด้วย โดยทำการพ่นสีขาวและใช้ตะกร้ามาตกแต่งเป็นลูกตา โดยผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า

ขออวดต้นคริสต์มาส ฝีมือคุณตาคุณยายหน่อยค่าทำจากยางล้อรถเก่าที่ไม่ใช้แล้วค่ะ มีล้อเคลื่อนย้ายได้ใช้เงินซื้อสีมาทา กับสายรุ้งตกแต่งค่ะ งบหลักร้อย

‘รู้จักพอ ก็เป็นสุข’

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ตและคำชื่นชมเป็นอย่างมาก มียอดแชร์โพสต์แล้วกว่า 2 พันครั้ง

‘เชน ธนา’ ประกาศขาย!! ตึกสำนักงาน ที่ลาดพร้าว ราคาแบบขาดทุน 58 ล้าน เผย!! ถึงเวลาต้องจากลา หลังคาน้อยที่พาโตจนเติบใหญ่ จะคิดถึงสุดหัวใจ

(21 ธ.ค. 67) ขอทำงานขายของเพื่อกู้วิกฤตให้กับบริษัท สำหรับผู้บริหารหนุ่ม ‘เชน ธนา’ หรือ ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หลังจากบริษัทรับผลิตอาหารเสริมแจ้งความ ฐานฉ้อโกง ไม่จ่ายค่าผลิตสินค้าเสริมอาหาร มูลค่า 79 ล้านบาท

ทำให้ที่ผ่านมาจะเห็น ‘เชน ธนา’ ไลฟ์ขายของและขายสินค้าหลาย ๆ อย่าง เพื่อนำเงินมาชดใช้ในกรณีที่เกิดขึ้น

ล่าสุด เชน ธนา โพสต์ประกาศขายตึกสำนักงาน โครงการ WISE ลาดพร้าว 71 เป็นโฮมออฟฟิศ 5 ชั้น 3 คูหา ในราคา 58 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท โดยระบุในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า …

“ขายสำนักงาน 3 ตึก 58 ล้าน ลดค่าใช้จ่ายบริษัทครับ”

นอกจากนี้ เชน ธนา ยังแชร์โพสต์ดังกล่าวลงในสตอรี่ พร้อมข้อความด้วยว่า … 

“ถึงเวลาบอกกล่าวและจากลา หลังคาน้อยที่พาโตจนเติบใหญ่ จะคิดถึงในอดีตสุดหัวใจ สู้ต่อไป สู้สุดใจ สู้ทุกวัน”

‘ดร.เอ้’ เผยสาเหตุ!! ทำไม ‘Nvidia’ บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’ ชี้!! ‘พัฒนาคน – หนุนการลงทุน – มีนโยบายต่อเนื่อง - สามัคคี ช่วยเหลือกัน'

(21 ธ.ค. 67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ทำไม Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’ แล้ว ‘ไทยจะทำอย่างไร’ เมื่อ ‘เวียดนาม’ ขึ้นแท่น ‘ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน’

ผมได้ยินจากปาก ‘เจนเซ่น หวง’ ประธานบริหาร Nvidia บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ว่า "เราจะเปิดศูนย์ออกแบบและวิจัยที่เวียดนาม" ก่อนที่ Nvidia จะประกาศอย่างเป็นทางการเสียอีก

ผมถามกลับทันทีว่า ‘เวียดนาม’ เสนออะไรแก่คุณ ถึงไปลงทุน ‘ศูนย์ออกแบบ’ ที่เป็น ‘หัวใจ’ และ ‘มันสมอง’ ของอุตสาหกรรมไฮเทค ที่ทุกคนหวงแหน

คนสนิท เจนเซ่น หวง ขยับตัวทันที ห้ามไม่ให้นายพูดอะไรต่อ เจนเซ่นเลยตอบว่า "มันไม่สำคัญหรอก" (ไทยอย่าไปรู้เลย)

แต่ผมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เพราะผมในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย ‘CMKL’ ที่ Carnegie Mellon สถาบันระดับโลกด้าน AI มาก่อตั้งร่วม เราเป็น ‘ลูกค้าคนแรก’ ที่ซื้อ ‘ซุปเปอร์ AI คอมพิวเตอร์’ รุ่น DGX-A100 ความเร็วสูงสุดในประเทศจาก Nvidia เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ยิ่งผมนั่งตรงข้าม ‘ตามองตา’ กับ ‘เจนเซ่น หวง’ เราเป็นพันธมิตรกันมาหลายปี ‘รู้กัน’ จึงตอบคำถามได้ไม่ยากว่า มีอยู่ 4 ปัจจัยที่บริษัทระดับโลกไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’

1. เวียดนามพัฒนาคุณภาพคน

ประสบการณ์ของผม ทั้งที่มีเพื่อนชาวเวียดนามเมื่อครั้งเรียนที่ MIT และทั้งเคยสอนเด็กเวียดนามที่มาเรียนวิศวะลาดกระบัง ไม่ต้องอายแล้วที่จะบอกว่า "เด็กเวียดนาม" ฉลาด เก่ง และขยันมากกว่า ทั้งคะแนนวัดผล PISA ชี้ชัดว่าเด็กเวียดนามได้คะแนนสูงที่สุดในอาเซียน เป็นรองเพียงเด็กสิงคโปร์เท่านั้น

เวียดนามยังส่งเด็กรุ่นใหม่ ไปเรียนในสาขา ‘วิศวกรรม และคอมพิวเตอร์’ ในมหาวิทยาลัยระดับโลก ทั้งสหรัฐ ยุโรป และรัสเซีย มากกว่าชาติใดในอาเซียน เพื่อกลับมาสร้าง ‘นวัตกรรม’ พัฒนาเวียดนามสู่โลก AI เต็มรูปแบบ

พิสูจน์เวียดนาม ‘ทุ่มเท’ พัฒนาคุณภาพคน ตั้งแต่ ‘อนุบาลถึงปริญญาเอก’ จึงไม่แปลกที่บริษัทไฮเทค ทั้ง Nvidia Apple SpaceX และ Samsung ถึงยอมมาลงทุนที่เวียดนาม เพราะได้ ‘คนเก่ง’ ที่คุ้มค่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘ค่าจ้าง’

2. เวียดนามสนับสนุนการลงทุน
เพราะเวียดนามเรียนรู้จาก ‘จีน’ เรื่องการ ‘ดึงดูดทุนต่างชาติ’ ใช้วิธี "วันนี้ฉันยอมเธอก่อน" วันหน้าฉันทำได้เอง แล้วค่อยว่ากัน คือ ยอมสนับสนุน ให้สิทธิพิเศษมากมาย พอบริษัทไฮเทคมาลงทุนสร้างโรงงาน สร้างศูนย์วิจัย ให้ SME เวียดนามได้เป็นผู้จัดหาของ หรือ Supplier เรียนรู้จนทำได้เอง คราวนี้แหละ เดี๋ยวได้รู้กัน ฉันอาจจะชนะเธอก็เป็นไปได้ เลียนแบบกรณีจีนยอมเสนอให้ Tesla มาตั้งโรงงาน เพื่อให้ SME จีนเรียนรู้ สุดท้ายจีนกลายเป็น ‘เจ้าตลาด’ รถพลังงานไฟฟ้า ไปเรียบร้อย

3. เวียดนามมีนโยบายต่อเนื่อง

ไม่ว่า ‘ผู้นำ’ จะเป็นใครนโยบายเวียดนามไม่เปลี่ยน เพราะอะไรที่ดีต่อประเทศชาติ ยังไงก็ต้องสานต่อ

นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1986 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจเวียดนาม เปิดประเทศให้กับการลงทุนจากต่างชาติ นโยบายเดินไปอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งเวียดนามเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2007 ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เวียดนามได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Economic Zones) ตามแบบจีน ยิ่งเกิดการลงทุนแบบก้าวกระโดด จนถึงทุกวันนี้

ขณะที่แนวคิดสานต่อไม่ค่อยเห็นในสังคมไทย เราดีแค่ไหน คนใหม่มา เขาก็อยากเปลี่ยน อยากทำแบบของเขา สุดท้ายองค์กร ‘เสียหาย’ ไม่พัฒนาต่อเนื่อง หากไม่เปลี่ยน ‘ทัศนคติ’ ประเทศไทยสู้คนอื่นยากครับ

4. เวียดนามสามัคคี ช่วยเหลือกัน

‘เวียดนาม’ ประเทศสังคมนิยม ที่บอบช้ำจากสงครามยาวนาน เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และเคยอยู่ใต้อิทธิพลของจีนมานานนับพันปี แต่วันนี้ผงาดขึ้นเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุด ทั้ง ‘ด้านเศรษฐกิจ’ เพราะรู้ว่า ‘ทางรอด’ มีทางเดียว คือ ‘ชาตินิยม’ เพราะไม่มีชนชาติใดรักเรา เท่าชนชาติเราเอง

คนเวียดนามไม่ว่าอยู่ที่ใดรวมกันติด และ ช่วยเหลือกัน ผลักดันทุกรูปแบบ ให้รัฐบาลสหรัฐ ยุโรป และรัสเซีย ต้องสนับสนุนเวียดนาม

‘ชาตินิยม’ แบบเวียดนาม จึงเป็นความรักชาติที่กลมกล่อม ไม่ไปรุกรานใคร แต่ก็พร้อมจะแข่งขันกับทุกคน ผมขอพยากรณ์ว่า เวียดนามจะเป็น ‘ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน’ และอาจขึ้นเทียบชั้นกับ 'เกาหลี' ในอนาคตได้

ที่จริงไทยเราจับ ‘สัญญาณ’ การก้าวกระโดดของเวียดนามได้มาหลายปี เพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากต่อเนื่อง แต่ไทยเรายังนิ่งไม่เข้าสู่โหมดแข่งขันอย่างจริงจังสักที ทำให้เสียโอกาสไปทุกวัน ที่ไม่อาจย้อนคืน

แม้ผมยังเชื่อมั่นว่า #คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ก็กังวลไม่น้อย เมื่อรู้แจ้งว่า เวียดนามและชาติอื่น วันนี้ไม่มีใครอยู่นิ่งเลย ทุกชาติ ‘พร้อมแข่งขัน’ แล้วไทยจะทำอย่างไร 

ทุกท่านคิดว่าไง แชร์กันได้นะครับ!!

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เผย ‘รัฐบาล’ เร่งเครื่องแก้ปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษา เร่งพัฒนาแพลตฟอร์มกลางภาครัฐ ยกระดับทักษะดิจิทัล รองรับ Learn to Earn เรียนรู้มีรายได้ สร้างอาชีพระหว่างศึกษา 

(21 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยลงการลงพื้นที่และการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ระดับชาติ ณ โรงเรียนหนองน้ำใส ต.หนองน้ำใส อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 พร้อมมีการประชุม Online อบรมเชิงปฏิบัติการการใช้งานระบบสารสนเทศ Thailand Zero Dropout ณ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ที่มีทุกภาคส่วนในจังหวัดนครราชสีมา และท้องถิ่นทั้ง 333 แห่ง ว่าการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาของชาติอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง หรือ THAILAND ZERO DROPOUT เน้นการแก้ปัญหาใน 4 ประเด็น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 ได้แก่ 1. การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา 2. การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานโดยใช้พื้นที่เป็นฐานเพื่อลุยดูแลกลุ่มเป้าหมาย 3. การจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นตามโจทย์ชีวิตของเด็กและเยาวชนแต่ละคน และ 4. การสร้างรายได้ไปพร้อมกับการเรียนรู้

นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังจัดทำโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางภาครัฐ เพื่อรองรับการพัฒนาทักษะดิจิทัล เรียนรู้มีรายได้ เรียนรู้ง่ายตลอดชีวิต ผ่านรูปแบบ Learn to Earn โดยจะมีการจัดเก็บข้อมูลด้านการศึกษา การฝึกอบรม การจัดหางาน ความต้องการตลาดแรงงาน และเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยการเรียนรู้ และการจับคู่ตำแหน่งงาน Job Matching นอกจากนี้รัฐบาลยังบูรณาการการทํางานร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทาง การศึกษา (กสศ.) และ แพลตฟอร์ม EWE (E-workforce ecosystem) ของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ในการพัฒนากําลังคนด้วยมาตรฐานอาชีพให้เป็นมืออาชีพ เพื่อความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน รวมถึงระบบการเทียบโอนสมรรถนะที่มีประสิทธิภาพ และเที่ยงตรงเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของกําลังคน เพื่อรองรับการช่วยเหลือกลุ่มที่ หลุดจากระบบการศึกษา

นายประเสริฐ กล่าวว่า นโยบายลดความเหลื่อมล้ำเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ณ ตรงจุดที่อยู่นี้มี ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ที่พร้อมร่วมขับเคลื่อนนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้โรงเรียนและชุมชน เช่น การ ให้บริการนักเรียนผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับการค้นคว้าหาข้อ มูล และองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทุกคน รวมถึงการใช้ อินเทอร์เน็ตนอกเวลาเรียน

“ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งสําคัญที่จะทําให้มาตรการเหล่านี้สําเร็จ คําตอบอยู่ที่การดําเนินงาน ระดับพื้นที่จังหวัด อําเภอ ตําบล และหมู่บ้าน ‘เราทุกคนเป็นเจ้าของเรื่องนี้ร่วมกันครับ’ การแก้ปัญหา THAILAND ZERO DROPOUT ต้องอาศัยทุกคนในชุมชน ทุกอําเภอ ทุกตําบล ทุก หมู่บ้าน ช่วยกันดูแลเด็กและเยาวชนของเรา เพราะพวกเขาคืออนาคตของประเทศไทย จังหวัด นครราชสีมา หรือโคราชเป็นเมืองที่มีศักยภาพและเปี่ยมไปด้วยโอกาสมากมาย การที่จะพัฒนา ไปข้างหน้าได้ ต้องมีรากฐานกําลังคนที่เข้มแข็ง เราต้องไม่ปล่อยให้เกิดการสูญเสีย เด็กและ เยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษา หรือไม่ได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพแม้แต่คนเดียว เพราะเด็กทุกคนเป็นมนุษย์ทองคํา เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน สร้างโอกาสให้เด็ก และเยาวชนทุกคนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ” นายประเสริฐกล่าวย้ำ

รมว.กต.เผยเวที 6 ประเทศเพื่อนบ้านเมียนมา-เวทีอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการลุล่วงด้วยดี - ชี้เป็นเวทีสำคัญให้เมียนมาร่วมมือกับเพื่อนบ้านเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา - ย้ำทุกประเทศอาเซียนยึดฉันทามติ 5 ข้อ 

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการเป็นเจ้าภาพการหารืออย่างไม่เป็นทางการระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 6 ประเทศเพื่อนบ้านเมียนมา ทั้งไทย สปป.ลาว จีน อินเดีย และบังกลาเทศ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 เพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นข้อห่วงกังวลร่วมกัน และการหารืออย่างไม่เป็นทางการในกรอบอาเซียนซึ่ง สปป.ลาวเป็นประธาน และประเทศไทยเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการหารือเมื่อวานนี้ (20 ธ.ค.) ว่า การประชุมเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. เป็นโอกาสให้มีการหารือระหว่างเมียนมากับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศพร้อมกันเกี่ยวกับปัญหาที่เป็นผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียนมาที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน และอาชญากรรมข้ามชาติ อาทิ การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การหลอกลวงออนไลน์ เพื่อหาแนวทางจัดการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยเชื่อว่าจะช่วยเสริมความพยายามของอาเซียนใน การแก้ไขปัญหาเมียนมาผ่านแนวทางการเจรจาได้ในท้ายที่สุด ทั้งนี้ ไทยเห็นว่าความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อมีการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ รวมถึงการแสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งการหารืออย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้ก็ถือได้ว่าประสบผลสําเร็จอย่างดี เพราะประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ เมียนมาต่างแสดงความพร้อมสนับสนุนเมียนมาในการหาข้อยุติภายในประเทศ 

ส่วนการหารืออย่างไม่เป็นทางการในกรอบอาเซียนซึ่ง สปป.ลาวเป็นประธานนั้น นายมาริษ เปิดเผยว่า ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนยังคงยึดฉันทามติ 5 ข้อ หรือ 5 Point Consensus และหวังเห็นพัฒนาการ หรือมีสัญญาณเชิงบวกในการแก้ไขปัญหาเมียนมา แต่ท้ายที่สุด การตัดสินใจจะเป็นไปในทิศทางใด ก็ขึ้นอยู่กับเมียนมา หรือหากพูดตรงๆ ก็คือ ''ไม่มีใครรู้จักประเทศเมียนมา ดีเท่ากับประเทศเมียนมาเอง'' 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top