Sunday, 29 June 2025
TheStatesTimes

ส.อ.ท. หั่นเป้าผลิตรถยนต์ปี 67 เหลือ 1.5 ล้านคัน ยอดขายในประเทศ-ส่งออกทรุด หวังมอเตอร์เอ็กซ์โปปลายปีดันยอด

(25 พ.ย.67) นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงถึงการปรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ประจำปี 2567 จากเดิม 1,700,000 คัน เป็น 1,500,000 คัน ลดลง 200,000 คัน หลังตลาดทั้งในและต่างประเทศได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย โดยเป้าหมายการผลิตใหม่แบ่งเป็นการผลิตเพื่อขายในประเทศ 450,000 คัน ลดลงจากเดิม 550,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน ลดลงจากเดิม 1,150,000 คัน

ข้อมูลการผลิตรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2567 พบว่า ผลิตได้ 118,842 คัน ลดลง 25.13% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมปี 2566 และลดลง 2.81% เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนปี 2567 เนื่องจากการผลิตเพื่อส่งออกลดลง 7.00% และการผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงถึง 51.70% ขณะที่ยอดรวมการผลิตระหว่างเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2567 มีทั้งหมด 1,246,868 คัน ลดลง 19.28%

ปัจจัยที่มีผลต่อการลดลงของยอดขายรถยนต์ในประเทศมาจากการเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ โดยจำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาสสามลดลงเหลือ 6,365,571 บัญชี ลดลงจากไตรมาสสอง 75,377 บัญชี และลดลงจากไตรมาสสามปี 2566 จำนวน 199,655 บัญชี ขณะที่ยอดหนี้รวมของผู้กู้ซื้อรถยนต์อยู่ที่ 2,465,204 ล้านบาท ลดลง 2.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสสอง และลดลง 5.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสสามปี 2566

นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะมีงานมอเตอร์เอ็กซ์โปในปลายเดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้ แต่สถาบันการเงินยังคงมีมาตรการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากอัตราส่วนของหนี้เสียยังสูง ดังนั้นคาดว่าเป้าหมายยอดขายในประเทศปีนี้ที่เคยตั้งไว้ที่ 550,000 คัน จะปรับลงเป็น 450,000 คัน

ในส่วนของตลาดส่งออก ปัจจัยสำคัญคือสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่อาจกระทบตลาดในตะวันออกกลางและยุโรป รวมถึงสงครามยูเครนกับรัสเซียที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์และสินค้าอื่น ๆ หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียด

ทัพสหรัฐส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำประจำการในเอเชีย เชื่อรอคำสั่งว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

(25 พ.ย.67) นิเคอิเอเชียรายงานใน ภายในสัปดาห์นี้จะมีเรือบรรทุกเครื่องบินของกองทัพสหรัฐฯ 3 ลำเดินทางถึงฝั่งแปซิฟิกตะวันตก หลังจากไม่ได้ประจำการที่นี่มาหลายเดือน เนื่องจากถูกส่งไปตะวันออกกลาง ท่ามกลางความกังวลว่าอาจเป็นการแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน 

ความคืบหน้าดังกล่าวมีขึ้นในช่วง 50 วันก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง

รายงานระบุว่า เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอสจอร์จ วอชิงตัน ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ พร้อมลูกเรือ 2,702 คน มาถึงท่าเรือโยโกซุกะ ในอ่าวโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ท่าเรือที่เป็นที่ตั้งของกองเรือที่ 7 ของสหรัฐ และเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่เรือยูเอสเอสจอร์จ วอชิงตันกลับมายังท่าเรือนี้ นอกจากนี้ เรือยูเอสเอสคาร์ล วินสัน จะเข้าประจำการที่ท่าเรือนี้ในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้เช่นกัน

อีกลำหนึ่งคือ เรือยูเอสเอสอับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งขณะนี้อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย กำลังมุ่งหน้าผ่านทะเลจีนใต้ โดยอาจมีกำหนดการแวะที่ฐานทัพบนเกาะโอกินาว่า ก่อนจะเดินทางกลับซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนียต่อไป

นาวาตรีเคที โคนิก (Katie Koenig) โฆษกกองเรือประจำภูมิภาคแปซิฟิกของสหรัฐ กล่าวว่า การประจำการของเรือบรรทุกเครื่องบินนี้จะช่วยให้กองกำลังทางทะเลและกองกำลังร่วมสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และสหรัฐได้นำเรือที่มีขีดความสามารถสูงที่สุดมาปฏิบัติภารกิจ ซึ่งมีกำลังในการโจมตีและปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

นับตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอสโรนัลด์ เรแกนออกจากท่าโยโกซุกะ สหรัฐไม่ได้มีเรือบรรทุกเครื่องบินประจำการในแปซิฟิกตะวันตกอีก โดยสหรัฐหันไปให้ความสำคัญต่อพื้นที่ในตะวันออกกลางแทนเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในอิสราเอล

เบรนต์ แซดเลอร์ (Brent Sadler) นักวิจัยจากมูลนิธิเฮอริเทจ (Heritage Foundation) กล่าวว่าการเพิ่มกำลังทหารในช่วงนี้ถือเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบจากจีน ซึ่งสหรัฐมองว่าจีนเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งอย่างชัดเจน อีกทั้งมองว่าการเพิ่มกำลังของสหรัฐในแปซิฟิกนี้เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีนในช่วง 50 วันที่เหลือก่อนการเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ในวันที่ 20 มกราคม 2025 และอาจทำให้การประจำการในตะวันออกกลางลดลง

ด้านจาค็อบ สโตกส์ (Jacob Stokes) รองผู้อำนวยการโครงการความมั่นคงอินโด-แปซิฟิกที่ศูนย์ความมั่นคงอเมริกันใหม่ (Center for a New American Security) หลังจากนี้เราอาจได้เห็นท่าทีอันแข็งกร้าวจากจีน ด้วยการซ้อมรบบริเวณรอบเกาะไต้หวันหรือบริเวณทะเลจีนใต้ ซึ่งถ้ามีการส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปประจำการเพิ่มขึ้น จะมีทางเลือกที่หลากหลายในการตอบโต้จีนได้มากขึ้น

ห้างดังลาดพร้าวยืนยันไม่ใช่อุจจาระ เศษสีเหลืองกระจายคือ ไขมันจากร้านอาหาร

(25 พ.ย.67) กรณีที่มีการแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เผยแพร่คลิปวิดีโอลักษณะของเหลวสีเหลือง คล้ายของเสียจากส้วมกระจายภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านลาดพร้าว ทำให้ร้านค้าได้รับความเสียหาย 

ล่าสุดทางห้างได้ชี้แจงผ่านเว็บไซต์ข่าวสดว่า พื้นเกิดเหตุอยู่บริเวณชั้น 3 โซนแฟชั่น ติดกับประตูทางเข้าลานจอดรถ ซึ่งเศษก้อนสีเหลืองที่กระจายจนทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นอุจจาระนั้น คือก้อนไขมันจากร้านอาหาร ซึ่งเป็นของเสียทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์เช่นเดียวกับอุจจาระ แต่ยืนยันว่าท่อที่แตกไม่ใช่ท่อส้วมอุจจาระอย่างที่เป็นข่าว

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งตรวจสอบสาเหตุที่ทำให้ท่อแตก เบื้องต้นมีการสันนิษฐานว่าท่ออาจจะมีการอุดตันเยอะเกินไป จึงทำให้น้ำแตกออกมา โดยปกติแล้วทางห้างจะมีโครงการให้ร้านอาหารแต่ละร้านเข้าร่วมในการตรวจเช็กสภาพท่อ พร้อมทั้งให้ผู้รับเหมาเข้ามาดูแลงานระบบ แต่ทั้งนี้บางร้านก็อาจจะไม่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ซึ่งตอนนี้ทางห้างกำลังเร่งตรวจสอบย้อนหลังอยู่

จึงขอวิงวอนให้ทุกสื่อช่วยแก้ข่าวที่ลงไปว่าห้างท่อส้วมแตก เนื่องจากตอนนี้ทางห้างได้รับผลกระทบ

MASTER ปักธง 'ผู้นำศัลยกรรมความงามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้' ประกาศร่วมมือ 'Lumeo Health' พาร์ตเนอร์อินโดนีเซีย

บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ หรือ 'MASTER' ปักธงก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมความงามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศร่วมมือ 'Lumeo Health' พาร์ตเนอร์อินโดนีเซีย ตอกย้ำการขยายตลาดภูมิภาค – เสริมศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมมุ่งเน้นนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย - ขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจต่อเนื่อง เพิ่มการแข่งขันในระดับภูมิภาค ผลักดันอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงาม และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ผู้นำอุตสาหกรรมด้านความงามของประเทศไทยและเอเชีย กล่าวว่า MASTER GROUP มุ่งมั่นที่จะขยายการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในด้านศัลยกรรมความงามและการแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงมีการเพิ่มขึ้นของกำลังซื้อ และความนิยมในหัตถการความงามในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ความต้องการบริการขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ยังมีการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ เช่น อินโดนีเซีย ลาว และกัมพูชา ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการมอบบริการที่มีคุณภาพระดับสากล โดย MASTER ตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมความงามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"มองว่าตลาดภูมิภาคมีการเติบโตสูง และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทั้งนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และคนในท้องถิ่นที่หันมาสนใจศัลยกรรมและความงามมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศอย่างอินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา และไทย ซึ่งประชากรที่มีกำลังซื้อสูง มีความสนใจการทำศัลยกรรมความงามเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเราได้เห็นถึงความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าและการเติบโตที่โดดเด่นของกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่าย Influencer และช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ช่วยสร้างความรู้จัก และเพิ่มความไว้วางใจให้กับ MASTER ในฐานะศูนย์กลางศัลยกรรมความงามระดับภูมิภาค โดยเรามุ่งเน้นการนำเทคนิคทางการแพทย์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการให้บริการ และขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระดับภูมิภาค" นายแพทย์ระวีวัฒน์ กล่าว

นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER กล่าวว่า ต่อจากนี้จะเริ่มเห็น MASTER ก้าวเข้าสู่การเป็น 'Regional  Company' โดยจะมีความร่วมมือกับ MASTER PARTNER ในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของบริษัทไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย MASTER ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือ หรือ MOU กับ Lumeo Health ซึ่งบริษัทจัดตั้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีสำนักงานในจาการ์ตา ซึ่ง Lumeo Health โดดเด่นในฐานะที่ปรึกษาศัลยกรรมความงามและการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ที่ครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับการเติบโตภายในประเทศของบริษัทฯ ถือว่าแข็งแกร่ง โดย MASTER GROUP มีจุดให้บริการมากกว่า 90 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ ในทุกภูมิภาค โดยให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการในทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งด้านศัลยกรรมความงามและการแพทย์เฉพาะทาง ถือเป็นจุดแข็งของเราในการตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

Dr. Queencha Chaidy, Chief Executive Officer Lumeo Health กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ผู้นำอุตสาหกรรมด้านความงามของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าการลงนาม MOU ครั้งนี้จะเป็นการผนึกกำลังอีกขั้นของการพัฒนาด้านศัลยกรรมความงาม ให้เติบโตในระดับภูมิภาค

กองทัพเรือจัดพิธีวางพวงมาลาพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 

(25 พ.ย.67) เวลา 09.00 น. ที่บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ถ.สุขุมวิท กม.6 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี กองทัพเรือ พร้อมหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตเวียนมาบรรจบครบรอบปีที่ 99 โดยมี พลเรือเอก พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช
ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ตลอดจนผู้แทนหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และใกล้เคียง เข้าร่วมในพิธี 

พิธีวางพวงมาลาที่พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธ ฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แห่งนี้ กองทัพเรือและทุกภาคส่วนได้ถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปี เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงพระราชทานที่ดินทรงสงวนบริเวณอำเภอสัตหีบ ให้แก่ประชาชนคนไทยได้มีที่อยู่อาศัย และกองทัพเรือใช้เป็นที่ตั้งหน่วยทหารเรือในปี พ.ศ.2465 รวมระยะ 99 ปี อันแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาทางด้านการทหารที่มีพระเนตรกว้างไกล และทรงตระหนักถึงความสำคัญของกองทัพเรือที่จำเป็นต้องมีฐานทัพเรือ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ชัยภูมิที่เหมาะสม และเป็นที่มั่นในการป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าวทำให้กองทัพเรือมีฐานทัพเรือเพื่อเป็นฐานส่งกำลังบำรุง และที่จอดเรือรบ 

รวมทั้งเป็นที่ตั้งหน่วยงานสำคัญตราบจนทุกวันนี้ กระทั่งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2544 พลเรือโท สุทัศน์ ขยิ่ม ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ในขณะนั้น เห็นว่า เหล่าทหารเรือ ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไปทราบถึงเรื่องราวดังกล่าวน้อยมาก ประกอบกับในพื้นที่อำเภอสัตหีบ ยังไม่มีการประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ จึงได้ร่วมกับข้าราชการ ประชาชน และผู้มีจิตศรัทธาจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ขึ้นไว้ ณ ริมถนนสุขุมวิท หมายเลข 3 หลักกิโลเมตรที่ 6 เส้นทางระยอง - สัตหีบ ต.สัตหีบ  อ.สัตหีบ เพื่อถวายเป็นพระราชสักการะ และแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยให้ได้มีที่อยู่อาศัยประกอบอาชีพ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขร่มเย็น

‘โปรจีน’ นักกอล์ฟสาวชาวไทยคว้าแชมป์รายการ CME รับเงิน 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงในประวัติศาสตร์กอล์ฟหญิง

(25 พ.ย. 67) ‘โปรจีน’ อาฒยา ฐิติกุล นักกอล์ฟสาวชาวไทย มืออันดับ 7 ของโลก คว้าแชมป์รายการ CME Group Tour Championship สำเร็จ

สำหรับแชมป์ดังกล่าว นับเป็นแชมป์ LPGA Tour รายการที่ 4 ของโปรจีน และเป็นรายการที่ 2 ในฤดูกาลนี้ ต่อจากการแข่งขัน DOW Championship

ทั้งนี้ ในการแข่งขันวันสุดท้าย โปรจีน ที่เป็นผู้นำร่วมหลังจบวันที่สามกับแองเจิล หยิน โปรชาวอเมริกัน มาเก็บเพิ่มอีก 7 อันเดอร์พาร์ ทำสกอร์รวม 22 อันเดอร์พาร์ 266 เฉือนชนะแองเจิล หยิน ไปได้ 1 สโตรก ทำให้คว้าแชมป์ไปครองสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกอล์ฟไทยคนที่ 2 ต่อจาก ‘โปรเม’ เอรียา จุฑานุกาล ที่คว้าแชมป์รายการนี้เมื่อปี 2017 และทำให้โปรจีนคว้าแชมป์รายการใหญ่ส่งท้ายปีของแอลพีจีเอทัวร์ในฤดูกาลนี้ พร้อมรับเงินรางวัลแชมป์สูงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการกอล์ฟหญิงโลก 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 138 ล้านบาท

ไอเดียจีนสร้างฮับดิจิทัลกว่างซี เชื่อมอีคอมเมิร์ซอาเซียนที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์

เมื่อไม่นานนี้ ตำบลอูเจิ้น มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน ได้จัดการประชุมสุดยอดอินเทอร์เน็ตโลก (WIC) แห่งอูเจิ้น ปี 2024 โดยส่วนหนึ่งเป็นการประชุมศูนย์สารสนเทศจีน-อาเซียน หัวข้อสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัล แบ่งปันอนาคตดิจิทัลร่วมกัน

คณะเจ้าหน้าที่รัฐจากจีนและกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น ลาว มาเลเซีย และเมียนมา ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการวงการอินเทอร์เน็ตจากทั้งในและต่างประเทศด้วยเป้าหมายส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างจีนกับอาเซียน เพื่ออนาคตใหม่ของเส้นทางสายไหมดิจิทัลที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์

อนึ่ง จีนและกลุ่มประเทศอาเซียนมุ่งใช้โอกาสการพัฒนาใหม่จากกระแสดิจิทัลมาทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเขตปกครองตนเอง 'กว่างซี' ทางตอนใต้ของจีน ซึ่งเป็นภูมิภาคเดียวของจีนที่เชื่อมต่อกับอาเซียนทางบกและทางทะเล ได้เร่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและเปิดกว้างความร่วมมือเส้นทางสายไหมดิจิทัลกับอาเซียน

กว่างซีได้ทำหน้าที่แกนกลางของศูนย์สารสนเทศจีน-อาเซียน ซึ่งดำเนินงานเชื่อมต่อเครือข่าย แลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงสร้างความร่วมมือและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงทางดิจิทัลและสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ศูนย์สารสนเทศจีน-อาเซียน ได้ดำเนินโครงการความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาเซียนในด้านรัฐบาลดิจิทัล วิถีชีวิตดิจิทัล และอุตสาหกรรมดิจิทัลเกือบ 20 โครงการ โดยแพลตฟอร์มบริการข้อมูลสินเชื่อข้ามพรมแดนจีน-อาเซียนของศูนย์ฯ ครอบคลุมผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศอาเซียนถึง 7.87 ล้านราย และร่วมมือกับธนาคารในและต่างประเทศ 16 แห่ง

นอกจากนั้นศูนย์ฯ ส่งเสริมการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ทั้งการสื่อสาร การสำรวจระยะไกล พลังการประมวลผล และการนำทาง รวมถึงมีการวางเคเบิลออปติกภาคพื้นดินระหว่างประเทศ 12 เส้น พร้อมจัดตั้งศูนย์สารสนเทศ 38 แห่งใน 9 ประเทศอาเซียน เช่น ลาว กัมพูชา และเมียนมา

กว่างซีได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการสร้างศูนย์สารสนเทศจีน-อาเซียน ดึงดูดแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำอย่างลาซาด้าและชอปปีมาจัดตั้งศูนย์โลจิสติกส์ และสร้างฐานการไลฟ์ตรีมมิงอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนสำหรับอาเซียน

ขณะเดียวกันกว่างซีเร่งสร้างนิคมอุตสาหกรรมปลายทางอัจฉริยะ 5G (ชินโจว) จีน-อาเซียน เดินหน้านิคมอุตสาหกรรมเศรษฐกิจดิจิทัลจีน-อาเซียน และลงนามข้อตกลงการลงทุนกับบริษัทเกือบ 30 แห่ง ส่งผลให้ยอดจำหน่ายอุปกรณ์จัดเก็บและเทคโนโลยีสารสนเทศที่ผลิตโดยผู้ประกอบการท้องถิ่นกว่างซีตั้งแต่ปี 2023 สูงเกิน 20 ล้านหยวน (ราว 94 ล้านบาท)

ฐานหลักของศูนย์สารสนเทศจีน-อาเซียนในนครหนานหนิงได้รวบรวมบริษัทผู้ประกอบการเศรษฐกิจดิจิทัลมากกว่า 7,200 แห่ง เมื่อนับถึงสิ้นปี 2023 และปริมาณนำเข้าและส่งออกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของหนานหนิงสูงเกิน 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 4.76 หมื่นล้านบาท) ติดต่อกัน 2 ปี

ทั้งนี้ ปริมาณการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนเพิ่มขึ้นจากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.44 ล้านล้านบาท) ในปี 2004 เป็น 9.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 31.37 ล้านล้านบาท) ในปี 2023 โดยทั้งสองฝ่ายต่างเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกันและกันติดต่อกัน 4 ปี พร้อมเดินหน้าความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสีเขียวและคาร์บอนต่ำ และยานยนต์พลังงานใหม่

ลำปาง-ตำรวจ ภ.จว.ลำปาง แถลงข่าวการจับกุมยาบ้ารายใหญ่  รวม 6.3 ล้านเม็ด

เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เวลา 13.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าอาคาร ตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง(แห่งใหม่) ตำรวจภูธรจังหวัดลำปางแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ โดยมีนายชุติเดช มีจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา นวตระกูลพิสุทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง พล.ต.วิชาญ ศรีภัทรางกูร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 และพ.ต.อ.ชูวิทย์ กองแก้ว , พ.ต.อ.สังเวียน อินตากูล , พ.ต.อ.คมสันต์ สอาดล้วน รอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง , พ.ต.อ.วชิรศักดิ์  ศรีประสม รอง ผบก.สส.ภ.5 สำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 5 โดยนายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ  ผอ.ปปส.ภาค 5 , นายดนุชา  ไชยวงค์ ผอ.บก.ปปส.ภาค 5 ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร่วมกันแถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ พื้นที่ อ.สบปราบ จ.ลำปาง จำนวน 2 คดี รวมของกลาง 6,296,000 เม็ด ผู้ต้องหา 4 คน

โดยคดีที่ 1 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 00.05 น. หน่วยจับกุม สภ.สบปราบ จว.ลำปาง ร่วมกับ ศูนย์สกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 5 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดลำปางและฝ่ายปกครอง อำเภอสบปราบ ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา 2 คน คือ นายภูเบศร์ ภูมิลำเนา จ.สุพรรณบุรี และ นายบุญลักษณ์ ภูมิลำเนา จ.นครศรีธรรมราช โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ ได้รับแจ้งจากสายลับ ว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากผ่านพื้นที่ของ อ.สบปราบ โดยใช้เส้นทางผ่านด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ ต่อมา วันที่ 23 พ.ย.67 เวลาประมาณ 00.05 น. ได้มีรถยนต์กระบะ ขับเข้ามายังด่านตรวจตามที่ได้รับแจ้งจากสายลับ เจ้าหน้าที่ชุดคัดกรองรถจึงเรียกให้หยุดรถเพื่อทำการขอตรวจค้น พบนายภูเบศร์ เป็นผู้ขับรถคันดังกล่าว จึงทำการตรวจค้นร่างกายและรถยนต์กระบะ ผลการตรวจค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้สังเกตท่าทาง นายภูเบศร์ มีพิรุธมือสั่น มีอาการลุกลี้ลุกลน หลบสายตาอยู่ตลอด คล้ายบุคคลได้กระทำความผิดมา

จากการซักถาม นายภูเบศร์ รับสารภาพว่าตนได้รับการติดต่อจากนายบุญลักษณ์ ให้ทำ
หน้าที่ขับรถนำทาง รถบรรทุก 6 ล้อ โดยมีนายบุญลักษณ์ เป็นผู้ขับขี่ และทราบว่าน่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมายซุกซ่อนในรถบรรทุก คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้สืบสวนติดตาม ประสานให้ด่านตรวจ สภ.แม่พริก เพื่อสกัดและทำการตรวจค้น ต่อมาเวลาประมาณ 01.40 น. เจ้าที่ชุดจับกุมของสภ.สบปราบ และ สภ.แม่พริก ได้พบรถคันดังกล่าวบริเวณเขตติดต่อจังหวัดลำปาง-ตาก จึงได้แสดงตัวและนำรถคันดังกล่าวมาเอ็กซเรย์ ที่ด่านตรวจ สภ.แม่พริก พบว่าภายในมีวัตถุต้องสงสัย จำนวน 30 กล่อง เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นยาเสพติด(ยาบ้า) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม สภ.สบปราบ จึงได้ควบคุมรถคันดังกล่าว และนายบุญลักษณ์ มายังด่านตรวจยาเสพติด สภ.สบปราบ ตรวจค้นรถคันดังกล่าวพบกล่องพัสดุสีน้ำตาลจำนวน 30 กระสอบ ภายในบรรจุยาเสพติด(ยาบ้า) จำนวนประมาณ 6,000,000 เม็ด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงทำการขยายผลต่อไป

คดีที่ 2 วันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 01.30 น. สภ.สบปราบ จว.ลำปาง ร่วมกับ ศูนย์สกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 5 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดลำปางและ ฝ่ายปกครอง อำเภอสบปราบ จับกุม ผู้ต้องหา 4 คน ผู้ต้องหาที่ 1 คือ นายชาตรี ภูมิลำเนา จ.ตาก ผู้ต้องหาที่ 2 น.ส.สุภาพร ภูมิลำเนา จ.ตาก ผู้ต้องหาที่ 3 นายกายสิทธิ์ ภูมิลำเนา จ.ตาก และผู้ต้องหาที่ 4 น.ส.นงนุช ภูมิลำเนา จ.สุโขทัย โดยขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ร่วมกันตั้งด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ สภ.สบปราบ ได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดมาในพื้นที่ จนกระทั่ง เวลาประมาณ 01.30 น. ได้มีรถยนต์กระบะ ขับเข้ามายังด่านตรวจ เจ้าหน้าที่ชุดคัดกรองรถจึงเรียกให้หยุดรถเพื่อทำการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมพบนาย ชาตรี เป็นผู้ขับรถคันดังกล่าว และน.ส.สุภาพร เป็นผู้โดยสารนั่งมาด้วย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สังเกต นาย ชาตรี แสดงอาการมีพิรุธลุกลี้ลุกลน จึงทำการตรวจค้นและพบว่ารถกระบะคันดังกล่าว ซุกซ่อนยาเสพติด(ยาบ้า)อยู่ตามบริเวณใต้ที่เก็บของฝั่งประตูซ้าย จำนวน 14 ก้อน ฝั่งประตูขวา จำนวน 12 ก้อน บริเวณช่องเข็มขัดนิรภัย ฝั่งประตูซ้าย จำนวน 14 ก้อน ฝั่งประตูขวา จำนวน 14 ก้อน บริเวณช่องลำโพง หลังรถ จำนวน 4 ก้อน ใต้แม็กไลเน่อ ฝั่งซ้ายจำนวน 46 ก้อน ฝั่งขวา จำนวน 44 ก้อน รวมยาเสพติดทั้งหมดจำนวน 148 ก้อน หรือจำนวนประมาณ 296,000 เม็ด

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนเพื่อร่วมกันสอดส่องดูแลลูกหลานหรือบุคคลใกล้ชิด หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยสามารถแจ้งข้อมูลผ่านสายด่วนยาเสพติด 1599 , สายด่วน 191 , line@inthanon1(ผบช.ภ.5) และ Application Police l lert U ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

วิกฤตชายแดนส่อลุกลาม กองทัพว้าท้าอธิปไตย ปักธง 5 ฐานคุกคามชายแดนไทย ดอยหัวม้าอาจเป็นสนามรบ

โลกเราไม่ไกลกับคำว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ฉันใด ณ วันนี้รู้หรือไม่ว่าไทยเราใกล้จะเกิดสงครามในบ้านตัวเองแล้วฉันนั้นเช่นกัน สืบเนื่องจากประเด็นเขตแดนสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย บริเวณดอยหนองหลวง และ ดอยหัวม้า ด้านตรงข้ามพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ในจุดนี้เป็นของแผ่นดินไทย จุดนี้สมัยก่อนไทยใช้เป็นกันชนโดยกองกำลังชนกลุ่มน้อยในยุคคอมมิวนิสต์แผ่อำนาจจากฝั่งพม่า แต่กองกำลังเข้ามายึดได้และประจำอยู่จุดนี้มามากกว่า 30-40 ปีได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานแล้วแม้ฝ่ายไทยจะพยายามผลักกันแต่ไม่สามารถบรรลุผล

ชนวนเหตุมีอยู่ว่าเมื่อทางการไทยทำการปักปันเขตแดนแต่กองกำลังว้ากลับไม่ยอมถอยร่นเข้าไปในดินแดนฝั่งเมียนมา โดยล่าสุดมีการประชุมจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เวลา 10.00-10.30 น. ตามแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังว้า ว่าทางการไทยเรียกเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาหารือเรื่องการให้กองกำลังว้าถอยออกไปนอกแผ่นดินไทย ซึ่งการประชุมครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายว้าอย่างรุนแรง โดยฝ่ายไทยกำหนดเส้นตายให้เวลาแค่ 30 วันในการถอนกำลังออกจากดอยหัวม้า ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบนิ่งและว้าเหมือนจะยอมปฏิบัติแต่โดยดี แต่ข่าวกรองจากแหล่งข่าวฝั่งว้าระบุว่า หลังการประชุมเสร็จสิ้น กองกำลังว้าสั่งซื้อโดรนศึกและอาวุธจากจีนเทา พร้อมทั้งเสริมอาวุธหนักจากสหพันธรัฐว้าเหนือเข้ามาในบริเวณดังกล่าว

นอกจากฐานหัวม้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้ว กองกำลังว้ายังมีฐานอีก 5 ฐานที่รุกล้ำดินแดนไทยได้แก่ 
1. ฐานกองเฮือบิน อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
2. ฐานกิ่วช้างกั๊บ อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
3. ฐานดอยไฟ อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
4. ฐานดอยถ้วย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
5. ฐานดอยหัวไก่ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

คำถามคือทำไมว้าถึงไม่ยอมเสียพื้นที่ตรงจุดนี้ถึงขั้นยอมแม้กระทั่งเปิดสงครามกับไทยนั่นก็เพราะว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีแหล่งผลิตยาเสพติดอยู่ 5 แหล่งอันได้แก่ เมืองขุนน้ำรวก เมืองท่าใหม่ บ้านแม่โจ๊กในเมืองสาด บ้านนากองมูในเมืองโต๋นและบ้านเปียงเลา

คำถาม ณ วันนี้คือ ไทยพร้อมรบกับกองกำลังว้าแล้วหรือยัง อีกทั้งมีแผนอพยพคนในพื้นที่อย่างไร แผนสำรองอย่างไร เพราะจากวันนี้เหลือไม่ 30 วันแล้วหากสงครามเกิดขึ้นจริง เพราะไทยห่างสงครามไปถึง 13 ปีแล้วนับตั้งแต่สมรภูมิภูมะเขือและไทยได้เสียเขาพระวิหารไปในตอนนั้น แต่เอย่าก็ยังมั่นใจว่าทหารไทยเรายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องที่จะไม่ยอมให้เสียดินแดนแม้ว่าตารางนิ้วเดียวและนี่อาจจะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูก็ได้หากบางกลุ่มหรือบางประเทศที่อยากจะมาแบ่งแยกประเทศไทยหรือยึดเอาดื้อๆ จากการทำสัญญาอะไรก็ตาม

(บุรีรัมย์) ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ตรวจเยี่ยมการฝึก 'การส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ'

ที่ ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พร้อมด้วยรองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และฝ่ายเสนาธิการกองกำลังสุรนารี ตรวจเยี่ยมการฝึก 'การส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ' ในพื้นที่ ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้กำลังพลสามารถปฏิบัติการปฐมพยาบาล การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ ได้อย่างถูกวิธี และสามารถนำความรู้ถ่ายทอดให้กับกำลังพลต่อไปได้ 

โดยได้รับการสนับสนุนยุทธโธปกรณ์จากกองทัพภาคที่ 2 เข้าร่วมทำการฝึกในครั้งนี้ ซึ่งจัดกำลังพลจากหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กองกำลังสุรนารี โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน โรงพยาบาลค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และ โรงพยาบาลบ้านกรวด ร่วมทำการฝึกการส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และขีดความสามารถให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันชายแดน 

โดยมี ผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ ให้การต้อนรับ และร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ 


 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top