Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

‘พีระพันธุ์’ นำทีมรวมไทยสร้างชาติ ต้อนรับ ‘โปลิตบูโรจีน’ ย้ำ!! พร้อมเดินหน้า ความร่วมมือ ‘เศรษฐกิจ - การเมือง’

(23 ต.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และคณะ ได้ให้การต้อนรับกับคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือโปลิตบูโร และคณะ ซึ่งนำโดยท่านเฉิน กัง คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลชิงไห่ ท่านทูตหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ในวาระที่ทั้งสองประเทศนั้น จะมีความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 50 ปี 

นายพีระพันธุ์นั้น ได้กล่าวชื่นชม ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน โดยได้ยกย่องว่าเป็นผู้นำระดับโลกที่นานาชาติให้การยอมรับว่าทำให้ประเทศจีน พัฒนาอย่างรวดเร็วนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนและก็ยังกล่าวขอบคุณ ท่านผู้นำจีน ที่ได้ให้ความสำคัญกับประเทศไทย ในการให้ความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ทั้งการส่งเสริม ทางด้านการค้า การลงทุน รวมทั้งการต่อยอดพัฒนาทางด้านวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ 

ซึ่งทาง นายเฉิน กัง ก็ได้กล่าวยินดีในความร่วมมือของทั้งสองประเทศและจะได้มีการพัฒนาความร่วมมือในหลายมิติต่อไป โดยเล็งเห็นว่าการที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้ามาบริหารงานที่กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม นั้นถือเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะต่อยอดกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุน สร้างความรุ่งเรืองให้กับเศรษฐกิจของทั้งไทยและจีน นอกจากนี้ในอนาคตจะได้พัฒนาความร่วมมือด้านการเมืองร่วมกันโดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างพรรคการเมืองซึ่งกันและกันอีกด้วยเพราะพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นก็ต้องการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติเพื่อพี่น้องประชาชนโดยยึดหลักความซื่อสัตย์สุจริตในการบริหารประเทศดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ของทั้ง2ฝ่ายจะนำไปสู่ประโยชน์ต่อทั้ง 2 ประเทศในอนาคต

นอกจากนี้ก็ยังได้กล่าวเชิญ นายพีระพันธุ์ ทั้งในฐานะตัวแทนของรัฐบาลไทย และในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มณฑล ชิงไห่ เพื่อกระชับความสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย

‘อัจฉริยะ - ทนายตั้ม’ จับมือคืนดี!! จบแค้น 7 ปี พร้อมให้สัญญา!! จะไม่หักหลัง ไม่ทำร้ายกันอีก

(23 ต.ค. 67) กลายเป็นคู่กรณีกันมายาวยาว ระหว่าง ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และนายอัจฉริยะเรืองรัตนพงษ์ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมซึ่งมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลกันกลายคดีด้วยกัน

ล่าสุด ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และ นายอัจฉริยะ ได้หันมาจับมือคืนดีกัน โดยทนายตั้ม ได้โพสต์ว่า 

“วันนี้พี่อัจฉริยะ เข้ามาขอโทษผมที่บริษัท พูดตามตรงผมก็ระแวงนะ คนเคยรักกัน มาทำกันขนาดนั้นพูดตามตรงมันก็ผูกใจเจ็บ แต่พี่เขารับปากต่อหน้าสาธารณชน ว่าจะไม่หักหลังไม่ทำร้ายกันอีก และจะใช้เวลาจากนี้ในการต่างคนต่างช่วยเหลือสังคมกันต่อไปในอนาคต ผมเลยไม่ติดใจอะไรกับแกอีกครับ”

ด้าน นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยว่า วันนี้ตนเดินทางมาที่สำนักงานทนายตั้ม เพื่อจะบอกกับทนายตั้มว่า วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องเลิกทะเลาะกัน เพราะทั้งสองฝ่ายไม่มีคดีต่อกันแล้วเนื่องจากในปัจจุบันมีคดีต่างที่ทำร้ายพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก จึงอยากมาบอกให้เราเลิกทะเลาะกัน

แล้วเดินหน้าต่อสู้และทำงานเพื่อประชาชนดีกว่า อยากมาชวนทนายตั้มช่วยกันทำงานทางด้านสังคมร่วมกัน ซึ่งยกตัวอย่างคุณทักษิณ ชินวัตร และคุณเนวิน ชิดชอบ มีเรื่องไม่ถูกใจกัน สุดท้ายก็กลับมาดีกันได้

ตนจึงมองว่าตนกับทนายตั้ม ทะเลาะกันมาร่วม 7 ปี แล้ว วันนี้ถึงเวลาแล้วที่จะเลิกแล้วต่อกัน แล้วมาช่วยกันทำงาน ต่างคนต่างทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนต่อไป เดินหน้าตรวจสอบตำรวจใหญ่ต่างๆ เรื่องดิไอคอน ในสัปดาห์หน้าจะมีการเปิดตัวละครสำคัญของเรื่องนี้ ในเรื่องของเทวดาต่างๆ ให้รอฟังในรายการโหนกระแส นักร้องชุดดังกล่าวตนรู้จักไม่น้อยกว่า 10 ปี ตนรู้ดีทุกอย่างไม่ว่าเขาทำอะไรมาบ้าง

‘หนุ่ม กรรชัย’ เทียบนาฬิกาหรู ‘บอสพอล’ ไม่ตรงรูปบนโซเชียล เหล่านักเล่นนาฬิกา ยัน!! เป็นเสียงเดียวกัน มันคือของปลอม

(23 ต.ค. 67) จากกรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำหมายค้นเข้าตรวจค้นและยึดอายัดทรัพย์สินของ นายวรัตน์พล วรัทน์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ถูกนำมาซุกซ่อนในห้องเช่า ภายในซอยรามอินทรา 9 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม.

โดยเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดทรัพย์สินเป็นนาฬิกาหรู 19 เรือน หนึ่งในนั้นคือนาฬิกาหรู Richard Mille RM 53-01 และ Richard Mille RM 35-02 ซึ่งทั้ง 2 เรือนนี้ มีมูลค่ารวมกันกว่า 33 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีพระเครื่อง และสร้อยคอทองคำ รองเท้า รวมทั้งกระเป๋าแบรนด์เนมอีกหลายรายการ รวมมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ‘หนุ่ม กรรชัย’ กล่าวในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ เกี่ยวกับกรณี ดีเอสไอ เข้าทำการตรวจค้นแล้วเจอนาฬิกาหรูของบอสพอล โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ริชาร์ด มิลล์, โรเล็กซ์ , ปาเต๊ะ, โอเดอะมาร์ส ปิเกต์ หรือ AP, โอเมก้า และอีกมากมาย

คือนาฬิกาพวกนี้ ‘ดีเอสไอ’ ไปจับและโชว์ภาพออกมา เหล่านักเล่นนาฬิกาพูดเป็นเสียงเดียวเลยว่า ‘เก๊ยันกล่อง’ เขาบอกเลยว่าเก๊ยันกล่อง เขาพูดอันนี้เลย ก็คือน่าจะทุกเรือน กล่องพวกนี้ปาเต๊ะเขาไม่น่าจะมีนะ

หนุ่ม กรรชัย กล่าวต่อว่า อย่างเรือนที่ 2 ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า เป็น RM3502 เรือนที่เม็ดมะยมสีแดง ๆ จริงเรือนนี้คือ 01 แล้วก็น่าจะไม่แท้ด้วย ส่วนขวามือสุดคือ 5301 อันนี้ก็ไม่น่าจะแท้ด้วย คือคนที่เล่นนาฬิกาเขาจะรู้เลย รวมถึงเรือนอื่น ๆ ด้วย

แต่ทีนี้มันแปลกตรงไหนรู้ไหม อย่างเรือนข้างล่างก็คือ นาฬิกาเพอร์นอต อันนี้ก็น่าจะเก๊ จริง ๆ แล้วดีเอสไอต้องเอาเจ้าหน้าที่ของทางปาเต๊ะเอง ของทาง AP หรือจะเป็นโอเมก้า หรือริชาร์ด มิลล์ เอาเข้ามาตรวจสอบด้วย

ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะเป็นประเด็นเหมือนที่ผ่าน ๆ มา เมื่อก่อนก็มีข่าวศุลกากรไปจับมาเหมือนกัน เสร็จแล้วปล่อยออกจำหน่ายเป็นนาฬิกาเก๊ อันนี้มีประเด็น

นอกจากนี้ หนุ่ม กรรชัย ยังยกตัวอย่างโดยมีการยกภาพของบอสพอลที่ใส่นาฬิกาก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและเข้าไปอยู่ในเรือนจำอีกด้วย ซึ่งไม่พบอยู่ในกล่องที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจยึดไว้ได้

‘อาจารย์ปานเทพ’ ออกโรงแจง พื้นที่ทะเลเป็นของไทย อย่าปล่อยให้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อน แย่งชิงผลประโยชน์

(24 ต.ค. 67) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

อย่าปล่อยให้คนปล้นชาติ ทำให้พื้นที่ทะเลไทย กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา

18 พฤษภาคม 2516 มีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 โดยการลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ของไทย ออกมาแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูด และเกาะกง ตามบทบัญญัติแห่งกรุงเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 (รับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982)

ดังนั้นพื้นที่ทะเลอาณาเขต พื้นที่ทะเลต่อเนื่อง และพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ ฝั่งอ่าวไทยรวมพื้นที่ 202,676.20 ตารางกิโลเมตร หรือ 126,672,638 ไร่ รวมทั้งทรัพยากรทั้งหมดในพื้นที่ดังกล่าวจึงย่อมเป็นของราชอาณาจักรไทย ที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของบรรพบุรุษไทย รวมทั้งแลกด้วยแผ่นดินไทยจำนวนมหาศาลตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ใช่เอาไปบิดเบือนพระบรมราชโองการตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 ให้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ในเรื่องพลังงานอย่างไม่ถูกต้อง และไม่ได้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทยและประชาชนชาวไทย

ด้วยจิตคารวะ
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
22 ตุลาคม 2567

ตุ๊กกี้แฉ คนในวงการเสื้อผ้าวินเทจสุดทราม ขอมีอะไรกับเมียเพื่อน ท้องแก่กว่า 8 เดือน

(24 ต.ค. 67) ตุ๊กกี้ สุดารัตน์ บุตรพรม นักแสดงตลกชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงประเด็นฉาวในวงการซื้อขายเสื้อผ้าวินเทจ ว่า

มันต้องเป็นคนเหี้ยระดับไหนถึงขอมีอะไรกับเมียเพื่อนตั้งท้องแปดเดือนวงการเสื้อวินเทจ มีมาเฟียด้วยเหรอวะ!

นอกจากนี้ยังตุ๊กกี้ สุดารัตน์ บุตรพรม ยังได้มีการแชร์โพสต์จากเพจ บ้าข่าวไปเรื่อย หลายโพสต์ เช่น 

2 ผัวเมีย ติดหนี้รุ่นพี่แสนกว่า นัดจ่าย 20 ต.ค. ที่ผ่านมา แต่เกิดปัญหาเรื่องเงินกะทันหันเลยหาเงินมาจ่ายไม่ทัน 

รุ่นพี่ทำร้ายรุ่นน้องแล้วปล่อยลงข้างทาง ไล่ให้ไปหาเงินมาคืนให้ได้ รุ่นพี่จับเมียรุ่นน้องไว้บนรถขู่ขอมีอะไรด้วยทั้งที่ท้อง 8 เดือน 

‘สามารถ ราชพลสิทธิ์’ หนุนไอเดีย ‘ซื้อรถไฟฟ้า-ค่ารถติด’ แนะ ทำให้รอบคอบ-รอบด้าน ชี้ รบ.ทุกยุคเล็งเก็บค่ารถติด

(24 ต.ค. 67) ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงแนวทางของรัฐบาลในการซื้อสัมปทานรถไฟฟ้า ว่า

ซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืน แต่
ขยายสัมปทานทางด่วน

รัฐจะซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชน เพื่อลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายทุกสีเหลือ 20 บาทตลอดสาย ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน ในขณะเดียวกันรัฐบอกว่าต้องการทำให้ค่าผ่านทางด่วนถูกลงด้วย ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นเดียวกัน แต่กลับจะขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) ให้เอกชน ซึ่งจะไม่สามารถทำให้ค่าผ่านทางด่วนทั้งโครงข่ายถูกลงได้ ในทางกลับกัน การทำให้สัญญาสัมปทานสิ้นสุดลงโดยเร็ว จะทำให้ค่าผ่านทางถูกลง 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข่าวว่าในเดือนธันวาคม 2567 กระทรวงคมนาคมเตรียมจะลงนามสัญญาขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชครั้งที่ 2 ให้เอกชนผู้รับสัมปทานออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2578 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2601 เพื่อแลกกับการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ระยะทาง 17 กิโลเมตร มูลค่า 34,800 ล้านบาท

ทั้งนี้ รัฐให้สัมปทานทางด่วนศรีรัชแก่เอกชนเป็นระยะเวลาดังนี้
(1) เริ่มต้นให้สัมปทาน 30 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2533 จนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563
(2) ขยายสัมปทานครั้งที่ 1 ออกไป 15 ปี 8 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2578 
(3) กำลังจะขยายสัมปทานครั้งที่ 2 ออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2578จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2601 
(4) รวมระยะเวลาสัมปทานทั้งหมดถึง 68 ปี 1 เดือน !

หลังจากขยายสัมปทานครั้งที่ 2 ในเดือนมกราคม 2568 รัฐจะเริ่มลดค่าผ่านทางเฉพาะช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ที่ปัจจุบันสำหรับรถ 4 ล้อ มีอัตราสูงสุด 90 บาท จะปรับลดลงเหลือสูงสุด 50 บาท เป็นที่น่าสังเกตว่าการลดค่าผ่านทางดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการขยายสัมปทานให้เอกชน แต่เป็นผลจากการที่รัฐยอมเฉือนรายได้ของตนเองลงมา ดังนั้น ถึงแม้จะไม่ขยายสัมปทานให้เอกชนก็ตาม หากรัฐยอมลดส่วนแบ่งรายได้จากค่าผ่านทางลงก็จะสามารถทำให้ค่าผ่านทางถูกลงได้ 

ผมมีความเห็นว่า หากกระทรวงคมนาคมเชื่อว่า Double Deck จะช่วยแก้ปัญหารถติดบนทางด่วนได้จริง กระทรวงคมนาคมก็ควรเป็นผู้ลงทุนก่อสร้าง Double Deck เอง ไม่ควรมอบให้เอกชนก่อสร้าง ซึ่งจะทำให้รัฐไม่ต้องขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชให้เอกชนอีก รออีกเพียง 11 ปีเท่านั้น ทางด่วนศรีรัชก็จะกลับมาเป็นของรัฐ ถึงเวลานั้น รัฐก็จะสามารถลดค่าผ่านทางด่วนทั้งโครงข่ายให้ต่ำลงได้

หากยังจำกันได้ การเตรียมขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชให้เอกชน เป็นเหตุให้สำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หวั่นว่ารัฐจะเสียผลประโยชน์ จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ถึงผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) มีข้อความตอนหนึ่งว่า “สำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต พิจารณาแล้วเห็นว่า เงื่อนไขในสัญญาบางประการตามที่สื่อมวลชนได้รายงานมีความเสี่ยงที่อาจทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ และอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนคู่สัญญา” จึงขอให้ กทพ.ชี้แจงข้อเท็จจริงภายในวันที่ 7 สิงหาคม 2567

แต่จนถึงวันนี้ ไม่มีข่าวว่า กทพ.ได้ชี้แจงข้อห่วงใยของ ป.ป.ช.จนสิ้นสงสัยแล้วหรือยัง ? หรือขอเลื่อนการชี้แจงออกไปเรื่อยๆ ? ตามที่เคยมีข่าวว่า กทพ.มีหนังสือถึง ป.ป.ช. ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ขอเลื่อนการชี้แจงออกไป 30 วัน ถึงวันนี้ก็เลย 30 วันแล้ว อาจเป็นไปได้ว่า กทพ.ได้มีหนังสือถึง ป.ป.ช. ขอเลื่อนการชี้แจงออกไปอีก ?

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การที่กระทรวงคมนาคมเตรียมที่จะลงนามสัญญาขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชครั้งที่ 2 ให้เอกชนอีก 22 ปี 5 เดือน ในเดือนธันวาคม 2567 กระทรวงคมนาคมมั่นใจได้อย่างไรว่า ก่อนถึงวันลงนามสัญญา กทพ.จะสามารถชี้แจงข้อกังขาให้ ป.ป.ช.ได้จนเป็นที่พอใจของ ป.ป.ช. ?

นอกจากนี้ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ยังเคยแสดงความคิดเห็นถึงการจัดเก็บค่ารถติดในบริเวณกลางเมือง ว่า

เก็บค่าผ่านทางเข้าย่านธุรกิจ
หาเงินซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืน

รัฐเผยแนวคิดที่จะหาเงินจากการเก็บค่าผ่านทางเข้าย่านธุรกิจในกรุงเทพฯ เพื่อเป็นรายได้ส่วนหนึ่งที่จะนำไปซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชน ทำให้สามารถลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายทุกสีเหลือ 20 บาทตลอดสาย ได้ตลอดไป แนวคิดนี้มีมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว แต่ก็ต้องพับเก็บไว้ เพราะเป็นแนวคิดที่ส่งผลกระทบต่อผู้เดินทางจำนวนมาก ครั้งนี้จะทำได้สำเร็จได้หรือไม่ ?

1. ค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge หรือ Congestion Pricing)
การเก็บค่าผ่านทางเข้าย่านธุรกิจหรือที่เรียกกันว่า ค่าธรรมเนียมรถติดนั้นมีบางเมืองในต่างประเทศที่ทำสำเร็จ แต่ก็มีบางเมืองที่ล้มเหลว ค่าธรรมเนียมรถติดยึดถือหลักการว่าคนขับรถทุกคนมีส่วนทำให้รถติดก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่าถ้ารัฐให้บริการระบบขนส่งมวลชนและรถโดยสารสาธารณะได้ดีพอ ก็ไม่อยากใช้รถส่วนตัว จึงเกิดเป็นคำถามว่าเวลานี้ในพื้นที่ที่เป็นเป้าหมายในการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด เช่น ถนนสุขุมวิท และถนนสีลม เป็นต้น มีรถไฟฟ้า และ/หรือ รถเมล์ รถโดยสารสาธารณะอื่น ที่ดีและเพียงพอแล้วหรือยัง ?

2. กรุงเทพฯ พร้อมที่จะเก็บค่าธรรมเนียมรถติด ?
มีการศึกษาการเก็บค่าธรรมเนียมรถติดในกรุงเทพฯ มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ เนื่องจากแนวคิดนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้รถใช้ถนนจำนวนมาก ทำให้นักการเมืองไม่กล้านำมาใช้ เพราะจะทำให้คะแนนนิยมทางการเมืองลดน้อยลง มาถึงรัฐบาลนี้กลับมีความกล้าขึ้นมา อาจเป็นเพราะว่าต้องการทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทุกสายทุกสีเป็นจริงและยั่งยืนตามที่ได้หาเสียงไว้ หากไม่ซื้อสัมปทานคืนจากเอกชน นโยบาย 20 บาทตลอดสาย ซึ่งต้องชดเชยเงินให้เอกชนผู้รับสัมปทานคงทำได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง แต่ถ้าซื้อสัมปทานคืนได้ก็ไม่ต้องชดเชยเงินให้เอกชน เป็นผลให้รัฐต้องการซื้อสัมปทานคืนด้วยการเก็บค่าธรรมเนียมรถติดเป็นรายได้แหล่งหนึ่งที่จะนำไปซื้อสัมปทานคืน แต่การเก็บค่าธรรมเนียมรถติดจะส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากแม้ในพื้นที่ที่มีรถไฟฟ้าแล้วก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่จะเก็บค่าธรรมเนียมรถติด รัฐจะต้องเตรียมความพร้อมทุกด้านอย่างรอบคอบเพื่อลดผลกระทบต่อผู้คนที่จำเป็นต้องเดินทางเข้า-ออกย่านธุรกิจที่เป็นเป้าหมาย รวมทั้งผู้ที่อยู่อาศัยในย่านธุรกิจ

3. การเตรียมความพร้อมในการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด
เนื่องจากการเก็บค่าธรรมเนียมรถติดในกรุงเทพฯ จะส่งผลกระทบหลายด้าน ดังนั้น รัฐจะต้องเตรียมความพร้อมตอบสนองต่อหลากหลายคำถาม เช่น
(1) นักเรียนที่มีผู้ปกครองขับรถไปรับ-ส่งที่โรงเรียน หากผู้ปกครองมีฐานะดีก็คงยินดีจ่ายค่าผ่านทาง คงไม่ยอมให้ลูกนั่งรถไฟฟ้า และ/หรือ รถโดยสารสาธารณะไปโรงเรียน แต่หากผู้ปกครองที่พยายามขวนขวายหารถส่วนตัวมาใช้ก็คงคิดหนักว่าจะจอดรถก่อนเข้าพื้นที่เป้าหมายดีหรือไม่ ? มีที่จอดรถมั้ย ? อัตราค่าจอดรถเท่าไหร่ ? จอดรถแล้วลูกจะเดินทางไปโรงเรียนอย่างไร ? มีรถไฟฟ้าหรือไม่ ? รถไฟฟ้าไปถึงโรงเรียนหรือไม่ ? ถ้าไม่ถึง มีรถโดยสารสาธารณะอื่นหรือไม่ ?
(2) ที่จอดรถนอกพื้นที่เป้าหมายมีเพียงพอหรือไม่ ? อัตราค่าจอดรถเท่าใด ?
(3) ในพื้นที่เป้าหมายนอกจากมีรถไฟฟ้าแล้ว มีรถโดยสารสาธารณะอื่นเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างสถานีรถไฟฟ้าไปโรงเรียน หรือที่ทำงานหรือไม่ ?
(4) ผู้ที่อยู่อาศัยในย่านธุรกิจที่เป็นเป้าหมายในการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด จะต้องจ่ายค่าผ่านทางเข้า-ออกพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่ด้วยหรือไม่ ?
(5) รถที่มีคนนั่งหลายคน เช่นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป (รวมทั้งคนขับ) จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรถติดหรือไม่ ?
(6) รถที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรถติดมีรถประเภทใดบ้าง ?
(7) ช่วงเวลาการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด เฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน ? หรือตลอดทั้งวัน ?
(อัตราค่าธรรมเนียมรถติดเท่าใด ? เท่ากันตลอดทั้งวัน ? หรือเปลี่ยนตามช่วงเวลา ?
(9) กรุงเทพฯ มีตรอกซอกซอยมาก จะป้องกันไม่ให้ผู้ใช้รถใช้เป็นเส้นทางหลบเลี่ยงการเก็บค่าธรรมเนียมรถติดได้อย่างไร ?
(10) จะนำเทคโนโลยีใดมาใช้เก็บค่าธรรมเนียมรถติด ?

4. สรุป
โดยสรุป หากรัฐเตรียมความพร้อมทุกด้านไว้อย่างดี การเก็บค่าธรรมเนียมรถติดคงทำให้รัฐได้เงินไม่น้อยที่จะเป็นรายได้แหล่งหนึ่งในการนำไปซื้อสัมปทานคืนจากเอกชน แต่ถ้ารัฐไม่สามารถเตรียมความพร้อมทุกด้านได้ดีพอ การเก็บค่าธรรมเนียมรถติดก็จะล้มเหลวอีกเช่นเคย

Traveloko เปิดสถิติสุดช๊อกจากแคมเปญ 10.10 Travel Fest ตะลึง!! ยอดจองบินไต้หวันมาที่ 1 แดนโสมหลุดโผ 5 ลำดับแรก

(24 ต.ค. 67) ซีซาร์ อินทรา ประธานบริษัท Traveloka กล่าวว่า "แคมเปญ 10.10 Travel Fest สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของเราในการทำความเข้าใจและตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของนักท่องเที่ยว ด้วยการเล็งเห็นเทรนด์ต่าง ๆ และนำเสนอบริการบนแพลตฟอร์มที่ปรับให้เหมาะสำหรับแต่ละบุคคล เราจึงทำให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างมั่นใจและสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ แคมเปญนี้ไม่เพียงมอบประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมให้กับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างบทบาทของเราในการสนับสนุนการฟื้นตัวและการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้อีกด้วย"

แคมเปญนี้มีผู้ให้บริการด้านการเดินทางและแบรนด์ที่พักชั้นนำเข้าร่วมมากมาย ได้แก่ สายการบิน Qatar Airways, เครือโรงแรม Millennium Hotels & Resorts, สวนสนุก Universal Studios Singapore และอีกมากมาย เพื่อช่วยกันมอบข้อเสนอพิเศษด้านการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และแพ็กเกจกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยนำเสนอตัวเลือกมากมายตั้งแต่วันหยุดพักผ่อนกับครอบครัว ท่องเที่ยวต่างประเทศ ไปจนถึงการล่องเรือสำราญพร้อมที่พักแบบเต็มรูปแบบ ทำให้แคมเปญตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวในปัจจุบันได้

อาลี แอสเกอร์ เลห์รี (Ali Asger Lehry) รองประธานฝ่ายบริหารรายได้ประจำภูมิภาคเอเชียของ Millennium Hotels and Resorts กล่าวว่า "แคมเปญ 10.10 Travel Fest ทำให้เครือโรงแรมของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดหลัก ช่วยสร้างการรับรู้ของแบรนด์อย่างมีนัยสำคัญ และเสริมสร้างความตระหนักในตลาดด้วยการนำเสนอที่น่าสนใจ การสนับสนุนจาก Traveloka ทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในขณะที่ยังคงสอดคล้องกับกลยุทธ์การจัดจำหน่ายของเรา เรารู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้และตั้งตารอความร่วมมือในอนาคตเพื่อมอบประสบการณ์ชั้นยอดให้กับผู้เข้าพัก"

แนวโน้มการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงในช่วงเทศกาลวันหยุด ที่สามารถสังเกตได้จากแคมเปญ 10.10 Travel Fest ทั้งด้านรูปแบบ พฤติกรรม และความชอบ มีดังนี้

แคมเปญ 10.10 Travel Fest กระตุ้นการจองตั๋วล่วงหน้า โดยมีนักท่องเที่ยวเกือบ 60% จองเที่ยวบินระหว่างประเทศล่วงหน้าก่อนการเดินมากกว่า 30 วัน แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นว่าหลายคนมีการวางแผนเพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด ด้วยส่วนลดพิเศษที่มีระยะเวลาจำกัด แคมเปญนี้จึงสร้างแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวจองทริปล่วงหน้า เพื่อการพักผ่อนที่ราบรื่นและคุ้มค่า

แคมเปญ 10.10 Travel Fest เปิดเผยจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยไต้หวัน ญี่ปุ่น ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ยังคงเป็นประเทศที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในขณะที่เชียงใหม่ กรุงเทพฯ หาดใหญ่ ภูเก็ต และอุบลราชธานีเป็นปลายทางในประเทศยอดฮิตที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วยทัศนียภาพอันงดงาม ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย และอาหารรสเลิศ แคมเปญนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันความนิยมของสถานที่เหล่านี้เท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นถึงความต้องการสัมผัสประสบการณ์การเดินทางที่หลากหลาย ตั้งแต่ชีวิตเมืองที่คึกคักไปจนถึงรีสอร์ทริมชายหาดสุดเงียบสงบ

แคมเปญนี้ทำให้ยอดจองล่องเรือสำราญพุ่งสูงขึ้นเกือบเท่าตัว ซึ่งบ่งบอกถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เหมือนใครและข้อเสนอแบบ All-Inclusive การล่องเรือสำราญกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการฉลองปีใหม่ เพราะนักท่องเที่ยวได้เที่ยวหลายที่ในคราวเดียว พร้อมเพลิดเพลินไปกับความสะดวกสบายและการพักผ่อนบนเรือสำราญ

นักท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังมองหาที่พักที่ให้ความรู้สึกสมจริง และมอบประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่แท้จริงมากขึ้น โดยพบว่ามีการจองโรงแรมเรียวกังแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 101% ในขณะที่พักบนเรือเพิ่มขึ้น 52% ทำให้ผู้เดินทางได้สัมผัสกับจุดหมายปลายทางในมุมมองใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังมีการจองโรงแรมริยาจที่ให้กลิ่นอายความเป็นโมร็อกโกแท้ ๆ เพิ่มขึ้นถึง 63% เทรนด์นี้แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการเดินทางกำลังเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมที่มีความหมายมากกว่าการเข้าพักในโรงแรมทั่วไป

จับตาประชุมกลุ่ม BRICS ร่วมประเทศพันธมิตร 34 ประเทศ กลุ่มมหาอำนาจใหม่ท่ามกลางความขัดแย้งสองซีกโลกในทุกมิติ

(24 ต.ค. 67) ในสัปดาห์นี้กำลังมีการประชุมใหญ่ในสองซีกโลกที่สะท้อนให้เห็นถึง 'การแบ่งขั้ว' ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้นในยุคปัจจุบัน กับการประชุม BRICS และ IMF-World Bank

ฝั่ง 'สหรัฐ' เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ที่ทยอยเรียกความสนใจไปแล้วตั้งแต่การออกรายงานหนี้สาธารณะทั่วโลกที่พุ่งทะลุ 100 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก มาจนถึงการออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุดเดือน ต.ค. ที่เตือนเรื่องความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันทางการค้าซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนในฝั่ง 'รัสเซีย' จะเปิดบ้านในเมืองคาซาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ จัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ 'บริกส์' (BRICS) ที่มีสมาชิกดั้งเดิม 4+1 ประเทศคือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ และผู้นำ/ผู้แทนจาก 34 ประเทศเข้าร่วมระหว่างวันที่ 22 - 24 ต.ค. โดยมีไฮไลต์ที่การเข้าร่วมประชุมครั้งแรกของเหล่า 'สมาชิกใหม่' 5 ประเทศ และการสะท้อนนัยยะทางการเมืองครั้งสำคัญของรัสเซียภายใต้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน

อัสลี อัยดินทัสบาส ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศจากตุรกี กล่าวกับสถาบันคลังสมองบรูกกิงส์ในสหรัฐว่า ภายหลังสงครามในฉนวนกาซา (ซึ่งสหรัฐส่งอาวุธไปให้กับอิสราเอล) รัสเซียและจีนได้ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกต่อต้านตะวันตกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัยความผิดหวังจากการกระทำสองมาตรฐานของตะวันตก รวมถึงความไม่พอใจจากคว่ำบาตรและบีบบังคับทางเศรษฐกิจของตะวันตก 

"เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มประเทศตรงกลางจะแปรพักตร์จากอิทธิพลของสหรัฐไปซบจีนแทน แต่ประเทศเหล่านี้กำลังเปิดใจให้จีนและรัสเซียมากขึ้น เพื่อให้โลกมีอิสระและกระจายขั้วอำนาจมากขึ้น"

>>> จับตาสมาชิกใหม่ BRICS+

ขณะที่ซีเอ็นบีซีรายงานว่า รัสเซียพยายามใช้วาทกรรมการรวมกลุ่มของประเทศซีกโลกใต้ (Global South) ในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา เพื่อต่อกรท้าทายระเบียบโลกใหม่กับซีกโลกเหนือที่นำโดยสหรัฐ ซึ่งจะเป็นวาระสำคัญในการประชุมครั้งนี้ ตัวปูตินเองได้เปรยเอาไว้เมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า การขยายสมาชิกกลุ่มบริกส์เป็น 'ตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงอำนาจที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มและบทบาทในกิจการระหว่างประเทศ' พร้อมส่งสัญญาณว่าเขาตั้งใจที่จะนำเสนอรูปแบบการรวมกลุ่มที่เรียกว่า 'BRICS+' (บริกส์พลัส) เพื่อท้าทายตะวันตกทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ

ปูตินจะใช้วันสุดท้ายของการประชุมสุดยอดผู้นำบริกส์ 10 ประเทศ จัดการประชุมคู่ขนาน BRICS and Outreach หรือ BRICS Plus ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่จากประเทศต่างๆ ในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกาเกือบ 40 ประเทศเข้าร่วม และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของกลุ่มในการขยายความสัมพันธ์กับประเทศในซีกโลกใต้

"ประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และในอนาคตอันใกล้นี้ เศรษฐกิจของกลุ่มบริกส์จะเป็นกลไกหลักในการเพิ่ม GDP โลก และเศรษฐกิจของกลุ่มบริกส์จะเป็นอิสระจากอิทธิพลภายนอกมากขึ้น" ปูตินกล่าวในการประชุมภาคธุรกิจกลุ่มบริกส์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

นอกจากผู้นำของกลุ่มประเทศก่อตั้ง 5 ประเทศ ยกเว้นเพียงบราซิลที่ส่งผู้แทนมาร่วมประชุมเนื่องจากประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลวา ประสบอุบัติเหตุ ผู้นำของ 5 ประเทศสมาชิกใหม่ต่างมาร่วมประชุมบริกส์อย่างคึกคัก อาทิ ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ยูเออี) อิหร่าน อียิปต์ และเอธิโอเปีย ส่วนซาอุดีอาระเบียส่งรัฐมนตรีต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมแทน 

นอกจากนี้ยังมีผู้นำประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิกเข้าร่วมด้วย อาทิ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และแม้แต่อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ส่วน 3 ประเทศที่แสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศบริกส์ไปแล้ว ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และตุรกีนั้นมีรายงานว่าประธานาธิบดีเรย์เซบ เตย์ยิป เออร์ดวน ของตุรกี รัฐมนตรีเศรษฐกิจของมาเลเซีย ราฟิซี รัมลี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ จะเข้าร่วมการประชุมด้วย

ทิโมธี แอช นักวิชาการในโครงการรัสเซียและยูเรเซียของสถาบันชัทแธมเฮ้าส์ในลอนดอน กล่าวว่าในฉากหลังนั้น ปูตินกำลังคาดหวังถึงชัยชนะด้านการประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่เหนือยูเครนและตะวันตก โดยพยายามส่งสารว่า แม้จะมีสงครามและถูกคว่ำบาตรจากตะวันตก แต่รัสเซียก็ยังคงมีพันธมิตรระหว่างประเทศจำนวนมากที่เต็มใจจะคบค้าและค้าขายด้วยกับรัสเซีย

ทั้งนี้หลังจากที่สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนเปิดฉากขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในเดือนก.พ. 2565 รัสเซีย ปูติน และบรรดาแกนนำในรัฐบาลต่างก็ถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก สหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) และบรรดาประเทศพันธมิตร เช่น แคนาดา ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหราชอาณาจักรต่างออกมาตรการคว่ำบาตรธุรกิจพลังงาน ธนาคาร และกลาโหมของรัสเซีย ท่ามกลางแรงกดดันให้ประเทศอื่นๆ คว่ำบาตรรัสเซียตามมาหลังจากนั้น 

ไม่เพียงแต่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเท่านั้น ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในกรุงเฮกได้อนุมัติการออกหมายจับปูตินในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามเมื่อปี 2566 ทำให้ผู้นำรัสเซียไม่สามารถเดินทางไปประเทศที่มีธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศได้ และเคยต้องงดการไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำประเทศบริกส์ครั้งก่อนที่แอฟริกาใต้มาแล้ว และงดเข้าร่วมแม้แต่การประชุมจี20 ในปีที่แล้วที่ประเทศอินเดีย แม้จะไม่มีข้อตกลงกับ ICC ก็ตาม 

"การประชุมสุดยอดที่คาซานมีความสำคัญทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงปฏิบัติต่อระบอบการปกครองของปูติน" แองเจลา สเตส่วนนต์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายูเรเซีย รัสเซีย และยุโรปตะวันออกแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ กล่าวกับสถาบันบรูกกิงส์ "การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะแสดงให้เห็นว่า รัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยวเพียงลำพัง แต่ยังมีพันธมิตรที่สำคัญ เช่น อินเดีย จีน และประเทศตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญๆ"

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ตอกย้ำให้เห็นภาพนี้ด้วยการจับมือกับปูตินอย่างแน่นแฟ้นในงานและส่งสารอย่างชัดเจนถึงการรวมกลุ่มครั้งนี้ว่า ความร่วมมือในกลุ่มบริกส์เป็น "เวทีสำคัญที่สุดสำหรับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและร่วมมือกันระหว่างประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในโลกวันนี้ เป็น “พลังหลักในการส่งเสริมให้เกิดการตระหนักรู้ถึงโลกหลากขั้วอย่างเท่าเทียมและเป็นระเบียบ รวมถึงโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและอดกลั้น”

‘ทูตนริศโรจน์’ เคลียร์ปมสงสัยทุกประเด็น กรณี ‘พลายศักดิ์สุรินทร์’ ช้างไทยที่เคยอยู่ในศรีลังกา

(24 ต.ค. 67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย  โพสต์เฟซบุ๊ก   Fuangrabil Narisroj  ระบุข้อความว่า

มีเพื่อนบางคนถามเรื่องพลายศักดิ์สุรินทร์ที่คุณหนูนาได้นำกลับมารักษาที่เมืองไทยว่าแตกต่างจาก กลุ่มขบวนการทวงช้างคืนจากศรีลังกาอย่างไร

ผมขออธิบายสรุปคร่าวๆ ดังนี้

1.ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ช้างที่ไทยเราเคยมอบให้ศรีลังกา เป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศ เป็นการมอบให้แบบ G2G ช้างที่มอบให้ศรีลังกาไปแล้ว ศรีลังกามีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์

2.กรณีพลายศักดิ์สุรินทร์ เนื่องจากควาญที่ดูแลพลายศักดิ์สุรินทร์มาตั้งแต่แรกเสียชีวิต และพลายศักดิ์สุรินทร์ป่วยไม่สบาย ทางไทย (โดยคุณหนูนาและคุณท๊อป) ก็ได้ขออนุญาตต่อทางการศรีลังกา ขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์มาทำการรักษาพยาบาลที่ไทย 

3.สถานที่รักษาพยาบาลก็คือ สถาบันคชบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งก็เป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศ ที่หากมีการรับส่งช้างก็ต้องดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับ (แบบ G2G) ไม่ใช่ส่งคืนให้ “มูลนิธิ” ของเอกชน ! 

4.การดำเนินการขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์มารักษาที่ไทย ไม่ใช่การทวงคืนช้างจากศรีลังกา ซึ่งกรณีนี้ทางการศรีลังกาก็ยังแสดงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของโดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อรักษาเสร็จแล้ว ขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์กลับคืนศรีลังกาต่อไป

5.ในหลวง ร.10 เมื่อทรงทราบเรื่องก็ได้พระราชทานความช่วยเหลือรับพลายศักดิ์สุรินทร์ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และตรงนี้เองที่เราได้ใช้อ้างกับทางศรีลังกาในการรักษาพยาบาลพลายศักดิ์สุรินทร์ไปเรื่อยๆโดยไม่มีกำหนด

6.ส่วนกรณีที่เกิดกลุ่มขบวนการทวงช้างคืนจากศรีลังกานั้น เมื่อเห็นการนำพลายศักดิ์สุรินทร์กลับมาไทยได้ ก็เลยต้องการเลียนแบบ เปิดประเด็นว่าพลายประตูผา กับ พลายศรีณรงค์ ได้รับการปฏิบัติไม่ดี มีการทรมานใช้ออกงาน เลยไปทำแคมเปญทวงคืนช้างไทย โดยมีมูลนิธิหนึ่งเป็นตัวตั้งตัวตี มีนักการเมืองพรรคนึงสนับสนุน นัยว่าจะทวงคืนช้างมาไว้ที่มูลนิธิ 

7.มีการปั่นข้อมูลบิดเบือน จับแพะชนแกะ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการทวงคืนช้าง โดยไม่สนใจว่าจะกระทบต่อมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนเกิดกรณีลุกลามมีชาวศรีลังกาบางส่วนไม่พอใจต่อกลุ่มขบวนการทวงช้างคืน จนกลายเป็นวิวาทะระหว่างประเทศ ชาวศรีลังกาบางส่วนออกมาแอนตี้ต่อต้าน

8.ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเช่น สถานทูตไทยที่ศรีลังกาก็ได้พยายามอธิบายเหตุผลและขั้นตอนต่างๆต่อกลุ่มขบวนการทวงคืนช้างตามนัยของข้อ 1-4 ข้างต้นแล้ว แต่ทางกลุ่มก็ไม่ยอมรับฟัง และไม่หยุดดำเนินการ

9.ทางสถานทูตไทยได้ร่วมกับสัตวแพทย์ทั้งไทยและศรีลังกาไปตรวจสุขภาพพลายประตูผา และพลายศรีณรงค์ก็พบว่าตัวนึงสุขภาพเกินกว่ามาตรฐาน และอีกตัวนึงมีปัญหาสุขภาพบ้างตามอายุขัย แต่อยู่ในการควบคุมดูแลได้ และพลายทั้งสองเชือกยังมีควาญที่เลี้ยงมาแต่แรกดูแลอยู่

10.สรุปอีกที กรณีพลายศักดิ์สุรินทร์ ไม่ใช่การทวงช้างคืน แต่เป็นการขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์มารักษาที่ไทย ซึ่งได้รับการอนุมัติจากทางการศรีลังกาให้ดำเนินการได้ ส่วนกรณีของกลุ่มขบวนการทวงช้างคืนนั้น เป็นการอ้างว่าขอเอาช้างที่มอบให้ศรีลังกาไปแล้วกลับคืนเพื่อเอามาไว้ที่มูลนิธิของเอกชน แต่ทางการศรีลังกาไม่อนุมัติ

ตลาด E-Commerce จีนแข่งกันเดือด งัดกลยุทธ์ ‘คืนเงินโดยไม่ต้องคืนสินค้า’

(24 ต.ค. 67) นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล Founder & CEO บริษัท Fire One One ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงสถานการณ์การแข่งขันในตลาด E-Commerce จีน ว่า

เมื่อชะลอตัว จีนก็แข่งกันเดือด Pinduoduo - อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่ใช้กำลังซื้อมหาศาลมาซื้อของสต็อกเพื่อให้ได้ราคาถูกมาก ๆ (เจ้าของ TEMU) เปิดเกมส์เมื่อเดือนสิงหาคมให้ลูกค้าที่ไม่พอใจสินค้าขอ Refund ได้โดยไม่ต้องส่งของคืน ... เล่นเอาทั้งคู่แข่งและหน่วยงานรัฐเต้นทันที

Taobao บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่อีกราย หนึ่งในธุรกิจหลักของอาลีบาบา ส่งกระดาษโน้ตไปในทุกแพ็กเกจเพื่อประกาศว่า "เราไม่มีนโยบาย No-return Refund ถ้าคุณจะขอเงินคืนแต่ไม่คืนสินค้ากลับมา เราจะดำเนินคดีทันที" ... เนื่องจากเดือนที่ผ่านมาพวกเขาเจอการขอ Refund มากผิดปกติ (ตัวเลขจาก Nikkei คือเจอลูกค้าของเงินคืนแบบไม่ส่งของกลับมาราว 400,000 ครั้ง) ... พวกเขามองว่านี่เป็นการตัดขาคู่แข่งเพราะ Taobao ต้องชดใช้ให้ผู้ขายถึง 300 ล้านหยวนในช่วงเวลาดังกล่าว

หน่วยงานรัฐมองว่า Pinduoduo กำลังสร้างพฤติกรรมไม่ดีให้กับลูกค้าที่ไม่พอใจก็ขอเงินคืนได้ตลอดเวลา จะทำให้เกิดการซื้อแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ขึ้นมา ... แต่แน่นอนว่าถูกใจผู้บริโภค แต่จะไม่เป็นผลดีกับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในระยะยาว

Pinduoduo แย้งว่าพวกเขาไม่ใช่รายแรกที่ทำ (Amazon ก็ทำในสินค้าบาง Segments ที่ราคาถูกมาก ๆ จนไม่คุ้มต่อค่าส่ง) 

ผู้ขายก็ได้เงินคืนละครับแต่ว่ามันจะไม่ดีกับพวกเขา เช่นผู้ผลิตเครื่องสำอางที่ขายตัวเดียวกันทั้งใน Pinduoduo และใน Taobao มียอดขอคืนเพิ่มขึ้นในแพลตฟอร์มแรก มากกว่าทั้งปีที่เธอขายมาเมื่อปีที่แล้วทั้งที่สินค้าเป็นตัวเดิม ... "ลูกค้าแค่บอกว่าสินค้าของเราไม่ดี เลยขอเงินคืน สกอร์ของเราจะเป็นยังไง? ลูกค้าก็เอาไปใช้ใช่ไหม? แล้วจะทำยังไงถ้าเราเจอการสั่งซื้อสินค้าเดิมแล้วทำแบบเดิมอีกรอบ"

หน่วยงานรัฐเจอพฤติกรรม "เปิดกลุ่มสอน" เริ่มจากการขอรีฟันด์อย่างถูกต้องโดยระบุว่าสินค้าประเภทไหนจากผู้ค้ารายไหนต้องแจ้งยังไง ตอนนี้กลายเป็นการสอนอย่างเป็นระบบว่าจะใช้ของฟรีกันในแต่ละวันอย่างไร

ความขัดแย้งจะเริ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอนครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top