Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

24 ตุลาคม พ.ศ. 2488 สถาปนา ‘องค์การสหประชาชาติ’ ด้วยจำนวนสมาชิกผู้เริ่มก่อตั้ง 51 ประเทศ

24 ตุลาคม พ.ศ. 2488 องค์การสหประชาชาติ หรือ ‘ยูเอ็น’ (United Nation : UN) ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ จึงถือเอาวันที่ 24 ตุลาคม ของทุกปีเป็น ‘วันสหประชาชาติ’

24 ตุลาคม พ.ศ. 2488 องค์การสหประชาชาติ หรือ 'ยูเอ็น' (United Nation : UN) ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง โดยมีประเทศสมาชิกผู้เริ่มก่อตั้ง 51 ประเทศ นำโดยประเทศมหาอำนาจของโลกอย่าง สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และจีน ลงนามให้สัตยาบันรับรอง 'กฎบัตรสหประชาชาติ' (United Nations Charter) ซึ่งเป็นธรรมนูญของสหประชาชาติมีผลบังคับใช้ 

ยูเอ็นเป็นองค์การระหว่างประเทศ ก่อตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ทั่วโลกเกิดสันติภาพและความยุติธรรม มีความมั่นคงระหว่างประเทศ พัฒนาสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม มนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และเป็นศูนย์กลางความร่วมมือและประสานงานของชาติต่าง ๆ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 192 ประเทศ (เกือบทุกประเทศในโลก) สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงนิวยอร์ก และถือเอาวันที่ 24 ตุลาคม ของทุกปีเป็น 'วันสหประชาชาติ'

๒๓ ตุลาคม วันปิยมหาราช วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหาร และพนักงาน สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES 

วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกให้กับประเทศไทยครั้งใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี) เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น 'กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ' ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น 'กรมขุนพินิตประชานาถ' บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 ทรงพระนามว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว'

เนื่องจากขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 16 ปี ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญพระมหาอุปราช

ระหว่างที่สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม

ในตอนนี้ยังได้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา 2 ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย 1 ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรปนำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตน เพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทยให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืน และนั่งตามโอกาสสมควร ไม่จำเป็นต้องหมอบคลานเหมือนแต่ก่อน

เมื่อพระชนมายุบรรลุพระราชนิติภาวะ ได้ทรงผนวชเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วจึงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 และนับจากนั้นมาก็ทรงพระราชอำนาจเด็ดขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน

ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ ทรงปกครองทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้มั่งคั่งสมบูรณ์ ดัวยรัฐสมบัติ พิทักษ์พสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข บำบัดภัยอันตรายทั้งภายในภายนอกประเทศ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ และสามารถธำรงเอกราชไว้ตราบจนทุกวันนี้

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา ครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี

ในรัชสมัยของพระองค์ สยามประเทศได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความวัฒนาให้กับชาติเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น การไฟฟ้า การไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ ฯลฯ ด้วยพระราชกรณียกิจที่ยังความผาสุกให้เกิดแก่ประชาชน ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึงน้อมใจแสดงความจงรักภักดี ด้วยการถวายพระนามว่า 'พระปิยมหาราช' หรือพระพุทธเจ้าหลวง และกำหนดให้ทุกวันที่ 23 ตุลาคม เป็น 'วันปิยมหาราช'

25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานปริญญาบัตร ครั้งแรกของสยาม

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรเวชศาตรบัณฑิต (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแพทยศาสตรบัณฑิต) ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของไทยที่มีการพระราชทานปริญญาบัตร ณ ห้องประชุมตึกบัญชาการ (ตึก 1 คณะอักษรศาสตร์ปัจจุบัน) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่ห้องประชุม พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร-เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์ครุยบัณฑิตพิเศษแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานครุยกิตติมศักดิ์แก่ข้าราชการของมหาวิทยาลัย 2 ท่าน คือ

1.) บัณฑิตชั้นโท (มหาบัณฑิตในปัจจุบัน) ทางวิทยาศาสตร์แก่พระยาภะรตราชา(หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) ผู้บัญชาการ (อธิการบดีในขณะนั้น)

2.) บัณฑิตชั้นเอก (ดุษฎีบัณฑิตในปัจจุบัน) แก่ศาสตราจารย์ น.พ. A.G.Ellis คณบดีคณะแพทยศาสตร์ (ต่อมาเป็นอธิการบดีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่าง พ.ศ. 2478-2479)

จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานประกาศนียบัตร (ปริญญาบัตรในปัจจุบัน) แก่เวชบัณฑิตชั้นตรี จำนวน 29 คน ประกอบด้วยผู้สอบได้บัณฑิตชั้นตรีในปี 2471 จำนวน 18 คน และปี 2472 จำนวน 16 คน

ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชโชวาทแก่บัณฑิตในครั้งนั้น ตอนหนึ่งว่า “…ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาให้ปริญญาแก่นักเรียนมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรกในวันนี้ นับว่า เป็นวันสำคัญสำหรับประวัติการของมหาวิทยาลัย และโดยเหตุนั้น นับว่าเป็นวันสำคัญสำหรับประวัติการของประเทศสยามด้วย เพราะว่าไม่ว่าประเทศใดๆ ความเจริญของประเทศนั้นย่อมวัดด้วยความเจริญของการศึกษานั้นอย่างหนึ่ง…”

อนึ่ง ในการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทำหนังสือเชิญผู้แทนหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมยุทธศึกษาทหารบก, กรมยุทธศึกษาทหารเรือ, สภากาชาดสยาม, วชิรพยาบาล, มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ราชบัณฑิตยสภา, โรงเรียนกฎหมาย, ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากกระทรวงต่างๆ เอกอัครราชทูตของประเทศที่มาประจำประเทศไทย ฯลฯ มาร่วมพิธีด้วย

เรื่องนี้ต้องขยาย ไม่รู้ไม่ได้แล้ว!!

เรื่องนี้ต้องขยาย ไม่รู้ไม่ได้แล้ว!! NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า ปรับผังใหม่อีกครั้ง สมาชิกเพิ่ม แต่เนื้อหา สาระ ความรู้ คู่ข่าวสาร ยังอัดแน่น คงเดิม!! 
📌จันทร์ : ไอยรา อัลราวีย์ คู่ จ่าตรีดนุนันท์ ชวนอยู่
📌อังคาร : วสันต์ มนต์ประเสริฐ คู่ พ.จ.อ.อดิศร จันทรวัฒน์
📌พุธ : ไอยรา อัลราวีย์ คู่ จ่าเอกภูริณัฐ วิชาชู
📌พฤหัสบดี : วสันต์ มนต์ประเสริฐ คู่ พ.จ.อ.อดิศร จันทรวัฒน์
📌ศุกร์ : ไอยรา อัลราวีย์ คู่ พี่น้อย ศตกมล วรกุล

ติดตามรับชม รับฟัง ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 07.00-08.00 น. ทางวิทยุ FM93 ส.ทร.วังนันทอุทยาน และ Live ผ่านสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES  

ศรชล. นำกำลังพลร่วมกิจกรรมจิตอาสา วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม

น.อ.โกวิท สิงห์ทอง รอง ผอ.ศรชล.จว.จบ.พร้อมด้วย กำลังพล ศรชล.จว.จบ. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( วันปิยมหาราช) 23 ตุลาคม ณ วัดสุวรรณรังษี ม.4 ต.ตะปอน อ.ขลุง จว.จันทบุรี ซึ่งเป็นกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาศาสนสถาน โดยมี นายสันติ รังษีรุจิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นประธานในพิธี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘โฆษกสธ.' สรุปอาการ 3 นักเรียนหญิงเหยื่อไฟไหม้รสบัสล่าสุดพบ อาการดีขึ้น อยู่ในขั้นปลอดภัย มี 1 รายเตรียมความพร้อมกลับบ้าน อีก 2 ราย จักษุแพทย์ดูแลรักษาดวงตาอย่างเต็มที่

(22 ต.ค. 67) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า ได้รับรายงานผู้ป่วยเด็กหญิงโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีรถบัสเกิดเพลิงไหม้ บริเวณถนนวิภาวดีขาเข้า หน้าอนุสรณ์สถาน ตำบลคูคน อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา จำนวน 3 คน ล่าสุด ทุกคนโดยรวมมีอาการดีขึ้น ถือเป็นข่าวดีที่เด็กเหล่านี้ได้พ้นขีดอันตราย เมื่อแรกเข้ารับการรักษาอยู่ในสภาวะที่น่าห่วงอย่างมาก ตลอด 20-21 วัน แพทย์ได้ดูแลรักษาอย่างดีที่สุด มีรายละเอียด ดังนี้

คนแรก เป็นเด็กหญิงวัย 14 ปี เข้ารับการรักษาที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ สถาบันฯออกแถลงการณ์เวลา 9.00 น. วันที่  21 ตุลาคม สรุปว่า “อาการดีขึ้น บาดแผลไฟไหม้โดยรวมดีขึ้นมาก ไม่พบการติดเชื้อ ไม่พบปัญหาข้อติดยึด สามารถทำกายบริหาร ยืดเหยียดข้อไหล่ ข้อศอกและข้อนิ้วมือ เพื่อป้องกันข้อติดได้ดี ด้านจิตใจ ผู้ป่วยมีอารมณ์คงที่ นอนหลับได้ปกติ ผลการรักษาเป็นที่พึงพอใจของทีมแพทย์  แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาและฟื้นฟูทั้่งร่างกายและจิตใจเพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับบ้านต่อไป..”

คนที่สอง เป็นเด็กหญิง อายุ 9 ปี รักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิพระเกียรติ มีอาการไฟไหม้ใบหน้า คอ แขนและมือทั้ง 2 ข้าง แผลไหม้ระดับที่สองและทางเดินอากาศบาดเจ็บจากการสูดดมควันไฟ แพทย์รักษาด้วยการปรับยาแก้ปวดและยานอนหลับต่อเนื่อง ให้อาหารผ่านสายทางจมูก ให้ยาลดความดันโลหิต ประเมินดวงตาทางจักษุแพทย์ อาการล่าสุด ผู้ป่วยหายใจได้เองโดยไม่ต้องให้ออกซิเจน สามารถพูดสื่อสารความต้องการได้ ให้ยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว เริ่มกินอาหารทางปากได้เพิ่มมากขึ้น ใช้อุปกรณ์บีบคลายขาทั้ง 2 ข้างเพื่อป้องกันลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกอุดตัน ทางทีมจักษุแพทย์ได้ดูแลรักษาดวงตาอย่างเต็มที่

คนที่สาม เป็นเด็กหญิงอายุ 7 ปี รักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ไฟไหม้ใบหน้าลำตัว และมือทั้ง 2 ข้าง แผลไหม้ระดับที่สอง อาการล่าสุด สามารถหายใจได้เอง ไม่ต้องใช้ออกซิเจน พูดสื่อสารความต้องการได้ รับประทานอาหารทางปากได้มากขึ้น ใช้อุปกรณ์บีบคลายขาทั้ง 2 ข้างเพื่อป้องกันลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำอุดตัน ไม่พบตำแหน่งติดเชื้อชัดเจน เฝ้าระวังอาการและเฝ้าระวังการติดเชื้อแทรกซ้อน ทีมจักษุแพทย์มีแผนเปิดแผลเช้าวันที่ 22 ตุลาคม โดยแผนการรักษา เข้าห้องผ่าตัดเพื่อประเมินเยื่อตาและกระจกตา

น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้แสดงความขอบคุณทีมแพทย์ที่ดูแลรักษาผู้ป่วยทั้ง 3 คนอย่างดียิ่ง มีความสบายใจที่ได้รับทราบข่าวว่าอาการของนักเรียนดีขึ้นตามลำดับ พร้อมกันนี้ได้ส่งกำลังใจมาถึงพ่อแม่ผู้ปกครองของน้องนักเรียน 3 คนนี้ รวมทั้งประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจติดตามข่าว ก็ขอให้คลายความกังวล กระทรวงสาธารณสุขจะดูแลและติดตามการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดและอย่างดีที่สุด

‘สมศักดิ์’ สั่งจัดการเพจปลอม แอบอ้างชื่อ-ภาพ ขายยาปลุกเซ็กซ์ เพิ่มสมรรถนะเพศชาย หลอกลวงผู้บริโภค สั่งอ.ย.แจ้งกองปราบฯ เอาโทษถึงที่สุด เข้าข่ายผิดกฎหมาย 2 ฉบับ

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ถูกมิจฉาชีพมีพฤติการณ์ไม่เกรงกลัวกฎหมาย บังอาจทำเพจ เฟซบุคปลอมระบุ “รับรองจากกระทรวงสาธารณสุข - ยาโป๊ปลุกอารมณ์ของผู้ชาย แก้ปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศษของผู้ชาย…” ลงภาพตราสัญลักษณ์พร้อมชื่อกระทรวงสาธารณสุข ที่สำคัญ ได้ลงภาพครึ่งตัวและชื่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และข้อความโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับสมรรถภาพทางของชาย เช่น ทำให้อึดทน ใหญ่ขึ้น แข็งขึ้น ฯลฯ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชื่อเสียงของนายสมศักดิ์และกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งทำให้ผู้ที่เห็นสื่อตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงให้เข้าใจผิด สั่งซื้อยามากินโดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้ได้รับอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

น.ส.ตรีชฎากล่าว่า นายสมศักดิ์ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) ดำเนินการโดยเร่งด่วน โดยหลังจากพบเพจเฟซบุคปลอมดังกล่าวเผยแพร่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยนายวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้มีหนังสือถึงผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ให้สืบหาข้อมูลและบุคคลผู้กระทำผิดที่สร้างเพจปลอมแอบอ้างผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข 

โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองกล่าวต่อไปว่า เพจปลอมที่แอบอ้างชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก หากไม่ระงับยับยั้งพฤติการณ์จะนำไปสู่การลักลอบขายยาที่ไม่ได้รับอนุญาตทางเวบไซต์ต่างประเทศ หรือทางสื่อออนไลน์ ไม่เพียงแต่เข้าข่ายผิดกฎหมายว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ยังอาจเข้าข่ายโฆษณาขายยาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 อีกด้วย

“วอนประชาชนอย่าหลงเชื่อ จะตกเป็นเหยื่อการกระทำความผิดด้วยการแอบอ้าง ชื่อและภาพของนาย สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ครั้งนี้เจตนาให้ผู้บริโภคเชื่อว่าสินค้าตัวดังกล่าวได้รับการรับรองหรือรับประกันการโฆษณาขายยาปลุกเซ็กซ์ผู้ชาย เป็นการหากินบนความเดือดร้อนของคนอื่น ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้หลงเชื่อเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก ทางอ.ย.ได้แจ้งไปยังตำรวจที่ีรับผิดชอบให้เร่งสืบหาผู้กระทำความผิด งานนี้หวังว่าทางตำรวจจะเร่งดำเนินการหาผู้กระทำความผิด น่าจะใช้เวลาไม่มากก็สามารถตามจับกุมตัวคนทำเพจปลอมมาดำเนินคดีได้ ก่อนความเสียหายจะบานปลายไปมากกว่านี้” น.ส.ตรีชฎากล่าว

‘คาซัคสถาน’ เตรียมฉลอง!! จัดงานใหญ่ใน ‘วันสาธารณรัฐ’ เผย!! เป็นก้าวแรกสู่ความเป็นอิสระ มีอธิปไตยของประเทศ

(23 ต.ค. 67) ประเทศคาซัคสถาน เตรียมจัดงานใหญ่ ในวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ เพื่อฉลองวันหยุดสำคัญของประเทศ ‘วันสาธารณรัฐ’ ซึ่งในวันนี้ในปี 1990 ได้มีการประกาศเอกราชของสาธารณรัฐโซเวียตคาซัค ซึ่งถือเป็นก้าวแรกสู่ความเป็นอิสระของประเทศ วันนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นเส้นทางของคาซัคสถานสู่การมีอธิปไตยและการเสริมสร้างความเป็นอิสระของชาติ มีบทบาทสำคัญในการสร้างอัตลักษณ์แห่งชาติของประเทศ

“เอกสารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งนี้เป็นการประกันความไม่แบ่งแยกและความไม่ละเมิดของดินแดนของเรา และการยืนยันที่จะเสริมสร้างอัตลักษณ์ของชาติและรับประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน หลักการพื้นฐานเหล่านี้ได้ถูกสะท้อนในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และแนวทางยุทธศาสตร์ของคาซัคสถานในปัจจุบัน” ประธานาธิบดีโตกาเยฟกล่าว

ในด้านเศรษฐกิจ คาซัคสถานมุ่งแสวงหาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจที่แข็งแกร่ง สะท้อนถึงวิสัยทัศน์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับมหาอำนาจหลักทั่วโลกในภาคส่วนสำคัญ เช่น พลังงานหมุนเวียน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคาซัคสถานในการกระจายเศรษฐกิจและส่งเสริมนวัตกรรม เศรษฐกิจของคาซัคสถานมีขนาดใหญ่เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศ ทั้งแร่ธรรมชาติ น้ำมัน และแร่หายาก และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างมหาศาลในอุตสาหกรรมเหล่านี้

ต้นปี 2024 การผลิตน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) เพิ่มขึ้น 15,000 bpd ในขณะที่การผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวและคอนเดนเสทอยู่ที่ 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลง 10,000 bpd เป้าหมายการผลิตน้ำมันในปี 2024 กำหนดไว้ที่ 90.3 ล้านตัน ซึ่งมีการสำรองน้ำมันที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 78 พันล้านตัน

ในปี 2023 การค้าระหว่างประเทศของคาซัคสถานมีมูลค่ารวม 139.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ (การส่งออก 78.7 พันล้าน การนำเข้า 61.1 พันล้าน) เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

‘หนูนา ศิลปอาชา’ โพสต์เฟซ!! เป็นห่วง ‘พลายประกายแก้ว’ ชี้!! กฎหมายระบุชัด ช้างลากซุง ต้องมีอายุระหว่าง 25 - 50 ปี

(23 ต.ค. 67) นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา หรือ ‘หนูนา’ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเดินหน้าอนุรักษ์ช้างไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก โดยมีใจความว่า ...

ภารกิจต่อไปที่เราแม่ๆพ่อๆต้องส่งใจช่วยคือ…การพาน้องขุนเดชสู่คชบาลค่ะ…
เข้าใจว่าทาง ผอ. และคุณหมอคงวางแผนกันไว้แล้วถึงขั้นตอนและกำหนดการ…

และสำหรับแม่ๆที่ห่วงใยพลายประกายแก้ว..ช้างอายุ 16 ที่ถูกขาย..จากช้างงานแห่สุรินทร์..ไปเป็นช้างลากซุงที่ควนกาหลง สตูล …
ซึ่งผิดกฎหมาย…

ดิฉันบอกเสมอถึงบทบัญญัติกฎหมายว่าช้างที่จะถูกใช้ลากซุง ต้องอายุระหว่าง 25-50 ปีเท่านั้น..
ดิฉันตามตลอดนะคะ… 3 รอบแล้วที่ปศุสัตว์เข้าไปดูให้…

และเจ้าของให้คำมั่นว่า..ไม่ได้ใช้น้องลากซุงแล้ว.. ถ้าพบว่าใช้จะยินดีรับโทษตามกฎหมาย…
แต่ดิฉันก็ไม่ได้นอนใจ..ซึ่งทางปศุสัตว์จะช่วยดิฉันตามให้ตลอดค่ะ…

‘เมียนมา’ เตรียมเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม ‘BRICS’ เพื่อยกระดับ!! บทบาทของตน ในเวทีระดับโลก

(23 ต.ค. 67) ไม่นานมานี้มีสำนักข่าวหลายสำนักไม่ว่าจะมาจากฝั่งอินเดียหรือจีนรายงานตรงกันว่าเมียนมากำลังดำเนินการสมัครเข้าเป็นประเทศในกลุ่ม BRICS  ก่อนอื่นที่เราจะมารู้ว่าทำไมเมียนมาถึงสมัครเข้า BRICS เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า BRICS คืออะไร

BRICS เป็นการรวมกลุ่มกันของประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ ก่อตั้งขึ้นโดยสมาชิกผู้ก่อตั้ง 4 ประเทศ คือ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และจีน ในปี 2009 ซึ่งเริ่มแรกใช้ชื่อกลุ่มว่า BRIC โดยเป็นการนำอักษรตัวแรกของแต่ละประเทศมาเรียงต่อกัน ต่อมาได้รับแอฟริกาใต้เพิ่มเข้ามาในปี 2010 ทำให้เปลี่ยนไปเป็น BRICS และใช้มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าต้นปี 2024 จะรับสมาชิกเพิ่มมาอีก 5 ประเทศอันได้แก่  อียิปต์, เอธิโอเปีย, อิหร่าน, ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และล่าสุดมี 34 ประเทศที่ยื่นคำร้องขอเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการแล้ว อันได้แก่ แอลจีเรีย อาเซอร์ไบจาน บาห์เรน บังกลาเทศ เบลารุส โบลิเวีย คิวบา ชาด สาธารณรัฐคองโก อิเควทอเรียลกินี เอริเทรีย ฮอนดูรัส อินโดนีเซีย คาซัคสถาน คูเวต ลาว มาเลเซีย เมียนมา โมร็อกโก นิการากัว ไนจีเรีย ปากีสถาน เซเนกัล ซูดานใต้ ศรีลังกา ปาเลสไตน์ ซีเรีย ไทย ตุรกี ยูกันดา อุซเบกิสถาน เวเนซุเอลา เวียดนาม และซิมบับเว

ข้อดีของการเป็นสมาชิกใน BRICS มีหลายประการกล่าวโดยสรุปคือ

1. การเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS จะช่วยยกระดับบทบาทของประเทศตนในเวทีระหว่างประเทศ 

2. ทำให้ประเทศที่เป็นสมาชิกมีจุดยืนในฐานะพหุภาคีและความสมดุลระดับโลก 

3. โอกาสที่จะเข้าถึงการลงทุนและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อันยกระดับให้ประเทศมีการพัฒนามากขึ้น

4. สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพในระดับภูมิภาค

5. ได้รับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า

เฉกเช่นเดียวกันกับไทยที่มองหาโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนและเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ รัฐบาลทหารเมียนมาก็แสวงหาลู่ทางในการที่จะลืมตาอ้าปากจากการถูกแซงชั่นจากประเทศตะวันตกและประเทศพันธมิตรของตะวันตกโดยมีหัวหอกเป็นอเมริกาด้วยเช่นกัน  จากที่เอย่าคาดการณ์แล้วหากเมียนมาเข้าเป็นสมาชิก BRICS ได้สำเร็จ เมียนมาจะบรรลุถึงการส่งออกสินค้าเกษตรของตนไปยังตลาดใหม่ๆโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศของ BRICS เอง  อีกทั้ง BRICS ยังเปิดโอกาสทางการค้าที่เสรีโดยไม่จำเป็นต้องค้าขายผ่านสกุลเงินใครเป็นสกุลเงินหลักแต่เปิดโอกาสให้ทำธุรกิจผ่านสกุลเงินของประเทศตนเองได้โดยตรงอันจะช่วยให้ลดปัญหาการได้เปรียบหรือเสียเปรียบอันเนื่องมาจากการใช้ระบบ SWIFT

อีกอย่างเมียนมาจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่จะช่วยในการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืนได้มากขึ้นหลังถูกโดดเดี่ยวมาตั้งแต่รัฐประหารและประเทศในกลุ่ม BRICS ก็น่าจะเข้ามาลงทุนในเมียนมามากขึ้นด้วยเหตุที่ค่าแรงถูกและยังมีที่ดินเป็นจำนวนมากที่ที่สามารถพัฒนาได้

สุดท้ายหากเกิดสงครามขึ้นมาประเทศในกลุ่ม BRICS ก็จะได้รับการช่วยเหลือทางอาหารจากประเทศในกลุ่มสมาชิกที่มีการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นหลักซึ่งนอกจากไทยแล้วเมียนมาก็เป็นอีกประเทศที่มีการส่งออกสินค้าทางการเกษตรในราคาถูกและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ดีเช่นกัน

South China Morning Post ระบุในถ้อยแถลงว่าทางรัฐบาลทหารเมียนมาแสดงความปรารถนาของเมียนมาที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มประเทศ BRICS ในฐานะผู้สังเกตการณ์ระหว่างการเยือนมอสโคว์เมื่อไม่นานมานี้ และจากท่าทีของจีนและรัสเซียที่เป็นหัวเรือใหญ่ใน BRICS เชื่อว่าสามารถนำพาเมียนมาเข้าเป็น 1 ในสมาชิกของ BRICS ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

การที่ทางรัฐบาลเมียนมาคิดแบบนี้น่าจะเป็น 1 ในแผนระยะยาวในการสร้างเสถียรภาพของประเทศและสร้างความเจริญที่ยั่งยืนในประเทศอันจะส่งผลให้ความขัดแย้งในประเทศจบลงไวขึ้นนั่นเอง และนั่นก็รวมถึงการผลักดันผู้คิดต่างให้ออกไปอยู่นอกวงและกลายเป็นคนไร้สัญชาติในที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top