Monday, 23 June 2025
TheStatesTimes

17 ตุลาคม ของทุกปี กำหนดเป็น ‘วันตำรวจ’ ผู้มีหน้าที่ดูแลความผาสุกประชาชน

วันตำรวจ ของประเทศไทย เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2458 ซึ่งเป็นวันประกาศรวม "กรมพลตระเวน" กับ "กรมตำรวจภูธร" เป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า "กรมตำรวจ" ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" จึงได้ถือเอาวันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันตำรวจ 

ทั้งนี้ เพื่อร่วมแสดงความเคารพเทิดทูนต่อในหลวง รัชกาลที่ 9 จึงมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงวันตำรวจไทย เป็นวันที่ 17 ตุลาคม โดยถือเอาฤกษ์วันสถาปนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2541 มากำหนดเป็นวันตำรวจแทน

18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 วันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชสมภพ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 - สวรรคต 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411) พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้ามงกุฎ" เสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังเดิม เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 

พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อ วันที ๒ เมษายน พ.ศ.2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาวิชาการด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่การปกครองได้แก่ ตำราพิชัยสงคราม การฝึกอาวุธ วิชาคหกรรม โหราศาสตร์ และ ทรงโปรดวิชาภาษาต่างประเทศ เป็นพิเศษ พระองค์ท่านทรงมีความเชียวชาญในวิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์อย่างมาก ปวงชนชาวไทยจึงได้ถวายพระราชสมัญญาให้พระองค์เป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย”

เมื่อ พ.ศ.2411 พระองค์ทรงคำนวณว่าจะสามารถเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้ในประเทศสยาม ณ หมู่บ้านหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์จึงโปรดให้ตั้งพลับพลาเพื่อเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่พระองค์ทรงคำนวณก็เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงดังที่ทรงได้คำนวณไว้

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2411 พระชนมายุ 64 พรรษา

9 เดือนแรก บสย. ค้ำประกันแล้วกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการขนาดย่อม

(15 ต.ค. 67) นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงาน บสย. ช่วง 9 เดือนปี 2567 (ม.ค. – ก.ย.) สามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. เพิ่มสินเชื่อในระบบ และช่วยรักษาการจ้างงาน ตลอดช่วยลูกหนี้ บสย. ปรับโครงสร้างหนี้ แก้หนี้อย่างยั่งยืน ตอบโจทย์นโยบายภาครัฐ

ตลอด 9 เดือน บสย. ค้ำประกันสินเชื่อได้กว่า 34,543 ล้านบาท ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 141,189 ล้านบาท มีผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากกว่า 70,634 ราย แบ่งเป็นกลุ่มรายย่อยหรือ Micro SMEs ในสัดส่วนถึง 91% ค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ย 90,000 บาทต่อราย ส่วนอีก 9% เป็นกลุ่ม SMEs ค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ย 4.71 ล้านบาทต่อราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้กว่า 36,221 ล้านบาท รวมถึงรักษาการจ้างงานไม่น้อยกว่า 311,948 ตำแหน่ง  ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อที่เป็นมาตรการรัฐ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อที่ บสย. พัฒนาเอง ได้แก่

1.โครงการตามมาตรการรัฐ วงเงิน 16,942 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 65,356 ราย
2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก. สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) วงเงิน 9,893 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 1,543 ราย
3.โครงการค้ำประกันสินเชื่อดำเนินการโดย บสย. วงเงิน 7,351 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 4,255 ราย  

ผลงานค้ำประกันที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะโครงการ PGS 11 “บสย SMEs ยั่งยืน” ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี หลังจาก บสย. ได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงสิ้นเดือนกันยายน ในระยะเวลากว่า 2 เดือน มียอดค้ำประกันสินเชื่อไปแล้ว 12,048 ล้านบาท ซึ่งมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน อาทิ ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ เริ่มต้น 2 ปีแรก และสูงสุดถึง 4 ปีแรก ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนค่าธรรมเนียมค้ำประกัน ด้วยอัตราค่าธรรมเนียมต่ำเพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงินสำหรับผู้ประกอบการ โดยมีวงเงินค้ำประกันต่อรายตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 40 ล้านบาท ระยะเวลาการค้ำประกันนานสูงสุด 10 ปี เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ ตอบโจทย์ความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจและเสริมสภาพคล่อง ตลอดจนยังมุ่งเน้นมาตรการการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อการพลิกฟื้นธุรกิจจากภาครัฐ

สำหรับความสำเร็จที่ชัดเจนของ บสย. ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา คือ การให้คำปรึกษาทางการเงิน โดยศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพและยกระดับขีดความสามารถทางธุรกิจของ SMEs ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยทีมผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 – 30 กันยายน 2567 ให้บริการรวม 21,737 ราย แบ่งเป็นผู้ลงทะเบียนขอรับคำปรึกษา 6,746 ราย และลงทะเบียนเข้าอบรม 14,991 ราย โดยมีความต้องการสินเชื่อ 17,000 ล้านบาท สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบ (Success rate) ที่ 14.92%

นอกจากนี้ บสย. ยังประสบความสำเร็จในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ค้ำประกันสินเชื่อที่ถูกเคลม ด้วยมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ “บสย. พร้อมช่วย” (มาตรการ 4 สี  ม่วง เหลือง เขียว และ ฟ้า) ซึ่ง บสย. พัฒนาขึ้น เพื่อรองรับความสามารถในการชำระหนี้ ช่วยลูกหนี้ ตัวเบา ลดต้นทุนทางการเงิน มีจุดเด่นคือ ตัดต้นก่อนตัดดอก และ ดอกเบี้ย 0%

ทั้งนี้ ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา มีลูกหนี้ที่ได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว 2,727 ราย แบ่งเป็นลูกหนี้กลุ่มที่มีศักยภาพในการชำระคืนเงินต้นบางส่วนแต่ต้องการปลอดดอกเบี้ย (สีเขียว) สูงถึง 73% ตามด้วยลูกหนี้กลุ่มที่จ่ายไหวเพียงบางส่วน (สีเหลือง) 20% และลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง (สีม่วง) 7% โดยตั้งแต่เริ่มมาตรการดังกล่าว ในเดือน เม.ย. 2565 มีลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และได้รับการประนอมหนี้รวม 16,068 ราย คิดเป็นมูลหนี้กว่า 7,240 ล้านบาท ที่สำคัญสามารถช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มสีเขียวให้สามารถปลดหนี้ และเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ ผ่านการร่วมมาตรการ “ปลดหนี้” (สีฟ้า) จำนวน 114 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (มาตรการปลดหนี้ เปิดใช้เมื่อเดือนมกราคม 2567 เป็นมาตรการช่วยลูกหนี้กลุ่มสีเขียวที่ผ่อนชำระดี 3 งวดติดต่อกัน และต้องการปลดหนี้ โดย บสย. ลดเงินต้นให้ 15%)

ทั้งนี้ เพื่อสามารถเข้าถึงผู้ประกอบการ SMEs ได้ง่ายขึ้น ภายใต้วิสัยทัศน์ SMEs’ Gateway วันนี้ นอกจากสำนักงานเขต บสย. 11 สาขาทั่วประเทศ ผู้ประกอบการสามารถลงทะเบียนขอรับคำปรึกษาผ่าน Line OA : @tcgfirst นอกจากนี้ บสย. ยังมีการให้บริการผ่าน “ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs” ที่พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำ SMEs ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การแก้ปัญหาหนี้ และให้ความรู้ทางการเงิน โดยผู้ประกอบการ SMEs สามารถขอรับคำปรึกษาและตรวจสุขภาพทางการเงินเพื่อเตรียมพร้อมก่อนยื่นขอสินเชื่อ ฟรี..ไม่มีค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม จัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พ.ศ. 2534 เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2534 เพื่อรับโอนกิจการและการดำเนินงานทั้งหมดของ กองทุนประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (กสย.) ทำหน้าที่ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ สร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันการเงินในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ แต่ขาดหลักประกัน หรือหลักประกันไม่เพียงพอได้รับวงเงินที่เพียงพอกับความต้องการ

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 มีทุนจดทะเบียนแรกเริ่มจำนวน 400 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 กระทรวงการคลังได้ดำเนินการเพิ่มทุนอีกจำนวน 4,000 ล้านบาท ทำให้ บสย. มีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 4,400 ล้านบาท

ต่อมาในช่วงปลายปี พ.ศ. 2548 ที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นได้มีมติพิเศษเพิ่มทุนอีกจำนวน 2,000 ล้านบาท โดยในปี พ.ศ. 2551 ได้เรียกให้ผู้ถือหุ้นที่แสดงความประสงค์ ซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวชำระเงินค่าหุ้นบางส่วน รวมแล้วเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว จำนวน 6,702.47 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 ประกาศใช้พระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พ.ศ. 2534 ขยายขอบเขตการดำเนินงาน บสย. สามารถค้ำประกันการให้สินเชื่อของผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ซึ่งให้บริการสินเชื่อแก่ภารธุระอุตสาหกรรมขนาดย่อมได้ รวมถึงเพื่อขยายขอบเขตการค้ำประกันให้ครอบคลุมถึงสินเชื่อประเภทอื่นที่มิใช่ความหมายโดยทั่วไป

‘พลังงาน’ เล็งเสนอ 3 แนวทาง ดูแลราคาดีเซลรอบใหม่ ก่อนสิ้นสุดมาตรการตรึงราคา 33 บาท/ลิตร 31 ต.ค. นี้

(15 ต.ค. 67) พลังงาน เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาทบทวนราคาดีเซล ก่อนมาตรการตรึงราคาไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ต.ค. 2567 นี้ ชี้กรณีไม่ตรึงราคาต่อจะส่งผลให้ราคาดีเซลเป็นไปตามกลไกตลาดโลก เสี่ยงที่ราคาจะเกิน 33 บาทต่อลิตรได้  แต่คาดว่า 3 แนวทางที่ ครม. จะพิจารณาคือ ตรึงราคา 33 บาทต่อลิตรต่อถึงสิ้นปี 2567 หรือ ประกาศให้ กบน. ดูแลเองแต่ไม่ควรเกิน 33 บาทต่อลิตร หรือ ปรับลดเพดานราคาดีเซลลงเหลือ 32 บาทต่อลิตร แต่ต้องคำนึงถึงหนี้เงินต้นสถาบันการเงินที่ต้องเริ่มจ่ายตั้งแต่ พ.ย. 2567 นี้ และฐานะเงินกองทุนฯ ที่ยังติดลบอยู่ -95,333 ล้านบาท  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงพลังงาน เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาทบทวนราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้ง เนื่องจากจะสิ้นสุดมาตรการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ในวันที่ 31 ต.ค. 2567 โดยคาดว่ากระทรวงพลังงานอาจจะเสนอ ครม. พิจารณาในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ต.ค. 2567 นี้

สำหรับปัจจุบันราคาดีเซลจำหน่ายอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร และดีเซลเกรดพรีเมียมจำหน่ายที่ 44.94 บาทต่อลิตร โดยกองทุนน้ำมันฯ ไม่ได้ชดเชยราคาดีเซลมาตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2567 แล้ว และยังมีรายได้จากการเรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ ด้วย โดยดีเซลและดีเซล B20 เรียกเก็บอยู่ 1.66 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลเกรดพรีเมียมเรียกเก็บ 3.16 บาทต่อลิตร

ดังนั้นหาก ครม. ไม่พิจารณาต่ออายุมาตรการตรึงราคาดีเซลที่ 33 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้ราคาดีเซลต้องเป็นไปตามกลไกตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ในอนาคตหากราคาน้ำมันโลกปรับสูงขึ้นอาจทำให้ราคาดีเซลในไทยสูงเกิน 33 บาทต่อลิตรได้

อย่างไรก็ตามกระทรวงพลังงานคาดว่าแนวทางที่น่าจะเป็นไปได้ คือ 1. ครม. ต่ออายุมาตรการตรึงราคาดีเซลที่ 33 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นปี 2567 นี้  2. ครม. ไม่ประกาศตรึงราคาดีเซล แต่กำหนดให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ บริหารจัดการดูแลราคาดีเซลเอง แต่แนะนำว่าไม่ควรให้ราคาจำหน่ายเกิน 33 บาทต่อลิตร หรือ 3. ครม. ปรับลดเพดานราคาดีเซลสูงสุดลงเหลือไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร เนื่องจากประชาชนบางกลุ่มเห็นว่าราคาดีเซลปัจจุบันแพงเกินไป

ทั้งนี้การพิจารณาว่าจะเลือกแนวทางใดนั้น ต้องพิจารณาฐานะเงินกองทุนน้ำมันฯ และการใช้คืนหนี้เงินต้นให้สถาบันการเงินที่จะเริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย. 2567 นี้เป็นต้นไปด้วย โดยปัจจุบันราคาน้ำมันโลกปรับลดลง ส่งผลดีต่อกองทุนฯ ให้สามารถเก็บเงินเข้าได้มากขึ้น เพื่อเตรียมชำระหนี้ให้สถาบันการเงิน

แต่หาก ครม. ปรับลดเพดานราคาดีเซลลงเหลือ 32 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าลดลงจากปัจจุบันเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลเข้ากองทุนฯ อยู่ 1.66 บาทต่อลิตร จะเหลือเพียง 66 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ในปี 2568 จะต้องใช้หนี้ธนาคารเพิ่มขึ้นทุกเดือนจากระดับกว่า 140 ล้านบาท ขึ้นไปถึง 3,000 ล้านบาท ตามภาระการกู้ยืมที่ผ่านมา ซึ่งกองทุนฯ อาจเหลือเงินไม่เพียงพอชำระหนี้เงินต้นได้

สำหรับฐานะเงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด ณ วันที่ 13 ต.ค. 2567 พบว่าเงินกองทุนน้ำมันฯ ติดลบลดลงเหลือ -95,333 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -47,885 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -47,448 ล้านบาท

BOI เปิดยอดลงทุน รง.แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ นับแสนล้าน หนุน! สร้างงานให้คนไทย ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

(16 ต.ค. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังจากการเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board: PCB) ของบริษัท เวล เทค อิเล็คทรอนิกส์ จำกัด ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า

ตามที่ได้มีคลื่นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิต PCB ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ได้เข้ามาลงทุนครั้งใหญ่ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2566 โดยบริษัท เวล เทค อิเล็คทรอนิกส์ หนึ่งในบริษัทรายใหม่ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Welgao Electronics ผู้ผลิต PCB ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศจีน เป็นรายแรกที่เริ่มเดินเครื่องผลิตในประเทศไทยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากได้ก่อสร้างโรงงานที่มีพื้นที่กว่า 64,000 ตารางเมตร รวมทั้งติดตั้งเครื่องจักรในเวลาไม่ถึง 1 ปี

โรงงานของบริษัท เวล เทค อิเล็คทรอนิกส์ มีเงินลงทุนในเฟสแรกกว่า 2,500 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์หลักจะเป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ High-Density Interconnect (HDI) ชนิดหลายชั้น (Multilayer PCB) ซึ่งในเฟสแรกสามารถสร้างวงจรซ้อนกันได้สูงสุดถึง 30 ชั้น และบริษัทกำลังเตรียมแผนขยายโรงงานในเฟส 2 ในพื้นที่ติดกัน ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าเฟสแรกหลายเท่า และจะเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต PCB ไปถึงระดับ 50 ชั้น โดย Multilayer PCB จะใช้สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อนสูงหรือมีชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก เช่น Data Server และ Power Supply ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า (EV), Data Center และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยี AI โดยบริษัทจะจำหน่ายในประเทศร้อยละ 40 ให้กับลูกค้าในกลุ่ม EV และอิเล็กทรอนิกส์ และส่งออกร้อยละ 60 ไปยังประเทศต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าจะใช้วัตถุดิบในประเทศกว่าร้อยละ 50

สาเหตุสำคัญที่กลุ่มเวล เทค ได้ตัดสินใจขยายการลงทุนในไทย เพื่อเป็นฐานผลิตสำคัญแห่งแรก
นอกประเทศจีน เนื่องจากมองเห็นศักยภาพและความพร้อมของไทย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ และบุคลากรที่มีคุณภาพในการรองรับกระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 

โดยโรงงานผลิต PCB แห่งนี้ จะเป็น Smart Factory ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัยที่สุด ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี AI และระบบอัจฉริยะในการผลิตทุกขั้นตอน รวมทั้งการใช้หุ่นยนต์ AGV ในการเคลื่อนย้ายสินค้า โดยจะมีการจ้างงานบุคลากรไทยในเฟสแรกกว่า 500 คน ส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและช่างเทคนิค ขณะที่มีผู้บริหารชาวจีนไม่เกิน 10 คนเท่านั้น 

นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะใช้นักวิจัยไทยกว่า 40 คน มาร่วมพัฒนาเทคโนโลยีใน 5 สาขา ได้แก่ การพัฒนาวัสดุขั้นสูง ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการผลิต การจัดการสิ่งแวดล้อม การพัฒนาซอฟต์แวร์และ AI อีกทั้งจะมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทย 4 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และพระนครศรีอยุธยา ในการจัดทำหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลากรด้าน PCB ด้วย

ทั้งนี้ ในช่วงเวลา 1 ปีกว่าที่ผ่านมา (ปี 2566 - กันยายน 2567) มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม PCB จำนวน 95 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 162,000 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งการขยายการลงทุนของผู้ผลิตรายเดิม เช่น Mektec, KCE และการลงทุนใหม่โดยบริษัทผู้ผลิต PCB ระดับโลก โดยเฉพาะจากจีนและไต้หวันที่เข้ามาลงทุนจำนวนมาก เช่น Unimicron, Compeq, WUS, Gold Circuit, Chin Poon, Dynamic Electronics, Apex Circuit, Unitech เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงาน จะแล้วเสร็จพร้อมทยอยเปิดสายการผลิตตั้งแต่ปลายปี 2567 เป็นต้นไป

รวมพลัง ‘เร่งฟื้นฟู - บรรเทาทุกข์’ ผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงใหม่

1. เคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวาง และสิ่งของภายในบ้านเรือน
2. ฟื้นฟู และทำความสะอาดพื้นที่ประสบภัย 
3. มอบถุงยังชีพกว่า 560 ถุง ให้ชุมชนรอบคลังน้ำมันเชียงใหม่ 
4. สนับสนุน เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง 
5. จัดหาอุปกรณ์ เช่น ไม้ดันน้ำ น้ำยาทำความสะอาด แปรงขัด และถุงขยะ 

CLICK ON CLEAR
แม้ว่า ปัจจุบันระดับน้ำในพื้นที่ส่วนใหญ่ลดลงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงบางพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขังเล็กน้อย แต่กลุ่ม ปตท. ยังคงเดินหน้าฟื้นฟู และช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นคืนสภาพความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชนต่อไป

‘รวมไทยสร้างชาติ’ สวนกระแส ย้ำ จุดยืนไม่นิรโทษมาตรา 112 เด็ดขาด ‘เพื่อไทย’ ไร้ข้อสรุปโยนประชุมวิปรัฐบาลอีกรอบ ด้านพรรคอื่นยังสงวนท่าที

(16 ต.ค. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรประจำสัปดาห์นี้คงไม่มีเรื่องไหน วาระไหนที่จะสำคัญไปกว่าการเสนอรายงานของคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางการร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่ในเนื้อในมีการให้ความเห็นถึงการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญารวมอยู่ด้วย 

THE STATES TIMES ได้ทำการสำรวจความเห็นจากทุก ๆ พรรค และทุกฝ่ายทางการเมือง ดูเหมือนหลาย ๆ พรรคพยายามสงวนท่าที แต่หนึ่งพรรคแม้จะอยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนนั้นคือพรรครวมไทยสร้างชาติ

‘อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาแถลงหลังจากการประชุมพรรค ย้ำชัด ๆ ว่า

พรรครวมไทยสร้างชาติจึงขอสงวนสิทธิ์ที่จะมีมติงดออกเสียงในการลงมติรายงานฉบับดังกล่าว ทั้งในชั้นการรับทราบ และการเห็นชอบรายงานฉบับดังกล่าวเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ

ด้วยเหตุผลว่าเป็นการยืนยันในมติเดิมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า จะไม่เห็นชอบในรายงานฉบับดังกล่าว เนื่องจากไม่มีความสมบูรณ์ ขาดข้อสรุปที่ชัดเจน ดังที่เคยได้แจ้งไปเมื่อมีมติพรรครวมไทยสร้างชาติในวันที่ 26 กันยายน 2567 ซึ่งในครั้งนี้รายงานที่พิจารณาก็ยังมีเนื้อหาเช่นเดิม

นอกจากนี้นายอัครเดชยังมีการย้ำจุดยืนและหยิบยกเอาอุทาหรณ์ข้อเท็จจริงที่เคยเกิดมาแล้วออกมา 

จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติชัดเจนว่าจะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 โดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นความผิดที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐและละเมิดต่อสถาบันหลักของชาติ

หากจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่รวมเอาผู้กระทำความผิดมาตรา 112 ด้วยแล้วมีความเสี่ยงว่าการกระทำดังกล่าวจะละเมิดต่อกฎหมาย เช่นที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเรื่องในทำนองเดียวกันมาแล้ว 

ขณะที่อีกฟากฝั่งทางการเมืองพรรคประชาชน โดยนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สมาชิกสภาผู้แทนแบบบัญชีรายชื่อ และกรรมการบริหารพรรคออกมาแถลงว่า พรรคยังยืนยันในการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดมาตรา 112 

ท่ามกลางบรรยากาศที่ขมุกขมัว ทำให้พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลยังคงวุ่น จับต้นชนปลายไม่ถูก การประชุมพรรคที่นำโดยสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค ยังหาข้อสรุปในเรื่องรายงานนิรโทษกรรมไม่ได้ 

โดยที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติให้นำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล ที่จะจัดขึ้นในวันนี้(16 ต.ค. 67)เพื่อหาข้อสรุป 

เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการเมืองไทยในอนาคต เนื่องจากรายงานฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการตรากฎหมายนิรโทษกรรมในอนาคต ว่าจะรวมเอาผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 อยู่ในการนิรโทษกรรมหรือไม่

ผู้ที่สนใจการเมืองไทยกรุณาติดตามโดยพลัน

12 ยอดฝีมือจาก 'บางจาก แชมเปี้ยนส์ คัพ 2024' รับทุนสนับสนุนพัฒนาฝีมือจากเครือ ‘บางจาก’

(16 ต.ค. 67) นายดาว์ปกรณ์ รัตนสุวรรณ ประธานจัดการแข่งขัน 'ช้าง-เจ็นซ์ กอล์ฟ ทัวร์' และนายพงษ์ศิริ ศิริมงคล ผู้อำนวยการฝ่ายปรับปรุงและซ่อมบำรุงสถานีบริการ และนายรชต พืชจันทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการโรงกลั่น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติมอบรางวัลและร่วมแสดงความยินดีกับแชมป์กอล์ฟเยาวชน ในการแข่งขันรายการ 'บางจาก แชมเปี้ยนส์ คัพ 2024' แข่งขันระหว่างวันที่ 11-13 ต.ค.2567 ที่แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรี  
คลับ จ.นครราชสีมา 

รายการนี้เป็นอีกหนึ่งรายการที่นับคะแนนสะสมในอันดับนักกอล์ฟสมัครเล่นโลก (World Amateur Golf Ranking – WGAR) และคะแนนสะสมของ Junior Golf Scoreboard (JGS) 

สรุปผลการแข่งขัน 'บางจาก แชมเปี้ยนส์ คัพ 2024' รอบสุดท้าย  (13 ต.ค.67) มีดังนี้
รุ่น Special GENZ (ชาย) ที่ 1 ปุณยวัจน์ จงศรีอดิสรณ์ คว้าแชมป์ด้วยสกอร์รวม 3 โอเวอร์พาร์ 219 (74-73-72) 

รุ่น Special GENZ (หญิง) ที่ 1 เกณิกา บุญประเสริฐ สกอร์รวม 1 โอเวอร์พาร์ 217 (68-73-76) 

รุ่น Super GENZ (ชาย) ที่ 1 ราชศักดิ์ สุระสัจจะ นักกอล์ฟเจ้าถิ่น ฟอร์มฮอตในรอบสุดท้าย เก็บเพิ่มอีก 3 อันเดอร์ คว้าแชมป์ไปด้วยสกอร์รวม 8 อันเดอร์พาร์ 208  (70-69-69)  

รุ่น Super GENZ (หญิง) ในรุ่นนี้เป็นการเพลย์ออฟระหว่าง ภัสธนมนท์ สุทธิรักษ์พงศ์ และเขมมินทรา งามเหลา ที่เร่งเครื่องรอบเดียวเก็บไป 4 อันเดอร์ ทำให้สกอร์รวมในรอบสุดท้ายเท่ากันที่ 2 อันเดอร์พาร์ 214 หลังจบการเพลย์ออฟที่หลุม 1 ผลปรากฏว่า เขมมินทรา อาศัยความนิ่งพัตต์พาร์ลง คว้าแชมป์สนามนี้ได้สำเร็จ สกอร์รวม 2 อันเดอร์พาร์ 214 (71-75-68)  

รุ่น Junior GENZ (ชาย) ที่ 1 อิทธิ์ชพัฒน์ บัณฑิตมหากุล รอบสุดท้ายตีโหดกดเพิ่มได้อีก 5 อันเดอร์พาร์ สกอร์รวมสองวันที่ 10 อันเดอร์พาร์ 206 (71-68-67) รุ่น Junior GENZ (หญิง) ที่ 1 ณชา สถิตย์สัมพันธ์ คว้าแชมป์ในสนามสุดท้ายไปครองด้วยสกอร์รวม 5 อันเดอร์พาร์ 211 (65-72-74) 

สำหรับนักกอล์ฟที่ได้เข้าร่วมโครงการ GENZ Crew 2024 และได้รับทุนสนับสนุนเพื่อพัฒนาฝีมือจากทาง 'บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)' จำนวน 12 คน มีดังนี้ รุ่น Super GENZ (ชาย) ภูมิกิตติ์ พิชยเสาวภาคย์, ปัญญาภัทร์ ขันติยู และณฐภัทร ตรงจิตภักดี รุ่น Super GENZ (หญิง) เขมมินทรา งามเหลา, ศศิศรร์ จงศรีอดิสรณ์ และภัสธนมนท์ สุทธิรักษ์พงศ์ รุ่น Junior GENZ (ชาย) อิทธิ์ชพัฒน์ บัณฑิตมหากุล, ฐิติวัฒน์ ปิตุรงคพิทักษ์ และสุรพิชญ์ พิชยเสาวภาคย์ รุ่น Junior GENZ (หญิง) สุริฏฐ์ปรียา พฤกษานุบาล, ณชา สถิตย์สัมพันธ์ และสุธันยา โกมลเกษรักษ์...ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหว และอัพเดทกิจกรรมต่างๆ ของ 'เดอะ เจ็นซ์' ได้ที่ Official Line : @genzgolf  หรือโทร. 065 696 2229

ณัฐวุฒิ เปิดเหตุผลไม่ได้เข้าร่วมงานนวมินทราชา อาจจะเป็นเพราะการประสานงาน

(15 ต.ค. 67) นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืน ม.112 หลังจากนี้ว่า นโยบายเกือบทั้งหมด พิจารณาต่อเนื่องมาจากสมัยพรรคก้าวไกล นโยบายแต่ละอย่างต้องมาดูรายละเอียดว่าได้ผลักดันไปแล้วบ้างหรือไม่ สำหรับ ม.112 ตนย้ำมาโดยตลอดว่าเห็นปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งต้องตรงกัน แต่ก็เคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะนำมาเป็นกรอบในการเดินหน้าว่าหากจะแก้ไขปัญหา ม.112 จะเดินหน้าตามกรอบที่ศาลกำหนดและสิ่งที่พรรคจะทำมากน้อยแค่ไหน โดยตนอยากเรียกร้องเรื่องนิรโทษกรรม หากเห็นตรงกันเป็นฉันทามติของสังคม อยากให้มาช่วยกันติดตาม โดยควรจะหาข้อสรุปให้สังคมและคืนความยุติธรรมบางส่วนให้ผู้ได้รับผลกระทบจากคดี

เมื่อถามว่าเรื่องนี้อ่อนไหว อย่างวันที่ 14 ต.ค. วันรำลึกเหตุการณ์ 14 ต.ค. พรรคประชาชนไปวางพวงมาลา แต่วันที่ 13 ต.ค. วันนวมินทราธิราช พรรคประชาชนกลับไม่ไป จะทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยจากฝั่งอนุรักษ์นิยมหรือไม่ นายณัฐวุฒิ ตอบว่า ในกรณีของงานพิธีทุกอย่างที่มีการติดต่อหรือประสานงานมา เราเองก็เข้าร่วมตลอด ตนเองในวันที่ 13 ต.ค. ก็เข้าร่วมพิธีในจังหวัดอ่างทอง และเพื่อนสมาชิกก็เข้าร่วมพิธีตามจังหวัดต่างๆ แต่จากการสอบถามเบื้องต้น คาดว่าอาจจะเป็นเรื่องการประสานงานที่ทำให้เราไม่ได้ไปวางพวงมาลา แต่สำหรับวันอื่น ๆ เราก็ไปร่วมมาโดยตลอด แล้วพิธีการทุกอย่างก็เป็นไปตามระเบียบที่สภาวางไว้

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าการเข้าร่วมของ สส.พรรคประชาชน เป็นการเข้าร่วมส่วนตัวในระดับจังหวัด ไม่ใช่ส่วนกลางของพรรค นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนไม่ทราบรายละเอียด แต่ในเดือน ต.ค. จะเห็นได้ว่ามีวันสำคัญหลายวันที่ต้องแยกส่วนระหว่างประเด็นเรื่องงานพิธีการกับประเด็นเรื่องวันสำคัญของพี่น้องประชาชนที่เราก็จัดอันดับความสำคัญทุกเรื่องอย่างเสมอกัน

‘AION’ จัดกิจกรรมสร้างการรับรู้รถยนต์รุ่น ‘AION ES’ ตอกย้ำ!! รถแท็กซี่ไฟฟ้ายุคใหม่ ต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อม

(16 ต.ค 67) AION THAILAND ร่วมมือกับสมาคมประสานงานรถรับจ้างสุวรรณภูมิ จัดกิจกรรมพิเศษสำหรับคนขับแท็กซี่ ณ ลานจอดรถแท็กซี่ สนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างวันที่ 24 - 26 กันยายนที่ผ่านมา โดยกิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อโปรโมทและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ AION ES รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในบริการขนส่งสาธารณะอย่างแท็กซี่ โดยเน้นถึงประสิทธิภาพสูงและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โดยในกิจกรรมครั้งนี้ ทาง AION THAILAND ได้มอบสิ่งของอำนวยความสะดวกให้แก่คนขับแท็กซี่ที่เข้าร่วมกิจกรรม เช่น ยาดม ทิชชูเปียก ผ้าเย็น และน้ำดื่ม นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมยังได้รับโค้ดชาร์จไฟฟรีสำหรับใช้งานที่ EV Station Pluz สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของประเทศไทย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในอุตสาหกรรมขนส่งสาธารณะ โดยมี EVme ผู้ให้บริการรถยนต์ไฟฟ้า และไทยสมาย ลีสซิ่ง ผู้นำด้านธุรกิจรถแท็กซี่แบบครบวงจร เข้าร่วมงานในครั้งนี้

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น AION ES ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของคนขับรถแท็กซี่โดยเฉพาะ ทั้งในด้านการประหยัดพลังงาน การขับขี่ที่เงียบ และการลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอย่างมีนัยสำคัญ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไม่ปล่อยไอเสียที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ ทั้งยังมีระบบขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพและสามารถชาร์จไฟได้ทั้งที่บ้านและสถานีชาร์จไฟที่มีให้บริการทั่วประเทศ

ในแง่ของประสิทธิภาพ AION ES สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง 442 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในแต่ละวันของคนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นอกจากนี้ ตัวรถ AION ES ยังมีพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง มอบความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ห้องโดยสารถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการเดินทางระยะยาว ด้วยเบาะนั่งที่รองรับสรีระอย่างเหมาะสม ทำให้ขับขี่ได้อย่างสบายและลดความเหนื่อยล้า

เทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเต็มรูปแบบของ AION ES ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขับขี่อย่างมาก โดยค่าใช้จ่ายในการชาร์จพลังงานต่อกิโลเมตรอยู่ที่เพียง 60-70 สตางค์ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการเติมพลังงานแล้ว AION ES ยังมีค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปแบบดั้งเดิม เพราะไม่มีระบบเครื่องยนต์ซับซ้อนเหมือนกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ส่งผลให้มีการสึกหรอน้อยกว่า จึงไม่ต้องเสียค่าซ่อมบำรุงที่สูง

AION ES ถูกออกแบบมาให้เน้นที่ความนุ่มนวลในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นในสภาพถนนที่ขรุขระหรือต้องเผชิญกับการจราจรที่หนาแน่นของกรุงเทพฯ ระบบช่วงล่างและระบบควบคุมที่ล้ำสมัยช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น ลดความเมื่อยล้าของคนขับ อีกทั้งยังมีเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์น้อยลง ทำให้ทั้งคนขับและผู้โดยสารรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากขึ้น ด้วยการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนขับแท็กซี่ AION ES ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้โดยสารที่ได้ใช้บริการ พวกเขาชื่นชมถึงความสะดวกสบายของห้องโดยสาร ความเงียบสงบขณะเดินทาง และพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวาง สามารถรองรับกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top