Monday, 23 June 2025
TheStatesTimes

‘เผ่าภูมิ’ ขึ้นแม่แตง ให้ "ธ.SME" ซับน้ำตาน้ำท่วม "พักหนี้ 1 ปี เติมทุน 2 แสน" ไม่ใช้หลักประกัน ไม่คิดค่าธรรมเนียม

เมื่อวันที่ (14 ต.ค. 67)ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยระหว่างการนำคณะธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ อ. แม่แตง จ.เชียงใหม่ ว่า

กระทรวงการคลัง โดย SME Bank ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อบรรเทาทุกข์ ลดค่าใช้จ่าย ต่อลมหายใจให้พี่น้องประชาชน ดังนี้

1.มาตรการ "พักชําระหนี้" เงินต้นและดอกเบี้ย
ผู้ขอสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม ตามประกาศฯ มีสถานะหนี้ A หรือ M สามารถ "พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย สูงสุด 1 ปี" และตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่ออายุตั๋วสัญญา และสินเชื่อแฟคตอริ่ง ขยายเวลาชําระตั๋วสัญญาใช้เงิน ออกไปอีกสูงสุด 180 วัน

2. มาตรการ "เติมทุนฉุกเฉินฟื้นฟูกิจการ"
เติมทุนโดยให้กู้เพิ่มต่อราย 10% ของวงเงินอนุมัติสินเชื่อ สำหรับผู้ประสบภัยทางตรง บุคคลธรรมดา 30,000 - 1 แสนบาท และนิติบุคคล  30,000 - 2 แสนบาท ระยะเวลากู้สูงสุด 3 ปี พักชําระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน ไม่ใช้หลักประกัน ไม่คิดค่าธรรมเนียม

พรรคประชาธิปัตย์ร่วมรำลึก 51 ปี 14 ตุลาฯ. เชิดชู “จิตวิญญาณ 14 ตุลาฯ.” คือคบเพลิงแห่งประชาธิปไตย“

เมื่อวันที่ (14 ต.ค. 67) พรรคประชาธิปัตย์ได้ร่วมวางพวงมาลารำลึก“ 51 ปี 14 ตุลาฯ. ” ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร โดยดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้มอบหมายนายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานคณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพร้อมด้วย
นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และนายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด กรรมการบริหารพรรคเป็นผู้วางพวงมาลาในนามพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีถ้อยแถลงว่า ”14 ตุลา วันประชาธิปไตย ถือเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ นิสิต นักศึกษา และพี่น้องประชาชนได้รวมพลังกันต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการในขณะนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนและถือเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของการพัฒนาประชาธิปไตยและการมีสิทธิเสรีภาพในมิติต่างๆรวมทั้งการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม พรรคประชาธิปัตย์ขอร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญนี้ และเชื่อมั่นว่า จิตวิญญาณ 14 ตุลาฯ.จะเป็นคบเพลิงแห่งประชาธิปไตยที่นำประเทศไทยไปสู่การพัฒนาการเมืองไทยอย่างยั่งยืนตลอดไป“

มท.4 มือประสานทำงานสิบทิศ เร่งเดินหน้าจัดการโคลนถล่มบ้าน ปชช.ชาวเชียงราย มั่นใจเสร็จทันตามกรอบสิ้นเดือนนี้

เมื่อวันที่ (14 ต.ค.67) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ส่วนหน้า จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า สถานการณ์การฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมและโคลนถล่ม ในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงรายขณะนี้ สามารถกู้คืนพื้นที่บ้านเรือนประชาชนและถนนได้ 80% แล้ว ที่เหลือยังมีโคลนในท่อระบายน้ำและยังอยู่ระหว่างการดูดโคลนออกอย่างต่อเนื่อง ส่วนสถานการณ์โคลนตามบ้านเรือนประชาชน อำเภอแม่สาย มีความคืบหน้าในภาพรวม 65% ส่วนที่ชุมชนถ้ำผาจมและที่ตลาดสายลมจอย ระบบน้ำและไฟฟ้าบางส่วนอยู่ระหว่างการเคลียร์พื้นที่ถนนประมาณ 20% จะสามารถใช้ได้ทั้งหมด จึงต้องเร่งจัดการดูดโคลนออกจากพื้นที่ต่อ  ซึ่งได้ประสานความร่วมมือหลายภาคส่วน เพื่อดึงทรัพยากรของแต่ละหน่วยงานมาร่วมกันฟื้นฟูพื้นที่อย่างเต็มศักยภาพและรวดเร็ว ดังนี้

1.ประสานความร่วมมือไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ขอความร่วมมือรถดูดโคลนเพิ่มอีก 3 คัน จากเดิมที่กระทรวงเกษตรฯ ส่งรถดูดโคลนมาประจำการในพื้นที่ 2 คัน โดยทำงานร่วมกับรถดูดโคลนจากหน่วยงานราชการอื่นๆ และมูลนิธิต่างๆ อย่างเต็มที่

2.ขอความร่วมมือ กทม.โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ขอให้รถดูดโคลน 4 คัน และรถน้ำ 4 คัน ที่ทาง กทม. ส่งมาช่วยเหลือก่อนหน้านี้  จากกำหนดการเดิม จะกลับในวันที่ 12 ตุลาคม  ให้อยู่ในพื้นที่ต่อ พร้อมจัดหาคนขับรถเพิ่มเติม

3. ประสาน กระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นำอุปกรณ์การติดตั้งระบบน้ำในบ้านเรือน ที่มีผู้ประกอบการมาบริจาคก่อนหน้านี้ มาสร้างบ้านน็อกดาวน์ให้ประชาชนที่ถูกกระแสน้ำท่วมบ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง  โดยกรมราชทัณฑ์ เป็นเจ้าภาพในการก่อสร้าง โดยจะตรวจความเรียบร้อยของบ้านน็อกดาวน์ 15 ตุลาคมนี้

4.กระทรวงมหาดไทยได้สับเปลี่ยนอาสาสมัคร (อส.) จำนวน 1,500 คนจาก 37 จังหวัดทั่วประเทศ ให้ทุกคนได้กลับบ้านและเปลี่ยนผลัดเวรหมุนเวียนกันไป เนื่องจาก อส.บางจังหวัดต้องดูแลบ้านของตนเอง และที่ผ่านมาทำงานทุกวัน

นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่า  จากการติดตามสถานการณ์หน้างานและการหารือกับส่วนราชการ ทุกฝ่ายมั่นใจว่า จะสามารถล้างโคลนเพื่อให้พี่น้องประชาชนกลับมาอยู่บ้านได้ตามปกติ ภายในวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ตามแผน Quick win ที่วางไว้ (ต้องแล้วเสร็จภายใน 21 วัน)  และบางจุดจะเป็นไปตามกรอบที่จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ซึ่งตนจะลงพื้นที่ในช่วงสัปดาห์หน้าเพื่อติดตามความคืบหน้าต่อไป

“ในฐานะประธาน ศปช.ส่วนหน้า อยากให้การจัดการโคลนสำเร็จ เป็นไปตามกรอบ ยิ่งเสร็จเร็วยิ่งดี พี่น้องประชาชนชาวเชียงรายจะได้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ  ขอขอบคุณทุกกระทรวง กรม จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่ได้เสียสละ ทุ่มเท มุ่งมั่น  พร้อมใจกันบูรณาการการทำงาน  เพราะเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ บรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชน ขอขอบคุณความร่วมมือทุกท่านจากใจจริงค่ะ“ นางสาวธีรรัตน์ กล่าว

พล.ต.ท.ประจวบฯ ชื่นชมตำรวจ สภ.ท่าบ่อ สังเกตเห็นรถตู้รับ-ส่งนักเรียนมีควันขึ้นจากใต้ท้องรถ รีบพาเด็กๆ ลงจากรถ ป้องกันการเกิดเหตุอันตรายซ้ำ

เมื่อวันที่ (14 ต.ค. 67 ) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชื่นชมตำรวจ สภ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ตาไวสังเกตเห็นรถตู้รับส่งนักเรียนมีควันออกมาจากใต้ท้องรถตู้ที่จอดเสียอยู่ จึงรีบแจ้งคนขับให้ทราบ และเร่งนำนักเรียนออกจากรถตู้ทันที ก่อนที่จะมีรถยนต์พลเมืองดีช่วยนำนักเรียนส่งโรงเรียนปลอดภัยทุกคน นับว่าเป็นการถอดบทเรียนจากการสูญเสียที่เคยเกิดขึ้น ใช้ไหวพริบนำเด็กลงอย่างรวดเร็ว การป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอ

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 07.40 น. ขณะ ด.ต.สมคิด กองลุน ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ท่าบ่อ (ปฏิบัติงานจราจร) และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ ทาะเวท ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ท่าบ่อ (ปฏิบัติงานจราจร) กำลังปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจรอยู่บริเวณสี่แยกไฟแดงประตูเมืองท่าบ่อ เขตเทศบาลเมืองท่าบ่อ จ.หนองคาย ด.ต.สมคิดฯ ได้สังเกตเห็นรถตู้รับส่งนักเรียนสีขาวจอดติดไฟแดง แต่เมื่อไฟเขียวแล้วกลับไม่เคลื่อนที่ จึงเดินไปตรวจสอบ พบว่ารถตู้ดังกล่าวเสียและมีควันพุ่งออกมาจากใต้รถ โดยในรถมีเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาของโรงเรียนเทศบาลเมืองท่าบ่อ อยู่จำนวน 6 คน ด.ต.สมคิดฯ รีบแจ้งคนขับถึงควันที่พุ่งออกมา พร้อมเปิดประตูนำเด็กนักเรียนทั้งหมดลงจากรถทันทีเพื่อความปลอดภัย หลังจากนั้นได้มีพลเมืองดีนำเด็กนักเรียนทั้งหมดส่งโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย ส่วนรถตู้ตรวจสอบพบว่าหม้อน้ำแห้งทำให้เกิดความร้อนและมีควันพวยพุ่งออกมา ด.ต.สมคิดฯ และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ฯ จึงได้ช่วยเข็นรถชิดข้างทางก่อนประสานช่างมาซ่อมต่อไป

เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการชื่นชมมากมายจากชาวบ้านที่พบเห็นเหตุการณ์ และจากผู้คนในสื่อสังคมออนไลน์ ต่างชื่นชมในไหวพริบของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ให้เด็กลงจากรถทันทีที่เห็นควัน เพราะหวั่นจะเกิดอุบัติเหตุเฉกเช่นเดียวกับรถบัสทัศนศึกษา รวมถึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยดูแลบุตรหลานของประชาชนให้ปลอดภัยอยู่เสมอ

พล.ต.ท.ประจวบ ฯ กล่าวว่า จากกรณีเหตุการณ์ดังกล่าว ต้องขอขอบคุณและชื่นชม ด.ต.สมคิดฯ และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ ที่มีสติ มีไหวพริบ แก้ไขปัญหาและป้องกันเหตุได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนพลเมืองที่อาสานำนักเรียนไปส่งโรงเรียน ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็วของ ด.ต.สมคิดฯ และ ส.ต.ต.รัชชานนท์ ในเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง มีจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับตำรวจทั่วประเทศ

ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แนะนำให้ผู้ขับขี่ตรวจเช็คยานพาหนะของตนเสมอ โดยสาเหตุหลักของการเกิดรถไฟไหม้มักมาจากระบบเชื้อเพลิงรั่ว ระบบไฟฟ้าลัดวงจร เครื่องยนต์ร้อนเกินไป หรือสิ่งของในรถเกิดลุกไหม้ การป้องกันดีกว่าการแก้ไขเสมอ ในกรณีที่มีควันออกมา ให้ดับเครื่องยนต์เพื่อลดโอกาสเพลิงไหม้ แต่หากเกิดเหตสุดวิสัย รถเกิดไฟไหม้ ให้ทิ้งสัมภาระ และออกจากรถทันที โดยอยู่ห่างจากรถอย่างน้อย 30 เมตร และโทรเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความช่วยเหลือ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นหรือประสบเหตุ สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ทางช่องทาง

- โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ. ทั่วประเทศ
- โทร. 1197 สายด่วนตำรวจจราจร ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
- โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ

ส่อง! ความเห็น ‘สภาพัฒน์’ ต่อโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าฯ แนะ เร่งปรับปรุงกฎ รับยุคประชาชนผลิตไฟฟ้าได้เองที่บ้าน

เมื่อวานนี้ (13 ต.ค. 67) มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ มีความเห็นต่อ โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร วงเงินลงทุน 38,500 ล้านบาท

เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (โครงการ TIEC) ระยะที่ 3.1 (ภายใต้โครงการ TIEC ระยะที่ 3) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประกอบความเห็นต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 8 ต.ค. 2567 ซึ่งได้เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงาน เสนอ

ทั้งนี้ เดิมสภาพัฒน์ ได้เห็นชอบต่อโครงการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า กรอบวงเงินลงทุน 44,040 ล้านบาท ตามมติครม. 14 ก.ค. 2558

เพื่อปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร ในการรองรับการรับซื้อไฟฟ้า จากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกรายพื้นที่ตามแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1

และการรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศตามมติ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อ 5 พ.ค. 2565 และ 8 มี.ค. 2566 รวมทั้งเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้สามารถส่งพลังงานไฟฟ้าไปยังภาคกลาง และเขตนครหลวง ซึ่งเป็นศูนย์กลางความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในปัจจุบันได้อย่างมีเสถียรภาพ

สภาพัฒน์ เห็นว่า สําหรับการดําเนินโครงการในส่วนที่เหลือภายใต้โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ระยะที่ 3

ได้แก่ การก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้า 500 kV อุบลราชธานี 3 - นครราชสีมา 3 วงจรคู่ ระยะทาง ประมาณ 355 กิโลเมตร ซึ่งมีกรอบวงเงินคงเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีประมาณ 16,850 ล้านบาท เห็นควรให้ กฟผ. พิจารณาดําเนินการตามหลักการตามมติครม. 14 ก.ค. 2558

โดยพิจารณาปรับแผนการลงทุนให้เป็นปัจจุบันให้สอดคล้องกับปริมาณ การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร

และการรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ เพื่อนําเสนอคณะกรรมการ กฟภ. (บอร์ด กฟผ.) พิจารณาอนุมัติ และนำเสนอกระทรวงพลังงานเพื่อพิจารณา ให้ความเห็นชอบ พร้อมทั้งรายงานให้ สภาพัฒน์ และคณะรัฐมนตรีทราบ

ทั้งนี้ กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลง ในสาระสําคัญของโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า

อาทิ กรอบวงเงินลงทุนเพิ่มขึ้น เห็นควรให้ กฟผ.เสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน

ทั้งนี้ ปัจจุบันภาครัฐมีนโยบายและเปิดรับการซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือกและการรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างจัดทําแผนพลังงานชาติ

ซึ่งรวมถึงแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan: PDP) และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ (Alternative Energy Development Plan: AEDP) ฉบับใหม่

ที่ให้ความสําคัญกับการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของประเทศตามข้อตกลงของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 28 (COP 28)

ดังนั้น เมื่อแผนดังกล่าวมีความชัดเจนแล้ว เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและ กฟผ. เร่งศึกษาแนวทางการลงทุนพัฒนาศักยภาพของระบบส่งไฟฟ้าของประเทศในระยะต่อไป

เพื่อให้สามารถลงทุนพัฒนาระบบส่งไฟฟ้า ให้มีศักยภาพรองรับปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก และการรับซื้อไฟฟ้า จากต่างประเทศที่จะเข้าสู่ระบบไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สภาพัฒน์ ยังเสนอให้คณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดําเนินการจัดทําข้อกําหนดการเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access Code: TPA Code) และปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ

รวมถึงพิจารณากําหนดอัตราค่าบริการใช้ หรือเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Wheeling Charge) ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง โดยคํานึงถึงผลตอบแทน ที่เหมาะสมของการลงทุนในการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นภาระแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าส่วนรวม

เพื่อเป็นหลักเกณฑ์และแนวทางในการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้ากับโครงข่ายไฟฟ้าของ 3 การไฟฟ้า ( กฟผ. กฟน. และ กฟภ.) ซึ่งจะมีส่วนสําคัญในการรองรับ ทิศทางตลาดพลังงานที่เอกชนและประชาชนหันมาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกใช้เอง

รวมถึงซื้อ/ขายไฟฟ้าโดยตรงกับผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจน ดึงดูดให้บริษัทอุตสาหกรรมต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้มากขึ้นต่อไป

ปตท.สผ. คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2567 หนุน เดินหน้าสู่องค์กรคารบอนต่ำในปี 2593

(15 ต.ค. 67) บริษัท ปตท.‍สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. โดยนายดิษฐพล สุทธิโอสถ  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารเทคโนโลยี พร้อมด้วยผู้บริหาร ปตท.สผ. รับ‍มอบรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2567 ด้านองค์กรนวัตกรรม ประเภทองค์กรวิสาหกิจขนาดใหญ่ จาก ดร.‍กริชผกา บุญเฟื่อง (ขวาสุด) ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ

ปตท.สผ. ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการนวัตกรรมภายในองค์กร โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัยมาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมทั้งช่วยสนับสนุนเป้าหมายของบริษัทในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ โดยมีการบริหารจัดการทั้งด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน การบริหารทรัพยากรบุคคล และการบริหารจัดการองค์ความรู้

‘อ.สุวินัย’ ดีดลูกคิด เปิดหลักสูตร ‘คณิตศาสตร์แชร์ลูกโซ่’ อึ้ง The iCon สมาชิก 4 แสน ยอดลงทุนเกือบหมื่นล้าน

(15 ต.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักเขียนชื่อดัง ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณี The iCon ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า 

‘คณิตศาสตร์แชร์ลูกโซ่หมื่นล้าน : แชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีสมาชิกเข้าร่วมเกือบสี่แสนคน’

ในช่วงหนึ่งของรายการ THE STANDARD NOW 

บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยข้อมูลยอดสมาชิกในระดับต่าง ๆ ของการดำเนินธุรกิจ ล่าสุด จำนวน 368,257 ราย แบ่งเป็น

ร้านค้าปลีก distributor : 285,833 ราย (ลงทุน 2,500) ยอดลงทุนทั้งสิ้น = 714,582,500 บาท
หัวหน้าทีม Supervisor  : 43,976 ราย (ลงทุน 25,000) ยอดลงทุนทั้งสิ้น = 1,099,400,400 บาท
ตัวแทนจำหน่าย Dealer : 31,972 ราย (ลงทุน 250,000) ยอดลงทุนทั้งสิ้น = 7,993,000,000 บาท

ยอดรวมทั้งหมดของการลงทุนในแชร์ลูกโซ่ The Icon  คือ 9,806,982,900 บาท คือเกือบหมื่นล้านบาท ถือเป็นแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
หากรวมตัวแทนจำหน่าย (เล็ก) Mini Dealer : 6,476 ราย × 25,000 (ลงทุน) = 161,900,000 บาท ยอดเงินทั้งหมดจะเป็น 9,968,882,900 บาทคือเฉียดหมื่นล้านบาท

หากหักค่าจัดการ-ค่าบริหารแชร์ลูกโซ่ไป 30%  ก็จะเหลือเงินประมาณ 7,000,000,000 (เจ็ดพันล้านบาท) ที่กระจุกอยู่ใน "กลุ่มบอส" กับเครือข่ายแม่ทีมทั้งหมด ที่มีจำนวน 0.15%  (ตัวเลขจำนวนคนระดับยอดพีระมิดของแชร์ลูกโซ่) ของ จำนวนคนที่เข้าร่วมแชร์ลูกโซ่ทั้งหมด 368,257 ราย ก็จะมีคนที่กอบโกยเงินทองจากแชร์ลูกโซ่นี้อยู่ราว ๆ 552 คน

แต่เงินเจ็ดพันบาทที่ดูดมานี้ หาได้กระจายสู่คนจำนวน 552 คน บนยอดพีระมิดอย่างเท่าเทียมกันไม่
ดูทรงแล้วคิดว่า เงินห้าพันล้านบาทจากยอดเจ็ดพันล้านบาทน่าจะตกอยู่ใน "กลุ่มบอส" ที่มีจำนวนไม่น่าเกิน 20 คนเท่านั้น 

โดยที่ "หัวหน้าบอส" คนเดียวน่าจะฮุบไปอย่างน้อยสองพันล้านบาทจากยอดห้าพันล้านบาท
นี่คือตัวเลขคร่าว ๆ ที่ ปปง.กับดีเอสไอ ต้องดำเนินคดีและยึดทรัพย์คืนกลับมาให้ได้
สุวินัย ภรณวลัย

กฟผ. ผนึกกำลัง GISTDA เสริมศักยภาพนวัตกรรม-AI ใช้ข้อมูลสร้างความมั่นคงระบบพลังงานและไฟฟ้าไทย

เมื่อวันที่ (11 ต.ค. 67) ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาสร้างนวัตกรรมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในภารกิจของ กฟผ. รวมถึงความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิชาการ การใช้นวัตกรรม และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระหว่างสองหน่วยงาน ณ กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า GISTDA เป็นหน่วยงานที่พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ โดยหนึ่งในภารกิจเป็นการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม Thailand Earth Observation Satellite 2 หรือ THEOS-2 และข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมอื่น ๆ ทั้งทางด้านการเกษตร ภัยพิบัติ จุดความร้อน (Hot Spot) ข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยา และอุทกศาสตร์จากสถานีเรดาร์ชายฝั่งและดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา สำหรับจัดทำฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ รวมถึงการส่งเสริมนวัตกรรมที่จะช่วยสนับสนุนภารกิจของ กฟผ. ในทุกด้าน เพื่อให้ กฟผ. มีข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ พร้อมสนับสนุนการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับงานด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศอีกด้วย

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวเพิ่มเติมว่า GISTDA เป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพในด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ โดยข้อมูลจากดาวเทียม และข้อมูลภูมิสารสนเทศ ประกอบกับความร่วมมือในการสร้างนวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของ กฟผ. ได้เป็นอย่างดี เช่น 

การประเมินการประมาณการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ทั้งประเทศได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ ยังใช้ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบการบุกรุกในเขตแนวสายส่งไฟฟ้า และพื้นที่ของ กฟผ. รวมถึงการประเมินศักยภาพพลังงานประเภทต่าง ๆ และการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพผลงาน รวมถึงเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาศักยภาพบุคลากร กฟผ. อีกด้วย

ย้อนเอกสารปี 45 พบ ‘แสงเดือน ชัยเลิศ’ นำทีมสารคดีเซ็ตฉากทารุณกรรมช้างไทย

(15 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีวิพากษ์วิจารณ์เรื่องปางช้างแม่แตง ระหว่างปางช้าง Elephant Nature Park (ENP) ของนาง แสงเดือน ชัยเลิศ กับบรรดาปางช้างต่าง ๆ ซึ่งบานปลายไปถึงการที่ กัญจนา ศิลปอาชา รวมถึงบรรดาสัตวแพทย์และทีมงานดูแลช้าง ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นางแสงเดือน และปางช้าง ENP 

ล่าสุดโซเชียลมีเดียได้มีการนำเอกสารปี 2546 มาเปิดเผย โดยเอกสารนั้นระบุถึงกรณีที่องค์กรคุ้มครองสัตว์ People for the Ethical Treatment of Animal (PETA) เข้าร้องเรียนต่อวุฒิสภาของไทย กรณีมีการทารุณลูกช้าง โดยได้แนบภาพวีดิทัศน์ แสดงให้เห็นถึงการทารุณกรรมช้าง โดยทางวุฒิสภาได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 25 พ.ย.2545 ถึงตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอให้สอบสวนข้อเท็จจริง

ซึ่งตำรวจภูธรเชียงใหม่ ส่งหนังสือตอบกลับที่ ชม.0020.3/1096 ลงวันที่ 6 ก.พ. 2546 เรื่อง รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการทารุณลูกช้างตามข้อร้องเรียนขององค์กร People for the Ethical Treatment of Animal (PETA) ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

“ตามอ้างถึงหนังสือของวุฒิสภา ด่วนที่สุด ที่ 5470/2545 ลง 25 พฤศจิกายน 2545 เรื่อง ขอให้ดำเนิน การสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทารุณลูกช้าง ตามข้อร้องเรียนขององค์กร People for the Ethical Treatment of Animal (PETA) ความละเอียดแจ้งอยู่แล้ว นั้น

ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และได้สั่งกำชับเจ้า หน้าที่ตำรวจ ที่เกี่ยวข้องติดตามกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมพานักท่องเที่ยวออกไปถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับสัตว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อน และขอรายงานข้อเท็จจริง ตามประเด็นที่สั่งการ ดังต่อไปนี้

1. การกระทำทารุณข้างตามที่ปรากฏในภาพวีดิทัศน์ เป็นการแต่งเติมเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการ กระทำที่โหดร้ายทารุณหรือไม่ ขอเรียนว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการร้องขอจากทีมงาน ของ นางแสงเดือน ชัยเลิศ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ จำนวน 2 คนได้มาถ่ายทำวิดีโอเกี่ยวกับช้างโดยทีมงานฯ ได้ขอให้ นายแซ่แฮ คีรี ซึ่งเป็นผู้ทำพิธีผ่าจ้านลูกช้างให้ตีหัวช้าง แล้วทีมงานใช้น้ำยาสีม่วงทาที่หลัง และหัวช้างทำให้ดู คล้ายมีเลือดไหลแล้วถ่ายภาพเอาไว

ซึ่งในการทำพิธีผ่าจ้านนั้นมิได้มีการกระทำรุนแรงหรือทำร้ายช้างแต่อย่างใด เนื่องจากคนเลี้ยงช้างทุกคนมีความรักช้างเหมือนกับเป็นลูกหลานคนหนึ่ง การทำพิธีฯ จะเป็นการทำเพื่อฝึกสอนช้าง และมีการใช้ไม้ดีเบา ๆ พอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ถึงกับทำให้เกิดบาดแผลหรือทำให้เกิดการบาดเจ็บแต่อย่างใด 

จากการที่ได้สอบปากคำผู้ให้ถ้อยคำแล้ว แจ้งว่าภาพวีดิทัศน์เป็นภาพที่แสดงเกินความจริง และมิใช่เป็นพิธีกรรมที่ถูกต้อง ซึ่งเชื่อว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงอันไม่อาจคาดเดาได้ อย่างเช่น อาจจะต้องการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวของประเทศไทย หรือเพื่อดึงเงินเข้ามูลนิธิ

2. ลูกช้างที่ปรากฏในภาพวีดิทัศน์ปัจจุบันมีการเลี้ยงดูอยู่ที่ บ้านห้วยบง ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ในสภาพที่ดี มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ส่วนข้อบ่งชี้นั้นมี นายชนัตร เลาหะวัฒนะ ผู้อำนวย การองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เป็นผู้เข้าไปตรวจสอบลูกช้างในกรณีดังกล่าว

3. กระบวนการนำลูกช้างไปกระทำทารุณตามที่ปรากฏ เป็นเพียงกลุ่มบุคคลที่พานักท่องเที่ยวไป ถ่ายทำวีดิโอเท่านั้น ส่วนวัตถุประสงค์ในการกระทำยังไม่ทราบแน่ชัด ว่ามีวัตถุประสงค์ทำขึ้นเพื่อประโยชน์ใด 

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ พร้อมนี้ได้แนบเอกสารการสอบสวนที่เกี่ยวข้อง มาด้วยแล้ว จำนวน 13 แผ่น

ขอแสดงความนับถือ
พลตำรวจตรี เกษม รัตนสุนทร 
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่”

‘นักต้มตุ๋น’ ยุคใหม่ส่วนใหญ่ล้วนผ่าน ‘การทำศัลยกรรม’ หวังหลอกเหยื่อผ่านรูปลักษณ์ แต่ซุกไว้ด้วยจิตใจไม่รู้จักพอ!!

(15 ต.ค. 67) ทำไม นักหลอกลวง นักต้มตุ๋น นักอวดรวย ที่เป็นคนไทย แทบจะ 100% มักเป็นคนที่เสพติดการทำศัลยกรรมใบหน้า?

บทความนี้ไม่ได้จะบอกว่าทุกคนที่ทำศัลยกรรมใบหน้าเป็นคนไม่ดี แต่ตามประสบการณ์ที่พบเห็นมาหลายคดีความที่เกี่ยวกับการหลอกลวง, การต้มตุ๋น, แชร์ลูกโซ่, Forex-3D, แม่ค้าออนไลน์ขายทอง, ขายครีม, ขายกระเป๋าแบรนด์เนม หรือแม้แต่การหลอกลวงให้นำเงินมาลงทุน ไม่ว่า “นักฉ้อโกงระดับหัวหน้า” จะเป็นชาย หรือหญิง ก็มักจะทำศัลยกรรมใบหน้ามาอย่างโชกโชนทุกคน

เป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่โจรมักจะ “เกลียดใบหน้าเดิมของตัวเอง” ตรงกัน หรือเพราะการทำศัลยกรรมใบหน้าสามารถบ่งชี้ได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูดีในสังคม เพื่อที่จะมีมากกว่าคนอื่น จนสามารถไปยืนในจุดที่มีผู้คนยอมรับ โดยไม่สนว่าจะได้รับความร่ำรวยมาด้วยวิธีการใด?! 

คนที่เกลียดความเป็นจริงของตัวเอง โดยเริ่มจากใบหน้า สรีระร่างกาย ฐานะความเป็นอยู่ หรือสังคมแวดล้อม ก็ย่อมจะหาทางหนีให้ห่าง และพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างชีวิตใหม่ เพื่อมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คน

ไม่ผิด ที่คนเราจะมีความทะเยอทะยานมุ่งหวังให้ชีวิตของตนเองสุขสบาย แต่ควรต้องอยู่ในกรอบของความดีงาม ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร และต้องไม่ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย โดยเลือกเส้นทางอาชญากร หรือเป็น “นักหลอกต้มสังคม” ที่คิดแสวงหาเงินทอง ความมั่งคั่ง ด้วยวิธีที่ไม่บริสุทธิ์ใจ

แต่คนที่เลือกทางลัด นิยมทางเร็ว เกลียดทางเก่า และเมินโลกสังคมที่ดูไม่โสภาของตัวเอง มักจะไม่กลัวความเจ็บปวดใด ๆ ในชีวิต เพราะชินชาที่ต้องพบเจออยู่ทุกวันอยู่แล้ว มีดหมอ เข็มแหลมคม จะผ่า หรือฉีด ร้อย ถัก เย็บ ให้ต้องเจ็บสักกี่ครั้งก็คือเรื่องธรรมดา เพราะโลกใบใหม่หลังลืมตาตื่นดูจากบนเตียงศัลยกรรมนั้นคือสิ่งที่จูงใจ และรอคอยมากกว่า 

การกล้าหาญที่จะหนีจาก “ใบหน้าเดิม” ที่เห็นตัวเองในกระจกมาทั้งชีวิต อาจถือได้ว่าเป็นความมุ่งมั่นเกินคนปกติในแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่บทสรุปว่าคนๆ นั้น ต้องกล้าทำในสิ่งที่ชั่วช้าสามานย์ต่อมา ส่วนประเด็นที่ว่าแล้วทำไมทุกครั้งที่มีข่าว “โจรหลอกต้มผู้คน” ตามสื่อช่องต่าง ๆ โจรมักจะ “ศัลยกรรมใบหน้า” แทบทุกรายนั้น ก็เพื่อจะบอกว่าแม้ทุกคนที่ศัลยกรรมหน้าอาจจะไม่ใช่โจร แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องระมัดระวัง 

ศัลยกรรมคือเครื่องหมายของความทะเยอทะยาน เจอคนดี ชีวิตก็ดี เจอคนผิด ชีวิตอาจพังทลาย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top