Monday, 23 June 2025
TheStatesTimes

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในนวมินทรมหาราช เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

เมื่อวานนี้ (11 ต.ค.67)  เวลา 07.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน และพิธีวางพวงมาลา เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ  เนื่องในโอกาสครบรอบวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9  โดยมี ผู้บังคับบัญชาระดับ ตร. และสมาคมแม่บ้านตำรวจ เข้าร่วมพิธีดังกล่าว ณ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ วันที่ 13 ตุลาคม 2567 เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ตามที่รัฐบาลได้ขอพระราชทานพระมหากรุณา และคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 ให้กำหนดชื่อวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี ว่า "วันนวมินทรมหาราช" ซึ่งแปลว่า วันที่ระลึกถึงพระมหาราชรัชกาลที่ 9 ผู้ยิ่งใหญ่ 

เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัด ร่วมกันจัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศล ทั่วประเทศ

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เดินหน้าดึงนักลงทุน ขอบคุณ ‘DAMAC’ และ ‘PROEN Corp’ วางแผนลงทุน 3.2 หมื่นล้านในไทย ‘EDGNEX Data Centers’ เล็งขยายกำลังการผลิตศูนย์ข้อมูล (Data Center)

เมื่อวานนี้ (11 ต.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ประธานในการแถลงข่าวประกาศการร่วมลงทุนครั้งสำคัญของ EDGNEX Data Centers โดย DAMAC ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลก ซึ่งจะร่วมทุนกับ บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำในด้านเทคโนโลยีของประเทศไทย โดยเป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่ของทั้งสองบริษัทในประเทศไทยที่สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการสนับสนุนและพัฒนาด้านดิจิทัล ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) โดย EDGNEX จะถือหุ้น 70% ในการร่วมทุนและเป็นหัวเรือใหญ่ รับผิดชอบงานบริการด้านดาต้า เซอร์วิส (Data Services) 

นายประเสริฐ กล่าวว่า  รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญมาเป็นประธานในโอกาสการประกาศความร่วมมือระหว่างของทั้งสองบริษัท และการได้มาร่วมงานในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้พบปะกับบุคคลสำคัญในแวดวงเทคโนโลยีและดิจิทัล เนื่องจากปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และรัฐบาลก็ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างมาก เราได้วางนโยบายเพื่อส่งเสริมการเติบโตของภาคดิจิทัลในทุกด้าน ตั้งแต่การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึง การพัฒนาทรัพยากรบุคคลและการส่งเสริมธุรกิจดิจิทัล 

“การลงทุนครั้งนี้จะเสริมสร้างขีดความสามารถในการประมวลผลข้อมูลของประเทศไทย รองรับการเติบโตของธุรกิจดิจิทัล รวมถึงดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามา นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับคนไทยในแง่ของงานและธุรกิจ ผมขอแสดงความยินดีและขอขอบคุณ EDGNEX ที่ได้ให้ความไว้วางใจและเลือกประเทศไทยเป็นฐานการลงทุน ผมเชื่อมั่นว่าการร่วมลงทุนในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาภาคดิจิทัลของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกล่าง 

ด้าน Mr.Hussain Sajwani  ได้กล่าวถึงการร่วมทุนครั้งนี้ว่า รู้สึกตื่นเต้นที่จะขยายการลงทุนของเรา มายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโดยเฉพาะการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพอย่างมาก ในการเติบโตด้านนวัตกรรม ดิจิทัล และเทคโนโลยีอัจฉริยะ เรามุ่งมั่นสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล ที่กำลังเติบโตในประเทศไทย และการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับธุรกิจยุคใหม่ ที่เน้นการขับเคลื่อนด้วย AI ในการร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ในประเทศไทยครั้งนี้ เราวางแผนในการขยายกำลังการผลิตของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ให้ถึงระดับ 100 เมกะวัตต์  

ขณะที่ นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เรารู้สึกยินดีมากที่ได้เป็นพันธมิตรกับ EDGNEX โดย DAMAC ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) โดยมีฐานการดำเนินงานที่มั่นคงทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การร่วมทุนกันครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความสำคัญของการขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเรามุ่งหวังที่จะนำความเป็นเลิศและนวัตกรรมมาสู่ตลาดได้

สำหรับการร่วมทุนดังกล่าวจะรวมถึงโครงการศูนย์ข้อมูล  (Data Center) ที่ล้ำสมัยซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ โดยระยะแรกจะมีกำลังการผลิตที่ 5 เมกะวัตต์ กำหนดเปิดดำเนินการได้ในต้นปี 2568 ศูนย์ข้อมูล (Data Center) แห่งนี้จะเป็นศูนย์ข้อมูลที่เป็นกลางทางด้านเครือข่าย (Carrier-Neutral Facility) พร้อมด้วยการรองรับ มาตรฐานการใช้งานในระดับ Tier III ซึ่งมีความน่าเชื่อถือและ รองรับการให้บริการลูกค้าในระดับโลก  โดยจะเริ่มดำเนินการภายในปีนี้

โดย EDGNEX Data Centers by DAMAC เป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมี DAMAC Group เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด EDGNEX กำลังมอบรากฐานสำหรับนวัตกรรม ท้องถิ่นทั่วโลก และพลิกโฉมตลาดศูนย์ข้อมูลด้วยความเร็วและความคล่องตัวรูปแบบใหม่ ให้บริการสร้าง ซื้อ หรือเป็นพันธมิตรในเชิงรุกเพื่อตอบสนองความต้องการระลอกใหม่ด้านศูนย์บริการข้อมูล (ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.edgnex.com/ ) EDGNEX Data Centers โดย DAMAC เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลก ได้ประกาศการลงทุนครั้งสำคัญ โดยครั้งที่สองนี้ ได้สนใจลงทุนกับประเทศไทย ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่ง EDGNEX วางแผนที่จะลงทุนกว่า 32,000 ล้านบาท (1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในโครงการพัฒนาศูนย์ข้อมูล (Data Center) หลายโครงการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทางด้านเทคโนโลยี AI ขั้นสูง และความสามารถในการประมวลผลข้อมูล EDGNEX ในเครือ DAMAC Group ยังเป็นผู้นำ ระดับโลก ในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ Data Centers อื่นๆ อีกด้วย ในส่วนของ PROEN Corp  ผู้ให้บริการศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีเครือข่ายเชื่อมโยง แบนด์วิดท์ภายในประเทศ (Domestic Bandwidth) มากที่สุดในประเทศไทย การันตีความเสถียรและการบริการ ด้วยลูกค้าชั้นนำในกลุ่ม Streaming Content, Broadcast, Video Online และ Game Online เลือกใช้บริการ (ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.proen.co.th/th )

การแถลงข่าวครั้งนี้เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งสำคัญ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ EDGNEX และ PROEN Corp เป็นตัวแทนในการร่วมทุนครั้งยิ่งใหญ่ คาดว่าตลาดศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขนาดตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 14.27 พันเมกะวัตต์ในปี 2567 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 23.2 พันเมกะวัตต์ในปี 2572 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 10.21%

ทั้งนี้ DAMAC Group ได้ร่วมทุนกับ PROEN ผ่านบริษัท ซีซอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน(JV) ระหว่างบริษัทแมกม่า โฮลดิ้ง คอมพะนี ลิมิเต็ด และ บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน)  ทั้งนี้ บริษัท แมกม่าฯ ถือหุ้นใหญ่โดยกลุ่มผู้ก่อตั้ง DAMAC Group ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก

'ยุทธการระเบิดสะพานโจร' ระดมตรวจค้นจับกุมตู้ซิม ที่ลงทะเบียนให้กับคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั่วประเทศ

ตามนโยบายของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งทาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) ได้เร่งระดมกวาดล้างกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. ใช้ยุทธการ 'ระเบิดสะพานโจร' ในการตัดเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างคนร้ายกับประชาชน ได้แก่ สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต ซิมผี บัญชีม้า SMS และ Social Media Platform

ในห้วงวันที่ 1-10 ตุลาคม 2567 ทาง ศปอส.ตร. ได้ระดมกำลังตำรวจทั่วประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนข้อมูลจาก กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่าย เข้าตรวจค้นตู้ซิม ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศที่จำหน่ายและลงทะเบียนซิมให้คนร้าย 647 ร้านค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน ออกหมายจับ และดำเนินคดีกับผู้ลงทะเบียนให้กับคนร้ายโดนผลการตรวจค้น สามารถจับกุมดำเนินคดีกับร้านค้าในความผิดซึ่งหน้ากว่า 20 ร้านค้า พร้อมตรวจยึดของกลาง อาทิ ซิมการ์ดไทย 101,068 ซิม , อุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 113 เครื่อง , โทรศัพท์มือถือ 575 เครื่อง ,คอมพิวเตอร์ 23 เครื่อง และเอกสารสำเนาบัตรประชาชน / สำเนาหนังสือเดินทาง-ใบอนุญาตทำงานของบุคคลต่างด้าว สำหรับใช้ลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์อีกหลายรายการ 

โดยเป็นพยานหลักฐานสำคัญในการใช้ออกหมายจับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเฉียบขาดทุกราย หากเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 9 10 และ 11 แห่ง พ.ร.ก.มาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มาตรา 7 และ 14(1) แห่ง พรบ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

จากการเข้าตรวจค้นตู้ซิมที่เป็นเป้าหมายทั้งประเทศพบช่องว่างของการลงทะเบียนสองส่วนคือ (1) การถือครองซิมเป็นจำนวนมากโดยคนร้ายยังคงมีอยู่ ซึ่งการลงทะเบียนดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนประกาศของ กสทช. ในการถือครองซิมไม่เกิน 5 ซิม (2) การลงทะเบียนซิมออนไลน์ ระบบไม่สามารถตรวจจับการลงทะเบียนที่ไม่ถูกต้องได้ เช่น การอัพโหลดรูปภาพที่ไม่ใช่ตัวเอง สามารถอัพโหลดสิ่งใดก็ได้ หรือการพิมพ์ข้อความชื่อ หรือข้อความอื่นที่ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ซึ่งทาง ศปอส.ตร. จะได้มีการหารือร่วมกับทาง กสทช. และทางผู้ให้บริการเครือข่าย เพื่อแก้ไขเรื่องนี้อย่างเป็นการเร่งด่วน

จากนี้ไป ทาง ศปอส.ตร. จะมีการตรวจสอบเบอร์โทรที่คนร้ายใช้โทรเข้ามาหลอกประชาชนที่มีการแจ้งในระบบ Thaipoliceonline ว่าตู้ซิมใดเป็นผู้ลงทะเบียนให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด ซึ่งทาง ศปอส.ตร. เชื่อว่าคนร้ายที่ตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน จะไม่สามารถติดต่อหรือหลอกลวงคนไทยได้ ถ้าไม่มีตู้ซิมหรือผู้ที่รับผิดชอบไปช่วยเหลือลงทะเบียนซิมให้กับคนร้ายหรือระบบการลงทะเบียนที่เอื้ออำนวยให้กับคนร้ายไปลงทะเบียนโดยไม่สามารถทราบว่าเป็นใคร
ศปอส.ตร. ฝากเตือนไปถึงร้านค้าตู้ซิมที่รับลงทะเบียนให้กับคนร้ายคอลเซ็นเตอร์ ผู้จำหน่ายซิมโทรศัพท์ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกราย ที่ไปช่วยเหลือการลงทะเบียนให้กับคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนร้ายต่างชาติที่มีคนไทยกลุ่มหนึ่งคอยให้การช่วยเหลือมาหลอกลวง เอาทรัพย์สินของคนไทยไปต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งนอกจากขายชาติ จะสูญเสียอิสรภาพ ถูกตัดขาดจากครอบครัวแล้ว ยังสูญเสียอาชีพ ธุรกิจตลอดไป

ทั้งนี้ ยุทธการ 'ระเบิดสะพานโจร' จะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่อง 'ซิม เสา บัญชีธนาคาร SMS และ Social Platform' เพื่อให้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์หมดไปจากประเทศไทย ตามนโยบายเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ต่อไป

'เผ่าภูมิ' เผยบอร์ด Fin Hub เคาะกรอบกฎหมายศูนย์กลางการเงิน ชู 6 ธุรกิจเป้าหมาย ลุยลูกค้าต่างชาติ ใช้ กทม. เป็นฐาน

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายและยกร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน ว่า

ที่ประชุมเห็นชอบกรอบแนวทางการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน เพื่อยกร่างกฎหมายต่อไป ดังนี้

1. ธุรกิจเป้าหมาย ได้แก่ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจระบบการชำระเงินและบริการชำระเงิน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ธุรกิจประกันภัย และธุรกิจอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

2. ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมาย ได้แก่ นิติบุคคล และสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ ที่ให้บริการแก่นิติบุคคลหรือบุคคลที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (Non-residents) โดยห้ามชักชวนและให้บริการลูกค้าในประเทศไทย (No Solicitation)

3. ขอบเขตการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจที่ระดมทุนจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในต่างประเทศ (Out-out) ในระยะแรก และพิจารณาธุรกิจที่เป็นการระดมทุนจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในประเทศไทย (Out-in) โดยไม่ให้ขัดกับเงื่อนไข Non-Residents ในระยะต่อไป

4. สถานที่ตั้งของผู้ประกอบธุรกิจ ได้แก่ กรุงเทพและปริมณฑล ในระยะแรก

5. เงื่อนไขเกี่ยวกับสถานประกอบการ ได้แก่ กำหนดให้มีเงื่อนไขขั้นต่ำในเขตที่กำหนด เช่น เงื่อนไขการจ้างงาน ระยะเวลาการประกอบธุรกิจ การมีสำนักงาน เป็นต้น โดยให้อำนาจ คกก.กำกับและส่งเสริมศูนย์กลางทางการเงินในการกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์

6. ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางทางการเงิน (One-stop Authority: OSA) ขึ้นใหม่ในรูปแบบหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ โดยหน้าที่ของ OSA ได้แก่ กำหนดแนวทางการส่งเสริมธุรกิจเป้าหมาย และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งสิทธิประโยชน์ที่เป็นตัวเงิน เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น และสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น การให้ Fast Track VISA การอนุมัติใบอนุญาตทำงานคนต่างด่าว (Work Permit) การจ้างงาน เป็นต้น และกำหนดเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง และประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอใบอนุญาต และพิจารณาอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต หรือให้ความเห็นชอบ หรือรับจดทะเบียนเพื่อประกอบธุรกิจเป้าหมาย เป็นต้น

7. สิทธิประโยชน์ (ข้อเสนอเบื้องต้น) โดยให้เป็นอำนาจของ OSA ต่อไป ได้แก่ นิติบุคคลเข้าข่ายบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต้องปฏิบัติตาม GloBE Rules ของ Pillar 2 และกรณีนิติบุคคลอื่น สามารถกำหนดอัตราภาษีที่ต่ำว่ากรณีนิติบุคคลที่เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ได้ โดยอาจกำหนดแบบเป็นลำดับขั้น (Tier) หรืออัตราคงที่ สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อาจพิจารณาเป็นอัตราผ่อนปรน สำหรับภาษีหัก ณ ที่จ่าย เงินปันผลและดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้โครงการฯ จ่ายให้กับบริษัทแม่ หรือบริษัทในเครือในต่างประเทศ อาจพิจารณาเป็นอัตราผ่อนปรน

เปิดหนี้ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เริ่มจ่ายเงินต้น พ.ย. นี้ 140 ล้านบาท คาด!! จะใช้หนี้หมดได้ ภายในปี 2571 กบน. เชื่อ!! ยังตรึงราคาขายไว้ได้

(12 ต.ค. 67) นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2567 ที่จะถึงนี้ จะครบกำหนดที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องเริ่มทยอยชำระหนี้เงินต้นที่กู้ยืมมาจากสถาบันการเงิน รวมทั้งสิ้น 105,333 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565-2566 ส่วนดอกเบี้ยก็ได้เริ่มจ่ายมาตั้งแต่กู้ยืมเงินครั้งแรกและจ่ายเป็นประจำ จำนวน 250 ล้านบาททุกเดือน

สำหรับยอดหนี้เงินต้นจะทยอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามวงเงินที่ทยอยกู้ยืมในแต่ละครั้ง โดยในเดือน พ.ย. 2567 ต้องเริ่มจ่ายหนี้เงินต้น 140 ล้านบาท และ เดือน ธ.ค. อยู่ที่ 278 ล้านบาท ส่วนปี 2568 ก็จะยังคงจ่ายสูงขึ้นอีก โดยเริ่มต้นเดือน ม.ค. จำนวน 800 ล้านบาท และทยอยสูงขึ้นไปถึงเดือน พ.ค. ที่ 1,400 ล้านบาท โดยยอดจะพุ่งสูงสุดในเดือน ต.ค. 2568 ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท และจากนั้นจะทยอยลดลงเรื่อย ๆ  ซึ่งคาดว่าการชำระหนี้เงินต้นจะไปสิ้นสุดในปี 2571

ดังนั้นภารกิจสำคัญที่กองทุนฯ จะต้องเตรียมไว้สำหรับการชำระหนี้เงินต้นดังกล่าว ก็คือ คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) จะต้องเร่งเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ เพื่อให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง เพียงพอที่จะใช้ดูแลราคาน้ำมันและ LPG ในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน และมีเงินเพียงพอจ่ายหนี้เงินต้นก้อนนี้ด้วย

ทั้งนี้จะส่งผลให้กองทุนฯ ไม่สามารถกลับไปชดเชยราคาดีเซลได้อีก ยกเว้นกรณีเกิดวิกฤติราคาพลังงานที่รุนแรง ซึ่งหากราคาน้ำมันโลกขยับสูงขึ้นในช่วงนี้ กองทุนฯ จะลดการเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนฯ ลง จนอาจเก็บเข้าต่ำสุดเหลือเพียง 50 สตางค์ต่อลิตร (ปัจจุบันเก็บอยู่ 1.66 บาทต่อลิตร) แต่หากราคายังขยับสูงขึ้นไปอีก กบน. อาจจำเป็นต้องขยับขึ้นราคาดีเซล แทนการนำเงินกองทุนฯ ไปชดเชยราคาดีเซล

อย่างไรก็ตามวันที่ 31 ต.ค. 2567 นี้ จะสิ้นสุดมาตรการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบันราคาจำหน่ายอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร ดังนั้น กบน. เตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาทบทวนราคาดีเซลอีกครั้งก่อนสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวต่อไป

ทั้งนี้ กบน. ยังเฝ้าติดตามสถานการณ์การสู้รบในต่างประเทศที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันโลก ซึ่ง กบน. เชื่อว่ายังดูแลราคาดีเซลในประเทศไทยได้ แต่เป็นห่วงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) โลก เนื่องจากในช่วงปลายปีจะเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้หลายประเทศมีความต้องการ LPG จำนวนมากและราคาจะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งหากกองทุนฯ ต้องชดเชยราคา LPG สูง จะส่งผลกระทบต่อฐานะกองทุนฯ ได้  

โดยปัจจุบันกองทุนฯ ยังมีเงินไหลเข้าจากผู้ผลิต LPG  5.94 ล้านบาทต่อวัน และเงินไหลเข้าจากผู้ใช้น้ำมัน 331 ล้านบาทต่อวัน รวมมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ ประมาณ 337 ล้านบาทต่อวัน หรือ 10,110 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเพียงพอดูแลเสถียรภาพราคาดีเซลและ LPG  รวมทั้งสามารถเก็บไว้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินได้ แต่หากราคา LPG โลกขยับขึ้นแรงในช่วงปลายปี 2567 นี้ กบน. ก็จะพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมกับกองทุนฯ ต่อไป แต่ยืนยันว่าราคา LPG จะยังคงจำหน่ายที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ไปจนถึง 31 ธ.ค. 2567 นี้ ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)

สำหรับสถานะเงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด ณ วันที่ 8 ต.ค. 2567 เงินกองทุนฯ ติดลบรวม -96,818 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -49,378 ล้านบาท และมาจากบัญชี LPG ติดลบรวม -47,440 ล้านบาท

‘หมอลิลลี่’ เผยโดน ‘พยาบาลดัง’ ตามคุกคาม มา 5 ปี เอาทัวร์มาลง ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันปัจจุบันได้รับข่าวดี!! คู่กรณีได้รับหมายจับแล้ว ชี้!! เหมือนได้ชีวิตคืนมา ไม่ต้องผวา

(12 ต.ค. 67) หมอลิลลี่ แพทย์หญิงวรัญญา งานทวี คุณหมอคนดังในโลกโซเชียล ได้ออกมาเปิดเผยว่า คุณหมอโดนพยาบาลคนหนึ่ง ติดตามคุกคามคุณหมอ ทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์ แขวนและเอาทัวร์มาลงคุณหมอ จนคุณหมอเครียดและสูญเสียลูก ทั้งที่หมอลิลลี่และพยาบาลคนนั้น ไม่รู้จักกันมาก่อน

ทั้งนี้ หมอลิลลี่ คนดังบนโลกออนไลน์ ได้ออกมาเผยเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี หมอลิลลี่ถูกแขวะ ใส่ร้าย โดนเอาทัวร์มาลงเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ครอบครัวของหมอลิลลี่ก็โดนหมด แม้กระทั่งตอนที่แฟนขอแต่งงานเมื่อเดือนตุลาคม 2566 หมอลิลลี่ ยังไม่กล้าโพสต์ ได้มาโพสต์ประกาศให้รับทราบอีกทีตอนเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หมอลิลลี่จดทะเบียนสมรสเดือนพฤษภาคม 2567 และจัดงานมงคลสมรสเดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ตอนเดือนเมษายน พบว่าพยาบาลคนนั้นยังแขวนหมอลิลลี่และครอบครัวทางหน้าวอลล์เฟซบุ๊ก โพสต์ต่อว่าหมอลิลลี่ในที่สาธารณะ และทำให้ในเดือนเดียวกัน หมอลิลลี่ได้ตัดสินใจที่จะรวบรวมหลักฐานและจัดการฟ้องเงียบ ๆ

เดือนมิถุนายน 2567 ได้มีคนมาขอให้หมอลิลลี่เล่าสิ่งที่โดนลงโซเชียล หลังจากหมอลิลลี่ปิดเฟซบุ๊กไปพักใหญ่เพราะหมอลิลลี่เหนื่อยจากการโดนแขวะ และหมอลิลลี่ก็ยืนยันว่า ตนไม่เคยรู้จักกับพยาบาลคนนี้มาก่อน มีแต่พยาบาลที่ตามคุกคามหมอลิลลี่ฝ่ายเดียว ทำให้หลายเดือนมานี้ หมอลิลลี่เงียบ และตามคดีทุกวัน ไม่มีวันไหนที่หมอลิลลี่หลับลง เพราะกลัวว่าพยาบาลคนนี้จะไม่ได้รับผลกรรมที่ทำกับตนหรือเหยื่อคนอื่น

การที่หมอลิลลี่ออกมาทำเรื่องนี้ เพื่อปกป้องตัวเอง หมออยากมีลูกทันทีหลังแต่งงาน หลังจากที่แต่งงาน หมอก็พยายามจะมีลูก แต่ลูกไม่มาเพราะหมอเครียดเรื่องคดีมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไป สน. ประจำ จนวันที่ 25 กันยายน 2567 หมอได้รับข่าวดีว่ามีลูกแล้ว "แต่ความดีใจนั้นอยู่ได้ไม่ถึง 5 วัน" สิ่งที่หมอโดนทำให้หมอทรมานและคิดทุกวัน เครียดทุกวัน จนหมอต้องเสียลูกไปเพราะกดดันมาก

และเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 หมอลิลลี่ ก็ได้รับข่าวดีว่า "เขาได้รับหมายจับแล้ว"

และ เราเหมือนได้ชีวิตคืนมา หลังจากต้องผวา หวาดกลัวมาเกือบ 5 ปี จากนี้เราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตอนนี้เราโชคดีที่มีสามีที่ดีและใส่ใจมาก KV Por เหลือแค่ลูก หวังว่าจะมีโอกาสอีกครั้ง และรอบนี้จะไม่เสียลูกไปอีก

เราไม่อยากสูญเสียอะไรอีกแล้ว จากนี้เราอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขบ้างค่ะ ขอบคุณทุกคนจริง ๆ สำหรับกำลังใจดี ๆ เสมอมา

ทั้งนี้ พบว่า พยาบาลคนดังกล่าวนั้น เคยมีประเด็นวิวาทะฟาดปากกับคนอื่นมาก่อนจนเป็นข่าวดัง และตอนนั้นก็มีคนเข้าข้างเธอเป็นจำนวนมาก และเมื่อเธอถูกหมายจับ ก็ปรากฏว่าพยาบาลคนนี้ได้ออกมาขอโทษผ่านทางเฟซบุ๊กและ X ทั้งในภาษาไทย และภาษาเยอรมัน ซึ่งพยาบาลต้องขอโทษโดยปักหมุด 60 วันใน Instagram, X, Facebook ไม่ปิดคอมเมนต์ ไม่ลบโพสต์ แต่หมอลิลลี่ก็บอกว่า การขอโทษนั้นดูไม่จริงใจ เพราะเอาภาษาเยอรมันขึ้นก่อน เวลาอ่านต้องเลื่อนลงมาถึงเจอภาษาไทย

ทางหมอลิลลี่ยังได้เล่าอีก หมอลิลลี่โดนพยาบาลตามแขวะตามใส่ร้ายมาหลายปี โดยที่หมอลิลลี่ไม่เคยตอบโต้ แม้ว่าจะบล็อกไปแล้วก็ยังโดนเอาเฟซบุ๊กอื่นมาแขวะต่อ จนกระทั่งพ่อแม่ของพยาบาล ได้มาขอไกล่เกลี่ยเพื่อขอให้เกิดการยอมความ ซึ่งพ่อแม่ของพยาบาล ตอนแรกก็คิดว่าลูกมีปัญหาทะเลาะกับหมอลิลลี่มาก่อน แต่เมื่อหมอลิลลี่ยืนยันว่าไม่รู้จักกัน เพราะทำงานคนละอาชีพ ไม่เคยเรียนด้วยกัน ไม่เคยเจอกัน ไม่เคยด่ากลับ แต่หมอลิลลี่กลับโดนด่าหนัก จนทางแม่ต้องถามพยาบาลว่า ไปตามว่าหมอลิลลี่ทำไม ซึ่งพยาบาลก็บอกแม่ และแม่ก็บอกทนายว่า เหตุที่ทำแบบนั้นเพราะ ‘หมั่นไส้’

‘แพทย์หญิงปรมาภรณ์’ ผู้บริหาร BDMS ติดอันดับ ‘100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย’ จากการจัดอันดับของ ‘นิตยสารฟอร์จูน’ ด้วยผลงานที่เป็นเลิศ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจ

(12 ต.ค. 67) แพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหารอาวุโส บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS (Bangkok Dusit Medical Services Public Company Limited) ได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในสตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย ประจำปี 2024 จากการจัดอันดับของ ‘นิตยสารฟอร์จูน’ (Fortune) ซึ่งได้ประกาศรายชื่อ 100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย ประจำปี 2567 หรือ The Fortune Most Powerful Women Asia 2024’ โดยแพทย์หญิงปรมาภรณ์เป็นผู้บริหารหญิงเพียงคนเดียวจากวงการเฮลท์แคร์ของไทยที่ได้รับเกียรติในปีนี้

ผลการจัดอันดับดังกล่าวมีขึ้นเพื่อเชิดชูสตรีผู้นิยามความเป็นผู้นำในรูปแบบใหม่ ทั้งด้วยการพลิกโฉมบริษัทในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ผ่านการขับเคลื่อนให้เจริญเติบโต รวมทั้งในด้านการพัฒนานวัตกรรมที่สนับสนุนความเป็นเลิศทางธุรกิจ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้นำรุ่นต่อไป

BDMS เป็นเครือโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของไทย ปัจจุบันมีจำนวนโรงพยาบาลในเครือรวมทั้งสิ้น 59 แห่ง ประกอบด้วยกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลรอยัล (ประเทศกัมพูชา) และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านการดูแลสุขภาพอีกด้วย   

ภายใต้การบริหารของแพทย์หญิงปรมาภรณ์ BDMS ให้ความสำคัญในการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพที่เป็นเลิศ เช่น การนำ AI ทางการแพทย์มาใช้เพื่อยกระดับการตรวจและรักษา และการนำหุ่นยนต์มาช่วยในการผ่าตัด เป็นต้น

"BDMS มุ่งมั่นที่จะพัฒนาการแพทย์อย่างยั่งยืน เพื่อมอบบริการด้านสุขภาพที่ดีที่สุดให้แก่คนไทยและสังคมโลก พร้อมทั้งเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นที่จะสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล และดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักธรรมาภิบาล" แพทย์หญิงปรมาภรณ์กล่าวทิ้งท้าย

‘แบล็คแคนยอน’ คว้าลิขสิทธิ์ ‘น้องหมูเด้ง’ จากองค์การสวนสัตว์ฯ เตรียมจัดกิจกรรม เดินหน้าประชาสัมพันธ์ สื่อสารการตลาด

(12 ต.ค. 67) บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับสิทธิ์อย่างเป็นทางการจากองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในการใช้ลิขสิทธิ์ ‘น้องหมูเด้ง’ เพื่อการประชาสัมพันธ์และดำเนินกิจกรรมทางการตลาดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ขอเชิญทุกท่านร่วมติดตามกิจกรรมดี ๆ ที่จะนำเสนอต่อไปได้ในเร็ว ๆ นี้

‘เซมิคอนดักเตอร์’ ร้อนระอุ ‘ไทย-เวียดนาม’ เปิดศึก ดึงเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก ‘บีโอไอ’ เผย!! รอชง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ตั้งเซมิคอนดักเตอร์บอร์ด เพื่อรองรับอุตสาหกรรม

(12 ต.ค. 67) อุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญ และมีผลต่อซัพพลายเชนโลกในขณะนี้ คือ เซมิคอนดักเตอร์ โดยหลายประเทศในเอเชียพยายามช่วงชิงการลงบนสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์

ที่ผ่านมา 'มาเลเซีย' ได้ประกาศยุทธศาสตร์ศูนย์กลางผลิตชิประดับโลก โดยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเกือบ 2 แสนล้านบาท เพื่อฝึกอบรมวิศวกรทักษะสูง 60,000 คน พร้อมตั้งเป้าดึงดูดการลงทุนเกือบ 4 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังตั้งคณะกรรมการระดับชาติ 'เซมิคอนดักเตอร์บอร์ด' เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นแนวทางดำเนินการที่วางไว้ตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า บีโอไอจะเสนอรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีดึงการลงทุนเชิงรุกที่เน้นอุตสาหกรรมที่จะเป็นฐานการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมต้นน้ำสำคัญ 2 สาขา คือ เซมิคอนดักเตอร์ และแบตเตอรี่

สำหรับการเสนอตั้ง 'เซมิคอนดักเตอร์บอร์ด' จะขับเคลื่อนการดึงลงทุนได้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนมาแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทจากสหรัฐ และยุโรป รวมทั้งมีบริษัทที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนทั้งการผลิตชิปต้นน้ำ และการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่สุดในไทย ซึ่งมีงบประมาณในการลงทุนหลายหมื่นล้านบาท และจะเกิดขึ้นจริงช่วง 1-2 ปีนี้

ส่วนความเคลื่อนไหวของเวียดนามได้ประกาศตัวชัดเจนในการชิงการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์เช่นกัน โดยเตรียมออกสิทธิประโยชน์การลงทุนครั้งสำคัญ

สำนักข่าวนิกเคอิเอเชีย รายงานว่า เวียดนามกำลังร่างกฎหมายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลฉบับใหม่ (DTI) ซึ่งมาพร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย เพื่อดึงบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ระดับโลกเข้าไปลงทุน อาทิ

‘อินวิเดีย’ (Nvidia) ผู้ผลิตชิปจากสหรัฐรายใหญ่ที่ร่วมมือกับ FPT บริษัทเทคโนโลยีใหญ่สุดในเวียดนามในการสร้างโรงงานสำหรับส่งเสริมการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี AI และ 'เบซี่' (Besi) ผู้ผลิตอุปกรณ์ชิปจากเนเธอร์แลนด์ซึ่งได้ลงทุนเบื้องต้น 4.9 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ (ราว 164 ล้านดอลลาร์)

สำหรับร่างกฎหมาย DTI เวียดนามได้เตรียมสิทธิประโยชน์ เช่น ลดหย่อนภาษีสูงสุด 150% สำหรับค่าใช้จ่ายในการวิจัย และพัฒนา เพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมใหม่ เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการลงทุน อนุมัติวีซ่าแบบฟาสต์แทรกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่เข้ามาทำงานในโครงการ และการใช้ที่ดินฟรีเป็นเวลา 10 ปี

นอกจากนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 160 ล้านดอลลาร์ (ราว 5 พันล้านบาท) ขึ้นไป โดยให้พิจารณาเอกสารอนุมัติเร่งด่วน และยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับวัตถุดิบ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ รวมถึงการยกเว้นภาษีรายได้ส่วนบุคคลสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

ทั้งนี้ เวียดนามกำลังนำเสนอกฎระเบียบใหม่เพื่อคว้าโอกาสจากสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐ ซึ่งได้ผลักดันให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ และบริษัทอื่นต้องกระจายห่วงโซ่อุปทานของตน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเวียดนามต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่ามาตรการจูงใจทางภาษีที่นำเสนอนั้น สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ภาษีขั้นต่ำระดับโลกที่นานาชาติกำลังผลักดันหรือไม่

เจิ่นแมงฮุง จากเบเคอร์ แม็คเคนซี มองว่า ร่างกฎหมายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเวียดนามจริงจังแค่ไหนในการดึงดูดบริษัทชิป

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริหารด้านชิปของสหรัฐ ตั้งแต่ 'แพท เกลซิงเกอร์' ของอินเทล (Intel) ไปจนถึง ‘เจนเซน หวง’ ของอินวิเดีย เดินทางเยือนกรุงฮานอย ได้จุดกระแสความสนใจจากสื่อท้องถิ่นเกี่ยวกับปัจจัยที่ดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่เข้าเวียดนาม

นอกจากนี้ กระทรวงสารสนเทศของเวียดนาม กำลังประชุมหน่วยงานอื่น และตัวแทนภาคเอกชน เพื่อให้ข้อมูลการสรุปกฎหมาย ซึ่งคาดว่าจะเสนอรัฐสภาเดือนต.ค.2567 และมีผลบังคับใช้ช่วงกลางปี 2568

สิทธิประโยชน์เหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งให้เวียดนามก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก รวมทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านพลังงาน และการฝึกอบรม ที่เวียดนามยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีอุตสาหกรรมขั้นสูงกว่า

อุตสาหกรรมชิปของเวียดนามยาวนานเกือบ 20 ปี แต่ได้เข้าสู่ยุคทองในปี 2563 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และความตึงเครียดทางเทคโนโลยีทั่วโลกได้ผลักดันให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้กับแบรนด์ชั้นนำอย่างซัมซุง (Samsung) ไปจนถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้กับบริษัทระดับโลก เช่น อินฟินีออน ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และบริษัทออกแบบชิป ไซนอปซิส

เวียดนามกำลังเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวเข้ากับมาตรฐานภาษีใหม่ของโลก โดยต้องบาลานซ์ระหว่างการดึงดูดนักลงทุนด้วยมาตรการจูงใจต่างๆ กับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ภาษีขั้นต่ำ 15% ที่องค์กรเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) และกว่า 140 ประเทศทั่วโลกให้การสนับสนุน ซึ่งหมายถึงการยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีบางส่วนที่เคยใช้เป็นเครื่องมือดึงดูดนักลงทุนในอดีต แม้ว่าภาคธุรกิจจะพยายามผลักดันให้มีมาตรการชดเชย เช่น เงินอุดหนุนหรือเครดิตภาษีก็ตาม

และความท้าทายด้านงบประมาณก่อนหน้านี้ อินเทลได้เรียกร้องให้เวียดนามปรับปรุงนโยบายจูงใจเพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งรายเดิม และรายใหม่ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้แก่นักลงทุนย่อมส่งผลกระทบต่องบประมาณของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า 'นเรนทรา โมดี' นายกรัฐมนตรีของอินเดีย พบกับ 'ลอว์เรนซ์ หว่อง' นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในวันที่ 5 ก.ย.2567 ในระหว่างการเยือนสิงคโปร์เป็นเวลา 2 วัน ซึ่งได้ลงนามในข้อตกลงหลายฉบับ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในด้านเซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีดิจิทัล

สำหรับความเห็นของโมดีในระหว่างพบปะกับหว่อง โมดี กล่าวว่า ‘สิงคโปร์ไม่ใช่เพียงหุ้นส่วน แต่เป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกประเทศที่กำลังพัฒนา เราต้องการสร้างสิงคโปร์หลายแห่งในอินเดีย และผมยินดีที่เรากำลังพยายามร่วมมือกันในทิศทางนี้’

ทั้งสองประเทศลงนามบันทึกความเข้าใจสี่ฉบับเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนาทักษะ และการดูแลสุขภาพ ตามที่รัฐบาลอินเดียระบุ

ในด้านการผลิตชิปสิงคโปร์ จะสนับสนุนอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตของอินเดียในขณะที่อินเดียจะส่งเสริมการเข้ามาของบริษัทสิงคโปร์ และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานในตลาดขนาดใหญ่ของตน

‘โคตะ มิอุระ’ นักมวยชาวญี่ปุ่นขวัญใจชาวไทย โพสต์ข้อความผ่าน Instagram ชี้!! ประเทศไทยคือบ้านหลังที่สอง ได้รับมิตรภาพมากมาย แม้จะพูดไทยไม่ได้

(12 ต.ค. 67) นี่คือบ้านหลังที่สองของฉัน ! ‘โคตะ มิอุระ’ โพสต์บอกรักประเทศไทย 

โคตะ มิอุระ นักมวยชาวญี่ปุ่นขวัญใจชาวไทย โพสต์ข้อความผ่าน Instagram ถึงเพื่อน ๆ ชาวไทย พร้อมพูดถึงประเทศไทยด้วยการปิดท้ายว่า ‘ประเทศไทยคือบ้านหลังที่สอง’

โดยนักชกชาวญี่ปุ่น ทายาทของ ‘คิงคาซู’ คาซูโยชิ มิอุระ ตำนานนักเตะชาวญี่ปุ่น กลายเป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากขึ้น หลังเขาได้ขึ้นชกกับ บัวขาว บัญชาเมฆ นักมวยคนดังชาวไทย ในไฟต์พิเศษ เลเจนต์ ออฟ ราชดำเนินของศึก ราชดำเนิน เวิลด์ ซีรีส์ (RWS)ที่สนามมวยเวทีมวยราชดำเนิน เมื่อปี 2565 ซึ่งหลังการขึ้นชกในวันนั้น โคตะ และ บัวขาว ก็กลายเป็นเพื่อนสนิท และมีมิตรภาพอันดีต่อกัน 

โดยข้อความระบุว่า 

ผมไม่เคยมีเพื่อนฝูงในประเทศไทยมาก่อน แต่เมื่อย้อนไป 2 ปีก่อน ผมมีครอบครัวที่เป็นยิ่งกว่าเพื่อน แม้ผมจะพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่ทุกคนในเมืองไทยต้อนรับผมสู่ครอบครัวของพวกเขา และทำให้ผมได้มีประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ การฝึกซ้อม การทำงาน หรือแม้แต่การสังสรรค์ ทุก ๆ คนสนับสนุนผมและทำให้มันเป็นไปได้สำหรับผมในการทำทุกๆ อย่าง ในสภาพแวดล้อมที่เป็นไปได้มากที่สุด จากส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ผมต้องขอบคุณทุก ๆ คน ครอบครัวในประเทศไทยของผม และผมจะเติบโตขึ้นเพื่อที่จะทำอะไรเพื่อพวกเขาได้บ้างเช่นกัน ผมรักพวกคุณ ประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สองของฉัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top