Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

เจาะความเหมือนความต่าง 3 ร่างกฎหมาย ‘ปลดล๊อกสุรา’

(6 ต.ค. 67) หนึ่งในข่าวสำคัญของสภาผู้แทนราษฎรไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่พ้นกฎหมายทลายทุนผูกขาดในกลุ่มผู้ผลิตสุรา 

ในครั้งนี้ได้มี 3 ร่างกฎหมายจาก 3 พรรคการเมืองขอเข้ามามีส่วนร่วมในการทลายทุนผูกขาด 

โดยผลการลงมติปราฏว่า 
กฎหมายสุรารวมไทย โดย พรรครวมไทยสร้างชาติ ผลการลงมติ เห็นด้วย 385 เสียง, ไม่เห็นด้วย 6 เสียง, งดออกเสียง 3 เสียง, ไม่ลงคะแนน 3 เสียง, สรุป : ที่ประชุมรับหลักการ

กฎหมายสุราชุมชน โดย พรรคเพื่อไทย ผลการลงมติ เห็นด้วย 384 เสียง, ไม่เห็นด้วย 5 เสียง, งดออกเสียง 3 เสียง, ไม่ลงคะแนน 7 เสียง, สรุป : ที่ประชุมรับหลักการ

กฎหมายสุราก้าวหน้า เสนอโดย พรรคประชาชน ผลการลงมติ เห็นด้วย 137 เสียง ไม่เห็นด้วย 237 เสียง, งดออกเสียง 3 เสียง, ไม่ลงคะแนน 3 คะแนน, สรุป : ที่ประชุมไม่รับหลักการ

The States Times จะพาทุกท่านทำความเข้าใจในสาระสำคัญของ 3 ร่างกฎหมายทลายทุนผูกขาดสุรา ภายใน 1 อินโฟกราฟฟิก

เปิดประวัติ ‘ดร.นพ-ธนพล’ ผู้เปิดตัวชิงเก้าอี้นายกสภาทนายความ แข่ง ‘ดร.วิเชียร ชุบไธสง’ วัดใจใครจะเข้ามากอบกู้องค์กรทนายความ

(6 ต.ค. 67) ดร.นพ-ธนพล เปิดตัวลงชิงเก้าอี้ ‘นายกสภาทนายความ’ ด้วยความพร้อมทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์

เด็กหนุ่มจากสตูล ‘ธนพล คงเจี้ยง’ ตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพ เป้าหมายคือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แหล่งตลาดวิชา ด้วยระบบการศึกษาไทยแบบ ‘แพ้คัดออก’ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น ‘ลูกพ่อขุน’ กับคณะนิติศาสตร์ ปี 2535 ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ธนพลก็ผ่านเป็น ‘นิติศาสตรบัณฑิต’ สำเร็จตามเป้าหมาย

แม้จะมีทางเลือกหลายทางในการยึดเป็นอาชีพสำหรับคนจบนิติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นนิติกร ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง แต่สำหรับ ‘ธนพล’ ตัดสินใจเดินไปสู่อาชีพทนายความ หลังเข้ารับการอบรมสอบผ่านเป็นผู้ประกอบอาชีพทนายความ

ระหว่างทางยังศึกษาต่อระดับมหาบัณฑิตด้านนิติศาสตร์ และอบรมหลักสูตรระดับผู้บริหารชั้นสูงอีกหลายสูตร เช่น หลักสูตรการบริหารเชิงนิติศาสตร์ระดับสูงของวิทยาลัยทนายความรุ่นที่1 หลักสูตรนักบริหารระดับสูงในกระบวนการยุติธรรมทางปกครองของศาลปกครองรุ่นที่1 หลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง(พตส.14) รุ่นที่14 และหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการพัฒนาผู้นำเมืองรุ่นที่6 เป็นต้น

ยังไม่พอ ดร.ธนพล ยังเรียนต่อด้านรัฐศาสตร์ ในรั้วรามคำแหง จนเป็นมหาบัณฑิตด้านรัฐศาสตร์สาขานักบริหารและสามารถจบปริญญาเอกสาขาวิชาการเมืองจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จนได้รับคำนำชื่อว่า ‘ดอกเตอร์’ ซึ่งเขายังคงยึดรามคำแหงเป็นที่มั่นในเชิงตลาดวิชา แค่ได้เห็นประวัติการศึกษาก็ล้นเหลือ ด้านอาชีพทนายความก็เปิดสำนักงานทนายความของตัวเองในนามบริษัท เดอะรอยัล ลอว์เฟิร์ม จำกัด ตั้งสำนักงานอยู่ย่านถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ ดร.นพ หรือ ดร.ธนพล ยังสละเวลาที่มีอยู่น้อยนิด ทำงานเพื่อสังคม เคยเป็นกรรมการดำเนินงานผลักดันให้ทนายความได้รับใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ในนามของสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เคยเป็นกรรมการและเลขานุการ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค สภาทนายความฯ เคยเป็นคณะทำงานกลั่นกรองในส่วนฝ่ายปฏิบัติการ สภาทนายความฯ เคยเป็นอนุกรรมการบริหาร สภาทนายความ เคยเป็นกรรมการสอบสวนมรรยาททนายความ สภาทนายความฯ เอาเป็นว่า เดินเข้าเดินออกสภาทนายความฯมาร่วม 30 ปี

ในทางธุรกิจ นอกจากเปิดสำนักงานทนายความของตนเองแล้ว ยังเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ Managing Director บริษัท ธนวัต ลอร์ แอนด์ บิสสิเนส จำกัด เคยเป็นทนายความอาวุโสประจำ บรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำกัด และยังเคยย่ำกายเข้าไปสู่เส้นทางการเมืองกับตำแหน่งที่ปรึกษาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ปัจจุบันยังรั้งตำแหน่งนายกสมาคมนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกด้วย

วันนี้ ดร.ธนพล เปิดตัวลงชิงนายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งกันในปลายปี 2568 และจากประวัติที่กล่าวมา ถือว่าเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง โดยยังไม่ได้กล่าวถึงภาวะผู้นำ (Leadership) และบารมีที่สะสมมา (charisma)

จับตาครับสำหรับศึกชิงเก้าอี้นายกสภาทนายความ โดยมีคู่แข่งคือ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความฯคนปัจจุบันที่ขอลงอีก 1 สมัย ผลงานในรอบ 1 สมัยจะเป็นเครื่องวัดใจทนายความว่า จะเลือกใครมานั่งกุมบังเหียน ผู้นำสูงสุดขององค์กรในวงการทนายความ ระหว่าง “ดร.ธนพล กับ ดร.วิเชียร”เพื่อเข้ามากอบกู้เกียรติยศ ศักดิ์ศรีและดูแลสวัสดิการของพี่น้องทนายความ

‘นิด้าโพล’ เปิดผลสำรวจพบหลังรับเงินสด 1 หมื่น อึ้ง! พบประชาชนสนับสนุน รบ. เพิ่ม 30%

(6 ต.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “รับเงินสด 10,000 บาท แล้วจะสนับสนุนรัฐบาลไหม” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ทั้งตนเอง และ/หรือคนในครอบครัว ได้รับเงิน 10,000 บาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการได้รับเงินสด 10,000 บาท จากรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการนำเงินไปใช้จ่ายของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวได้รับเงิน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 86.79 ระบุว่า ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ น้ำมันเชื้อเพลิง) รองลงมา ร้อยละ 16.49 ระบุว่า เก็บออมไว้สำหรับอนาคต ร้อยละ 14.35 ระบุว่า ใช้หนี้ ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค หาหมอ) ร้อยละ 8.24 ระบุว่า ใช้ลงทุนการค้า ร้อยละ 7.48 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ร้อยละ 1.37 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ใช้ซื้อหวย สลากกินแบ่งรัฐบาล ร้อยละ 0.99 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร ร้อยละ 0.69 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ เป็นต้น) ร้อยละ 0.31 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว ร้อยละ 0.15 ระบุว่า ใช้ซื้อทองคำ เพชร พลอย อัญมณี และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ตอบ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการสนับสนุนรัฐบาลของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวได้รับผลประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร รองลงมา ร้อยละ 30.31 ระบุว่า มีส่วนทำให้สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 20.38 ระบุว่า จะมีหรือไม่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว ร้อยละ 13.13 ระบุว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 7.34 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 19.08 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.25 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 36.18 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.05 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.10 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 47.79 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.21 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 13.44 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 18.47 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 19.08 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 24.81 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.20 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 95.73 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.82 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.45 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 34.05 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.28 สมรส และร้อยละ 2.67 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.61 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 41.76 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 6.72 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 19.08 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 1.83 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

ตัวอย่าง ร้อยละ 5.65 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 12.44 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 19.62 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 15.80 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 21.30 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 18.24 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 6.95 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

ตัวอย่าง ร้อยละ 24.05 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 28.17 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 30.15 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 7.40 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 2.06 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 1.45 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 6.72 ไม่ระบุรายได้

‘ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง’ ร่ายบันทึกความทรงจำอย่างละเอียด หวังไม่ให้เกิดเหตุร้ายซ้ำรอย กับสัตว์ประจำชาติอย่าง ‘ช้างไทย’

(6 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง The Thai Elephant Conservation Center Lampang’ ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นกับช้างไทย ว่า 

บันทึกเตือนความจำ
ภัยธรรมชาติที่เกิดจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงสุดขั้วนำมาซึ่งปริมาณน้ำฝนที่ไหลหลั่งลงสู่แหล่งน้ำ จำนวนมหาศาล ไหลบ่าจากป่าสู่เมืองในที่ลุ่มต่ำ ในทางกลับกันเชื่อแน่ว่าไม่ช้าก็เร็วเราน่าจะเจอกับเหตุการณ์ในขั้วตรงกันข้ามคือแล้ง ร้อนสุดโต่งแน่

กันยายนต่อเนื่องถึงตุลาคม ฝนตกต่อเนื่องจนเกิดมวลน้ำจำนวนมหาศาลจากต้นน้ำแม่แตง ไหลเข้าสู่ลำน้ำแม่แตง สายน้ำแห่งการท่องเที่ยวธรรมชาติของเชียงใหม่ ที่ตลอดสองข้างลำน้ำมีแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมาก รวมทั้งปางช้างต่างๆเรียงรายตลอดลำน้ำแม่แตง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาจากรายงานของสถาบันคชบาลแห่งชาติ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (2558-2567) พบว่ามีปางช้างถึง 49 ปาง (ช้างจำนวน 546 เชือก) 

เหตุระทึกเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่บ่ายวันพฤหัสที่ 3 ตุลาคม 2567 มวลน้ำจำนวนมากไหลบ่าล้นตลิ่งทั้งสองฝั่งของลำน้ำแม่แตงอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่องจนถึงเช้ามืดวันศุกร์ น้ำเพิ่มระดับอย่างรวดเร็ว ช้างส่วนใหญ่ถูกอพยพนำขึ้นไปผูกล่ามไว้ในที่สูง  ในขณะที่ปางช้างขนาดใหญ่ (มีช้างมากกว่าหนึ่งร้อยเชือก) ของมูลนิธิช้างและสิ่งแวดล้อม ยังคงสาละวนและพยายามขนย้ายช้างและสัตว์อื่นๆอีกนับพันอาทิ สุนัข แมว แพะ โค กระบือ และสุกร ซึ่งยังคงไม่ทันการณ์ เป็นผลให้มวลน้ำจำนวนมหึมาไหลเข้าสู่ปางช้าง (ระดับน้ำสูงมากกว่า 1.5-2.0 เมตร เมื่อประเมินด้วยสายตา) การขนย้ายช้างนับร้อย เป็นเรื่องที่ยากและสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียมากทั้งชีวิตคนและช้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช้างเหล่านี้มิได้ถูกฝึกหรือสื่อสารกับคนเลี้ยงอย่างใกล้ชิดมาก่อน เราเริ่มจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะพอช่วยเหลือสนับสนุนอะไรได้บ้าง

คณะของสถาบันคชบาลแห่งชาติ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เริ่มเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อเช้าตรู่ของวันศุกร์ จากการร้องขอของเจ้าหน้าที่มูลนิธิทางโทรศัพท์ โดยเบื้องต้นรับทราบมาว่าให้ช่วยเคลื่อนย้ายและดูแลช้างเพศผู้ที่ยังอยู่ในคอกแต่ไม่สามารถออกมาได้ ในขณะที่ระดับน้ำกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  คณะทำงานถูกตามตัว รวมทีมและประชุมอย่างเร่งด่วน และออกเดินทางในช่วงสายของวันนั้น 

เมื่อแรกไปถึงพบว่าเส้นทางเข้าถึงปางช้างถูกตัดขาด ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก การติดต่อด้วยโทรศัพท์ไม่สามารถทำได้ ต้องสื่อสารผ่านวิทยุสื่อสารคลื่นสั้นเท่านั้น คณะจึงต้องรอจนถึงบ่ายแก่ๆจึงได้เรือจากหน่วยกู้ภัย จ.กาฬสินธ์ุ ข้ามน้ำเพื่อไปดูช้างตัวผู้ในคอกต่างๆเพื่อประเมินสถานการณ์ เราพบว่าช้างตัวผู้ยังอยู่ครบทั้งสิบเชือก ในสภาพที่ช้างลอยคออยู่ภายในคอก   แต่ที่แปลกใจคือยังมีช้างตัวเมียอีกหลายสิบเชือกติดค้างอยู่ในคอกด้วย บ้างก็พิการขาเป๋ ตาบอด และยังทราบอีกว่าช้างอีกหลายเชือกได้สูญหายลอยไปกับน้ำด้วย เมื่อช่วงก่อนหน้า  

ซึ่งต่อมาพบซากของช้างฟ้าใส(วันเฉลิม)และพลอยทอง เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งต่อการสูญเสีย คณะจึงตัดสินใจแบ่งทีมงานออกเป็น 2 ทีมเพื่อช่วยเหลือช้างให้ครอบคลุมทั้งสองกลุ่มการดำเนินการในภาวะวิกฤติและเร่งด่วนเช่นนี้โดยหลักการแล้ว หากพบว่าช้างกับควาญสามารถสื่อสารกันได้ก็จะให้ควาญช้างเป็นผู้นำและกำหนดทิศทางการเดินของช้างเพื่อความปลอดภัย เพราะช้างเองมักเดินเฉพาะเส้นทางที่เคยชิน ซึ่งในกรณีนี้ช้างมักคุ้นชินกับการเดินแบบอิสระในทุ่งกว้างที่อยู่ติดกับน้ำแม่แตง ที่กำลังไหลเชี่ยว นับว่าอันตรายอย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงจำเป็นที่ช้างเหล่านี้จะต้องมีควาญเป็นผู้ควบคุมทิศทาง

ในกรณีช้างเพศเมียหรือช้างที่ไม่ดุร้าย หากช้างกับควาญมิได้มีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน หรือมีแต่เพียงเล็กน้อย ในทางทฤษฎีที่มีการเคลื่อนย้ายช้างป่ามักวางยาซึมและนำทางด้วยผ้าพรางแสงตลอดทางเดินเพื่อนำช้างไปยังจุดที่ต้องการ แต่ในกรณีนี้มีน้ำท่วมสูงจึงค่อนข้างเสี่ยงที่จะวางยาซึม (ยาซึมช้างมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ทำให้งวงตกลงสู่พื้น) โดยในวันนั้นคณะทำงานที่ประกอบด้วยสัตวแพทย์ ควาญช้างจากสถาบันคชบาลแห่งชาติ ควาญพี่เบิ้ม(ปางที่อยู่ติดกัน) และภัทรฟาร์ม ซึ่งมีความชำนาญ ร่วมกับควาญช้างของมูลนิธิช่วยกันควบคุมและกำหนดเส้นทางด้วยเชือกให้ช้างเดินไปยังจุดที่ปลอดภัย แต่ก็ทุลักทุเลพอควรด้วยเพราะควาญกับช้างสื่อสารกันแทบไม่รู้เรื่อง วันนั้นทีมเราช่วยเหลือช้างตัวเมียได้บางส่วนจนกระทั่งมืดค่ำจึงยุติภารกิจในเวลา 19.30 น. 

ในกรณีช้างเพศผู้ เราไม่สามารถวางยาซึมช้างในขณะที่ยังอยู่ในน้ำได้ ซึ่งจากข้อมูลที่ทีมงานได้รับพบว่าช้างทุกเชือกไม่เคยผ่านการฝึกและบางเชือกมีประวัติทำร้ายคนมาก่อน จึงเกิดคำถามว่าหากเคลื่อนย้ายออกมาได้แล้วจะนำช้างไปผูกล่ามอย่างไร ที่ไหน ทั้งในภาวะซึมหรือปกติ ด้วยเพราะช้างไม่คุ้นเคยกับคนหรือช้างใดๆ ช้างแต่ละเชือกอยุ่ตัวเดียวในคอกมานาน ซึ่งจากการประเมินพบว่าช้างทุกเชือกยังมีสภาพร่างกายปกติ (ยกเว้นพลายขุนเดชที่บาดเจ็บที่ขาหน้า) ดังนั้นจึงใช้วิธีวางแท่นพยุงให้ช้างสามารถใช้งวงยึดพยุงมิให้จมน้ำ หากพบว่าระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอีก เพราะจากประสบการณ์ตรงของคณะทำงานพบว่าช้างมักลอยน้ำและอยู่ในน้ำได้นานถึง 2 วัน 1 คืนในสภาพน้ำนิ่ง โดยไม่เกิดอันตราย ซึ่งจากสภาพช้างภายในคอกพบว่ากระแสน้ำยังคงไหลแต่ไม่เชี่ยวมากนักเมื่อเทียบกับในลำน้ำ ช้างน่าจะยังพอพยุงตัวเองไว้ได้ในระยะเวลาหนึ่ง ด้วยเพราะธรรมชาติของน้ำทางภาคเหนือมักมาเร็วไปเร็ว ไม่น่าจะท่วมนาน เราจึงกำหนดให้ทำแพต้นกล้วยไว้ให้ช้างเพื่อช่วยพยุง ต้นกล้วยยังเป็นอาหารและมีน้ำช่วยประทังชีวิตให้ช้างได้อีกด้วย ทั้งนี้ให้เฝ้าระวังพลายขุนเดชเป็นพิเศษ

โชคดีในช่วงเย็นของวันเดียวกันระดับน้ำเริ่มลดระดับลง เป็นสัญญาณว่าน้ำน่าจะลดลงเป็นปกติในไม่ช้า 
วันรุ่งขึ้นระดับน้ำลดลง เหลือเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ ช้างเพศเมียถูกเคลื่อนย้ายขึ้นที่สูง ช้างตัวผู้ยังอยู่ในคอกของตัวเอง แต่ทุกตัวยังมีชีวิตอยู่แม้บางเชือกอาจแสดงอาการอ่อนเพลียบ้าง ดังนั้นการฟื้นฟูสุขภาพกาย และสภาวะจิตใจของช้างและควาญจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะโรคต่างๆที่มาหลังน้ำท่วม ก็ดี   น้ำป่าที่อาจเข้าสู่ร่างกายช้างในช่วงก่อนหน้าทั้งทางเดินหายใจ ทางเดินอาหารก็ดี ดินโคลนที่มีรสชาดเย้ายวนต่อการลิ้มลองของช้างก็ดี หรือแม้กระทั่งอาหารที่อาจปนเปื้อน ที่ล้วนนำมาซึ่งความเจ็บป่วยของช้างเหล่านี้ได้ และสภาพจิตใจของช้างที่อาจตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การไม่คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เหล่านี้จำเป็นต้องฟื้นฟูและเฝ้าระวังกันต่อไป

สรุปยอดรวมช้างในปางก่อนเกิดเหตุ จำนวน 118 เชือก ภายหลังน้ำลด พบช้างเพศเมีย 106 เชือก เป็นช้างเพศผู้ 10 เชือก สูญหายและเสียชีวิต 2 เชือก

วันนี้ฝนตกเบาบางลงแล้ว แต่หากเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันอีก การเรียนรู้บทเรียนและเตรียมแผนเผชิญเหตุทั้งของปางและผู้เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่ต้องจัดทำ  

แม้ในวันนี้ช้างบ้านของไทยจะมีสถานะเป็นทรัพย์สินของผู้ถือครองตามกฎหมาย (พรบ.สัตว์พาหนะ ) แต่จากเหตุการณ์หลายๆครั้งที่ผ่านมา ล้วนกระทบจิตใจคนไทยส่วนใหญ่ หลายส่วนยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองติดตามอย่างใกล้ชิด  จึงเป็นสิ่งที่ทุกท่านพึงตระหนักให้ดีว่า "ช้าง" มีสถานะยิ่งกว่าทรัพย์สิน แต่เขาคือสิ่งที่มีคุณค่า ที่สูงค่าอันประเมินมูลค่ามิได้ ซึ่งเป็นสมบัติของคนไทยเราทุกคน

‘พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์’ เสด็จลงพื้นที่ชุมชนคลองแม่ข่า เชียงใหม่ พร้อมทั้งประทานเครื่องใช้อุปโภค-บริโภค ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม

เมื่อวานนี้ (5 ต.ค. 67) กองทุนพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ได้รายงานว่า

วันนี้ วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2567 เวลา 16.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ 
(เสด็จเป็นการส่วนพระองค์) ลงพื้นที่บริเวณชุมชนคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ ทรงประทานข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ข้าวกล่อง และสิ่งของต่างๆให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ยังสูงมาก 

ทั้งนี้ยังทรงช่วยชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ติดอยู่ในพื้นที่ ที่ยังออกมาไม่ได้ นำส่งไปยังพื้นที่ปลอดภัย และนำนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่งสนามบินเชียงใหม่เพื่อเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย

‘แพทองธาร’ เตรียมนั่งหัวโต๊ะ ชี้ชะตาเบอร์ 1 สตช. ตั้งตัวชี้วัดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องสางปัญหาอาชญากรรม-ยาเสพติด

(6 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี จะไปเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ในวันพรุ่งนี้ (7 ตุลาคม) เวลา 14.30 น. โดยมีวาระสำคัญ คือ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีชื่อผู้มีอาวุโส 3 คน ได้แก่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 1, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ อาวุโส อันดับ 2 และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 3

สำหรับขั้นตอนการคัดเลือก ผบ.ตร. ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 มาตรา 78 ระบุว่า ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้คัดเลือกรายชื่อเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยการประชุมเมื่อเข้าพิจารณาวาระนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พล.ต.อ.ไกรบุญ และพล.ต.อ.ธนา จะต้องออกจากห้องประชุม เนื่องจากถือว่ามีส่วนได้เสียองค์ประชุมจึงมีเพียง นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. นายปิยะวัฒน์ ศิวะรักษ์ เลขาธิการ ก.พ. ในฐานะก.ตร. โดยตำแหน่ง และ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ รองศาสตราจารย์ประทิต สันติประภพ และศาสตราจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ เป็นคณะกรรมการพิจารณา

“ไม่ว่าท่านใดจะมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป้าหมายสำคัญตามนโยบายรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาคือการดูแลทุกข์สุข พิทักษ์สันติราษฎร์ ให้กับพี่น้องประชาชน แก้ไขปัญหายาเสพติดและลดอาชญากรรมทุกประเภทให้ได้”

‘อนุทิน’ เตรียมเสนอ ครม. จัดงบเยียวยาค่าล้างโคลนเพิ่ม 10,000 บาท คาดไม่เกินสิ้นเดือน เคลียร์แผ่นดินแม่สาย-เชียงราย กลับเข้าสู่สภาวะปกติ

เมื่อวานนี้ (5 ต.ค. 67) เวลา 10.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย พร้อมด้วย น.ส.ธนนนท์ นิรามิษ ภริยารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัย ใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยได้รับฟังการสรุปสถานการณ์ภาพรวมและลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์ ณ สะพานด่านแม่สาย ก่อนจะเดินทางไปติดตามดูการช่วยเหลือพื้นฟูในจุดต่างๆ พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจปลัดอำเภอและกำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ที่กรมการปกครองได้ระดมกำลังพลทั่วประเทศเข้ามาสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนใน จ.เชียงราย ฟื้นฟูทำความสะอาดบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกำลังพลทุกนายมีกำลังใจที่ดี ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเสียสละและอดทน

นายอนุทิน กล่าวระหว่างการลงพื้นที่ว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ระดมทุกภาคส่วนเข้ามาให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยใน อ.แม่สาย ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน และภาคประชาชน ส่วนของท่านเจ้ากรมการทหารช่าง ได้มาประจำอยู่แม่สายเป็นสัปดาห์แล้ว 

ในส่วนของการบัญชาการตอนนี้ที่เชียงรายไม่น่าเป็นห่วงแม้อยู่ในช่วงการรอแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเนื่องจากท่านเดิมเกษียณอายุราชการ แต่ได้มีการตั้งนายโชตนรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้ามารักษาการผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถสั่งการเพื่อจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ 

ส่วนของรองผู้ว่าราชการจังหวัดขณะนี้ก็ได้มีการแต่งตั้งเข้ามาจนครบแล้ว ขณะที่นายอำเภอแม่สายท่านได้เกษียณอายุราชการแล้วแต่ตัวท่านและภรรยาก็ยังคงอยู่ในพื้นที่ช่วยงานราชการซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก และได้รับการยืนยันจากทางปลัดกระทรวงมหาดไทยว่าจะมีการแต่งตั้งนายอำเภอแม่สายท่านใหม่เข้ามากำกับดูแลสถานการณ์ในสัปดาห์นี้

นายอนุทิน กล่าวว่า จากที่ได้ฟังการรายงานจากทางเจ้าหน้าที่ คาดว่าจะสามารถเคลียร์พื้นที่ได้ภายในไม่เกินสิ้นเดือนนี้ แต่จะทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีจุดที่หนักหน่อยก็คือที่ตลาดสายลมจอย ที่น้ำทะลักเช้าไปมากจนสร้างความเสียหาย ซึ่งมีความเห็นใจผู้ประกอบการ เพราะว่าทราบมาว่าสินค้าอะไรถูกทำลายไปด้วยซึ่งจะต้องพิจารณาต่อไปว่าจะหาวิธีช่วยเหลืออย่างไร

“ในเรื่องของการเยียวยาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย ในวันอังคารนี้ ก็มีการเสนอให้ ครม. พิจารณาปรับเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งเป็นไปตามคำบัญชาของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ว่าจะให้การเยียวยาในระดับสูงสุดก็คือ 9,000 บาทต่อครัวเรือน 

และก็ยังมีเงินที่ตอนนี้ทางกรมป้องกันสาธารณภัยได้ตั้งเรื่องและได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้วคือ ค่าล้างโคลนบ้านละ 10,000 บาทต่อหลัง ซึ่งเป็นการที่เราพยายามจะหาความช่วยเหลือมาให้ประชาชนให้มากที่สุด 

ท่านรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ตั้งแต่รับตำแหน่งท่านก็ยังไม่ได้เข้าที่ทำงานที่มหาดไทยเลย เพราะมาอยู่ที่นี่ วิ่งรอกระหว่างเชียงใหม่ เชียงราย 2 จังหวัดนี้ตลอด เพื่อบัญชาการ ประสานงานขอความช่วยเหลือสนับสนุนต่าง ๆ ซึ่งก็ทำให้สิ่งที่มีความจำเป็นทั้งหมดก็มาถึงโดยเร็วอันนี้เป็นการบูรณาการอย่างจริงจังและจะเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวถึง สถานการณ์น้ำภาพรวมของ อ.แม่สาย จ.เชียงราย หลังการลงพื้นที่ติดตามว่า ในส่วนของปริมาณน้ำนั้นห้ามไม่ได้ มีความเร็ว แรง แต่ด้วยประสบการณ์ที่พื้นที่ได้เจอมา ทำให้รู้ว่าน้ำมาแล้วจะไปทางไหน สามารถบริหารจัดการได้คล่องตัวในการกู้ภัย การฟื้นฟูสภาพก็มีความคล่องตัวมากขึ้น ทำได้เร็วขึ้นกว่าช่วงแรกๆ เหมือนกับอยู่ในช่วงอยู่ตัว แต่เราก็ไม่ได้ถอนกำลังหรือลดทรัพยากรใดๆ ออกไป 

สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือต้องเร่งระบายขยะมูลฝอยและเศษไม้ ต่อไม้ที่มากับน้ำหากติดสะพานปิดกั้นทางน้ำจะทำให้การระบายช้าลง ต้องมีเครื่องมือเครื่องจักรคอยตักออกตลอดเวลา โดยคาดว่าน้ำท่วม ไม่น่าจะเกิดความรุนแรงแล้ว ส่วนการเอาดินออกจากบ้านเรือนประชาชนก็ทำไปได้มากแล้ว โดยจะเร่งทำให้สามารถคืนพื้นที่ให้เร็วที่สุด

ส่อง ‘ชัชชาติ’ เลกเชอร์ระบบระบายน้ำ กทม. เตรียมรับ ‘น้อนน้ำ’ ย้ำ น้ำเหนือ-น้ำหนุน ไม่น่ากังวลแต่ไม่ประมาท ปิดครบจุดอ่อนริมเจ้าพระยา

เมื่อวันที่ (2 ต.ค. 67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวรายงานการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำของกรุงเทพมหานคร แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมร่วมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ กรมชลประทานปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

นายชัชชาติ กล่าวว่า กรุงเทพมหานครต้องรับมือกับ 3 น้ำ คือ น้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน สำหรับน้ำเหนือและน้ำหนุนจะอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลัก ปัจจุบันน้ำเหนือเราจะดูที่สถานีจุดวัดน้ำบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา โดยวันนี้ปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,818 ลบ.ม./วินาที ระดับเตือนภัยอยู่ที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที วิกฤตอยู่ที่ 3,000 ลบ.ม./วินาที ซึ่งยังเหลืออีกเยอะ 

ด้านน้ำทะเลหนุนสุงสุดจากนี้จะเป็นวันที่ 20 ตุลาคม สำหรับการป้องกันน้ำเหนือและน้ำหนุนของกรุงเทพฯ เรามีเขื่อนตลอดแนวเจ้าพระยายาว 88 กม. และเข้าไปในคลองทวีวัฒนา พระโขนง และมหาสวัสดิ์ โดยความสูงเขื่อนไล่ตามระดับน้ำจากทางด้านเหนือ +3.5 เมตร และด้านล่าง +3 เมตร เพราะด้านล่างน้ำน้อยกว่า 

โดยตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยามีจุดอ่อนน้ำท่วม 120 จุด ปัจจุบันแก้ไปแล้ว 64 จุด ที่เหลืออยู่ในขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมดและมีการเสริมกระสอบทรายป้องกันไว้ ซึ่งเรามั่นใจว่าเขื่อนแนวริมเจ้าพระยามีคุณภาพ คาดว่าปีนี้น้ำเหนือและน้ำหนุนไม่น่ากังวลแต่เราก็ไม่ประมาท

นายชัชชาติ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือน้ำฝน ซึ่งฝนที่ตกในกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่แล้วไหลลงสู่เจ้าพระยาโดยมาจากคลองย่อยสู่คลองหลัก หรือจากอุโมงค์ระบายน้ำซึ่งเรามี 4 จุด ยาวรวม 20 กม. แต่ปัญหาการระบายน้ำหลัก ๆ คือเส้นเลือดฝอย ที่ผ่านมาเราลอกท่อไปแล้ว 5,000 กม. และคลองหลัก 200 กม. เปิดทางน้ำไหล 2,000 กม. จึงทำให้โดยรวมน้ำไหลได้ดีขึ้น แต่ปริมาณฝนปีนี้เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนภาพรวมยังน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าเดือนตุลาคมฝนจะตกมากขึ้น ซึ่ง กทม. พร้อมรับมือเพราะเตรียมการมาโดยตลอดและร่วมบูรณาการกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน แจ้งว่าปริมาณน้ำผ่านจุดสำคัญ ได้แก่ 
1.สถานีจุดวัดน้ำ จ.นครสวรรค์ ปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,383 ลบ.ม./วินาที โดยปริมาณน้ำไหลผ่านที่เฝ้าระวัง อยู่ที่ 3,660 ลบ.ม./วินาที

2.จุดวัดน้ำบริเวณเขื่อนเจ้าพระยา ปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,150 ลบ.ม./วินาที โดยปริมาณน้ำไหลผ่านที่เฝ้าระวัง อยู่ที่ 2,730 ลบ.ม./วินาที

3.สถานีจุดวัดน้ำบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,865 ลบ.ม./วินาที โดยปริมาณน้ำไหลผ่านที่เฝ้าระวัง อยู่ที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที

‘สถานทูตไทย ณ กรุงเทลอาวี’ ออกประกาศอำนวยความสะดวกกลับไทย หลังสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง

(6 ต.ค. 67) สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ได้ออกประกาศสำหรับคนไทยในอิสราเอล ว่า 

ตามที่เกิดสถานการณ์ความตึงเครียดในอิสราเอลและภูมิภาคตะวันออกกลาง และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอแจ้งว่า หากมีพี่น้องคนไทยในอิสราเอลที่ประสงค์เดินทางกลับประเทศไทย และต้องการความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อช่วยสำรองบัตรโดยสารเครื่องบิน
พาณิชย์ให้ โดยผู้เดินทางต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง 

สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ตามหมายเลขโทรศัพท์ด้านล่าง
ฝ่ายกงสุล โทร +972 546368150 +972 503673195
ฝ่ายแรงงาน โทร. +972 9-954-8431+972 54-469-3476
ไอดีไลน์ 0544693476

ด้วยความห่วงใย จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ

นอกจากนี้ทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ยังได้ออก แบบสำรวจความประสงค์ของคนไทยในอิสราเอลในการเดินทางกลับประเทศไทย (โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง) ให้กรอกผ่าน Google Form ได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/1k00qCDPoDJdeP_rNHV8MbPSgcht6eJ73ZYJ9zXRZl2Q/viewform?fbclid=IwY2xjawFvLMtleHRuA2FlbQIxMAABHQIxSDugIqcitLszbYigDCVdG8pVWjXkxTB9EW1lgqVqCd-qMgWwbbY2qg_aem_15AEhWP6F0idvpEP6ij57A&edit_requested=true

‘ภูมิ คชนิล’ ที่ปรึกษาฟื้นฟูการท่องเที่ยวแม่แตง ใจสลายกับการสูญเสียช้างไทย ชี้ หากรอบคอบความเสียหายคงไม่เกิด การเลี้ยงช้างแบบโบราณไม่ใช่การทรมาน

(6 ต.ค. 67) จากกรณีดราม่าปางช้างน้ำท่วมแม่แตง อาจารย์ภูมิ คชนิล ที่ปรึกษาเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ,"แม่แตง Model" ในโครงการ Service to Survice - Thailand โพส facebook เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม โดยมีข้อความว่า 

นอนไม่หลับมาหลายวันทั้งเรื่องงาน เรื่องเชียงดาวเรื่องเหล่าน้องช้างที่ผมเป็นที่ปรึกษาการท่องเที่ยวแม่แตงตั้งแต่โควิดระบาด เมื่อวานทนห่วงไม่ไหวเลย

มีโอกาสโทรหาแม่หลวงบ้านแม่ตะมานเพื่อถามว่าน้องช้างหลายๆปางบ้านเรา 80 กว่าปางปลอดภัยทั้งหมด ค่อยยังยิ้มใด้หัวใจพองชุ่มฉ่ำอีกครั้ง แต่กลับมาเห็นน้องจากปางที่กักขังและไร้การวางแผนขนย้าย หลุดลอยน้ำล้มไปหลายเชือกก็สงสารใจจะขาด น้อง ๆ ควรปลอดภัยกว่านี้ถ้ามีความรอบคอบและดูแลใด้ดีมากอย่างที่ปากนางพูด 

ขอบคุณการนำทีมช่วยช้างโดยอ้ายเบิ้ม ปี้การ น้องเฟิร์น และควาญช้างจากปางCampช้าง ที่บุกฝ่าน้ำเข้าไปช่วยน้องออกมาได้ พี่ๆหัวใจยิ่งใหญ่มากครับ ส่วนที่เหลือเราควรลุกขึ้นมาช่วยกันเสพข่าวอย่างมีสติ ไร้ดราม่าว่า การเลี้ยงช้างควบคุมช้างแบบโบราณไม่ใช่การทรมานคือสิ่งที่ ‘ใช่’ ที่สุด 

ผมขอส่งพลังใจให้ ปางช้างแม่แตงโดย อ้ายดร.บุญทา พี่กล้าวาสนา พี่พารวย พี่เพชร พี่ดวง แม่หลวงฝน และทีมทำงาน ควาญช้างปางช้างแม่แตง พ่อหลวงวู๊ดดี้ พี่เจตน์ ตำบลกู๊ดช้าง ป้าศรี พี่อุ้มเราจะก้าวผ่านและช่วยกันตีแผ่เรื่องนี้ไปด้วยกันนะครับ

 .. ถึงเวลาที่จะช่วยกันตีแผ่อะไรที่ทำแย่ๆกับน้องช้าง แล้วโลกจะใด้รู้กัน..


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top