Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง' เสริมสร้างอนาคตเด็กไทย ลงพื้นที่ภาคใต้ มอบทุนการศึกษาในระดับชั้นประถม และทุนฯ ทุกระดับปีสุดท้าย (ทุนสัญจร) แก่เยาวชนรวม 53 สถาบัน มูลค่ากว่า 2.28 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (3 ต.ค.67) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมด้วย นายนิพนธ์ ลีละศิธร กรรมการ  นายนิพนธ์ โชคภิรมย์วงศา กรรมการปฏิคม และนางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ  ลงพื้นที่มอบทุนการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา และทุนฯ ทุกระดับปีสุดท้าย (ทุนสัญจร) ประจำปี พ.ศ. 2567 แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ภาคใต้ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช ตรัง และสตูล 

โดยมี จังหวัดพัทลุงเป็นศูนย์กลางในการมอบทุนฯ รวม 53 สถาบัน 265 ทุน รวมเป็นเงินจำนวน 2,280,000 บาท (สองล้านสองแสนแปดหมื่นบาทถ้วน) เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมตามที่มุ่งหวัง เติบโตพร้อมมีวิชาความรู้ สร้างอนาคตของตนเองและครอบครัว เป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง โดยมี นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะพัทลุงการกุศลมูลนิธิฯ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ ศูนย์ประชุม โรงเรียนพัทลุง ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง

การมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน นิสิต และนักศึกษา เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของงานสังคมสงเคราะห์ ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ดำเนินการมาแล้วเป็นเวลากว่า 50 ปี โดยในปี พ.ศ. 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดสรรงบประมาณในการมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 18,345,000 บาท (สิบแปดล้านสามแสนสี่หมื่นห้าพันบาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” 

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก 
แฟนเพจ http://www.facebook.com/pohtecktungofficial

‘สุกฤษฏิ์ชัย’ ชี้เหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ เกิดจากวิกฤติทรัพยากรธรรมชาติแนะเร่งฟื้นฟูป่าไม้ สร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ลดผลกระทบในอนาคต

(4 ต.ค. 67) นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ (หน่วยงานดีเด่นแห่งชาติสาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า 

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจ รวมถึงขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยพิบัติจากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลันและดินโคลนถล่มรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนจำนวนมาก 

เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาสภาพพื้นที่ป่าที่ถูกทำลาย เสียหาย เปลี่ยนแปลงสภาพ จากการตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำ ป่าสมบูรณ์ จนเกิดเป็นภูเขาหัวโล้น การบุกรุกเพื่อเปิดพื้นที่ทำการเกษตร ทำไร่เลื่อยรอย ปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยว 

ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำป่าไหลหลากและเกิดดินถล่มโดยไม่มีการชะลอความรุนแรงจากป่า รวมถึงการปลูกสร้างอาคารที่อยู่อาศัยที่กีดขวาง รุกล้ำทางน้ำธรรมชาติ

ข้อมูลจากสำนักจัดการที่ดินป่าไม้ กรมป่าไม้ พบว่าพื้นที่ป่าไม้ในภาคเหนือในปี 2566 มีจำนวน 37,976,519.37 ไร่ หรือ 63.24% ของพื้นที่ภูมิภาค ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปี 2565 เท่ากับ 171,143.04 ไร่ 

การสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการดูดซับน้ำของพื้นที่ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภัยธรรมชาติ 

อีกข้อมูลจากคณะนักวิจัยจากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าในปี 2566 พื้นที่ป่าลดลงมาก ปัจจัยหนึ่งเกิดจากไฟป่าที่ลุกลามและขยายวงอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ สะท้อนถึงปัญหาเรื้อรังและเป็นปัจจัยสำคัญสู่วิกฤติทางสิ่งแวดล้อมจนนำไปสู่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น 

การบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้น จริงจัง คงเป็นสิ่งที่หน่วยงานผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต้องรีบดำเนินการ และถือปฏิบัติโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ รวมถึงการเร่งฟื้นฟูป่าไม้ จัดกิจกรรมรณรงค์ปลูกต้นไม้ เพิ่มความแข็งแรงสมบูรณ์ให้ป่าต้นน้ำ ให้ระบบนิเวศธรรมชาติคืนกลับมาโดยเร็ว บนพื้นฐานให้ชุมชนและสังคมมีส่วนร่วมเพื่อความยั่งยืน 

ภาครัฐ ภาคราชการอาจเป็นผู้สนับสนุนให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม มูลนิธิต่าง ๆ มาร่วมกันเป็นเจ้าภาพดำเนินการ พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) ให้มากขึ้นและครอบคลุมทุกพื้นที่ ใช้เทคโนโลยี ระบบดิจิทัล ภาพถ่ายดาวเทียมเข้ามาใช้กำหนดแผนงาน สำรวจภูมิประเทศ

เราอาจได้ทั้งป่าไม้ที่คืนสภาพธรรมชาติเดิม และยังแก้ไขปัญหาฝุ่นควันพิษ PM2.5 ได้อากาศสะอาดกลับคืนมา วิกฤติครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้เราได้แก้ไขและบูรณาการการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบจากทุกภาคส่วนได้อย่างยั่งยืนด้วย

ด่านจีน-เวียดนาม ใช้ระบบอัจฉริยะลดเวลาพิธีศุลกากรเหลือไม่ถึง 3 ชั่วโมง เชื่อ หนุน! เพิ่มการส่งออกสินค้าทางการเกษตรไปยังประเทศจีน

(4 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 67 ซึ่งเป็นวันแรกของช่วงหยุดยาววันชาติจีน ระยะ 1 สัปดาห์ (1-7 ต.ค.) ด่านโหย่วอี้หรือด่านมิตรภาพบนชายแดนจีน-เวียดนาม ในเมืองผิงเสียง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ได้รับรองรถบรรทุกขนส่งทุเรียนไทยคันหนึ่งที่วิ่งผ่านเวียดนามมายังด่านโหย่วอี้ของจีน

รายงานระบุว่ารถบรรทุกทุเรียนไทยคันนี้ได้ผ่านพิธีการศุลกากรแบบไร้กระดาษและการตรวจสอบเชิงอัจฉริยะอย่างราบรื่นภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง ทำให้สามารถกระจายสินค้าทุเรียนไทยอันเป็นที่โปรดปรานของผู้บริโภคชาวจีนสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว

อนึ่ง ด่านโหย่วอี้เป็นด่านบกขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับการขนส่งผลไม้ไทยเข้าสู่จีน โดยข้อมูลศุลกากรของด่านโหย่วอี้ระบุว่ามูลค่าการนำเข้าทุเรียนไทยผ่านด่านแห่งนี้ ช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2024 สูงถึง 5.88 พันล้านหยวน (ราว 2.76 หมื่นล้านบาท)

ด่านโหย่วอี้ได้ปรับปรุงพิธีการศุลกากรและกระบวนการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มความรวดเร็วของการขนส่งสินค้าเกษตรนำเข้าที่ต้องรักษาความสดใหม่ เช่น ผลไม้สดจากไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน

สยงฉู่โจว เจ้าหน้าที่ด่านโหย่วอี้ เผยว่ามีการใช้ระบบตรวจสอบยานพาหนะขาเข้า-ขาออก เวอร์ชัน 2.0 พร้อมทดลองระบบแจ้งยานพาหนะเข้า-ออกล่วงหน้าทางออนไลน์ ทำให้เกิดพิธีการศุลกากรแบบไร้กระดาษ โดยบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ การยืนยันตัวตนผ่านข้อมูลชีวภาพ และการโต้ตอบเชิงอัจฉริยะ

ด่านโหย่วอี้ได้ดำเนินการตรวจสอบยานพาหนะข้ามพรมแดนจีน-เวียดนามในปีนี้สูงถึง 5.38 แสนคัน เมื่อนับถึงวันที่ 23 ก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.1 เมื่อเทียบปีต่อปี และครองอันดับหนึ่งในภูมิภาคกว่างซีติดต่อกัน 5 ปี

ไช่เจิ้นอวี่ ผู้จัดการทั่วไปของกว่างซี โอวเหิง อินเตอร์เนชันแนล โลจิสติกส์ จำกัด เผยว่าบริษัทนำเข้าทุเรียนผ่านด่านโหย่วอี้มากกว่า 2,000 ตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุเรียนไทย ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2024 โดยความรวดเร็วในการดำเนินพิธีการศุลกากรของด่านโหย่วอี้ช่วยรับประกันความสดของทุเรียนและส่งสินค้าถึงผู้บริโภคได้เร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จีนและเวียดนามเริ่มต้นก่อสร้าง 'กิโลเมตรที่ 0' ของช่องทางขนส่งสินค้าที่ด่านโหย่วอี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการด่านบกอัจฉริยะจีน-เวียดนาม ที่เป็นโครงการด่านบกอัจฉริยะข้ามพรมแดนแห่งแรกของจีน โดยโครงการนี้มุ่งกระชับขั้นตอน ลดการใช้กระดาษ ทุ่นแรงงานมนุษย์ ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ

โครงการด่านบกอัจฉริยะจีน-เวียดนาม ประยุกต์ใช้ระบบนำทางผ่านดาวเทียมและสัญญาณ 5G เพื่อสร้างแพลตฟอร์มอัจฉริยะสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน การเดินรถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ไร้คนขับ การใช้อุปกรณ์ยกย้ายอัตโนมัติ การตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์เชิงอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการดำเนินพิธีการศุลกากรได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘รร.ราชินี’ ยกมาตรฐานการเลือก ‘รถทัศนศึกษา’ พร้อมส่งครู 7-9 คนนั่งประจำจุด คุมเข้มตลอดเส้นทาง

(4 ต.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Rajiniactivity’ ของโรงเรียนราชินี ได้โพสต์ถึงการจัดกิจกรรมนอกสถานที่และการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย ว่า วันที่ 3 - 6 ตุลาคม 2567 นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 116 คน เข้าร่วมกิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษ (English Camp) รุ่นที่ 21 โรงเรียนมีมาตรการความปลอดภัยด้านการเดินทาง ดังนี้

1. คัดเลือกบริษัทรถที่ได้มาตรฐาน คือ บริษัท ซีอาร์วี ทรานสปอร์ต จำกัด รถมีสภาพดี มีประตูฉุกเฉินที่มีสภาพพร้อมใช้งาน เบาะที่นั่งเป็นเบาะกันไฟ และเป็นรถใช้น้ำมัน ไม่ใช้แก๊ส และจำกัดความเร็วไม่เกิน 90 กม./ ชม. หากพนักงานขับรถเกินความเร็วที่กำหนด จะมีเสียงเตือนภายในรถ และพนักงานขับรถติดต่อกันด้วยวิทยุสื่อสาร แจ้งสภาพปัญหาการจราจรเป็นระยะ

2. มีตำรวจนำทางตลอดการเดินทาง ทั้งขาไปและขากลับ และมีความชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี

3. รถทุกคันมีครูและ staff นั่งกระจายอยู่ด้านหน้า ตรงกลาง และด้านหลัง คันละ 7-9 คน มีครูนั่งประจำอยู่ประตูฉุกเฉินทุกคัน และครูชายฝ่ายเดินทางติดต่อด้วยวิทยุสื่อสาร โดยคันที่ 1 จะแจ้งเหตุการณ์บนถนนด้านหน้า เป็นระยะ 

4. วันเดินทาง ครูชายตรวจสอบสภาพรถทุกคัน ทดสอบความพร้อมของประตูฉุกเฉินและอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อนักเรียนขึ้นรถ ครูอธิบายการปฏิบัติตนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินให้นักเรียนเข้าใจอีกครั้ง

ศิษย์เก่า-ปัจจุบัน อุเทนถวาย เกือบ 100 ชีวิต ยกพลขึ้นเชียงราย ช่วยเหลือชาวบ้าน  

อดีตไม่สำคัญ ปัจจุบันขอเป็นพลังอาสาฟื้นฟูชุมชนหลังน้ำท่วมใหญ่ ศิษย์เก่า-ปัจจุบัน อุเทนถวาย เกือบ 100 ชีวิต ยกพลขึ้นเชียงราย ช่วยเหลือชาวบ้าน เยาวชนจากศูนย์ฝึกบ้านกาญจนาภิเษก กว่า 20 ชีวิต เดินทางมาร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา ลงพื้นที่ฟื้นฟู ตักโคลนล้างบ้าน ด้านนายวิศาล ประธาน กมธ.วิสามัญ พรบ.คุมเหล้า ลงพื้นที่ให้กำลังใจ พร้อมหนุนเสริมภารกิจเยาวชนช่วยชาวเชียงรายสู้ภัยพิบัติ

เมื่อวันที่ (29 ก.ย.67) ที่ผ่านมานายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คณะกรรมาธิการฯ ซึ่งเดินทางมาศึกษาดูงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่จังหวัดเชียงราย และเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ (27-29 กย.) ได้เดินทางมอบถุงยังชีพให้กับประชาชน ผู้ประสบภัยในพื้นที่ และได้เดินทางไปมาเยี่ยมให้กำลังใจนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เขตพื้นที่อุเทนถวาย และศิษย์เก่า ที่ประจำการอยู่ที่สนามกีฬากลาง อบจ.เชียงราย ได้ร่วมสนับสนุนเงินและสิ่งของกับโครงการ 'หมดตัวไม่หมดใจ เพราะยังมีอีจัน' และหลังจากนั้นกรรมาธิการฯได้เดินทางไปยังบ้านเกาะลอย อ.เมือง จ.เชียงราย 

เพื่อพบปะกับนักศึกษาอุเทนถวายที่ทำงานกันอยู่ในพื้นที่ ได้มอบอาหารให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม และทานข้าวกับน้อง ๆ นักศึกษา “ในฐานะที่เป็นคนเชียงราย ต้องขอบคุณน้อง ๆ ชาวอุเทนถวายและรุ่นพี่ทุกคน ที่เดินทางไกลเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบกับความทุกข์ยากในเวลานี้ ทราบมาว่าในแต่ละวันทุกคนมีภารกิจที่หนักหน่วงกันมาก ทั้งที่จุดจัดการของบริจาคร่วมกับเพจอีจัน และในพื้นที่ประสบภัย ทำงานกันชนิดแทบไม่ได้พัก ได้เห็นภาพที่น้อง ๆ นอนพักกลางวันทั้งที่เนื้อตัวยังเต็มไปด้วยโคลนแล้ว ยังต้องลุกขึ้นมาทำงานต่อ ยิ่งรู้สึกเห็นใจและชื่นชมในความเป็นนักสู้ของทุกคน หากต้องการความช่วยเหลือให้ประสานงานมาได้ตลอด” นายวิศาล กล่าว  

นายเตชาติ์ มีชัย ประธานมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัวมกล่าวว่า ท่ามกลางความโกลาหลหลังเกิดภัยพิบัติฝนตกถล่มเชียงรายในหลายพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 9-14 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับสิบราย บ้านเรือนเสียหายมากกว่าห้าหมื่นครัวเรือน หลายหน่วยงานเร่งเข้าให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูความเสียหายที่มาพร้อมกับความรุนแรงของกระแสน้ำและดินโคลนจำนวนมหาศาล กลุ่มคนเล็กๆสองกลุ่มที่เข้าพื้นที่มาปฏิบัติภารกิจอย่างเงียบ ๆ และสม่ำเสมอ เรียกได้ว่าสายตัวแทบจะขาดในแต่ละวัน กลุ่มแรกพวกเขาคือคนหนุ่มสาวชาวอุเทนถวาย ที่ในอดีตมักถูกสังคมตัดสินตีตรา ในนามเด็กอาชีวะที่มักจะมีข่าวทะเลาะวิวาทต่างสถาบัน แต่วันนี้พวกเขาทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง และศิษย์เก่าเกือบ 100 ชีวิต พร้อมใจกันมาทุ่มเทแรงกายแรงใจเข้ามาฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมเชียงราย แม้จะรู้ว่าต้องมาเจองานที่ยากและหนักยิ่งก็เต็มใจที่จะมา และอีกกลุ่มคือเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กว่า 20 คน พร้อมเจ้าหน้าที่ ก็เดินทางเข้าพื้นที่ด้วยเช่นกัน  

ซึ่งเป็นภารกิจที่ถูกจัดขึ้นแทบทุกครั้งที่มีภัยพิบัติครั้งใหญ่ ๆในประเทศ เช่น กรณี คลื่นยักษ์สึนามิที่พังงา ดินถล่มที่ลับแล เป็นต้น โดยเป็นการตัดสินใจร่วมกันของเยาวชนในศูนย์ฝึกแห่งนี้ ซึ่งทุกคนต้องการใช้พลังกายพลังใจตอบแทนคืนสู่สังคมในยามที่ยากลำบากแบบนี้ มูลนิธิฯเป็นเพียงลมใต้ปีกผู้ที่คอยสนับสนุนภารกิจของทั้งสองกลุ่มนี้ให้ลุล่วง และพยายามระดมทรัพยากรช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้  

นายศุภชัย ลิ้มพิพัฒนโสภณ นายกสมาคมศิษย์เก่าอุเทนถวาย กล่าวว่า ช่วงมีข่าวน้ำท่วมหนักที่เชียงราย พวกเรารุ่นพี่รุ่นน้องอุเทนถวาย ได้จัดทำโครงการอาสารวมน้ำใจคนไทย กู้วิกฤตภัยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย โดยเบื้องต้นระดมเงินจากรุ่นพี่ ๆ หน่วยงานห้างร้าน องค์กรเครือข่ายเพื่อสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม โคลนถล่มในจังหวัดเชียงราย เราเดินทางเข้าพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แบ่งภารกิจเป็นสองส่วนคือส่วนแรกประจำการที่สนามกีฬากลาง อบจ.เชียงราย สนับสนุนภารกิจจัดการกับของบริจาค ในโครงการ 'หมดตัวไม่หมดใจ เพราะยังมีอีจัน' ที่จะส่งมอบอุปกรณ์ของใช้จำเป็นให้บ้านที่ได้รับผลกระทบหนัก ช่วยเหลือตัวเองได้ยากลำบาก เช่น 

ที่นอน หม้อหุงข้าว เตาแก๊ส ฯลฯ ส่วนที่สองจะเข้าไปในพื้นที่ที่น้ำท่วมโคลนถล่ม ไปช่วยตักโคลน ล้างบ้าน ทำความสะอาดบ้าน อุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ให้มีสภาพพร้อมใช้งาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานในพื้นที่เป็นอย่างดีทำให้ภารกิจที่วางไว้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี  

ด้านนายอนนทกรณ์ นาดี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เขตพื้นที่อุเทนถวาย กล่าวว่า รู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนที่ยากลำบาก พวกเขาลำบากเราก็เห็นใจ พวกเราทุกคนมีความสุขได้รับการต้อนรับจากคนในพื้นที่เหมือนลูกเหมือนหลาน น้อง ๆ ที่มาช่วยก็เต็มใจมา รู้สึกดี  เห็นแววตาที่ชาวบ้านมองเราอย่างเอ็นดู อยากชักชวนเพื่อนคนนักเรียนนักศึกษามาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ มาช่วยเหลือชาวบ้านในยามที่ทุกคนกำลังแย่ ผมคิดว่าการมีกิจกรรมแบบนี้ เป็นเรื่องที่ดีจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาและน้อง ๆ ที่มาร่วมด้วย แม้ว่าเราจะเหนื่อย หนัก และได้พักผ่อนน้อย แต่เราก็มีความสุขทุกครั้งที่ออกไปทำงาน เวลาที่ได้ยินเสียงขอบคุณ แววตาของความเมตตาจากชาวบ้านที่มองเรา การโอบกอดเราอย่างลูกหลานคือพลังใจที่เราได้กลับมา

ด้านนายเอ นามสมมุติ เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า พวกเราเดินทางมาเชียงรายด้วยความสมัครใจ กว่า 20 ชีวิต และยังมีเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งอยู่ที่บ้านกาญ คอยไปเป็นอาสาสมัครช่วยจัดการของบริจาคของมูลนิธิกระจกเงาที่กรุงเทพ ตามที่ได้รับแจ้งภารกิจมา ก่อนการตัดสินใจทำภารกิจในครั้งนี้ ป้ามล ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกฯบ้านกาญจนาภิเษก ได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้พูดคุยกัน หาข้อมูล ตัดสินใจร่วมกันว่าจะไปช่วยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่เชียงราย ส่วนคนที่ไม่ได้ไปจะต้องพร้อมสแตนบายสำหรับภารกิจอาสาที่กรุงเทพ เราได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือ จากพี่ๆที่เคยเป็นศิษย์เก่าบ้านกาญ มูลนิชนะใจ มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว และเครือข่ายที่เป็นกัลยาณมิตรกับบ้านกาญจนา พวกเรารู้ดีว่าการมาในครั้งนี้ต้องเจองานใหญ่แน่นอน  

ซึ่งในความจริงที่มาก็เจองานหนักจริง ๆ ในแต่ละวันการเข้าพื้นที่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย งานตักโคลน ล้างบ้าน ทำความสะอาดทุกอย่าง ต้องใช้พลังกายพลังใจอย่างมาก มีเวลาพักน้อยต้องทำงานแข่งกับเวลา แต่สิ่งที่ตอบแทนกลับมามันมีคุณค่ามากๆสำหรับพวกเราคือรอยยิ้ม คำขอบคุณและความเมตตาของลุงป้าน้าอา ที่เราเข้าไปช่วย เหมือนกับพวกเราเป็นลูกหลานจริง ๆ หลายๆบ้านคุณตาคุณยายร้องไห้บอกให้เราแวะมาเยี่ยมด้วยนะถ้ามีโอกาส เรารู้สึกได้เลยว่านี่คุณค่า คือความหมายที่พวกเราตามหามานาน  และไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจมาที่นี่แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2567 : ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม: ทำไมจึงเกิดการเวียนว่าย ตาย เกิด และใครเป็นผู้บัญญัติเรื่องนี้?

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท) : ก็เหมือนกับกลางวันกลางคืน เป็นธรรมชาติ ไม่มีใครบัญญัติ

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เราก็สมมุติว่ากลางวัน แล้วใครไปทําให้พระอาทิตย์ขึ้น? ก็ไม่มีคนทํา พระอาทิตย์นั้นอยู่คงที่

ซึ่งนักดาราศาสตร์ค้นพบแล้วว่า ตัวหมุนมันคือโลก แต่เนื่องด้วยเราอยู่ในโลก มันใหญ่เรามองไม่เห็นเราก็นึกว่าพระอาทิตย์มันเคลื่อนมันขึ้นมันตก

ฉะนั้น จึงไม่มีใครสร้างกลางวัน ไม่มีการใครสร้างกลางคืนฉันใด การเวียนว่ายเราเกิดก็ฉันนั้นแหละ เป็นเรื่องธรรมชาติ

เป็นสิ่งที่มีมาอยู่แล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า ตรัสว่า มีเกิดขึ้น ดํารงอยู่ สูญสลายไป แต่พระพุทธเจ้า ท่านรู้เหตุรู้ผล และนํามาสอนพวกเรา ให้รู้ว่าการเกิด มันจะนํามาซึ่งความเจ็บ นํามาซึ่งความแก่ แล้วสุดท้ายนํามาซึ่งความตาย

ดังนั้น เมื่อความเจ็บ ความแก่ ความตาย เป็นทุกข์ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ท่านเลยสอนให้เราออกจากทุกข์ นี่คือเหตุใหญ่ของอริยสัจ 4 ประการ...

‘พันธุ์ไทย’ แจ้งเกิด 'ไทยริกาโน' อเมริกาโนสัญชาติไทย หวังปั้นแบรนด์กาแฟแห่งชาติ ยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีโลก

(4 ต.ค.67) กาแฟพันธุ์ไทย ตอกย้ำ Brand DNA เครื่องดื่มหัวใจไทย บันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการกาแฟ เปิดตัว 'ไทยริกาโน' (Thairicano) กาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) สายพันธุ์อาราบิก้า 100% จากแหล่งปลูกที่ดีที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน รับเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่พิถีพิถันกับการดื่มกาแฟ

ชูจุดเด่น รสชาติกลมกล่อม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในราคาเข้าถึงง่าย พร้อมใส่ใจความยั่งยืนทั้งอุตสาหกรรมของกาแฟ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่พันธุ์ไทยตั้งใจให้เป็นกาแฟไทยที่ดีที่สุดสำหรับโลก ทั้งในด้านรสชาติ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน อยู่ดี มีสุข อย่างยั่งยืน 

นางสุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบัน คนนิยมดื่มกาแฟเพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ชอบรสชาติที่หลากหลาย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงคนรุ่นใหม่ยังมีความรู้ ความเข้าใจถึงกรรมวิธีการปลูกกาแฟที่ซับซ้อน และคุณภาพที่แตกต่างกันของกาแฟแต่ละประเภท เทรนด์การดื่มกาแฟที่มีรสชาติอ่อนลง กาแฟคั่วกลาง คั่วอ่อนจึงได้รับความนิยมสูงขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของเดต้าลูกค้าพันธุ์ไทย มีการเลือกสรรรสชาติ และระดับการคั่วมากขึ้น

เมนูขายดีที่สุดของพันธุ์ไทยก็คือ อเมริกาโน เป็นสัดส่วนแบบร้อน 14% และแบบเย็น 86% พันธุ์ไทยจึงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า ให้ตรงใจผู้บริโภค โดยยังคงเอกลักษณ์ของพันธุ์ไทย และยึดมั่นในวิสัยทัศน์ขององค์กร คือการสนับสนุนกาแฟไทย จึงเป็นที่มาของการสร้างสรรค์ ‘ไทยริกาโน’ กาแฟสเปเชียลตี้สัญชาติไทย ที่ตั้งใจให้เป็นกาแฟไทยที่ดีที่สุด ทั้งในแง่ของรสชาติ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน”

‘ไทยริกาโน’ คือ อเมริกาโน ของคนไทย เป็นกาแฟพิเศษ หรือ Specialty Coffee ที่ได้รับการประเมินคุณภาพเมล็ดกาแฟ จากสถาบันกาแฟพิเศษแห่งประเทศไทย (SCITH) โดยต้องผ่านการทดสอบจากนักชิมกาแฟ (Cupper หรือ Q Grader) และได้คะแนน 80 ขึ้นไป

พันธุ์ไทยตั้งใจให้ ‘ไทยริกาโน’ เป็น ‘กาแฟแห่งชาติ’ ที่คนไทยภาคภูมิใจ เพราะกาแฟดี มีคุณภาพ ไม่จําเป็นต้องอิมพอร์ต รสชาติกาแฟไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก สัมผัสรสชาติเฉพาะตัวของไทยริกาโนที่รวบรวมความพิเศษไว้ในแก้วเดียว ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ ดังนี้

กาแฟจากแหล่งปลูกที่ดีที่สุดในไทย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นแหล่งปลูกกาแฟที่ดีที่สุดในภาคเหนือของไทย ด้วยระดับความสูงจากน้ำทะเลตั้งแต่ 1,200 – 2,000 เมตร ทั้งยังมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม ภายใต้ร่มเงาของป่าใหญ่ จึงทำให้ต้นกาแฟงอกงาม เติบโตเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์

เมล็ดกาแฟไทย สายพันธุ์อาราบิก้า 100% เพราะเป็นสายพันธุ์คุณภาพสูง ที่ถูกปากคอกาแฟ ด้วยการคั่วระดับกลาง ที่มอบรสชาตินุ่ม ละมุน กลมกล่อม เพลิดเพลินไปกับรสชาติหลากหลายมิติ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโทนช็อกโกแลต และผลไม้ตระกูลเบอร์รี พีช พรุน กรุ่นกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาวอันเป็นเอกลักษณ์

กาแฟที่ถูกคัดสรรเมล็ดพันธุ์อย่างพิถีพิถัน เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด เพราะทุกเมล็ดในทุกแก้ว ผ่านการคัดสรรอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวเมล็ดจากต้นด้วยมือ การนำเมล็ดลอยน้ำเพื่อคัดแยกเมล็ดเสียออก ไปจนถึงการตรวจสอบเมล็ดด้วยมือและสายตาอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเมล็ดกาแฟที่ได้นั้นสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำ เพราะพันธุ์ไทยมุ่งมั่นพัฒนาป่า และภูเขาให้กลายเป็นไร่กาแฟที่อุดมสมบูรณ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยผสานการปลูกกาแฟเข้ากับการอนุรักษ์ป่าไม้ เพื่อผลิตเมล็ดกาแฟดีที่มีคุณภาพ รวมถึงเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“กาแฟพันธุ์ไทย มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ควบคู่กับการสนับสนุนชุมชน และดูแลรักษาธรรมชาติมาอย่างต่อเนื่อง ‘ไทยริกาโน’ จึงเป็นกาแฟสเปเชียลตี้สัญชาติไทย ที่มุ่งหวังให้ผู้บริโภคได้ดื่มด่ำรสชาติพรีเมียมในราคาเข้าถึงได้ พร้อมทั้งมีส่วนช่วยรักษาป่าเดิมและเพิ่มป่าใหม่ เพราะกาแฟเป็นพืชที่ต้องการร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ในการเติบโต ซึ่งการดูแลกาแฟนั้น ยังสามารถช่วยลดการเผาป่าและมลพิษ อันเป็นสาเหตุของวิกฤตภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ยัง ช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาชีพ และรายได้ที่มั่นคง และอยู่ดีมีสุข สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชนได้อย่างยั่งยืน” 

‘น้ำ-วาริน’ วัด ‘เจ้ต้อย-กนกพร’ ชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.นครศรีฯ สนามพิสูจน์พละกำลังระหว่าง ‘ประชาธิปัตย์ - ภูมิใจไทย’

‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ พร้อมลงชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.นครศรีฯ จาก ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ ที่ชิงลาออกในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ วัดบารมี ‘โกเกี๊ยะ’ ลุยบ้านใหญ่

การประชุมทีมงานได้ข้อสรุปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาให้ นายกฯต้อย กนกพร เดชเดโช ลาออกจากนายกฯอบจ.นครศรีธรรมราช ก่อนหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคม โดยยกเหตุผลเรื่องความยุ่งยากในการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในสถานการณ์ที่คาดการณ์ว่า อาจจะมีอุทกภัยในช่วงปลายพฤศจิกายน - ต้นธันวาคม กับกรอบเวลา 180 วัน กับข้อห้ามใช้งบประมาณ ด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งกริ่งเกรงว่า จะใช้งบประมาณเพื่อการหาเสียง

เหตุผลนี้ ‘บิ๊กแจ๊ส-คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง’ นายกฯอบจ.ปทุมธานี เคยนำทีมนายกฯอบจ.โซนภาคกลาง 3-4 จังหวัดลาออกก่อนหมดวาระมาแล้ว

นี่คือเหตุผลของการลาออกก่อนหมดวาระของนายกฯต้อย ซึ่งถ้าพิจารณาตามเนื้อผ้า และปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก็เป็นเหตุผลที่รับฟังได้ พร้อมระบุว่า 

“ซึ่งจะเป็นอุปสรรคของการบริหารจัดการในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครศรีธรรมราช อาจส่งผลให้การทำงานแก้ไขปัญหาประชาชนหยุดชะงัก ขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติช่วงประมาณเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งมีแนวโน้มจะเกิดขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้น ตามภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ดังที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ในขณะนี้ กรณีดังกล่าวจำเป็นต้องมีอำนาจในการบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ทั้งทางด้านการบริหารงบประมาณ การบริหารบุคคล รวมถึงการประสานเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่าง ๆ”

สำหรับทีมพลังเมืองนคร ของเจ้ต้อย ถือว่า เตรียมความพร้อมมายาวนาน เดินสายพบปะแกนนำในแต่ละอำเภอมาครบทั้ง 23 อำเภอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกฯอบต. ส.อบต. พร้อมจัดทีมผู้สมัคร ส.อบจ.ไว้ครบถ้วนหมดแล้ว

เอาเป็นว่า เครือข่ายพร้อม ปัจจัยพร้อม เดินหน้าลุยต่อได้ทันที

แต่สำหรับมุมมอง #นายหัวไทร เชื่อว่าการลาออกของนายกฯต้อยมีเหตุผลทางการเมืองประกอบด้วย “ชิงการได้เปรียบทางการเมือง” ได้เปรียบกับการเป็นฝ่ายบริหารมาจะครบ 4 ปี แน่นอนว่า ผลงานเริ่มเป็นที่ประจักษ์ชัด ทีมงาน เครือข่ายพร้อม กระสุนดินดำลื่นไหล 

ในขณะที่คู่แข่ง ได้เห็นความพยายามของพรรคภูมิใจไทย ที่ ‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ’ รัฐมนตรีแรงงาน หัวเรี่ยวหัวแรงของภาคใต้ เรียกประชุมทีมงานนครศรีธรรมราชมาแล้ว สั่งการให้เตรียมพร้อมเลือกตั้ง อบจ.และเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช และเคาะชื่อ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ อดีตประธานหอการค้านครศรีธรรมราช และกรรมการหอการค้าไทย อดีตนักศึกษากิจกรรม เคยเป็นนายกสโมสรนักศึกษาสมัยเรียนระดับมหาวิทยาลัย 

เมื่อพิจารณาตามความพร้อม พรรคภูมิใจไทยมี สส.นครศรีธรรมราช 2 คน และมีโครงข่ายที่ถูกสร้างในช่วง 2 ปีมานี้อยู่ไม่น้อย แต่โอกาสของภูมิใจไทยในนครศรีฯ คิดว่ายังเหนื่อยในการต่อกับเจ้ต้อย ที่ยังมี ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ ลูกๆ และ สส.ในสังกัดอีก 6-7 คน

การตัดสินใจลาออกของนายกฯต้อย น่าจะเป็นยุทธวิธีทางการเมือง 1.หลีกเลี่ยงการกระทำผิดเรื่องการใช้งบประมาณตามกรอบเวลาในช่วง 180 วัน ก่อนวันครบวาระ

2.หลีกเลี่ยง ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงที่เกิดขึ้นในระยะ 180 วันก่อนครบวาระ

3. น่าจะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ จาก ผู้ตรวจการเลือกตั้ง (ผตล .) เพราะ กกต. ยังไม่ได้ตั้ง ผู้ตรวจการเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่กับการเลือกตั้งเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่ครบวาระ

4.ที่สำคัญเมื่อลาออกทำให้การเลือกตั้งนายกฯกับฝ่ายสภา (ส.อบจ.)เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน วาระของ ส.อบจ.จะหมดปลายเดือนธันวาคม ถ้าได้เป็นนายก อบจ. อยู่แล้ว หาทีมเข้าสังกัดได้ง่าย มีตัวเลือกเสนอตัวเยอะ ค่าใช้จ่ายไม่เยอะ 

กนกพร ยืนยันหลายต่อหลายครั้งว่า จะขอลงสมัครชิงนายกฯอบจ.นครศรีธรรมราชอีก 1 สมัย ถ้าได้รับเลือกก็จะเป็นสมัยที่ 2 หลังจากนั้นก็ต้องหยุดพักตามกฎหมาย

‘น้ำ’ ลั่นพร้อมลงชิง

“น้ำมีความพร้อม ไม่มีพันธะอะไร ต้องรับผิดชอบมากมาย” คำพูดแรกของ ‘วาริน ชิณวงค์’ ในการตัดสินใจลงชิงเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช (นายกฯอบจ.)

น้ำ พร้อมทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ และมีตัวช่วยอย่าง ‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ -อนุทิน ชาญวีรกูล -เนวิน ชิดชอบ’ บารมีของบุคคลเหล่านี้น่าจะหว่านล้อมผู้มากบารมีในนครศรีธรรมราช ให้มาช่วยดันน้ำได้ไม่น้อย และอาจจะทำให้ทีมเจ้ต้อยหวั่นไหวไปบ้างไม่มากก็น้อย

14-18 ตุลาคม เปิดรับสมัคร และหย่อนบัตรวัดดวงกันวันที่ 24 พฤศจิกายน วันชี้ชะตาประชาชนจะมอบความไว้วางใจให้ใครมาบริหารเมืองใหญ่ ‘นครศรีธรรมราช’

6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 ‘กัมพูชา’ ฟ้องเรียกร้องสิทธิเหนือ ‘เขาพระวิหาร’ สุดท้าย ‘ศาลโลก’ ให้ไทยแพ้ 9 ต่อ 3 เสียง

วันนี้ เมื่อ 64 ปีก่อน กัมพูชา ยื่นฟ้องต่อศาลโลก เรียกร้องกรรมสิทธิ์เหนือเขาพระวิหาร ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษของไทย

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 รัฐบาลกัมพูชา นำโดย เจ้านโรดม สีหนุ ได้ยื่นฟ้องต่อ ศาลโลก หรือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เรียกร้องกรรมสิทธิ์เหนือ เขาพระวิหาร ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษของไทย โดยอ้างว่าประเทศไทยละเมิดอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารซึ่งเป็นของกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2497 เป็นต้นมา และขอเรียกร้องให้คืนอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารคืนแก่กัมพูชา 

การไต่สวนพิจารณาคดียาวนานถึง 3 ปี มีการนัดพิจารณาสืบพยานทั้งหมด 73 ครั้ง จนในที่สุด เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกก็ตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดีด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 เสียง ยังผลให้ประเทศไทยต้องยินยอมทำตามข้อเรียกร้องทั้ง 2 ข้อของกัมพูชา 

หลังจากแพ้คดี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ยินยอมให้นักศึกษาเดินขบวนประท้วงคำตัดสิน และปิดทางขึ้นปราสาทซึ่งอยู่ในเขตประเทศไทย เป็นการตอบโต้กัมพูชา เหลือเพียงทางขึ้นเป็นช่องเขาแคบ ๆ สูงชันและอันตราย ในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของกัมพูชา เขาพระวิหารก็ถูกปิด ๆ เปิด ๆ ให้เข้าชมอยู่หลายครั้งตามสถานการณ์ภายในประเทศ ก่อนจะเกิดความร่วมมือกันอีกครั้งระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวจนถึงปัจจุบันนี้ เขาพระวิหารนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของ จ. ศรีสะเกษ

7 ตุลาคม พ.ศ. 2463 ‘เรือหลวงพระร่วง’ เดินทางถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา เรือรบหลวงลำแรกของไทยจากเงินเรี่ยไรชาวสยาม

วันนี้ เมื่อ 103 ปีก่อน ‘เรือหลวงพระร่วง’ เรือรบหลวงลำแรกของไทย เดินทางมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้การบังคับการโดย ‘กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์’ 

เรือหลวงพระร่วง เป็นเรือหลวงลำแรกในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งข้าราชการและประชาชนผู้มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องสร้างเรือรบไว้เพื่อป้องกันราชอาณาจักรทางทะเล จึงร่วมกันจัดตั้ง ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ (The Royal Navy League of Siam) ขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2457 เพื่อเรี่ยไรทุนทรัพย์ซื้อเรือรบถวายเป็นราชพลี 

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความยินดีและเห็นชอบ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามเรือนี้ว่า พระร่วง อันเป็นสิริมงคลตามวีรกษัตริย์อันเป็นที่นับถือของชาวไทยทั่วไป พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการหาทุนเพื่อสร้างเรือลำนี้ เช่น ได้แก้ไขบทละครเรื่อง ‘มหาตมะ’ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2475 ทรงนำเรื่องการเสียสละทุนทรัพย์สมทบทุนสร้างเรือรบเข้ามาเป็นหัวใจของเรื่อง และได้โปรดเกล้าฯ ให้มีการแสดงเพื่อเก็บเงินสมทบทั้งในพระนครและต่างจังหวัด ทั้งยังมีการแสดงละครพระราชนิพนธ์อีกหลายเรื่องตลอดจนโปรดเกล้าฯ ให้มีการประกวดภาพเพื่อหารายได้อีกด้วย 

นอกจากนั้นพระองค์ยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวน 80,000 บาท กับเงินที่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการได้พร้อมใจกันออกทุนเรี่ยไรถวายเมื่อครั้งจัดงานพระราชพิธีทวีธาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งยังเหลือจากการใช้จ่ายเป็นจำนวนเงิน 116,324 บาท ทั้งยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งโปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์อีกเป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท เมื่อรวมกับเงินที่เรี่ยไรทั่วพระราชอาณาจักร ได้จำนวนรวมทั้งสิ้น 3,514,604 บาท 1 สตางค์ ในปี พ.ศ. 2463

ต่อมา นายพลเรือโท พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงพิเศษออกไปจัดซื้อเรือในภาคพื้นยุโรปพร้อมด้วยนายทหารอีก 5 นาย คณะข้าหลวงพิเศษตรวจการซื้อเรือในภาคพื้นยุโรปชุดนี้คัดเลือกได้เรือพิฆาตตอร์ปิโด มีนามว่า ‘เรเดียนท์’ (RADIANT) ของบริษัทธอร์นิครอฟท์ (Thornycroft Co.,) ประเทศอังกฤษ ซึ่งเห็นว่าเหมาะสมแก่ความต้องการของกองทัพเรือและเป็นเรือที่ต่อขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 ระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้นสงครามยุติลงเมื่อ พ.ศ. 2461 อังกฤษจึงยินดีขาย คณะข้าหลวงพิเศษได้ตกลงซื้อเรือลำนี้เป็นเงิน 200,000 ปอนด์ ส่วนเงินที่เหลือจากการซื้อเรือนั้นได้พระราชทานให้แก่กองทัพเรือไว้สำหรับใช้สอย เสด็จในกรมฯ ได้เป็นผู้บังคับการเรือลำนี้จากประเทศอังกฤษเข้ามาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2463 นับเป็นเกียรติประวัติครั้งแรกที่คนไทยเดินเรือทะเลได้ไกลถึงเพียงนี้

สำหรับสมรรถนะของเรือหลวงพระร่วงมีดังนี้ คือ มีระวางขับน้ำ 1,046 ตัน ความยาวตลอดลำ 83.57 เมตร ความกว้างสุด 8.34 เมตร กินน้ำลึก 4 เมตร อาวุธปืน 102 ม.ม. 3 กระบอก ปืน 76 ม.ม. 1 กระบอก ต่อมาติดปืน 40 ม.ม. 2 กระบอก ปืน 20 ม.ม. 2 กระบอก มีตอร์ปิโด 21 นิ้ว 4 ท่อ มีรางปล่อยระเบิดลึก และมีแท่นยิงปืนระเบิดลึก 2 แท่น เครื่องจักรเป็นแบบไอน้ำแบบ บี.ซี. เกียร์ เทอร์ไบน์ จำนวน 2 เครื่อง ใบจักรคู่ กำลัง 29, 000 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 35 น นอต ความเร็วมัธยัสถ์ 14 นอต รัศมีทำการเมื่อความเร็วมัธยัสถ์ 1,896 ไมล์ ทหารประจำเรือ 135 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top