Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

นราธิวาส - แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า เหตุคนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่องประกอบในรถยนต์ ในพื้นที่ อ.ตากใบ

เมื่อวานนี้ (2 ต.ค. 67) เวลา 14.00 น. ณ ที่ว่าการอำเภอตากใบ หมู่ที่ 3 ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส พลโท ไพศาล  หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และคณะฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระเบิดแสวงเครื่องประกอบในรถยนต์ (คาร์บอม) ยี่ห้อ MG5 สีเทา หมายเลขทะเบียน 5ขญ 1830 กรุงเทพมหานคร ของ นางสาว มาเรียม  ดอเลาะ โดยผู้ก่อเหตุได้ปล้นรถยนต์คันดังกล่าว และได้ทำการซุกซ่อนระเบิดไว้ภายในรถยนต์ จากนั้นนำมาจอดไว้บริเวณหน้าบ้านพัก ว่าที่ร้อยตรี จิรัสย์  ศิริวัลลภ นายอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส แรงระเบิดทำให้บ้านเรือนประชาชนบริเวณโดยรอบได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 2 นาย คือ พลทหาร กันตยศ  บินหรีม อายุ 22 ปี และ พลทหาร อนุวัฒ เหมรา อายุ 22 ปี ทั้ง 2 เป็นกำลังพลสังกัด หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ 33 ซึ่งขณะนี้ผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 นายรักษาตัวยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อยู่ในการดูแลของทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด

ต่อมา แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และคณะฯ ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ บริเวณถนนหน้าบ้านพักนายอำเภอตากใบ หมู่ที่ 3 ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกำชับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีการประสานงานร่วมกัน โดยเฉพาะการเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่บ้านเรือนและทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลพื้นที่ ร่วมกันสร้างความสงบสุขและความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในพื้นที่ต่อไป

ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ประชุมทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบความคืบหน้าของเหตุการณ์ และเร่งติดตามกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด พร้อมมอบแนวการปฏิบัติงานเพื่อนำไปปรับแผนการปฏิบัติงานการรักษาความปลอดภัย ควบคู่การสร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชนต่อการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ได้เน้นย้ำและสั่งการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เพิ่มความระมัดระวัง เข้มงวดมาตรการ ในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วย เพื่อป้องกันการก่อเหตุรุนแรงทุกรูปแบบ

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

รรท.ผบช.ตชด.เรียกประชุมด่วน ตชด.ภาค 4 กำชับนโยบาย 'บิ๊กต่าย' ปลุกขวัญกำลังใจ

พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ฯ เรียกประชุมด่วน ตชด.ภาค 4 กำชับนโยบาย รรท.ผบ.ตร. ห่วงตำรวจใต้ ย้ำยึดยุทธวิธี ไม่ประมาท เป็นที่พึ่งของประชาชน เยี่ยมบำรุงขวัญ 4 ตชด.41 โดนบึ้ม อัปเดตอาการ ส.ต.ท.สาหัส เริ่มฝึกหายใจเอง

(3 ต.ค.67) พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( รรท.ผบช.ตชด. ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 เวลา 19.00 น.ได้เดินทางไปยังกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 ( บก.ตชด.ภาค 4 ) อ.เมือง จว.สงขลา เรียกประชุมด่วนกำชับการปฏิบัติงานในพื้นที่ความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พ.ต.อ.นรินทร์ คำแก่น รักษาราชการแทน ผบก.ตชด.ภาค 4, รอง ผบก.ตชด.ภาค 4 และตำรวจ ตชด.ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ฯ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รรท.ผบ.ตร. ) ห่วงใยตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะ ตชด. หลังเกิดเหตุคนร้ายลอบโจมตีรถบัสของตำรวจตระเวนชายแดน ที่ 41 ในพื้นที่ อ.สายบุรี จว.ปัตตานี เป็นเหตุให้ ตชด.ได้รับบาดเจ็บเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย รรท.ผบ.ตร. กำชับให้ตำรวจทุกนายการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง เน้นความปลอดภัย ปฎิบัติตามยุทธวิธีเป็นหลัก พึงรักษาความไม่ประมาทไว้เสมอ เพื่อเป็นที่พึ่งดูแลความปลอดภัยสร้างความอุ่นใจให้ประชาชน โดยผู้บังคับบัญชาให้กำลังใจและพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติ    

จากนั้น พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ฯ เดินทางไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา เยี่ยมติดตามอาการของ ตชด. 4 นาย ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดรถบัสของ ตชด. ใน พื้นที่ จว.ปัตตานี เมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา ระหว่างเดินทางกลับที่ตั้งที่ จ.ชุมพร โดยปัจจุบัน ตชด. ทั้ง 4 นาย มีอาการปลอดภัย แต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด  

“รายแรก ส.ต.ท.นพคุณ นำศิลป์ธนสาร ผบ.หมู่ กก.ตชด.41 บาดเจ็บสาหัส มีแผลฉีกขาดจากสะเก็ดระเบิดบริเวณใบหน้าข้างขวา หัวไหล่ขวา และมีขาหักทั้ง 2 ข้าง แพทย์ได้ผ่าตัดมัดกรามที่บริเวณแก้มขวา ใส่เหล็กดามไว้ที่แขนขวา และขาขวา ขาซ้ายดามเฝือกอ่อน สัญญาณชีพปกติ ใส่ท่อช่วยหายใจโดยแพทย์เริ่มให้ฝึกหายใจเอง

2. จ.ส.ต.ขจรพล  เพชรกูล  ผบ.หมู่ กก.ตชด.41 ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณเข่าซ้าย ปัจจุบันผู้ป่วยรู้สึกตัวดี มีกระดูกหัวเข่าซ้ายแตก ดามเหล็กพยุงภายนอกไว้ อาการบวมที่ขาลดลง ช่วยเหลือตัวเองได้เล็กน้อย

3. จ.ส.ต.ดำเนินยุทธ สง่าปู ผบ.หมู่ กก.ตชด.41 ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณแขนขวา ปัจจุบันสามารถลุกเดินช่วยเหลือตัวเองได้ ได้รับการผ่าตัดปิดเย็บแผลบริเวณแขนขวา ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด  

4.ส.ต.ท.ศุภวิชญ์  ป้องแก้ว ผบ.หมู่ กก.ตชด.41 ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณศีรษะด้านขวา เย็บแผล 3 เข็ม บริเวณแผลแห้งดี รู้สึกตัวดี เดินช่วยเหลือตัวเองได้”         

รรท.ผบช.ตชด. ได้มอบเงินเพื่อบำรุงขวัญ พร้อมกระเช้าผลไม้ และให้กำลังใจแก่ตำรวจทั้ง 4 นาย และครอบครัว และได้แจ้งว่าพล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ฝากความห่วงใยและขอให้ผู้บาดเจ็บทุกนายแข็งแรงในเร็ววัน ทั้งนี้ ตชด.ทั้ง 4 นายมีขวัญกำลังใจดี และพร้อมกลับมาปฏิบัติหน้าที่เมื่อหายจากอาการบาดเจ็บ

สกนช. ปรับลดเงินชดเชยราคา LPG ลงเหลือ 3.6842 บาท/กก. ขณะที่ภาพรวมบัญชี LPG ยังติดลบ 47,444 ล้านบาท

(3 ต.ค. 67) สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ประกาศปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ บัญชี LPG สำหรับโรงแยกก๊าซฯ เหลือ 6.9943 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมปรับลดเงินชดเชยราคา LPG เหลือ 3.6842 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคา LPG โลกอยู่ที่ระดับ 622.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ขณะที่บัญชี LPG มีเงินไหลเข้า 43.39 ล้านบาทต่อวัน แต่ภาพรวมบัญชี LPG ยังติดลบรวม 47,444 ล้านบาท

รายงานข่าวจากสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ว่า นางไพลิน ฟุ้งเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักการเงินและบัญชี และในฐานะรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ลงนามในประกาศ “การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนจากกองทุน และอัตราเงินชดเชยคืนกองทุนสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)” เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 โดยกำหนดเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในบัญชี LPG ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป

สำหรับประกาศดังกล่าวได้กำหนดให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ส่งเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับ LPG ที่ผลิตในประเทศเพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิง ในอัตรา 6.9943 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ 7.1798 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไม่รวมถึง LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯของ บริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด อ.ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร และ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ของ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) อ.กงไกรลาศ จ. สุโขทัย

อย่างไรก็ตามให้ บริษัท ยูเอซี โกลบอลฯ ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ในอัตรา 3.1490 บาทต่อกิโลกรัม ลดลงจากเดิมที่กำหนดให้ส่งเข้า 3.3345 บาทต่อกิโลกรัม

พร้อมกันนี้ได้ปรับลดเงินชดเชยราคา LPG ลงเหลือ 3.6842 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยอยู่ 3.8697 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไม่รวม LPG จากการแยกก๊าซฯ ที่ซื้อหรือได้จากรัฐ ผู้รับสัมปทาน หรือผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) โดยโรงแยกก๊าซฯ ของ บริษัท ปตท. สผ.สยาม จำกัด

รวมทั้งกำหนดเงินส่งเข้ากองทุนฯ สำหรับ LPG ที่ซื้อหรือได้มาจากโรงแยกก๊าซฯ ของ บริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด ในอัตรา 1.8518 บาทต่อกิโลกรัม

ส่วนกรณี LPG ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไปต่างประเทศ ตาม พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และได้รับเงินชดเชยจากกองทุนฯ แล้ว ให้ส่งเงินชดเชยคืนกองทุนฯ 3.6842 บาทต่อกิโลกรัม

สำหรับปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ บัญชี LPG โดยภาพรวมติดลบอยู่ -47,444 ล้านบาท โดย กบน. กำหนดกรอบวงเงินสำหรับอุดหนุนราคา LPG ได้ไม่เกิน 50,000 ล้านบาท ปัจจุบันกองทุนฯ มีเงินไหลเข้าจาก LPG 43.39 ล้านบาทต่อวัน และใช้ชดเชยราคา LPG อยู่ 37.50 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่ราคา LPG โลกเดือน ต.ค. 2567 อยู่ที่ระดับ 622.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน  

สำหรับประกาศดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่กำหนดนโยบายให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) บริหารกองทุนฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความเสี่ยงกรณีเกิดวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงดังนี้

1.มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้นทุนการจัดหาจากโรงแยกก๊าซฯ ต้นทุนโรงแยกก๊าซฯ ของ ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และต้นทุนโรงแยกก๊าซฯ ของบริษัท ยูเอซี โกลบอลฯ มีราคาสูงกว่านำเข้า 2.มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคา LPG ของตลาดโลกเปลี่ยนแปลงใน 2 สัปดาห์ เฉลี่ยมากกว่า 35 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน 3. มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคา LPG  ในประเทศเปลี่ยนแปลงใน 2 สัปดาห์ รวมกันมากกว่า 1 บาทต่อกิโลกรัม  และ 4. มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคาขายปลีก LPG ในประเทศสูงขึ้นในระดับเกินกว่า 363 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ทั้งนี้เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนหรือชะลอการขาดแคลนภายในประเทศ และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ

'บสย.' เยียวยาน้ำท่วม พักหนี้-พักค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 6 เดือน ค้ำใหม่ฟรี 3 ปี

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของผู้ประสบอุทกภัย โดยได้ออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอุทกภัยที่อยู่ในเขตพื้นที่ 37 จังหวัด ดังนี้

1. สำหรับลูกค้าเก่า พักชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ และค่าจัดการค้ำประกันทันที นาน 6 เดือน
2. สำหรับลูกหนี้ พักชำระค่างวด 6 เดือน (ยื่นคำขอได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ต.ค. 2567)
3. สำหรับลูกค้าใหม่ ฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปี โดยปีที่ 4-10 คิดค่าธรรมเนียมต่ำที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี วงเงินต่อราย 10,000 - 2 ล้านบาท (ยื่นคำขอได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2568)

พี่แจ๊คคะ สาวเล่าอุทาหรณ์ถูกหมอผีในคราบหมอดู ตุ๋นทำพิธีย้ายดวง สุดช้ำหลอกทำพิธี-เช่าบูชาเครื่องราง เสียหายรวมหลักล้าน

(3 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า The Ghost Radio รายการเล่าเรื่องผีและสิ่งลี้ลับชื่อดัง ได้มีการเล่าในชื่อเรื่องว่า “ทำไมดูเป็นคนดีจัง” เล่าโดยคุณปอย ซึ่งปัจจุบันมียอดวิวรวมถึง 3 ล้านวิวเป็นที่เรียบร้อย 

โดยในเรื่องคุณปอยเล่าจากประสบการณ์ตรงที่ได้ดูดวงกับหมอดูคนหนึ่งซึ่งสามารถทำนายได้อย่างแม่นยำ ก่อนอ้างว่าถูกชะตาและให้ถือว่าเขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเพื่อสร้างความสนิทสนมและความเชื่อใจ เมื่อเกิดความเชื่อใจและมีการไปมาหาสู่แล้วหมอดูคนดังกล่าวได้อ้างว่าจะมอบมรดกของตนเองให้แก่คุณปอยเนื่องจากถูกชะตา 

ต่อมาหมอดูคนดังกล่าวอ้างว่าคุณปอยถูกทำคุณไสยต้องมีการทำพิธีแก้ไข และให้เช่าบูชาเครื่องรางหลายครั้ง ซึ่งทั้งการทำพิธีและการเช่าบูชาเครื่องรางในแต่ละครั้งต้องจ่ายเงินไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นบาทต่อครั้ง 

ก่อนต่อมาเพื่อนของคุณปอยได้พาคุณปอยไปทำพิธีทำบุญคุณปอยจึงได้รู้สึกตัวว่าถูกแล้ว คุณปอยยังกล่าวต่ออีกว่า ต่อมาทราบในภายหลังว่าพิธีที่ได้ทำลงไปนั้นเรียกว่า “พิธีย้ายดวง” คือย้ายดวงคุณปอยที่ดีไปที่หมอดูคนนั้น และเครื่องรางที่มีการเช่าบูชาส่วนใหญ่มาจากร้านค้าบนแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าชื่อดัง 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากคอมเมนต์ในวิดีโอดังกล่าวระบุว่าในสัปดาห์หน้าจะมีผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับหมอดูคนดังกล่าวมาร่วมเล่าประสบการณ์อีกด้วย 

ทั้งนี้ในคอมเมนต์ของวิดีโอดังกล่าวต่างมีการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย เช่น 

ฟังเรื่องนี้จบเมื่อคืน แล้วอยากบอกปอยสองอย่าง
1. อยากขอบคุณน้องปอยที่เอาเรื่องนี้มาเล่า เป็นอุทาหรณ์ชั้นดีสำหรับคนไทยในยุคหมอดูกับร่างทรงครองเมือง
2.เพื่อนคนนั้น คบเค้าไว้ รักเค้าให้มาก อภิมหามิตรเลยนะ ถือเป็นบุญของเราที่มีเพื่อนแบบนี้

เรื่องนี้เป็น The best of the ghost radio จริงๆ เป็นเรื่องที่สุดยอมมากกกกๆๆๆๆๆๆๆ คุณปอยโชคดีมากที่มีเพื่อนแบบนี้ ขอให้รักษาเพื่อนคนนี้ไว้นะครับ เป็นเพื่อนที่ช่วยชีวิตคุณปอยจริง ๆ

ประเทศไทยต้องมีกระทรวงเวทมนตร์ มีกฎหมายเอาผิดเรื่องไสย์เวทแบบจริงๆจังนะผมว่า เรื่องบางเรื่องมันเหนือความคาดหมาย การทำคุณไสย์ทำของใส่ผุ้อื่น ในทางกฎหมายต้องมีบทลงโทษหนัก ๆ

เรื่องแบบนี้มีจริงนะคะ ขอเตือนไว้อย่างนึงถ้าเขาไม่เลิกราวีระวังพวกสัตว์ไว้ สัตว์อะไรก็ตามที่ร้อยวันพันปีเราไม่เคยเจอแต่เจอ และตัวสัตว์จะมีรอยแผลสังเกตด้วยนะคะเผื่อเขาส่งมาตาม แอบห่วงถ้าคือเรื่องจริงแล้วเขาเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วตอนนี้เขาจะรู้ตัวว่าเรามาเล่ามาเปิดเรื่องเขา ดูแลตัวเองด้วยนะคะคุณปอย

สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=cJxo2ayP0bo&t=3600s 

‘สาวนิวยอร์ก’ นั่งเครื่องครึ่งโลกมาไทยกว่า 18 ชม. เพียงเพื่อให้ได้พบ ‘หมูเด้ง’ ฮิปโปแคระสุดน่ารัก

'หมูเด้ง' ฟีเวอร์ของแท้ ‘มอลลี สวินดัลล์’ สาวชาวรัฐนิวยอร์กของสหรัฐฯ อดทนนั่งเครื่องบินจากนิวยอร์กมาไทยกว่า 18 ชั่วโมง เพื่อมาหา 'หมูเด้ง' แถมซื้อของที่ระลึกเสื้อผ้าหมูเด้งไปใส่ด้วย

กลายเป็นไวรัลบนโลกโซเชียล เมื่อ 'มอลลี สวินดัลล์' สาวชาวรัฐนิวยอร์กของสหรัฐฯ เดินทางไกลกว่า 12,800 กิโลเมตร หรือมากกว่า 18 ชั่วโมง มายังสวนสัตว์เปิดเขาเขียวในประเทศไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดและบ้านของหมูเด้ง ฮิปโปแคระสุดน่ารักที่กำลังขโมยหัวใจของคนทั่วโลก

สำหรับ สวินดัลล์ เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ที่โด่งดังมาจากการเผยคลิปวิดีโอในฐานะแฟนคลับตัวยงของเทเลอร์ สวิฟต์ โดยได้ระบุในช่องติ๊กต็อกของเธอว่า เธอตัดสินใจบินจากนิวยอร์กไปกรุงเทพฯ ในนาทีสุดท้ายเพื่อพบกับหมูเด้ง "ดิว่าสาวในตำนานอย่างหมูเด้ง ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะพบเธอ"

‘รัสเซีย’ ปักธงชัยเหนือ ‘เมืองวูห์เลดาร์’ ยึดฐานที่มั่นแหล่งพลังงานสำคัญ ‘ยูเครน’

(3 ต.ค. 67) ยูเครน เกินต้าน ยอมถอนกำลังออกจากวูห์เลดาร์ เมืองสำคัญทางตะวันออกในแคว้นโดเนตสค์ให้แก่กองทัพรัสเซียแล้วเมื่อวันพุธ (1 ต.ค 67) ที่ผ่านมา หลังจากที่สู้รบกันมานานหลายเดือน 

สื่อตะวันตกได้ยืนยันชัยชนะของรัสเซียเหนือเมืองวูห์เลดาร์ ด้วยภาพของกองกำลังรัสเซียที่ปักธงชาติบนยอดเขาที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของเมืองที่เคยเป็นแหล่งเหมืองถ่านหิน และเขตเศรษฐกิจที่สำคัญทางภาคตะวันออกของยูเครน 

แต่เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการสู้รบเพื่อชิงเมืองของทั้งสองฝ่ายนานกว่า 2 ปี จนตอนนี้ ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างที่เหลือแต่เศษซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน และในที่สุดเมืองนี้ถูกยึดครองโดยกองทัพรัสเซียได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา 

ด้านกองทัพยูเครนออกมาแถลง ยอมรับความพ่ายแพ้ และประกาศถอนกำลังออกจากพื้นที่เมืองวูห์เลดาร์ เพื่อรักษาชีวิตทหาร และยุทโธปกรณ์ที่จำเป็น

เมืองวูห์เลดาร์ ตั้งอยู่ในโดเนตสค์ แคว้นที่รัสเซียประกาศผนวกดินแดนไปเป็นของตนในปี 2022 แม้จะยังไม่ได้ยึดครองพื้นที่ทั้งหมดของแคว้นเลยก็ตาม ซึ่งวูห์เลดาร์ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่พยายามต่อต้านการยึดครองของรัสเซียมาตลอด และกลายเป็นสนามรบที่มีการเผชิญหน้าปะทะกันหนักที่สุดจุดหนึ่งของทั้ง 2 ฝ่าย 

ความพิเศษของเมืองนี้ นอกจากจะเป็นเหมืองถ่านหิน แหล่งพลังงานที่สำคัญแล้ว ยังเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ มีเส้นทางรถไฟสู่ไครเมีย และภูมิภาคดองบาสทั้งหมด ที่ประกอบด้วยโดเนตสค์ และ ลูฮันสค์ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกรัสเซียผนวกดินแดนไปแล้ว

ดังนั้น การยึดครองเมืองวูห์เลดาร์ได้ จึงเป็นก้าวสำคัญของรัสเซียในมุ่งหน้าสู่การครอบครองแคว้นโดเนตสค์ในส่วนที่เหลือได้ทั้งหมดที่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้ออย่างสาหัสเช่นกัน

แน่นอนว่า ความพ่ายแพ้ในวูห์เลดาร์สะเทือนกองทัพยูเครนไม่น้อย หลังจากที่เคยได้เอาคืนรัสเซียด้วยการบุกยึดพื้นที่ในเมืองคูสค์ ดินแดนของรัสเซียได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน ที่ทำให้โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนกล้าที่จะเดินหน้าขอใช้ขีปนาวุธของพันธมิตรตะวันตกโจมตีดินแดนรัสเซีย

แต่เมื่อวูห์เลดาร์ถูกตีแตกโดยรัสเซีย ทำให้ฝ่ายยูเครนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอีกครั้ง และต้องรวบรวมสรรพกำลังลงมาป้องกันไม่ให้กองทัพรัสเซียขยายเขตยึดครองรุกคืบเข้ามาทางด้านตะวันตกมากขึ้น และยังต้องรับมือกับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ในวันที่ยูเครนได้สูญเสียเมืองสำคัญที่เป็นแหล่งผลิตถ่านหินให้แก่รัสเซียไปแล้ว

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้ใกล้เคียงกับเลยสิ่งที่เซเลนสกี้เคยกล่าวผ่านสื่อสหรัฐฯ ว่า สงครามในยูเครนนั้นใกล้จบแล้ว สันติสุขจะกลับคืนสู่ยูเครนในไม่ช้า และสิ่งที่กองทัพยูเครนต้องเผชิญต่อจากนี้ อาจหนักกว่าที่คิด 

'เอกนัฏ' สั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี 35,108 โรงงาน พร้อมเร่งเยียวยา-ฟื้นฟูความเสียหายหลังสถานการณ์ดีขึ้น

(3 ต.ค.67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบการโรงงานในพื้นที่น้ำท่วม เร่งเยียวยาความเสียหายหลังสถานการณ์น้ำดีขึ้น โดยมอบหมายกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ดำเนินการรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริงประกอบการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีโรงงานจำพวกที่ 2 และจำพวกที่ 3 และจากข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมใน 57 จังหวัด คาดการณ์ว่าโรงงานจำพวกที่ 2 และ จำพวกที่ 3 ที่จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี จำนวน 35,108 โรงงาน มูลค่ากว่า 176 ล้านบาท

กรอ. ได้จัดทำประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่อง การช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการโรงงาน กรณีโรงงานได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติน้ำท่วม พ.ศ. 2567 ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 สามารถแจ้งข้อมูล ตามแบบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานและความเสียหายที่โรงงานได้รับจากภัยธรรมชาติน้ำท่วม พ.ศ. 2567 โดยดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้

1.โรงงานที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติน้ำท่วมนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 สามารถแจ้งข้อมูลตั้งแต่บัดนี้ - 31 ตุลาคม 2567
2.ดาวน์โหลดแบบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานและความเสียหายที่โรงงานได้รับจากภัยธรรมชาติน้ำท่วมพ.ศ.2567ได้ที่ https://www.diw.go.th/webdiw/25092567-01/
3.กรอกแบบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานและความเสียหายที่โรงงานได้รับจากภัยธรรมชาติน้ำท่วม พ.ศ. 2567
4.กำลังแรงม้าเครื่องจักร / จำนวนคนงาน ต้องกรอกให้ตรงกับ ร.ง.2 หรือ ร.ง.4
5.แนบสำเนา ร.ง.2 หรือ ร.ง.4 พร้อมแนบภาพถ่าย/ข้อมูลความเสียหาย (ถ้ามี)
6.ยื่นเอกสารด้วยตนเอง ณ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่

“การยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่เจ้าของกิจการโรงงาน เป็นหนึ่งในมาตรการให้ความช่วยเหลือ ในการฟื้นฟูกิจการภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย เพื่อให้สามารถพลิกฟื้นจนก้าวเดินต่อได้อย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากวันที่ 31 ตุลาคม 2567 กรอ.จะรวบรวมข้อมูลความเสียหายและตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบการที่มีรายชื่อได้รับการยกเว้น สำหรับผู้ประกอบการที่ชำระค่าธรรมเนียมรายปีในปี 2567 แล้ว จะได้รับการยกเว้นในปี 2568” นายพงศ์พล กล่าวปิดท้าย

อย่าโทษสายตา ‘คนไทย’ ที่มอง ‘เมียนมา’ เปลี่ยนไป ชี้!! หลายพฤติกรรม และ คำพูด ล้วนบั่นทอนความเป็นมิตร

(3 ต.ค. 67) ช่วงนี้โซเชียลเน็ตเวิร์กชาวเมียนมาหลายคนออกมาร้องไห้กันว่าถูกคนไทยมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ในขณะที่หลายคนเริ่มจะกลัวที่จะออกไปเดินตลาด หรือ เดินทางไปไหนมาไหน เพราะเจ้าหน้าที่เคร่งครัด และตรวจสอบคนต่างด้าวกันมากขึ้น

จากที่เอย่าให้ทีมงานในไทยไปสังเกตการณ์ตามตลาดที่เคยเป็นแหล่งที่มีชาวเมียนมาพลุกพล่าน ก็พบว่ามีคนเมียนมาบางตาไปจริงๆ ส่วนหนึ่งเพราะกลัว และไม่มีความรู้ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งนั้น คือ คนที่เข้ามาอย่างไม่ถูกต้อง

คงจะมาว่าต่อว่าคนไทยไม่ได้ เพราะเอย่า ย้ำเสมอว่า ประเทศไทยให้โอกาสคนต่างด้าวเสมอ เพียงแต่ต้องอยู่ และกระทำตัวให้เหมาะสมกับการที่เข้ามาอาศัยในต่างบ้านต่างเมือง

จากการที่มีคลิปออกตามโซเชียลที่ผ่านมา ตั้งแต่มีชาวต่างด้าวเข้าชุมนุมทางการเมืองขับไล่ผู้นำไทยในรัฐบาลก่อนก็ดี หรือการไปชุมนุมตามที่สาธารณะก็ดี หรือการออกคลิปตามโซเชียลที่กระทำ หรือพูดอะไรที่ไม่เป็นไปตามครรลองของประเทศไทย นั่นคือ ชนวนที่เป็นระเบิดเวลาทำลายความเชื่อมั่นของคนไทยที่มีต่อคนต่างด้าวในไทย

ยิ่งด้วยสภาพเศรษฐกิจในไทยทุกวันนี้ด้วยแล้ว คนไทยหลายคนที่ได้รับผลกระทบจากการถูกต่างด้าวแย่งงานแย่งอาชีพคงไม่ได้รู้สึกยินดีที่คนเหล่านั้นมาได้ดีในประเทศไทย

และดูเหมือนว่าคนพม่าที่อยู่ในเมียนมาก็ไม่ได้แยแสกับคนเมียนมาที่อยู่ในไทยเช่นกัน หลายคนกล่าวว่าก็เลือกจะไปเองก็ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ เอย่าก็ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวเมียนมาที่เข้ามาอย่างถูกต้องไม่ต้องกลัว หากเรามีเอกสารสามารถสำแดงตัวตนว่าเราเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องเจ้าหน้าที่ก็คงจับเราไม่ได้ ส่วนเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจของคนไทยก็คงต้องอาศัยเวลา และอัธยาศัยของคนเมียนมาที่มีน้ำใจไมตรีค่อย ๆ เปลี่ยนภาพลักษณ์ และมุมมองของคนไทยที่มีต่อชาวเมียนมานั้นขอให้อดทน

รมว.กต.เผยนายกฯ เตรียมกล่าวถ้อยแถลงเวทีผู้นำ ACD ครั้งที่ 3 พร้อมหารือทวิภาคีร่วมอิหร่าน-คูเวต-กาตาร์และทาจิกิสถาน - ย้ำยังห่วงคนไทยในตะวันออกกลาง กำชับคอยติดตามข่าวสารทางการ-สอท.

(3 ต.ค. 67) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งร่วมคณะเดินทางกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมประชุม Asia Cooperation Dialogue หรือ ACD ครั้งที่ 3 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เปิดเผยกำหนดการสำคัญของนายกรัฐมนตรี ในการร่วมประชุมในวันนี้ (3 ต.ค.) ว่า นายกรัฐมนตรี มีกำหนดหารือทวิภาคี หรือ Bilateral ร่วมกับผู้นำอิหร่าน ในฐานะที่เป็นประธาน ACD ปีนี้ รวมถึง ผู้นำคูเวต, กาตาร์ และประเทศทาจิกิสถาน

นอกจากนั้น ในเวลาประมาณ 14.20 น. ตามเวลาประเทศไทย นายกรัฐมนตรี จะขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2559 มาก่อน และในฐานะประธาน ACD ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคมนี้ โดยนายกรัฐมนตรี ต้องการผลักดันให้ ACD เป็นเวทีการหารือระดับนโยบาย เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปเอเชีย ส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นเวทีที่ประเทศสมาชิกสามารถแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้วยความเข้าใจและไว้เนื้อเชื่อใจ เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาความท้าทายของโลก รวมทั้งความท้าทายจากการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจร่วมกัน 

นายมาริษ ชี้แจงด้วยว่า ACD ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2545 โดยการริเริ่มของไทย ปัจจุบันมีสมาชิก 35 ประเทศ ซึ่งวัตถุประสงค์ และความสำคัญของ ACD นั้น เป็นเวทีหารือระดับนโยบายและความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปเอเชียที่ประเทศสมาชิกสามารถแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาความท้าทายต่าง ๆ ของโลก ส่งเสริมความเข้าใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นเวทีเดียวในเอเชียที่เชื่อมโยงประเทศในทุกพื้นที่ของทวีปเอเชีย
(Pan-Asian Forum) และกรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ BRICS, ASEAN และ CICA เป็นต้น

นายมาริษ ยังย้ำอีกว่า นายกรัฐมนตรี ยังคงติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง เนื่องจาก มีความห่วงกังวลต่อพลเมือง และสถานการณ์ด้านมนุษยธรรม โดยได้ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุด และยุติการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เพื่อไม่ให้สถานการณ์ความขัดแย้งลุกลามบานปลาย และยังแสดงความห่วงใยต่อความปลอดภัยของคนไทยที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงในตะวันออกกลาง จึงกำชับให้คนไทยในพื้นที่ทุกคนติดตาม และปฎิบัติตามคำแนะนำของทางการท้องถิ่น และสถานเอกอัครราชทูตไทยอย่างเคร่งครัด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top