Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

คนไทยปลื้ม!! นักวิทยาศาสตร์ไทย คว้ารางวัลระดับนานาชาติจากประเทศคูเวต ผลงาน!! นวัตกรรมด้านการทำความสะอาดฆ่าเชื้อในรถบริการการแพทย์ฉุกเฉิน

(29 ส.ค. 67) จากเพจ 'Thailand FACT Today' ได้โพสต์ข้อความระบุว่า...

ล่าสุด นางสาวพรรัตน์ ไชยมงคล นักวิทยาศาสตร์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวง อว.

นำผลงาน 'นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ด้านการทำความสะอาดฆ่าเชื้อในรถบริการการแพทย์ฉุกเฉิน'

เข้าร่วมประกวดผลงานนวัตกรรมในงาน International Exhibition of Inventions in the Middle East ณ ประเทศคูเวต ซึ่งจัดโดย Kuwait Science Club ในพระอุปถัมภ์ของเจ้าผู้ครองรัฐคูเวต 

และได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เป็นผลงานการวิจัยและพัฒนาร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์

นวัตกรรมดังกล่าวใช้กระบวนการ Advanced Oxidation Process ในการฆ่าเชื้อโรคทั้งในพื้นผิวและอากาศภายในรถบริการการแพทย์ฉุกเฉิน

ประกอบด้วย 2 Model ได้แก่ Model สำหรับติดตั้งในสถานีรถพยาบาล จะใช้งานเมื่อรถพยาบาลออกไปให้บริการผู้ป่วยและกลับมาทำความสะอาดฆ่าเชื้อที่ Station และ Portable Model สำหรับติดตั้งในรถพยาบาลกรณีที่ไม่สามารถกลับเข้าทำความสะอาดที่สถานีได้ และมีประโยชน์อย่างยิ่งในสถานการณ์โรคระบาดรุนแรงและสถานการณ์ปกติ 

เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่บุคลากรและผู้ป่วย ที่อาจสัมผัสเชื้อโรคได้ สำหรับตัวเครื่องใช้แบตเตอรีและสามารถชาร์จไฟจากรถพยาบาลได้

โดยทั้ง 2 Model ทำการฆ่าเชื้อแบบอัตโนมัติ สามารถสั่งงานผ่าน Remote หรือ Applications โดยไม่ต้องใช้คนเข้าไปทำความสะอาดฆ่าเชื้อ

ทั้งนี้ ผลงานฯ ดังกล่าว ได้ส่งมอบเพื่อนำร่องใช้งานจริงในรถบริการการแพทย์ฉุกเฉินใน 3 พื้นที่ ได้แก่ ปทุมธานี, แหลมฉบัง, ชลบุรี, สมุทรปราการ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้แก่เจ้าหน้าที่และผู้ป่วย และเป็นการร่วมผลักดันบูรณาการระหว่างองค์กรด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดระบบฆ่าเชื้อที่สามารถติดตั้งในรถบริการการแพทย์ฉุกเฉินและสามารถขยายการใช้งานนวัตกรรมทั่วประเทศต่อไป

'รัฐสภาเกาหลีใต้' ผ่านร่างกฎหมาย 'พรบ.คูฮารา' ใครไม่เคยเลี้ยงดูหรือเคยทำร้ายผู้ตายมาก่อน หมดสิทธิ์ในมรดก

(29 ส.ค. 67) จากเพจ 'ข่าวสารบันเทิงจีน' ได้เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ 28 ส.ค.2024 รัฐสภาเกาหลีใต้ผ่านร่างกฎหมาย 'พรบ.คูฮารา' ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 284 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง การแก้ไขกฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ในปี 2026

เนื้อหาของกฎหมายมีใจความว่า "ผู้ปกครอง ญาติสนิททางสายเลือด เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย ที่ไม่มีส่วนในการเลี้ยงดูช่วยเหลือกันมา หรือเคยกระทำการล่วงละเมิดอย่างร้ายแรงต่อผู้ตายมาก่อน จะไม่มีสิทธิ์ในมรดกของผู้ตาย"

กฎหมายนี้มาจาก นส.คูฮารา อดีตสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปวง KARA ผู้มีส่วนสำคัญในการไขคดีไนท์คลับ Burning S un และเธอตกเป็นเหยื่อขบวนการ 'คลิปลับ' จนเป็นโรคซึมเศร้า และฆ่าตัวตายในปี 2019

ภายหลังเธอเสียชีวิตได้ทิ้งมรดกเอาไว้เป็นเงินถึง 150 ล้านบาท และจู่ๆ คุณแม่ของคูฮารา ที่ทอดทิ้งเธอไปตั้งแต่เด็กๆ ก็ปรากฏตัวมาขอแบ่งมรดกครึ่งหนึ่งของ คูฮารา ตามสิทธิ์ของผู้เป็นแม่

แต่ คูอินโฮ พี่ชายแท้ๆ ของคูฮารา คัดค้านสิทธิ์รับมรดกของแม่ เนื่องจากได้ทอดทิ้งลูกไปตั้งแต่วัยเด็กรวมเวลากว่า 20 ปี ไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูเขากับน้องสาวเลย ทำให้ชีวิตของ ฮารา ขาดความสุขในวัยเด็ก เป็นสาเหตุให้เธอเป็นโรคซึมเศร้า โดยมีหลักฐานจากจดหมายลาตายของเธอที่บอกว่ารู้สึกอัดอั้นตันใจกับครอบครัว

แต่ในที่สุดเมื่อเรื่องนี้มีการฟ้องร้องกันในศาล ศาลเกาหลีใต้ตัดสินให้แบ่งมรดกให้แม่ของ คูฮารา 40% ตามกฏหมายของเกาหลีที่ระบุว่า "บุคคลเมื่อเสียชีวิตและไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ มรดกย่อมตกเป็นของพ่อแม่ในฐานะผู้ให้กำเนิด"

คูอินโฮ พี่ชายของ คูฮารา จึงรณรงค์ทางอินเตอร์เน็ตให้แก้กฎหมายฉบับนี้ และมีผู้ลงชื่อสนับสนุนนับล้านคน จึงเป็นที่มาของ ชื่อ 'พรบ.คูฮารา' หรือ Goo Hara Act

'ศิริโชค โสภา' ยื่นใบลาออก ปิดฉาก 30 ปี คนพรรคประชาธิปัตย์ ทิ้งท้าย!! นักการเมืองต้องมีสัจจะวาจา และอุดมการณ์ที่ต้องรักษา

(29 ส.ค. 67) นายศิริโชค โสภา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้แจ้งข่าวการลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า...

เรียน  พี่น้องประชาชน และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคารพ

กระผมเริ่มชีวิตการเป็นนักการเมือง โดยเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งแรก เมื่อปีพ.ศ. 2544 และได้รับการเลือกตั้งต่อเนื่องอีก 4 สมัย  แม้ว่าจะเป็นฝ่ายค้านเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ผมก็ภูมิใจ ที่ได้ทำหน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และได้มีส่วนร่วมกับทีมประชาธิปัตย์ทุกครั้งที่มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 

ผมยังจำบรรยากาศในสมัยแรก ที่ผมเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ต้องลุกขึ้นอภิปราย ไม่ไว้วางใจ เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง กรณี บริษัทโทรคมนาคม แห่งหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร จนได้รับการเลือกจากสื่อมวลชนให้เป็นดาวสภาฯ และผลจากการอภิปรายฯ ในครั้งนั้น ทำให้ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า สองหมื่นล้านบาท

คณะบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ที่ผมต้องขอบคุณ มา ณ ที่นี่ ก็คือ พี่น้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ทุกท่านที่ช่วยกันต่อสู้ในสภาฯ อย่างเต็มที่ และที่ต้องขอบคุณเป็นพิเศษคือ นายชวน หลีกภัย และนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่คอยสนับสนุน และให้คำปรึกษาผมมาตลอด  และที่ขาดไม่ได้คือ พี่ถาวร เสนเนียม ที่คอยช่วยกัน ดูแลพยานปากสำคัญของผม ที่แม้ตอนหลังพยานผมจะเสียชีวิตก็ตาม 

ผมไม่เคยที่จะลืมบุญคุณ บุคคลคนเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคประชาธิปัตย์ และพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัด สงขลา ที่ให้โอกาสผมในการทำงาน เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี 

ผมไม่เคยคิดว่า วันนี้จะมาถึง เพราะตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปี ที่ผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดเสมอว่า ที่นี่คือบ้านเดียวและบ้านหลังสุดท้ายของผม แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน มีอุดมการณ์ ที่ต่างไปจากพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต เป็นอย่างมาก ผมจึงมีความจำใจ ต้องเดินจากไป แม้จะมีความอาลัย อาวรณ์ต่อพรรคมากก็ตาม เพราะผมเชื่อเสมอว่า นักการเมืองต้องมีสัจจะวาจา และอุดมการณ์ที่ต้องรักษา หากปราศจากทั้งสองสิ่งนี้ ก็เป็นได้แค่นักเลือกตั้ง

คืนนี้ทั้งคืน เป็นคืนที่ผมนอนไม่หลับ เพราะเช้านี้แล้ว ที่ผมจำต้องยื่นหนังสือลาออกจากพรรคฯ ที่ผมรักและเทิดทูนที่สุด ทั้งน้ำตา 

แต่ผมก็ยังหวัง แม้จะเป็นความหวังอันน้อยๆ ว่าสักวัน พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมายิ่งใหญ่ อีกครั้ง พร้อมกับอุดมการณ์ที่มั่นคง และเป็นที่พึ่ง ที่หวังของประชาชนได้ แล้วผมจะเฝ้ารอดูครับ 

ขอแสดงความนับถือ 

นาย ศิริโชค โสภา 
อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

หนุ่มอินเดียทำคลิปแสดงสีหน้าขยะแขยงเมื่อเห็นอาหารชาติอื่น เจอมติทัวร์ชาวเน็ต 'อินเดียไม่ควรแซะประเทศอื่นเรื่องอาหาร'

(29 ส.ค. 67) กลายเป็นประเด็นในโซเชียล เมื่อหนุ่มอินเดียคนหนึ่งทำคลิปรีแอคชั่นอาหารประเทศต่าง ๆ ในคลิปมีอาหารจากหลากหลายชาติ ซึ่งมีอาหารไทยรวมอยู่ด้วย ทั้งเมนูต้มแซ่บปลาดุก หอยทอดกระทะร้อน และต้มแซ่บเครื่องในวัว โดยทำท่าทางคล้ายขยะแขยงอาหาร เห็นอาหารแล้วจะอาเจียน ชวนให้เข้าใจว่าอาหารต่าง ๆ ที่อยู่ในคลิปนั้นไม่น่าทาน เป็นอาหารที่แย่

งานนี้ชาวเน็ตไม่รอช้า เรียกได้ว่าทัวร์ลงแบบนานาชาติ มีความเห็นหลากหลายภาษาใต้คลิปดังกล่าว แน่นอนชาวเน็ตไทยไม่พลาดขบวน แสดงความเห็น 

"ประเทศนายหนักกว่าเราอีกนะ อร่อยให้ 6 สกปรกให้ 10" 
"มีแต่ของอร่อยทั้งนั้นนี่หว่าา" 
"มันสะอาดเกินไปหรือยังไง" 
"สภาพ ไม่น่าทำท่าอ้วกแบบนั้นเลย"
"อินเดียไม่ควรแซะประเทศอื่นและอาหาร"

ส่วนความเห็นต่างชาติก็คอมเมนต์แรง "It's too clean for you to eat, right? It has to be dirty like the ones you've eaten before for it to be delicious.”

"มันสะอาดเกินกว่าจะกินใช่ไหม? มันจะต้องสกปรกเหมือนอาหารที่คุณเคยกินมาก่อนถึงจะอร่อยหรอ"

บ้างถามกลับว่า "How about your country?" แล้วประเทศของคุณละเป็นยังไง

'เทพบิว' คว้าเหรียญเงิน วิ่ง 100 เมตร ศึกกรีฑาเยาวชนโลก 2024

(29 ส.ค. 67) บิว ภูริพล บุญสอน นักกีฬากรีฑาทีมชาติไทย เข้าร่วมแข่งขัน วิ่ง 100 ม.ในการแข่งขัน ‘กรีฑาเยาวชนโลก’ WORLD ATHLETICS U20 CHAMPIONSHIP LIMA PERU ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู รอบชิงชนะเลิศ โดยอยู่ในลู่วิ่งที่ 6

ผลการแข่งขัน บิว ภูริพล เข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่ 2 สถิติ 10.22 วินาที คว้าเหรียญเงินมาครอง โดยเหรียญทองเป็นของ Bayanda Walaza จากประเทศแอฟริกาใต้ สถิติ 10.19 วินาที และเหรียญทองแดง เป็นของ Bradley Nkoana จากประเทศแอฟริกาใต้ สถิติ 10.26 วินาที

ร่วมส่งกำลังใจเชียร์ทัพกีฬากรีฑาทีมชาติไทย ในการแข่งขันกรีฑาเยาวชนโลก WORLD ATHLETICS U20 CHAMPIONSHIP LIMA PERU 27-31 สิงหาคม 2567 ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู

สำรวจ 9 จังหวัดในประเทศไทยที่ไม่มีโรงภาพยนตร์ แต่ 'ไม่ส่งผล-เกี่ยวข้อง' กับความเหลื่อมล้ำของสังคมแต่อย่างใด

(29 ส.ค. 67) จากเพจ 'ไทยไฝว้ Thai Fwi' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

9 จังหวัดในประเทศไทยที่ไม่มีโรงภาพยนตร์ อาจประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ภูมิประเทศ ทำเลที่ตั้ง จำนวนประชากร ความเหมาะสมกับการลงทุน ซึ่งไม่เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำของสังคมแต่อย่างใด

ถ้าไปทำสำรวจประชากร จะทราบคำตอบว่า การกินดีอยู่ดี เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ รองลงมาจากความบันเทิงจากโรงหนัง ซึ่งในยุคนี้หาได้จากออนไลน์ #โรงหนังออนไลน์

1.แม่ฮ่องสอน
2.ตราด
3.ชัยนาท
4.นครนายก
5.นราธิวาส (มีโครงการในอนาคต)
6.บึงกาฬ
7.ปัตตานี (มีโครงการในอนาคต)
8.อำนาจเจริญ
9.อุทัยธานี

CATL ผนึกกำลังเครือ ปตท. เดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศพลังงานไทย ชูเป้าหมายใหญ่ เปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด

เมื่อวานนี้ (28 ส.ค. 67) บริษัท เอ ซี เอนเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด A C Energy Solution (ACE) และ Contemporary Amperex Technology Co., Ltd. (CATL) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อศึกษาและพัฒนาระบบนิเวศพลังงานไทย ณ สำนักงานใหญ่ CATL เมืองหนิงเต๋อ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วย Mr. LiBin Tan Chief Customer Officer & Co-President of the Market System CATL, นายเอกชัย ยิ้มสกุล กรรมการผู้จัดการ ACE และ Mr. See Tzu Cheng (ขวาล่าง) General Manager of APAC & Strategic Projects CATL ร่วมเป็นเกียรติในพิธี

🚗#กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) จากนโยบายการสนับสนุนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทำให้ปริมาณการใช้ EV มีการเติบโตอย่างเนื่อง โดยปัจจุบัน ACE และ CATL ได้มีความร่วมมือในการจัดตั้งโรงงานประกอบ EV battery pack โดยใช้เทคโนโลยีชั้นนำจาก CATL และ EV value chain จากกลุ่ม ปตท. โดยมุ่งเน้นการผลิต ประกอบ battery pack ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังมีแผนในการศึกษาการพัฒนา ระบบ green factory เพื่อรองรับ Net Zero ในอนาคต เพื่อลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้การพัฒนาระบบ Green factory โดยการนำ Renewable energy และ ระบบ battery มาประยุกต์ใช้ ยังสามารถต่อยอดธุรกิจไปได้หลากได้ด้าน ทั้ง PPA และ Private PPA ภายในประเทศในอนาคตอันใกล้

⚡#กลุ่มการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging) การเติบโตอย่างรวดเร็วของยานยนต์ไฟฟ้า จำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถชาร์จไฟได้สะดวกและรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามสถานีชาร์จปัจจุบัน ยังพึ่งพาระบบโดยทั้งหมดจากการไฟฟ้า ทำให้เกิดปัญหาในหลายมิติ อาทิเช่น Grid stability, Low priority power เป็นต้น โดยความร่วมมือดังกล่าวจะร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการบริหารจัดการพลังงานในสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการติดตั้งระบบ BESS ร่วมกับ Solar system เพื่อลดภาระการใช้งานพลังงานจาก Grid เพิ่มความเสถียรของระบบไฟฟ้าในสถานีชาร์จ โดยการจัดการกับความผันผวนของการใช้พลังงานและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนพลังงาน และรองรับการชาร์จเร็ว (Super-fast charging) ได้ถึง 4C - 6C เป็นต้น

🔋#กลุ่มระบบกักเก็บพลังงานและพลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานของประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ความร่วมมือนี้มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการเก็บและจัดการพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และนำมาใช้ในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง ระบบ ESS นี้จะช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มความเสถียรของระบบไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานในช่วงเวลาที่มีค่าไฟฟ้าสูง (peak hours) โดยการใช้พลังงานที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่แทน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพลังงานและลดภาระการใช้พลังงานจาก Grid นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือในการศึกษาการสร้าง ESS production line และ Battery cell production line เพื่อรองรับการเติบโตและเป็นการสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศไทย

🚉#กลุ่มระบบการขนส่ง การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่แค่รองรับรถยนต์ส่วนบุคคลเท่านั้น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการขนส่งที่ยั่งยืน (Sustainable Transportation) เนื่องจากการขนส่งเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือดังกล่าวได้ร่วมศึกษาพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยี การวางแผนเมืองโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ให้รองรับการขนส่ง อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิเช่น ระบบบริหารจัดการพลังงาน ระบบการชาร์จ ระบบ renewable energy ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ Nvidia บริษัทที่มีมูลค่า 6 เท่าของ GDP ไทย

สัปดาห์นี้มีการประกาศงบของ 1 ในบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ที่แค่ประกาศงบออกมา ก็สามารถส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นทั่วโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ 

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น คงจะหนีไม่พ้นการที่บริษัทนี้เป็นผู้นำในตลาดเทคโนโลยีที่ผลิตและพัฒนาชิปประมวลผลกราฟฟิก หรือ GPU และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ตอนนี้แทบจะแฝงอยู่ในทุก ๆ อย่างในชีวิตประจำวันของเราแล้วค่ะ 

บริษัทคือ Nvidia ค่ะ โดยปัจจุบันมีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.09 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 108.15 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 6 เท่าของ GDP ของประเทศไทยเลยทีเดียว

วันนี้เลยอยากจะพาทุกท่านไปรู้จัก Nvidia มากขึ้นผ่าน 10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับบริษัทนี้กันค่ะ...

ข้อควรรู้ที่ 1: CEO ผู้ก่อตั้งบริษัทคือ คุณเจนเซ่น ฮวง (Jensen Huang) เป็นชาวไต้หวัน แต่ไปเติบโตที่สหรัฐฯ และครั้งหนึ่งคุณเจนเซ่นเองก็เคยลี้ภัยมาอยู่ประเทศไทยก่อนย้ายไปอยู่ที่สหรัฐฯ

ข้อควรรู้ที่ 2: Jensen Huang และเพื่อนอีก 2 คนคือ Chris Malachowsky และ Curtis Priem ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Nvidia ขึ้นมาในปี 1993 ในตอนนั้นเป็นการพูดคุยกันในร้านอาหารชื่อ Denny’s ซึ่งเป็นร้านที่คุณ Jensen เคยไปทำงานพาร์ตไทม์สมัยมัธยมปลาย

ข้อควรรู้ที่ 3: ในเริ่มแรกบริษัทเองก็ล้มลุกคลุกคลาน แต่ในปี 1999 หลังจากเปิดบริษัทมาได้ 6 ปีก็สามารถนำเอาบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ได้ โดยราคา IPO ตอนนั้นอยู่ที่ 12 เหรียญต่อหุ้น

ข้อควรรู้ที่ 4: หลังจาก IPO ได้ 24 ปีบริษัทก็มีมูลค่าตลาดทะลุล้านล้านเหรียญและยังนับเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก

ข้อควรรู้ที่ 5: รายได้ของ Nvidia แบ่งใช้ใน Data Center 52%, เกม 42%, การวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผล 4%, รถยนต์ไร้คนขับ 2% และอื่น ๆ อีก 1%

ข้อควรรู้ที่ 6: Nvidia มีการจับมือร่วมกับหลายบริษัทไม่ว่าจะเป็น Tesla, Amazon และ Microsoft ในการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ

ข้อควรรู้ที่ 7: คู่แข่งของ Nvidia มีหลายบริษัททั้ง AMD, Intel, Qualcomm, Google ที่พากันเข้ามาลงเล่นในตลาดชิป รวมไปถึงบริษัท Startup อย่าง Celebras system ด้วยค่ะ 

ข้อควรรู้ที่ 8: Nvidia มีการตั้งชื่อชิปให้เหมือนกับชื่อบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เพื่อบ่งบอกถึงความล้ำสมัยและพลังของชิปของบริษัท เช่น ชิปที่ชื่อ Turing ที่มาจาก Alan Turing (นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษที่คิดค้น Turing Machine ที่เป็นพื้นฐานทฤษฎีการคำนวณ) และ Ampere ที่มาจาก Andre-Marie Ampere (นักฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ที่ศึกษากระแสไฟที่มาของหน่วยวัดกระแสไฟฟ้า Ampere) 

ข้อควรรู้ที่ 9: ปัจจุบันคุณเจนเซ่นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 11 ของโลกโดยมีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่ 119 พันล้านเหรียญจากการจัดอันดับของนิตยสารฟอบส์

ข้อควรรู้ที่ 10: งบล่าสุดของไตรมาส 2 ปี 2024 ยังคงโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 30 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 122% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าค่ะ 

ความเชื่อเรื่องเคราะห์ร้ายและอัปมงคล เหตุจากคนหรือจากเคราะห์กรรม

'303' กลัว กล้า อาฆาต ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องหนึ่งในช่วงยุค 90 (ปี 2541) ใครที่เกิดไม่ทันคงจะงง งง เพราะนี่คือชื่อภาพยนตร์ไทยที่รวบรวมดาราวัยรุ่นในยุคนั้นมาเล่นหนังสยองขวัญ ซึ่งนักแสดงที่ยังคงมีงานแสดงอยู่ในวงการและคนยุคนี้พอจะรู้จักก็มี อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม และ ชาย ชาตโยดม 

ส่วนหนังสยองขวัญในยุค 2000 (ปี 2545) อีกเรื่องหนึ่งที่ชื่อแปลก ๆ ก็คือ '999-9999' ต่อติดตาย นำแสดงโดย ฮิวโก้ จุลจักร และ ศรีริตา เจนเซ่น คือชื่อเรื่องเอามาจากเบอร์โทรศัพท์ในยุคที่เรายังไม่มี Smart Phone เหมือนทุกวันนี้ 

ทั้งหมดทั้งมวลที่เกริ่นมาไม่มีอะไรเกี่ยวกับภาพยนตร์ครับ แต่ความน่าสนใจมันอยู่ที่ตัวเลขที่เขานำมาผูกกับชื่อเรื่องต่างหาก ซึ่งผมจะชวนทุกท่านมาอ่านเรื่องราวของตัวเลขที่ผู้คนในประเทศไทยและในต่างประเทศยึดถือ ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นเลขอาถรรพ์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิต 

ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเรียบเรียงขึ้นมาอย่างสังเขปเพื่อให้ได้อ่านกันเพลิน ๆ ส่วนใครจะเชื่ออย่างไรนั้นแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลครับ

ตัวเลขอย่าง 303 หรือ 999-9999 เป็นตัวเลขสมมติที่ยังไม่ได้มีความเชื่ออะไรไปจับต้องมากนัก อาจจะมีเลข 9 ที่ ถือว่าเป็นเลขดีของไทยเรา 

แต่เลขที่มีความเชื่อว่าจะให้โทษ เป็นเลขร้าย ๆ มันมีอะไรบ้าง ซึ่งก่อนจะไปติดตามกันผมต้องบอกก่อนว่า 'จริงหรือไม่จริงทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวคุณเอง'

เริ่มต้นด้วย '305' มีคนเขานำไปวิเคราะห์ด้วยหลักฮวงจุ้ยของจีน เลขนี้แปลว่า 'ไม่ - เกิด' ซึ่งก็เท่า 'ตาย' บางท่านเขาก็ว่า เลขนี้เป็นเลขผีเหมือนเลข 13 ของฝรั่ง เป็นเลขของช่วงเวลาที่ผีจะออกมามากที่สุดคือ 3.05 อีกทั้งยังมีเหตุการณ์พบศพคนตายอยู่ในห้อง 305 อยู่เนือง ๆ สุดท้าย ก็เลยกลายเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า 305 คือเลขร้าย แล้วคุณว่ามันร้ายจริงไหม? 

เลข '4' ตามความเชื่อของคนจีนถือเป็นเลขไม่เป็นมงคล คนจีนไม่ชอบเลข 4 เพราะออกเสียงคล้ายกับคำว่า 'ตาย' (ซี้) ซึ่งอันนี้ผมว่าเราก็น่าจะทราบกันอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เฉพาะแค่คนจีน เพราะเลข '4' ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น ถือเป็นเลขไม่เป็นมงคลเช่นกัน เนื่องจากในภาษาญี่ปุ่น 4 ออกเสียงเป็น 'ชิ' ซึ่งคำว่า 'ความตาย' ในภาษาญี่ปุ่นก็ออกเสียง 'ชิ' เช่นเดียวกัน (อันนี้มันคล้ายกันจริงไหม ผู้รู้มาตอบที) 

ต่อมาคือเลข 6 หรือ 666 ฝรั่งเขาว่ามันคือ เลขของซาตาน เป็นเลขอาถรรพ์ เป็นความวิตถาร และอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะมันโยงไปถึงความเจ็บป่วย (Sick) ที่มีเสียงพ้องกันกับเลข 6 (Six) แค่ต่างกันตรงท้ายเสียง (เออ!! ก็โยงไปได้) ส่วนพี่ไทยเขาก็ถือว่าเลข 6 นั้นไม่ค่อยดี เนื่องจากเวลาออกเสียงคำออกมา มันไปพ้องกับความไม่เป็นมงคลคือ หก ตก ล้ม หล่น อะไรแบบนั้น ผิดกับชาวจีนที่เลข 6 คือเลขแห่งความราบรื่น 

เลข 7 ตามความเชื่อของคนไทยถือว่าไม่เป็นมงคล ด้วยความเชื่อทางโหราศาสตร์ที่ว่า 'โทษทุกข์ ทายเสาร์' เลข 7 จึงเป็นเลขแห่งความทุกข์ทั้งหลาย (อันนี้ผมเคยได้ยินคนทำนายทายทักอยู่) ที่สำคัญเลข 7 มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎี The seven year itch โดยเขาระบุว่าหากคู่ใดก็ตามที่เป็นแฟนกันมาแล้ว 7 ปี หากยังไม่แต่งงานใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จะต้องมีเหตุให้เลิกรา (อันนี้ถูกนำไปโยงหลายเรื่องอยู่) แต่กลับกันถ้าคุณเป็นนักพนัน เลข 7 คือเลขนำโชคของคุณ 

เลข 8 ตัวเลขที่ใคร ๆ เขาก็ว่าดี แต่เมื่อเบิ้ลตัวเลขกลายเป็น '88' ฝรั่งเขาถือว่าเป็นตัวเลขของ 'พรรคนาซี' ผู้ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสมาชิกพรรคจะตะโกนคำว่า Heil Hitler เพื่อแสดงความสดุดีต่อท่านผู้นำ ทีนี้เมื่อมีคนคิดเยอะนำเอามาเขียนเป็นตัวย่อในภาษาอังกฤษจะได้เป็น 'HH' ซึ่งดูคล้ายเลข '88' ทั้งตัวอักษร H เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษในลำดับที่ 8 เหล่า 'นีโอนาซี' จึงประยุกต์นำเอาตัวเลข 88 มาใช้เพื่อสื่อถึงความภักดีต่อ 'นาซี'

เลข 9 คนไทย คนจีน เขาว่าดี แต่เลข 9 ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น กลับไม่เป็นมงคล เนื่องจากเลข 9 ในภาษาญี่ปุ่นอ่านออกเสียงว่า 'คุ' ซึ่งพ้องเสียงกับคำที่หมายถึง 'ความยากลำบาก' ในภาษาญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นจึงถือว่าเลข 9 เป็นเลขที่ไม่ดี 

เลข 11 เป็นเลขแห่งจุดจบ ซึ่งโยงมาจากเหตุก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 เดือน 9 ปี 2001 (พ.ศ.2544) เครื่องบินสองลำพุ่งชนตึกแฝดตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่มีลักษณะคล้ายเลข 11 ในเที่ยวบินที่ 11 และยังมีอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับเลข 11 จึงทำให้เชื่อว่าเป็นเลขที่ไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องมารำลึกถึงการสูญเสียในเหตุการณ์ 9/11 ดังกล่าว 

13 เลขแห่งความโชคร้ายที่สุดของฝรั่ง ยิ่งถ้าเป็นวันศุกร์ 13 นี่ยิ่งอัปมงคลสุด ๆ ด้วยชาวคริสต์มีความเชื่อว่าเลขนี้เกี่ยวเนื่องกับอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ที่เรียกกันว่า 'เดอะ ลาสต์ ซัปเปอร์' (The Last Supper) ที่มีสาวกร่วมโต๊ะกับพระเยซูคริสต์รวม 13 คน พ่วงด้วยความเชื่อว่าวันศุกร์เป็นวันโชคร้ายเพราะเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขน ผนวกกับมันเป็นวันที่ 'อดัมกับอีฟ' กัดแอปเปิ้ลต้องห้ามของพระผู้เป็นเจ้าในสวนเอเดนจนต้องถูกขับไล่ออกมา ทั้งยังเชื่อว่าเป็นวันที่ 'อดัมกับอีฟ' ตายจากโลกอีกด้วย ฉะนั้นพอเลข 13 รวมกับวันศุกร์ จึงเป็นวันที่เลวร้ายมากสำหรับฝรั่งเขา 

แต่เรื่องเลข 13 นี้เป็นความเชื่อที่ลามไปทั้งโลก เช่น อาคารต่าง ๆ เกือบทั่วโลกจะไม่มีชั้น 13 นักเดินเรือจะไม่ยอมออกเดินเรือในวันที่ 13 จนหนักขนาดที่มีกลุ่มคนที่กลัวเลข 13 จนกลายเป็นโรคทางจิตที่เรียกว่า 'ไตรสไกเดกา โฟเบีย' (Triskaideka Phobia) ไม่มงคลไม่เท่าไหร่ แต่กลัวจนเป็นโรคอันนี้ก็เกินไป 

เลข 17 ตัวเลขที่ชาวอิตาลีเชื่อว่า อัปมงคลพอ ๆ กับเลข 13 เพราะเมื่อเขียนเลข 17 ในแบบโรมันจะได้ 'XVII' พอสลับตัวอักษรจะได้ 'VIXI' ซึ่งพ้องกับคำว่า 'VISSI' ซึ่งมีความหมายว่า 'ฉันเคยมีชีวิตอยู่' แปลตรง ๆ ก็คือ “ฉันได้ตายไปแล้ว” ซึ่งมักปรากฏอยู่ป้ายหลุมศพของชาวโรมัน ซึ่งอาคารต่าง ๆ ในอิตาลีนั้นมักจะไม่มีชั้น 17 สายการบินหลายสายของอิตาลีจะไม่มีที่นั่งหมายเลข 17 โรงแรมหลายแห่งไม่มีห้องหมายเลข 17 อันนี้เขาเล่ากันว่าลามไปถึงรุ่นของรถยนต์ เช่น รถฝรั่งเศสยี่ห้อเรโนลต์ รุ่น R17 พอไปขายในอิตาลีต้องเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น R177 ฯลฯ 

อายุ 25 'เบญจเพส' ตามคติพราหมณ์คัมภีร์พฤติกรรมศาสตร์เขาว่า “บุรุษใดต้องเบญจเพส หมายถึง การเข้าสู่โชคและเคราะห์ที่รุนแรงไม่ทางบวกก็เป็นลบต่อชีวิต” แต่จะดีหรือไม่ดีมันก็คงแล้วแต่จังหวะของชีวิตล่ะครับ ต้องมีสติ ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม (25 หรือ เบญจเพส นี้ 'ไม่เกี่ยวข้องกับสตรี' นะครับ ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าไม่เกี่ยวกับสาว ๆ) 

วันที่ 26 'วันแห่งแผ่นดินไหว' ที่มีคนโยงไปเชื่อมโยงกับสถิติการเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลก โดยเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้เกิด 'คลื่นยักษ์สึนามิ' ในภาคใต้ฝั่งอันดามันของบ้านเราเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และต้องใช้ระยะเวลานาน กว่าที่แผลในจิตใจของคนทั้งโลกจะกลับมาหายดี 

จากตัวเลขไม่ดีทั้งหมดที่เล่ามา คุณจะเห็นได้ว่าบางตัวเลข บางประเทศถือว่าเป็นเลขที่ดี บางตัวเลขไม่มีผลหรือเกี่ยวข้องกับเขาเลย บางตัวเลขเป็นเลขของเหตุการณ์ที่เป็นแผลในใจมากกว่าจะเป็นเลขอัปมงคล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยความเชื่อด้านตัวเลขมันก็ย่อมต้องมีอิทธิพลต่อคนเราไม่มากก็น้อย ทั้งนี้แล้วแต่ความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเขียนเล่ามาถึงตรงนี้ก็คือ

ตัวเลขไม่ว่าจะดีหรือร้ายแค่ไหน กรรมหรือการกระทำต่างหากคือเครื่องกำหนดชีวิตของเรา

ข้อเสนอแก้หนี้ครัวเรือน กับผลงานชิ้นโบแดงของแบงก์ชาติ

(1 ก.ย. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ

ในบรรดาหลายมาตรการที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เสนอในเวที Vision for Thailand เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน โดยแบ่งเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ครึ่งหนึ่ง (0.23% ของฐานเงินฝากของธนาคารพาณิชย์) มาสมทบกับเงินของสถาบันการเงินเอง เพื่อ Haircut หนี้ของลูกหนี้ที่มีปัญหา เป็นข้อเสนอที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษและมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติสูง

ข้อเสนอดังกล่าวเป็นการคิดนอกกรอบอีกครั้งหนึ่งของท่านนายกทักษิณ ซึ่งหากทำสำเร็จ ก็จะผ่อนคลายความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องแบกรับภาระหนี้ที่มีจำนวนสูงถึงกว่า 16 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 91% ของ GDP และเป็นตัวเหนี่ยวรั้งการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยมายาวนาน

ทันทีที่ข้อเสนอถูกเผยออกมา ผู้บริหารแบงก์ชาติถึงกับเกิดอาการอึ้ง เมื่อถูกสื่อสอบถามความเห็น แต่ก็ได้ให้ลิ่วล้อออกมาส่งเสียงคัดค้านว่าจะเกิดผลเสียต่อการบริหารหนี้ FIDF (Financial Institutions Development Fund) ต่าง ๆ นานา ทั้ง ๆ ที่หนี้ FIDF ก้อนนี้ ซึ่งยังคงค้างอยู่ประมาณ 600,000 ล้านบาท เป็นหนี้สาธารณะที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง ไม่ใช่หน้าที่ของ ธปท. แต่ ธปท. ในฐานะธนาคารกลางที่เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างขึ้นมาจากน้ำมือของ ธปท. เองล้วน ๆ

ย้อนหลังไปเมื่อปี 2540 หลายท่านอาจจำไม่ได้แล้วว่า ประเทศไทยมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate) ธปท. ในฐานะผู้รับผิดชอบนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน จึงออกไป Defend ค่าเงินบาท ปกป้องไปปกป้องมาจนผลาญเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเสียเกลี้ยง จึงต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 พร้อม ๆ กับการเข้าโปรแกรม IMF การปิดสถาบันการเงิน และการให้รัฐบาลประกาศรับประกันเงินฝากของประชาชนที่สถาบันการเงิน จึงเป็นที่มาของหนี้จำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งในที่สุด ธปท. ต้องร้องขอให้รัฐบาลแปลงจากหนี้ของกองทุน FIDF มาเป็นหนี้สาธารณะ (Fiscalization)

เนื่องจากหนี้ FIDF มีที่มาจากระบบสถาบันการเงิน จึงไม่เหมาะสมที่จะให้คนไทยผู้เสียภาษีทั้งประเทศรับภาระหนี้ก้อนนี้ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท จึงมีความตกลงกันให้ ธปท. รับผิดชอบชดใช้เงินต้น และกระทรวงการคลังรับภาระดอกเบี้ย แต่จนแล้วจนรอด ธปท. ก็ไม่ทำตามสัญญา โดยอ้างว่าไม่มีกำไร ในขณะที่ยังคงจ่ายโบนัสพนักงานอยู่เป็นปกติ 

เมื่อหนี้ไม่ลด การชำระดอกเบี้ย จึงไม่ลดไปด้วย โดยกระทรวงการคลังต้องขอตั้งงบประมาณชำระดอกเบี้ยเป็นจำนวนสูงถึงปีละกว่า 60,000 ล้านบาท

เมื่อ ธปท. ไม่ชำระหนี้เงินต้นตามที่ตกลงกันไว้ จึงเป็นที่มาของการออกกฎหมายกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำส่งเงินเพื่อชำระหนี้ FIDF จำนวน 0.46% ของฐานเงินฝาก ในสมัยที่คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาหนี้ FIDF อย่างเบ็ดเสร็จและตรงจุด และผลจากการดำเนินการดังกล่าวได้ทำให้รัฐบาลสามารถลดภาระงบประมาณได้อย่างมากและลดยอดหนี้ FIDF คงค้างเหลือไม่ถึง 600,000 ล้านบาทในปัจจุบัน

ดังนั้นข้อเสนอของอดีตนายกทักษิณ แม้จะทำให้การชำระหนี้ FIDF ล่าช้าไปบ้าง แต่ก็เป็นทางออกที่เหมาะสมในการบรรเทาปัญหาหนี้ภาคประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รุมเร้าสังคมไทยอยู่ทุกวันนี้ ส่วนคนที่ควรรักษามารยาท ก็น่าจะเป็น ธปท. เพราะเป็นผู้สร้างปัญหามาแต่ต้น และก็ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top