Tuesday, 3 June 2025
TheStatesTimes

สมุทรปราการ-เทศบาลตำบลแพรกษา มอบเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติแก่คณะครู นักเรียน ที่เข้าแข่งขันสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน

ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา เป็นประธานมอบเกียรติบัตรให้แก่คณะครู นักเรียน ในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางวิชาการ ระดับภาคตะวันออก วังน้ำเย็นวิชาการ ครั้งที่ 29 และการแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย วังน้ำเย็นเกมส์ ครั้งที่ 38

โดยมี นายวรรณวุฒิ มาสุข รองปลัดเทศบาลตำบลแพรกษา รักษาราชการแทนปลัดเทศบาลตำบลแพรกษา เป็นผู้กล่าวรายงาน โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นภายในห้องประชุม ชั้น 5 สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ โดยมี คณะสมาชิกสภาเทศบาลตำบลแพรกษา หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหาร คณะครูโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา และคณะครูโรงเรียนวัดแพรกษา ร่วมในกิจกรรมครั้งนี้

ด้าน ตร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 25 กล่าวว่า เทศบาลตำบลแพรกษา ได้จัดส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางวิชาการ ระดับภาคตะวันออก”วังน้ำเย็นวิชาการ” ครั้งที่ 29 และการแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย”วังน้ำเย็นเกมส์” ครั้งที่ 38 ระหว่างวันที่ 25-27 กรกฎาคม เทศบาลเมืองวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว

โดยสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา ได้ส่งคณะครูและนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 74 รายการ จากทั้งหมด 107 รายการ แบ่งเป็นคณะครูจำนวน 118 คน นักเรียนจำนวน 266 คน รวมทั้งสิ้น 384 คน โดยมีโรงเรียนอนุบาลแพรกษาวิเทศศึกษา ส่งคณะครูและนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันจำนวน 7 รายการ ได้รับรางวัลเหรียญทอง 4 รางวัล เหรียญเงิน 2 รางวัล เหรียญทองแดง 1 รางวัล โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ส่งคณะครูและนักเรียนเข้าร่วมแข่งขัน จำนวน 39 รายการ

ได้เหรียญทอง 20 รางวัล เหรียญเงิน 11 รางวัล เหรียญทองแดง 4 รางวัล -ได้รับรางวัลเข้าร่วม 3 รางวัล โรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา เข้าร่วมแข่งขันจำนวน 28 รายการ
ได้เหรียญทอง 14 รางวัล เหรียญเงิน 9 รางวัล เหรียญทองแดง 4 รางวัล และมี 11 รายการได้ผ่านเข้าแข่งขันในระดับประเทศ ณ เทศบาลนครเชียงราย จังหวัดเชียงรายในวันที่ 2-5 กันยายน 256

นอกจากนี้ เทศบาลตำบลแพรกษา ได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย วังน้ำเย็นเกมส์ ครั้งที่ 38 ระหว่างวันที่ 20-29 มิถุนายน เทศบาลเมืองวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว โดยสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลตำบลเเพรกษา
ได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมแข่งขัน จำนวนหลายรายการ นอกจากนี้ มีจำนวน 8 รายการ ได้ผ่านเข้าแข่งขันในระดับประเทศ ณ เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ในวันที่ 14-24 สิงหาคม อาทิเช่น หมากรุกไทย รุ่นไม่เกิน 12 ปี ชาย แบดมินตัน รุ่นไม่เกิน 12 ปี ประเภทชายเดี่ยว ประเภทชายคู่ ประเภทหญิงเดี่ยว ประเภทหญิงคู่ และประเภทคู่ผสม กรีฑา วิ่ง 200 เมตร ชาย และเทเบิลเทนนิส  ประเภทหญิงคู่

ทั้งนี้ ทางเทศบาลตำบลแพรกษา จึงได้มอบประกาศเกียรติคุณเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแก่คณะครูและนักเรียนที่ร่วมกันสร้างชื่อเสียงให้แก่เทศบาลตำบลแพรกษาระดับภาคตะวันออก  รวมถึงส่งกำลังใจให้กับคณะครูและนักเรียนที่จะเดินทางเข้าร่วมการแข้งขันระดับประเทศ ณ เทศบาลนครเชียงราย จังหวัดเชียงราย รวมถึงคณะครูและนักเรียนที่จะเดินทางเข้าร่วมแข่งขัน
กีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย ในระดับประเทศ ที่เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ดต่อไป

ประกอบกับ ในวันนี้ได้นำอาหารต่างๆ หลายรายการนำมาจัดเลี้ยงแจกจ่ายให้แก่นักเรียนที่ทำคุณประโยชน์สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนทานฟรีอีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยจัดโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตและการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนรุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก

เมื่อวันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2567 นายกำพล สิริรัตตนนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิต 
และการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก พร้อมด้วย นางนุชจารี คล้ายสุวรรณ  นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย / กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย กรรมการภาคตะวันออกผู้แทนตำรวจภูธรภาค 2 ผู้แทนตำรวจภูธรจังหวัดนครนายกผู้แทนจากหน่วยงานสาธารณสุข ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต และผู้มีเกียรติ ร่วมงานระหว่าง วันที่ 5 – 7 สิงหาคม 2567 ณ ห้องประชุมโรงแรมที วินเทจ ต.ท่าทองหลาง อ.บางคล้า  จ.ฉะเชิงเทรา

นายกำพล สิริรัตตนนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่าจากคำกล่าวรายงานของ น.ส.ฐิติพร  พริ้งเพลิด  อุปนายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย คนที่ 2 ทำให้ทราบถึงความเป็นมา และวัตถุประสงค์ของการจัดโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตและการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนในวันนี้ 

ซึ่งต้องการให้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน ได้รับความรู้ มีความเข้าใจ ในเรื่องสิทธิด้านต่างๆ สำหรับคนพิการ โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูง ต่อการก่อความรุนแรง และการฆ่าตัวตาย รวมทั้ง เน้นให้เห็นความสำคัญของครอบครัว เพื่อลดความรุนแรง รวมทั้งเพื่อให้ได้แนวทางและขั้นตอนในการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตอย่างถูกวิธี ตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต และพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

น.ส.ฐิติพร พริ้งเพลิด อุปนายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย คนที่ 2 กล่าว โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตและการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก จัดขึ้น เพื่อให้เกิดแกนนำเครือข่ายภาคปฏิบัติ ที่มีความรู้ความเข้าใจขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตเมื่ออยู่ในภาวะต่างๆได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และทันเหตุการณ์ เพื่อให้ได้แนวทาง และขั้นตอนในการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตอย่างถูกวิธี ตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต และ พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จากการทำแผนงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย  ก่อตั้งเมื่อวันที่  27  มีนาคม  2546 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา  21 ปี

การจัดโครงการฯในวันนี้ จะดำเนินการระหว่างวันที่  5 – 7 สิงหาคม 2567 โดยจะมีการจัดกิจกรรมทั้งหมดจำนวน 5 รุ่น แบ่งเป็น รุ่นที่ 1 ภาคเหนือ จำนวน 140 คน รุ่นที่ 2 ภาคกลาง จำนวน 139 คน รุ่นที่ 3 ภาคอีสาน จำนวน 154 คน รุ่นที่ 4 ภาคใต้ จำนวน 117 คน  และรุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก จำนวน 76 คน รวมกลุ่มเป้าหมายทั้งโครงการจำนวน 626 คน 

โดยกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการในรุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก ประกอบด้วยคณะกรรมการภาคตะวันออกหรือผู้แทน คณะกรรมการและกรรมการที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน ที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ผู้แทนตำตรวจภูธรภาค 2 และผู้แทนตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก ผู้แทนจากหน่วยงานสาธารณสุขในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต ผู้สังเกตการณ์ วิทยากรและคณะทำงาน รวมจำนวน  76 คน  

9 สิงหาคม พ.ศ. 2551 สิ้น ‘ยอดรัก สลักใจ’ พระเอกลูกทุ่งไทยตลอดกาล เจ้าของเพลง '30 ยังแจ๋ว' เพลงฮิตที่คนไทยรู้จักกันดี

‘ยอดรัก สลักใจ’ มีชื่อเล่นคือ แอ๊ว เกิดวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499 ที่ตำบลงิ้วราย อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เป็นบุตร นายบุญธรรม และ นางบ่าย ไพรวัลย์ มีพี่น้อง 8 คน ชาย 7 คน หญิง 1 คน โดยยอดรักเป็นคนสุดท้อง

ยอดรักจบการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหาดแตงโม อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เนื่องจากทางบ้านไม่มีเงินส่งเสียค่าเล่าเรียน บิดาเสียชีวิตตั้งแต่ยอดรักอายุได้ 7 ขวบ มารดามีฐานะยากจนและมีพี่น้องหลายคน จึงได้ออกเร่ร่อนร้องเพลงที่บาร์รำวง ได้เงินคืนละ 5-10 บาท ได้เงินมาก็หาซื้อหนังสือมาอ่านเอง และเรียนด้วยตนเอง จนกระทั่งได้เรียนที่โรงเรียนถาวรวิทยา อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ โดยเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ และสอบเทียบจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ยอดรักได้มีโอกาสเข้าเรียนที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2534 และศึกษาต่อจนกระทั่งปี พ.ศ. 2537 ได้รับปริญญาครุศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ศศ.บ.) สาขาศิลปศาสตร์ สายดนตรีและศิลปะ การแสดง วิทยาลัยครูธนบุรี

เมื่อยอดรักยังเด็ก เขาไปสมัครร้องเพลงกับคณะรำวง ‘เกตุน้อยวัฒนา’ ซึ่งได้เงินมาครั้งละ 5 - 10 บาท และต่อมามีโอกาสไปร้องเพลงในห้องอาหารที่ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยได้ใช้เพลงของไพรวัลย์ ลูกเพชร, ชาย เมืองสิงห์, สุรพล สมบัติเจริญ, ไวพจน์ เพชรสุพรรณ เป็นต้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ‘เด็ดดวง ดอกรัก’ นักจัดรายการของสถานีวิทยุ ท.อ.04 ตาคลี ได้มาฟังเพลงที่ห้องอาหาร และประทับใจยอดรักที่ร้องเพลง 'ใต้เงาโศก' ของ 'ไพรวัลย์ ลูกเพชร' จึงได้มาชักชวนเข้าสู่วงการ โดยนำมาฝากกับ ‘อาจารย์ ชลธี ธารทอง’ ยอดรักก็ได้อยู่เลี้ยงลูกให้อาจารย์ชลธีเกือบหนึ่งปี และตั้งชื่อให้ว่า ‘ยอดรัก ลูกพิจิตร’ และได้บันทึกแผ่นเสียง 3 เพลงคือ สงกรานต์บ้านนา, น้ำสังข์หลั่งน้ำตาริน, เต่าหมายจันทร์

ต่อมาปี พ.ศ. 2550 ยอดรักถูกตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งตับระยะแรก และได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 01.05 น. ณ โรงพยาบาลพระรามเก้า แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานครด้วยวัย 52 ปี พิธีศพของยอดรักได้จัดขึ้นไว้ ณ วัดไร่ขิง ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จไปในการพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดหาดแตงโม ตำบลงิ้วราย อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

อย่างไรก็ตาม แม้ยอดรัก จะจากไป แต่เขาก็ยังเป็นนักร้องเพลงลูกทุ่ง, ลูกกรุง, ป๊อป, บัลลาดที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองไทย หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘พระเอกลูกทุ่งไทยตลอดกาล’ มีผลงานที่สร้างชื่อหลากหลายเพลง หรือที่รู้จักกันดี ได้แก่เพลง ‘30 ยังแจ๋ว’

'จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง' คว้าเหรียญทองแดง หลังพ่ายคะแนนให้กับ 'อิมาน เคลิฟ' นักชกแอลจีเรีย

(7 ส.ค.67) การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปารีสเกมส์ 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส มวยสากล รอบรองชนะเลิศ คนสุดท้าย รุ่น เวลเตอร์เวท 66 กก.หญิง มีนักกีฬาไทยลงแข่งขัน คือ 'บี' จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง วัย 23 ปี กำปั้นจากจังหวัดหนองคาย ดีกรีเหรียญเงินและเหรียญทองแดง ชิงแชมป์โลก รวมถึง เหรียญเงินเอเชียนเกมส์ ปี 2023 ที่รอบ 8 คนชนะ  บูเซญาซ ซูร์เมเนลี่ เบอร์ 1 ของรุ่นจากตุรกี โดยพบกับ อิมาน เคลิฟ กำปั้นวัย 25 ปีจากแอลจีเรีย ที่ไม่ผ่านตรวจเพศจาก IBA แต่ IOC ให้ลงแข่งได้ ซึ่งรอบที่แล้วชนะลูก้า ฮาโมรี่ จากฮังการี

คู่นี้เคยเจอกันมาแล้วในรอบรองชนะเลิศ ในศึกชิงแชมป์โลก 2023 ที่ประเทศอินเดีย โดย เคลิฟ เป็นฝ่ายชนะคะแนนเอกฉันท์ 5-0 เสียง ก่อนที่ สหพันธ์มวยสากลนานาชาติ (IBA) ตัดสิทธิ์และปรับแพ้ เนื่องจาก เคลิฟ ตรวจเพศไม่ผ่าน

ยกแรก เคลิฟ แย็บรักษาระยะก่อนต่อยหนึ่งสอง ขณะที่ จันทร์แจ่ม พยายามยิงหมัดตัดลำตัวใส่ หมดยกแรก เคลิฟ นำขาด

ยกที่สอง จันทร์แจ่ม แก้เกมด้วยการพยายามเดินติดไม่ให้ เคลิฟ เดินเข้าหา แต่นักมวยจากแอลจีเรีย ก็ใช้ช่วงชกที่ได้เปรียบกว่าดักแย็บซ้ายใส่ จบยกนี้ จันทร์แจ่ม คะแนนยังเป็นรอง 

ยกสุดท้าย จันทร์แจ่ม ที่รู้ว่าคะแนนเป็นรอง พยายามเดิมเข้าใส่ แต่ก็โดน เคลิฟ 2 หมัด ครบยก อิมาน เคลีฟ ชนะไปเอกฉันท์ 5-0 เสียง ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ส่วน จันทร์แจ่ม ได้เหรียญทองแดงไปแบบได้ใจชาวไทย 

‘เกาหลีใต้’ วุ่น!! คนในชาติคลั่งการเมืองหนัก สะเทือนลามเรื่องความรัก หลังผลโพล ชี้!! 58.2% ไม่อยากอินเลิฟกับคนเห็นต่างทางการเมือง

เมื่อวานนี้ (6 ส.ค. 67) นสพ.The Korea Herald ของเกาหลีใต้ รายงานข่าว 6 in 10 S. Koreans won't date across political lines: survey ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2567 สถาบันสุขภาพและกิจการสังคมแห่งเกาหลี เผยแพร่ผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวเกาหลีใต้จำนวน 3,950 คน อายุระหว่าง 19 - 75 ปี ซึ่งดำเนินการเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 58.2 ไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์โรแมนติกกับบุคคลที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน

กลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 70 ยังคัดค้านการทำงานร่วมกับบุคคลที่มีความเชื่อทางการเมืองตรงข้ามกัน และร้อยละ 33 ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานสังสรรค์ทางสังคม กับคนที่มีมุมมองทางการเมืองตรงข้ามกัน และผลการสำรวจอื่น ๆ ยังแสดงให้เห็นว่า เกาหลีใต้กำลังประสบกับปัญหาประชาชนมีความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองอย่างมาก ซึ่งชี้ให้เห็นถึงรอยร้าวที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างกลุ่มเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมในประเทศ

รายงานข่าว กล่าวต่อไปว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 92.3 มองว่าความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวามีนัยสำคัญ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 87 ในปี 2561 โดยมีกลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ 21 เท่านั้นที่ระบุว่าไว้วางใจรัฐสภา ส่วนความขัดแย้งอื่น ๆ ในสังคมเกาหลีใต้ที่ผู้ตอบแบบสอบถามระบุ ได้แก่ ระหว่างพนักงานประจำกับพนักงานชั่วคราว ร้อยละ 82.2 ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ร้อยละ 79.1 ระหว่างคนรวยกับคนจน ร้อยละ 78 และระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ร้อยละ 71.8

โดยรวมแล้ว กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนความสามัคคีในสังคมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.2 จากระดับ 10 ซึ่งลดลงจาก 4.31 ในปี 2565 และ 4.59 ในปี 2564 ในขณะเดียวกัน ระดับความขัดแย้งทางสังคมโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2.93 จาก 4 เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.88 ในปี 2561 อย่างไรก็ตาม นอกจากความแตกต่างทางสังคมและการเมืองแล้ว ระดับความพึงพอใจในชีวิตของแต่ละบุคคลกลับเพิ่มขึ้น โดยระดับความสุขโดยเฉลี่ยในระดับ 10 อยู่ที่ 6.76 เมื่อปี 2566 เพิ่มขึ้น 0.43 จุดจาก 6.33 ในปี 2564 ในทางกลับกัน ระดับภาวะซึมเศร้าลดลงเหลือ 2.57 เมื่อปี 2566 จาก 2.92 ในปี 2564

‘เพจก้าวไกล’ เปิดภาพ 'ก้าวไกลในเลนส์กล้อง' ประมวลรูปที่คุณอาจไม่เคยเห็น ในระยะเวลาทำงาน 4 ปี

(7 ส.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘พรรคก้าวไกล - Move Forward Party’ โพสต์ภาพ พร้อมเนื้อหาในหัวข้อ ‘ก้าวไกลในเลนส์กล้อง : ประมวลรูปที่คุณอาจไม่เคยเห็น จากช่างภาพผู้ติดตามการทำงานของพรรค’ โดยระบุว่า...

4 ปีของพรรคก้าวไกล เป็นเรื่องราวของผู้คนและการเดินทางที่ไม่รู้จบ และผู้ที่จะเก็บบันทึกเส้นทางของพวกเขาได้เป็นชิ้นเป็นอันที่สุด ก็คือบรรดาช่างภาพที่ติดตามการทำงานของพรรคก้าวไกล เราติดต่อไปยังช่างภาพเหล่านั้นเพื่อขอภาพถ่ายที่พวกเขาประทับใจ ขบขัน หรือเป็นแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งแกนนำ ทีมงาน สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนจากทั่วสารทิศ

ขอเชิญชม ‘ก้าวไกล’ จากวิวไฟน์เดอร์ของคนทำงานตัวจริงและเรื่องราวที่คุณอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน

รู้จัก ‘Colin Huang Zheng’ ผู้ก่อตั้ง ‘PDD Holding’ เจ้าของ ‘TEMU’ แพลตฟอร์ม E-commerce เขย่าโลก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันทุกวันนี้นี้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะจับจ่ายซื้อขายผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Platform E-commerce ชื่อดังในบ้านเราอย่าง LAZADA และ SHOPEE แต่ไม่นานมานี้มีน้องใหม่เข้ามาในตลาด E-commerce เพิ่มขึ้นอีกหลายราย อาทิ SHIEN และที่มาแรงที่สุดคือ ‘TEMU’

‘TEMU’ เป็น Platform E-commerce ที่ดำเนินการโดย PDD Holdings ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซจีน แต่จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน และยังระบุว่าเป็นสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงดับลิน (ซึ่งทั้งสองแห่งมีมาตรการทางภาษีที่เอื้อต่อเจ้าของกิจการที่จดทะเบียนในแต่ละแห่งอย่างมากมาย) โดยจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ตั้งราคาลดพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่จัดส่งจากจีนถึงผู้บริโภคโดยตรง รูปแบบธุรกิจของ ‘TEMU’ ช่วยให้บริษัทได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล แรงงานบังคับ ทรัพย์สินทางปัญญา และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาด บริษัทมีข้อพิพาททางกฎหมายกับคู่แข่งอย่าง SHEIN

นอกจากนี้แล้ว PDD Holdings ยังเป็นเจ้าของ Pinduoduo ซึ่งเป็น Platform E-commerce ยอดนิยมในประเทศจีนอีกด้วย โดย ‘TEMU’ เริ่มใช้งานในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2022 ในเดือนมีนาคม 2023 เปิดตัวในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และเดือนต่อมาได้เปิดตัวในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และสหราชอาณาจักร ในที่สุด ‘TEMU’ ก็ขยายเข้าสู่ตลาดละตินอเมริกา และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2024 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ 49 เดือนกุมภาพันธ์ 2024 ‘TEMU’ ได้ลงโฆษณา Super Bowl หลายรายการ เป็นมูลค่าราว 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีการค้นหาชื่อและการเข้าชม ‘TEMU’ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ใช้งานจริงในสหรัฐอเมริกากว่า 100 ล้านคน มีดาวน์โหลด Application มากกว่า 130 ล้านครั้งทั่วโลก และมีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ประมาณ 420 ล้านครั้งต่อเดือน ตามข้อมูลของ Semrush 

รูปแบบธุรกิจของ ‘TEMU’ ยินยอมให้ผู้ขายในประเทศจีนขายและจัดส่งโดยตรงถึงลูกค้าโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้จัดจำหน่ายคนกลางในประเทศปลายทาง ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง แต่ผู้ขายหลายรายระบุว่า ‘TEMU’ ขอให้พวกเขาลดราคาลงจนกระทั่งถึงจุดที่ขายสินค้าขาดทุน นอกจากนั้น ‘TEMU’ เสนอสินค้าฟรีให้กับผู้ใช้รายที่แนะนำผู้ใช้ใหม่ผ่านรหัสพันธมิตรโซเชียลมีเดีย และเกมมิฟิเคชัน การซื้อออนไลน์บน ‘TEMU’ สามารถทำได้โดยใช้เบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ตหรือผ่านแอปมือถือเฉพาะ และ ‘TEMU’ ยังใช้แคมเปญโฆษณาออนไลน์ขนาดใหญ่บน Facebook และ Instagram

นอกจากนี้แล้ว ‘TEMU’ ยังกำหนดให้ผู้ขายต้องเสนอผลิตภัณฑ์ของตนในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่พบใน AliExpress เมื่อผู้ขายหลายรายเสนอขายผลิตภัณฑ์เดียวกัน ‘TEMU’ จะอนุญาตเฉพาะผู้ขายที่เสนอราคาต่ำที่สุดเท่านั้น สินค้าที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดการขายขั้นต่ำของ ‘TEMU’ (30 ชิ้นและ 90 ดอลลาร์ใน 14 วัน) จะถูกลบออกจากแพลตฟอร์ม การโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างหนักในแอปมือถือ และลงโฆษณาทางทีวีในรายการ Super Bowl ส่งผลให้ ‘TEMU’ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากผลการวิจัยของ Sensor Tower เปิดเผยว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ผู้ใช้ ‘TEMU’ ใช้เวลาเฉลี่ย 23 นาทีต่อสัปดาห์บนแอป เมื่อเทียบกับ 18 นาทีบน Amazon และ 22 นาทีบน eBay 

‘Colin Huang Zheng’ เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1980 ในเขตชานเมืองหางโจวเจ้อเจียง พ่อแม่ของเขาเป็นพนักงานระดับกลางในโรงงาน เข้าเรียนที่โรงเรียนภาษาต่างประเทศหางโจว เป็นนักธุรกิจ นักลงทุน ผู้ก่อตั้ง ‘PDD Holding’ เจ้าของ ‘TEMU’ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของบริษัท Pinduoduo ซึ่งปัจจุบันเป็นแพลตฟอร์มการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในจีน หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เขาได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison หลังจากนั้นได้เข้าทำงานกับ Google ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2004 เวลานั้น Microsoft มีมูลค่าตลาดมากกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยที่ Google ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ Huang ก็เลือกเดินทางไปกับ Google

ในปี 2006 Huang กลับสู่มาตุภูมิในฐานะส่วนหนึ่งของทีมเปิดตลาดเมืองจีนให้กับ Google อย่างไรก็ตาม 1 ปีต่อมา Huang ก็ตัดสินใจตามสัญชาตญาณตัวเองอีกครั้ง เขาเลือกลาออกจาก Google โดยไม่แม้กระทั่งจะรอให้ตัวเองมีความพร้อมเสียก่อนด้วยซ้ำ นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิถีผู้ประกอบการของเขา ในปี 2015 Huang ได้ตั้งบริษัท Pinduoduo ขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้ มีรายได้ 1.4 พันล้านหยวน (280 ล้านดอลลาร์) ในปี 2017 และในปี 2019 บริษัทสร้างรายได้ 4.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (30.14 พันล้านหยวน) ธุรกิจเติบโต และบริษัทเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หลังการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในเดือนกรกฎาคม 2018 ในชื่อหลักทรัพย์ว่า ‘PDD’ เปิดขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก (IPO) ด้วยมูลค่ามากถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มสูงขึ้นในเวลาต่อมา Huang ซึ่งมีหุ้นอยู่ในบริษัท 47% มีมูลค่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 13 ของจีนในปี 2018

วันที่ 1 กรกฎาคม 2020 Huang ได้ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Pinduoduo แต่ยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเช่นเดิม ต่อมาเมื่อ 17 มีนาคม 2021 Huang ได้ทำการสละตำแหน่งประธาน และมอบสิทธิในการออกเสียงของหุ้นของเขาให้กับคณะกรรมการบริหาร โดยบริษัท Pinduoduo ระบุว่า Huang ต้องการที่จะแสวงหา ‘โอกาสใหม่ในระยะยาว’ ต่อไป ในเดือนมิถุนายน 2020 หลังจาก Huang ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น Pinduoduo ของเขาลงเหลือ 29.4% โดยบริจาค 2.37% ให้กับมูลนิธิการกุศล และ 7.74% ให้กับบรรดาหุ้นส่วนของ Pinduoduo

หุ้น 2.37% ที่เขาบริจาคให้กับองค์กรการกุศลเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาความรับผิดชอบต่อสังคม และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ใจบุญชั้นนำในรายชื่อ Hurun China Philanthropy List ในปี 2021 หลังจากที่เขาให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงิน 1.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ตามรายงานของ Bloomberg ระบุว่า Huang และทีมผู้ก่อตั้ง Pinduoduo ได้บริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.37% ของหุ้น Pinduoduo) ให้กับ Starry Night Charitable Trust เพื่อ “สนับสนุนการวิจัยพื้นฐานในวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ เกษตรกรรม และอาหาร”

“การตัดสินใจที่ถูกต้องนั้นสำคัญกว่าการทำงานหนัก การมีสามัญสำนึกนั้นสำคัญกว่าการมีความรู้”  ‘Colin Huang Zheng’

'ไทยออยล์' เผย 3 บริษัทผู้รับเหมา ยังไม่ยอมจ่ายค่าจ้างให้แรงงาน จี้!! ควรเร่งรับผิดชอบ บรรเทาความเดือดร้อน ก่อนม็อบบานปลาย

(7 ส.ค. 67) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า…จากกรณีกลุ่มผู้ใช้แรงงานรวมตัวชุมนุมบริเวณริมถนนสุขุมวิท หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากไม่ได้รับค่าจ้างจากผู้รับเหมาตามกำหนดนั้น 

โดยในช่วงสัปดาห์แรกของการชุมนุม กลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง คือ บริษัท วัน เทิร์น เท็น จำกัด, บริษัท เอ็มโก้ แอลทีดี (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท ไทยฟง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด  ซึ่งนายจ้างทั้ง 3 บริษัท  เป็นผู้รับเหมาช่วงของ บริษัท ซิโนเพค เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (Sinopec)

ต่อมา ในช่วงสัปดาห์ที่สอง มีกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างจากนายจ้างซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงรายอื่นเข้าร่วมการชุมนุมเพิ่มเติม คือ บริษัท หิมวันต์ การช่าง 2009 จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงของบริษัท เอสทีพี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (STP) บริษัท ศิวกฤต คอนสตรัคชั่นแอนด์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด เคยูเอ็น ซัพพลาย คอนสตรัคชั่น และห้างหุ้นส่วนจำกัด ซี.วาย.กรุ๊ป ซึ่งทั้ง 3 บริษัท เป็นผู้รับเหมาช่วงของบริษัท เอสซีไอ สยาม โคเรีย อินดันเตรียล จำกัด (“SCI”) 

โดย Sinopec, STP และ SCI เป็นผู้รับเหมาช่วงของกิจการร่วมค้า Unincorporated Joint Venture (UJV) of Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (ชื่อเดิม Samsung Engineering (Thailand) Co., Ltd.) (Samsung), Petrofac South East Asia Pte. Ltd. (Petrofac) และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (Saipem) ซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างทำของในการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ให้กับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (ไทยออยล์) 

ไทยออยล์ ขอชี้แจงว่า ไทยออยล์ ได้จ่ายค่าตอบแทนให้ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักในการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาจ้างเหมาทำของ ออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC: Engineering, Procurement and Construction) อย่างครบถ้วนถูกต้องแล้ว แต่ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่ได้ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาให้  Sinopec, STP และ SCI ซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงของ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ส่งผลให้ Sinopec, STP และ SCI ยังไม่ได้ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาจ้างเหมาให้กับผู้รับเหมาช่วงของตน อันได้แก่ บริษัท วัน เทิร์น เท็น จำกัด, บริษัท เอ็มโก้ แอลทีดี (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท ไทยฟง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด, บริษัท หิมวันต์ การช่าง 2009 จำกัด, บริษัท ศิวกฤต คอนสตรัคชั่นแอนด์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด เคยูเอ็น ซัพพลาย คอนสตรัคชั่น และห้างหุ้นส่วนจำกัด ซี.วาย.กรุ๊ป  ดังนั้น การที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานของผู้รับเหมาช่วงมารวมตัวชุมนุมที่หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ จึงเป็นหน้าที่ของผู้รับเหมาช่วงและ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ที่จะต้องรับผิดชอบในการชำระค่าจ้างให้แก่กลุ่มผู้ใช้แรงงานตามกฎหมาย 

ไทยออยล์ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลสำหรับการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มมาโดยตลอด ซึ่งรวมถึง UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ไทยออยล์ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการร่วมมือกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem และ Sinopec, STP รวมถึง SCI หาข้อตกลงร่วมกันและจ่ายค่าจ้างให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานโดยเร็วที่สุด 

โดยตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยออยล์ได้ประสานให้มีการหารือร่วมกันระหว่างผู้แทนกลุ่มผู้ใช้แรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนของนายจ้าง ผู้แทนของ Sinopec, STP และ SCI และผู้แทนของ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานกลับไปทำงานได้ตามปกติ  

อย่างไรก็ดี ไทยออยล์ได้ทราบว่า UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ยังไม่ยอมรับที่จะลงนามข้อตกลงร่วมกับ Sinopec, STP และ SCI จึงทำให้ระยะเวลาและกระบวนการจ่ายค่าจ้างให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานยังไม่มีความชัดเจนและยังคงล่าช้าต่อไป ทั้งนี้ ไทยออยล์ หวังว่า UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem, Sinopec, STP และ SCI จะยืนยันที่จะรับผิดชอบในการจ่ายค่าจ้าง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานโดยเร็วที่สุด

'บีโอไอ' เผย!! 'ฮุนได' ทุ่ม 1,000 ล้าน ปักธงไทย ปั้นฐานผลิต EV-แบตเตอรี่ พร้อมดึง 'กลุ่มธนบุรี' ร่วมพันธมิตร ดีเดย์!! เดินเครื่องต้นปี 2569

(7 ส.ค.67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการของบริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งจากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) และผลิตแบตเตอรี่โดยเริ่มจากขั้นตอนการประกอบโมดูล เพื่อป้อนให้กับสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท โดยมีบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด และบริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เป็นพันธมิตรสำคัญในการลงทุนครั้งนี้ ซึ่งบริษัทพร้อมจะเริ่มลงทุนทันที และตั้งเป้าจะเริ่มผลิตในช่วงต้นปี 2569 นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนจัดหาชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศไทย ซึ่งบีโอไอจะทำงานร่วมกับบริษัทอย่างใกล้ชิด เพื่อเชื่อมโยง Supply Chain ในประเทศให้ได้มากที่สุด

“เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก และค่ายรถยนต์รายใหญ่อย่างฮุนได ก็ถือเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล การลงทุนสร้างฐานการผลิตรถยนต์ EV ของค่ายเกาหลีในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยและนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย นอกจากนี้ ยังแสดงถึงทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ และความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนของฮุนไดในครั้งนี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับไทยเพื่อมุ่งสู่ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในระดับโลก และจะช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในการเข้าสู่ Supply Chain ของอุตสาหกรรมระดับโลกด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ แนวโน้มตลาด EV ทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง จากข้อมูล Global EV Outlook 2024 โดย IEA พบว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลก มีอัตราเติบโตร้อยละ 25 และคาดว่าสิ้นปี 2567 จะมียอดขายรถยนต์ EV รวมกันกว่า 17 ล้านคัน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก โดยปัจจุบันบีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนโครงการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการผลิตยานยนต์ BEV ประเภทต่าง ๆ แบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญ รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 80,000 ล้านบาท

'มินอ่องหล่าย' ประกาศเอง 'ไทย' เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กองทัพเมียนมาพ่าย กลายสภาพเป็นหนึ่งในโจทก์ ใต้จังหวะ 'การเมือง-กองทัพ' ที่ยังเพิกเฉย

เป็นเรื่องจนได้ หลังจากเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ประกาศแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ โดยระบุว่า ความพ่ายแพ้ของกองทัพเมียนมาในรัฐฉานเหนือเป็นผลมาจากอาวุธ และ เสบียง ที่ถูกส่งมาจากพรมแดนไทยและจีน ให้แก่กองทัพชนกลุ่มน้อย  

พร้อมกันนี้ ยังระบุอีกว่า โดรนและจรวดที่ใช้โดยกองกำลังโกก้าง หรือ MNDAA ซึ่งยึดครองพื้นที่โกก้างและเมืองล่าเสี้ยวในรัฐฉานเหนือขณะนี้ เป็นอาวุธที่ได้รับการอัปเกรดด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ ซึ่งต้องใช้ทั้งทรัพยากรมนุษย์และเงินทุนมหาศาลในการพัฒนาอาวุธเหล่านี้  

นอกจากนี้ ยังมีการอ้างถึงองค์กร Free Burma Ranger ที่ตั้งสำนักงานอยู่ในประเทศไทยด้วยว่า ไม่ใช่องค์กรช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หรือองค์กรทางศาสนา แต่เป็น 'ทหารรับจ้างต่างชาติ' ที่เข้ามาฝึกกองกำลัง จัดหาอาวุธและเสบียงให้กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยตามชายแดนไทยเพื่อให้ต่อสู้กับกองทัพเมียนมา 

เอย่า รู้สึกแปลกใจเหมือนกันนะว่า ที่ผ่านมาทางการไทย โดยเฉพาะกองทัพบก ผู้มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของไทย 'ไม่ทราบ' หรือ 'ไม่สนใจ' กับคำกล่าวของทางฝั่งเมียนมา ทั้ง ๆ ที่แหล่งข่าวระดับสูงในเมียนมาอ้างว่า มีการประชุมนอกรอบกับฝั่งไทยหลายครั้งถึงการให้ฝั่งไทยจัดการกับ 'นายเดวิด อูแบงก์' ผู้นำกลุ่ม Free Burma Ranger แต่ทางการไทย รวมถึงกองทัพไทย ก็ไม่เคยสนใจกับคำขอร้องนี้ของทางฝั่งกองทัพเมียนมา เพียงเพราะว่า นายเดวิด อูแบงก์ คนนี้เดินเข้าออกสถานทูตประเทศหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่เป็นว่าเล่น

อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทางเมียนมาออกมาระบุชัดเจนว่า มีการสนับสนุนอาวุธและเงินทุนมาจากทางชายแดนไทยและจีน จนเป็นผลให้การต่อสู้เพลี่ยงพล้ำ ไม่นับคลิปที่ว่อนตามโซเชียลมีเดียที่แสดงให้เห็นว่า มีนักรบรับจ้างชาติตะวันตกที่หลายสื่อที่เป็นของชนกลุ่มน้อยออกมาระบุว่า นักรบรับจ้างเหล่านั้นเข้ามารบให้แบบไม่รับค่าจ้าง แต่เพราะว่าทนเห็นสภาพบ้านเมืองแบบที่เป็นอยู่ไม่ไหว ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้จ่ายเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทองที่ขุดมาจากเหมืองของชนกลุ่มน้อยต่างหาก

ตอนนี้ ประเทศไทย เลยกลายเป็น 1 ในโจทก์ของเมียนมาไปโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง แต่เพราะความเพิกเฉยของทั้งฝ่ายการเมืองก็ดี ฝ่ายกองทัพไทยก็ดี ทำให้เรากลายเป็นแหล่งซ่องสุมและกระจายยุทโธปกรณ์และเงินทุนของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลของเขา

สุดท้ายคนที่ต้องรับแรงกระเพื่อมจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคนไทย ไม่ว่าจะต้องเจอกับปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่นำมาสู่การเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม โดยนำคำว่ามนุษยธรรมมาอ้าง, การมาแย่งอาชีพคนไทยทำโดยสมบูรณ์ รวมถึงเรื่องของอาชญากรรม ทั้งลักขโมย จนไปถึงการปล้น ทะเลาะ วิวาท ระหว่างคนไทยกับคนเหล่านี้ อีกทั้งยังเรื่องยาเสพติดที่มีมากขึ้น หลังจากการรัฐประหาร เพราะชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ใช้ยาเสพติดในการระดมเงินทุนจัดหาอาวุธและเสบียงอีกทางหนึ่ง

ปัญหาล้นขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องขึ้นกับทางกองทัพไทยแล้วว่า คำว่า 'วางตัวเป็นกลาง' คือ ทำตัวไม่รับรู้ถึงไฟไหม้บ้านข้างๆ แล้วให้คนที่มาใช้บ้านเราเติมเชื้อไฟเข้าไป สุดท้ายพอบ้านเขามอดไหม้หมด ก็คงไม่พ้นบ้านเราที่จะต้องไหม้เองต่อจากนั้น หรือจะเลือกช่วยบ้านข้างๆ ดับไฟเพราะอย่าลืมว่าบ้านข้าง ๆ มีพรมแดนติดกับบ้านเราถึงกว่า 2,400 กิโลเมตร  

"สุดท้ายแล้วกองทัพไทย พวกท่านได้ทำอย่างที่ได้เคยให้สัจจะไหมว่า จักรักษามรดกของบูรพกษัตริย์หรือในที่สุด แค่รักษาประโยชน์ส่วนตัว"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top