Friday, 16 May 2025
TheStatesTimes

'อีลอน' เผย!! ผู้ถือหุ้นเทสลาโหวตอนุมัติค่าตอบแทน 2 ลลบ. หลังวางยา 'หากไม่ยอม อนาคตของเทสลาอาจมีความเสี่ยง'

(14 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา โพสต์ลงบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย.) ว่า ผู้ถือหุ้นเทสลาโหวตเห็นด้วยกับการอนุมัติแพ็กเกจค่าตอบแทน 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ให้แก่นายมัสก์ และโหวตสนับสนุนการย้ายสำนักงานใหญ่จากรัฐเดลาแวร์ไปยังรัฐเท็กซัส โดยนายมัสก์เผยว่าผลการลงคะแนนออกมาอย่างท่วมท้น

“ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนนะทุกคน!!” นายมัสก์โพสต์บนเอ็กซ์

ผลการลงคะแนนจะประกาศในที่ประชุมที่สำนักงานใหญ่ของเทสลาในรัฐเท็กซัส เวลา 16:30 น. ในวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น (หรือ 04.30 น. ของวันศุกร์นี้ ตามเวลาไทย)

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า ผลการนับคะแนนเบื้องต้นบ่งชี้ว่า เสียงสนับสนุนมาจากทั้งนักลงทุนสถาบันรายใหญ่และนักลงทุนรายย่อย

ก่อนหน้านี้ บริษัทนายหน้ารายใหญ่อย่าง Glass Lewis กับ Institutional Shareholder Services (ISS) ได้ขอให้ผู้ถือหุ้นลงคะแนนเสียงคัดค้านแพ็กเกจค่าตอบแทนของนายมัสก์ รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่อย่างกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของนอร์เวย์ ก็ได้ประกาศว่าจะโหวตคัดค้านด้วย

นอกจากเรื่องแพ็กเกจค่าตอบแทนกับเรื่องย้ายสำนักงานใหญ่แล้ว ผู้ถือหุ้นเทสลายังโหวตเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น การเลือกตั้งกรรมการบริษัทสองคนใหม่ ได้แก่ นายคิมบาล มัสก์ ผู้เป็นน้องชายของนายอีลอน และนายเจมส์ เมอร์ด็อก

ด้านนายเกร็ก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส โพสต์แสดงความยินดีกับนายมัสก์บนเอ็กซ์ว่า “ยินดีต้อนรับสู่รัฐที่ไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล”

ทั้งนี้ เทสลาได้รณรงค์อย่างหนักเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติแพ็กเกจค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลให้แก่นายมัสก์ โดยระบุในเว็บไซต์การประชุมประจำปีของบริษัทว่า “มูลค่าในอนาคตที่เรามีไว้ให้คุณนั้นกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง เราต้องการคะแนนเสียงของคุณตอนนี้เพื่อปกป้องเทสลาและเงินลงทุนของคุณ”

นอกจากนี้ เทสลายังจัดกิจกรรมสุ่มเลือกผู้ถือหุ้น 15 คนที่ลงคะแนนเสียง ให้ไปทัวร์โรงงานเทสลาที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส โดยมีนายมัสก์และนักออกแบบรถยนต์ ฟรองซ์ ฟอน โฮลซ์เฮาเซน เป็นผู้นำทัวร์ด้วยตนเอง

เมื่อเดือนมี.ค. 2561 ผู้ถือหุ้นเทสลาส่วนใหญ่โหวตสนับสนุนแพ็กเกจค่าตอบแทนสำหรับนายมัสก์ แต่ในเดือนม.ค.ของปีนี้ ศาลรัฐเดลาแวร์ตัดสินให้แพ็กเกจดังกล่าวเป็นโมฆะ ต่อมาในเดือนเม.ย. เทสลาได้รื้อฟื้นแพ็กเกจดังกล่าวอีกครั้ง โดยนางโรบิน เดนโฮล์ม ประธานบอร์ดฯ ได้ขอร้องให้นักลงทุน “ช่วยกันแก้ปัญหานี้”

เศร้า!! สภาพ 'ปาลิโอ เขาใหญ่' อดีตแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต ความทรงจำแห่งความสุข ที่เริ่มเลือนหายไปตามกาลเวลา

(14 มิ.ย.67) เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่มีคนเข้าไปเที่ยวไม่น้อย สำหรับ ‘ปาลิโอ เขาใหญ่’ จ.นครราชสีมา ซึ่งได้ปิดตัวไปเมื่อกรกฎาคม พ.ศ. 2563 พร้อมรอให้กลุ่มทุนใหญ่เทกโอเวอร์ หลังจากร้านค้าทยอยปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

ล่าสุดผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ ‘กินไหนดีโคราช’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอลงในติ๊กต็อก ทำให้คนนำมาโพสต์ต่อในทวิตเตอร์ กลายเป็นคนให้ความสนใจจำนวนไม่น้อย

โดยมีข้อความว่า “ปาลิโอ เขาใหญ่ ในยุคหนึ่งเคยรุ่งเรืองสุด ๆ มีทั้งร้านอาหาร และร้านค้าต่าง ๆ มากมาย แถมมีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก ใครมีความทรงจำกับที่นี่บ้าง คอมเมนต์เล่าให้ฟังกันบ้างน้าา”

ซึ่งก็มีคนเข้าไปคอมเมนต์จำนวนมาก อาทิ…

- “สมัยรุ่งเรืองได้แค่ถ่ายรูปอยู่ด้านนอกไม่กล้าเข้า”
- “ละครช่อง 3 4 หัวใจแห่งขุนเขา ทำให้อยากไปเที่ยวตรงนี้มากกก จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ไปเลย”
- “ออกรถยนต์ครั้งแรก ที่เที่ยว ที่ขับรถไปครั้งแรก ก็ปาลิโอ เขาใหญ่ครับ ภาพความสุข ความทรงจำในอดีตวันวานยังสวยงามเสมอ”
- “เคยไปเที่ยว เมื่อ 14-15 ปีที่แล้ว สวยดีนะ ไม่คิดว่าจะปิดตัวร้างแบบนี้”
- “เคยไปทัศนศึกษาตอนเรียนเมื่อหลายปีแล้ว บรรยากาศดี สวยดี”

“เชียงราย”ตม.เชียงราย เข้มด่านแม่สายสกัดกั้นผลักดันต่างด้าวค้าแรงงานเถื่อนเข้าพักในไทย”

วันที่ 14 มิถุนายน 2567 ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย
พ.ต.ท.หญิง ธาราทิพย์ จำรัส รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ ชูชื่น สว.ตม.จว.เชียงราย โดย ร.ต.อ.จตุพล กัลยา,ร.ต.อ.รัชภูมิ ฤทธิศร,ร.ต.อ.หญิงชยาภรณ์ วงษ์สุวรรณ์ รอง สว.ตม.จว.เชียงราย ได้คัดกรองบุคคลที่สุ่มเสี่ยงตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และคาดว่าจะมาทำงานในประเทศไทยในช่วงวันที่1-14 มิถุนายน2567 ที่ผ่านมาตรวจพบบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาจากการสัมภาษณ์ทั้งสิ้น1,988 รายได้ปฎิเสธการเข้าเมืองไปแล้วทั้งสิ้น705 ราย โดยจากการสอบถามกลุ่มบุคคลดังกล่าวส่วนใหญ่ แจ้งความประสงค์ จะเดินทางเข้าไปรับจ้างทำงานในพื้นที่ชั้นในของประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบปัจจัยยังชีพในการเดินทางพบว่าไม่มีปัจจัยยังชีพ จึงได้ปฎิเสธเข้าเมือง ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 12(2) (3)  และได้ทำการผลักดันกลับออกนอกราชอาณาจักรต่อไป

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

'บอร์ด ตลท.' เคาะ!! 'อัสสเดช คงสิริ' นั่งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 14

(14 มิ.ย. 67) แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุน เปิดเผยว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีมติเลือก นายอัสสเดช คงสิริ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 14 แทนนายภากร ปีตธวัชชัย ที่จะครบวาระในกลางเดือนมิถุนายน 2567 นี้

นายอัสสเดช คงสิริ หัวหน้าทีมที่ปรึกษาทางการเงิน ‘ดีลอยท์ ประเทศไทย’ (Deloitte Thailand)

ส่วนประวัติ ‘นายอัสสเดช คงสิริ’ มีประสบการณ์ตลาดเงินตลาดทุนมาเกือบ 30 ปี ในการทำงานกับองค์กรขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีประสบการณ์ด้านวาณิชธนกิจ (Investment Banking) กว่า 20 ปี โดยได้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ (M&A)

โดยจบการศึกษาจากโรงเรียนชาร์เตอร์เฮาส์ (Charterhouse School) ปี 2532 ประเทศอังกฤษ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (University of Manchester) พร้อมทั้งจบ MIT Sloan School of Management MBA, Financial Management

เริ่มต้นทำงานในตำแหน่งวิศวกรโครงการ (Project Engineer) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มานาน 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2536-2546 และย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ J.P. Morgan ระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2546-2548

ถัดมาได้เข้าร่วมงานกับธนาคารแห่งอเมริกา (Bank of America) เป็นระยะเวลาเกือบ 8 ปี นับตั้งแต่ปี 2548-2555 และเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในช่วงปี 2556-2565 หรือทำงานอยู่เกือบ 10 ปี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ในช่วงที่การบินไทยประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ

และนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.2565 จนถึงปัจจุบัน ได้เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าทีมที่ปรึกษาทางการเงิน ‘ดีลอยท์ ประเทศไทย’ (Deloitte Thailand) ซึ่งเป็นบริษัทตรวจสอบบัญชี 1 ใน 4 แห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก

‘รพ.ศรีนครินทร์ฯ’ แจง ปมหลอดเก็บเลือด ‘หลวงพ่อคูณ’ แชร์ว่อน ชี้!! ตามหลักการนำออกมาไม่ได้ หลังชาวเน็ตสงสัยหลุดมาได้ยังไง

(14 มิ.ย.67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพหลอดเก็บตัวอย่างเลือด มีสติกเกอร์แปะข้อความชื่อระบุว่า หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ 87 ปี และมีรหัสระบุอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลข AN : 543333

โดยผู้โพสต์ได้มีการโพสต์ลงในกลุ่มเฟซบุ๊กชื่อ ‘หลวงปู่ศิลา สิริจันโท รุ่นยอดเศรษฐี’ ซึ่งระบุข้อความเอาไว้ด้วยว่า “โลหิตธาตุ หลวงพ่อคูณ น้ำตาจะไหล กราบขอบพระคุณครับ #รุ่นยอดเศรษฐี”

ซึ่งมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ทั้งสาธุที่ได้เห็นเป็นบุญตา และบางคนก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นอีกแง่มุมที่กรณีนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นได้ และอาจจะไม่ใช่ของจริงเป็นการทำมาหากินบนความเชื่อความศรัทธาประชาชน 

พร้อมอยากให้ทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตรวจสอบว่าหลอดเก็บตัวอย่างโลหิตดังกล่าวนั้นออกมาสู่ภายนอกได้อย่างไร เพราะจะต้องผ่านกระบวนการเก็บหรือทำลายที่ถูกต้องในโรงพยาบาลเท่านั้น

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวสอบได้ถามไปยังโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่หลวงพ่อคูณ ระบุในพินัยกรรมว่า มอบสรีรสังขารให้ทางคณะแพทย์ได้ใช้เป็นครูใหญ่ ให้นักศึกษาแพทย์ได้หาความรู้จากสรีรสังขารหลังมรณภาพ

จากการสอบถามถึงกรณีโลหิตธาตุของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ทราบว่า หลอดเก็บตัวอย่างเลือดดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และก็ไม่ใช่ของโรงพยาบาลมหาราชที่จังหวัดนครราชสีมาด้วยเช่นกัน

ซึ่งในส่วนของโรงพยาบาลศรีนครินทร์นั้น รับสรีรสังขารหลวงพ่อคูณ ในขณะที่ท่านมรณภาพไปแล้ว จึงจะไม่มีในส่วนของขั้นตอนการเก็บตัวอย่างตรวจโลหิต รวมทั้งข้อมูลรหัสที่ติดอยู่หลอดเก็บตัวอย่างโลหิตก็ไม่ใช่ของทั้งสองโรงพยาบาล และจะไม่ใช้ชื่อที่เป็นฉายาพระ โดยจะใช้ชื่อตามบัตรประชาชนเท่านั้น

แต่ตามหลักการแล้วนั้นจะไม่สามารถนำออกมาได้อย่างเด็ดขาด แต่ก็ไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม หรือใครเป็นคนเอาออกมา และรหัส AN คือรหัสที่ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล

'ตำรวจ' บุกทลายเครือข่ายนายทุนเวียดนาม ขาย ‘8 นมผงชื่อดัง’ ด้วยสรรพคุณเกินจริง

เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายนายทุนชาวเวียดนาม โฆษณาขายนมผง อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง พร้อมจับกุมแรงงานต่างด้าว 6 ราย พร้อมของกลาง 41 รายการ รวมกว่า 20,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 18,000,000 บาท

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ปัจจุบันค่านิยมผู้บริโภคได้สนใจสุขภาพมากขึ้น ผลิตภัณฑ์สุขภาพจึงเป็นทางเลือกหนึ่งของการดูแลสุขภาพ จึงทำให้ปัญหาการแพร่ระบาดของผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีการลักลอบนำเข้า, ผลิตภัณฑ์สุขภาพปลอมที่ด้อยคุณภาพในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

โดยเมื่อประมาณเดือน พ.ย.2566 กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) ร่วมกับ อย. ได้กวาดล้างเครือข่ายกลุ่มผู้กระทำความผิดชาวเวียดนามที่โฆษณาสรรพคุณนมผงเกินจริง และมีมาตรการเฝ้าระวังการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพในลักษณะเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เช่น...

การอวดอ้างสรรพคุณในการรักษาโรคและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางร่างกายในระยะเวลาสั้นๆ แอบอ้างใช้ภาพ-ชื่อบุคลากรทางการแพทย์ บุคคลที่มีชื่อเสียง นำมาตัดต่อ สร้างสื่อมัลติมีเดียเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้าอ้างว่าผลิตภัณฑ์มีผลวิจัยจากต่างประเทศรองรับ ฯลฯ แล้วขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบมาตรฐาน โดยเมื่อผู้บริโภคหลงเชื่อซื้อสินค้า ปรากฏว่าสินค้าไม่ได้คุณภาพ ไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง บางรายเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และไม่สามารถขอคืนเงินได้

ต่อมา กก.4 บก.ปคบ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก อย. จึงได้ทำการสืบสวนพบมีเว็บไซต์ที่มีการตัดต่อภาพ วิดีโอเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์ และปรากฏมีการโฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นวงกว้าง มีเนื้อหาที่มีการบรรยายสรรพคุณผลิตภัณฑ์อาหารอันเป็นเท็จ จำนวน 11 เว็บไซต์ ได้แก่...

1. https://enzosureth.com/
2. www.enzosure-official.com
3.https://www.youtube.com/channel/UCU4NSuv7whiL6BzP68JCwvg
4. https://www.sicasure.asia/
5. https://www.faligold-thailand.com/oder
6. https://www.faligold.store/diabetes1
7. https://www.faligold.store/sakit-lutut
8. https://www.amesure.asia/
9.https://www.mirakidsthai.store/searchwuang
10.https://www.matticare.com/
11.https://www.hiup-thailand.asia/

จากการตรวจสอบเว็บไซต์ดังกล่าว พบว่า มีการโฆษณาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นมผงสำหรับผู้มีภาวะโรคที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ผู้สูงอายุ และเด็ก โดยโอ้อวดสรรพคุณนมที่เกินจริง เช่น เมื่อบริโภคผลิตภัณฑ์แล้ว ส่งผลให้ลดระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับคงที่ กระตุ้นการทำงานของอินซูลิน ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายมากกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ 26 เท่า เสริมสมรรถภาพทางเพศ 

โดยมีการกล่าวอ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง จาก FDA (องค์การอาหารและยา) สหรัฐอเมริกา นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา และขายดีเป็นอันดับ 1 ในประเทศนิวซีแลนด์ ฯลฯ ซึ่งผลิตภัณฑ์นมผงยี่ห้อ ENZO SURE และกลุ่มผลิตภัณฑ์นมผงดังกล่าว อย. ได้มีประกาศผ่านสื่อออนไลน์ ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. และโฆษณาสรรพคุณที่เกินจริง

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจนทราบถึงแหล่งจัดเก็บ และกระจายสินค้า โดยเมื่อวันที่ 31 พ.ค.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ อย. นำหมายค้นของศาลเข้าตรวจค้น โกดังเก็บสินค้า ในพื้นที่ ต.บางครุ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ตรวจยึดผลิตภัณฑ์อาหาร, ยา และบรรจุภัณฑ์อื่นๆ รวมจำนวน 41 รายการ จำนวนกว่า 20,000 ชิ้น โดยเป็นผลิตภัณฑ์นมผง ยี่ห้อต่างๆ 12,625 กระปุก, ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับเด็ก 1,776 ชิ้น, วิตามินที่ไม่มีเลขสารบบอาหาร 95 ชิ้น, ยาที่ไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา 3,660 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า 18 ล้านบาท พร้อมจับกุมผู้ต้องหาสัญชาติลาว และสัญชาติเมียนมา รวม 6 ราย

สำหรับ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ตรวจยึดเป็นนมผงยี่ห้อต่างๆ และยา รวม 8 ยี่ห้อ ได้แก่...

- ผลิตภัณฑ์ FALIGOLD อ้างสรรพคุณ ช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

- ผลิตภัณฑ์ Amesure Diabest Nut Milk อ้างสรรพคุณ หลังรับประทาน 40 วัน ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ถึง 70 -90 มก. ลดอาการชาแขนขา ตาพร่ามัว และปวดตา

- ผลิตภัณฑ์ Faligold Canxi อ้างสรรพคุณ ต้านการอักเสบ ลดอาการปวดกระดูกและข้อ เพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวจากกล้ามเนื้อที่เสียหาย

- ผลิตภัณฑ์ Colostrum Mirakids อ้างสรรพคุณ ช่วยให้เด็ก เพิ่มการดูดซึม เพิ่มน้ำหนักสม่ำเสมอตามมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างภูมิต้านทาน พัฒนาสมอง สติปัญญา และความคล่องตัว

- ผลิตภัณฑ์ Matti Mum อ้างสรรพคุณปรับปรุงการทำงานของต่อมน้ำนม กระตุ้นให้มีน้ำนมมากขึ้นหลังผ่านไป 24 ชม.

- ผลิตภัณฑ์ Sica SURE canxi wemee อ้างสรรพคุณ ช่วยให้เด็กสูงขึ้น 3 – 5 เซนติเมตร ภายใน 3 เดือน เสริมสมอง เพิ่มภูมิต้านทาน

- ผลิตภัณฑ์ HIUP – นมเพิ่มความสูง อ้างสรรพคุณ เพิ่มความสูง 3-5 ซม. ภายใน 3 เดือน มีสรรพคุณสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป 10 เท่า

- ผลิตภัณฑ์ยา Boca spray, Boca (เม็ดฟู่), Boca Premier โฆษณาสรรพคุณรักษาอาการปวดเข่า

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวเสริมว่า ขณะตรวจค้น พบชาวต่างชาติผู้ต้องหา สัญชาติลาว และเมียนมา รวม 6 ราย กำลังแพ็กบรรจุผลิตภัณฑ์เพื่อรอจำหน่าย เมื่อตรวจสอบหนังสือเดินทางพบมีเอกสารการเดินทางเข้าออกถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่มีใบอนุญาตการทำงาน

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย ส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. ดำเนินคดี ในข้อหา 1.ร่วมกันจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง 2.ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต 3.ร่วมกันขายยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา 4.เป็นบุคคลต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 5.เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน

จากการสืบสวนขยายผลทราบว่า กลุ่มผู้กระทำผิดมีกลุ่มนายทุนชาวเวียดนาม โดยนำเข้าสินค้ามาจากประเทศเวียดนาม แล้วนำมาเก็บไว้ตามอาคารให้เช่าต่างๆ เพื่อรอการจำหน่าย โดยทำการกระจายโดยการเปิดเว็บไซต์เป็นจำนวนมากเพื่อโฆษณาจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อยู่ต่างประเทศ และหลบเลี่ยงการขายผ่านแพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada

โดยใช้วิธีการชำระเงินค่าสินค้าด้วยการเก็บเงินปลายทางเพื่อป้องกันการถูกตรวจสอบ โดยจะโฆษณาสรรพคุณพร้อมกับเสนอโปรโมชั่นต่าง ๆ ให้ลูกค้ารีบตัดสินใจซื้อ เช่น ซื้อภายในเวลาโปรโมชั่น หรือซื้อครั้งละจำนวนมากๆ จะได้รับราคาที่ถูกกว่า เป็นต้น

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจจะต้องกรอกข้อมูลชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ ลงไปในเว็บไซต์ จากนั้นผู้ขายจะโทรศัพท์ติดต่อกลับมาเพื่อโน้มน้าวสรรพคุณ และให้ลูกค้าซื้อสินค้าปริมาณมากขึ้น

อีกทั้งเมื่อได้รับผลิตภัณฑ์แล้ว 2-3 สัปดาห์ จะมีการติดตามสอบถามผลการใช้ผลิตภัณฑ์ และเสนอขายผลิตภัณฑ์ต่อไปอีกด้วย โดยขายกระปุกละ 1,090-1,190 บาท และมียอดขายเดือนละ 3,000-6,000 ออเดอร์

เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้า กลุ่มเครือข่ายดังกล่าว จะส่งข้อมูลการสั่งซื้อ ให้ผู้ดูแลโกดังในประเทศไทย ทำการบรรจุ และส่งให้กับลูกค้า โดยกลุ่มเครือข่ายชาวเวียดนามจะสั่งการอยู่ต่างประเทศ และเดินทางมายังประเทศไทยเพียงเดือนละ 1 ครั้ง

โดยกลุ่มนายทุนชาวเวียดนาม มีการติดตามสื่อประชาสัมพันธ์ของไทยอยู่ตลอด โดยเมื่อมีการประชาสัมพันธ์เตือนภัยเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์นม ที่ไม่ผ่านการรับรองจากอย. หรือ มีความเสี่ยง ที่จะสืบสวนพบแหล่งเก็บและกระจายสินค้า จะย้ายแหล่งที่เก็บ และกระจายสินค้า เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจพบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เบื้องต้นการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน

- พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 6 (10) ฐาน ‘จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง’ ระวางโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท

- พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 ฐาน ‘ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต’ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท

- พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มาตรา 72 (4) ฐาน ‘ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา’ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

- พ.ร. บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ฐาน ‘เป็นบุคคลต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต’ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

- พ.ร.ก.การบริหารจัดการทำงานของบุคคลต่างด้าว พ.ศ. 2560 ฐาน ‘เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน’ ระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000 -10,000 บาท

- กรณีการนำเข้าข้อมูลเท็จและโฆษณาสินค้าดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ฐาน ‘นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ’ ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ด้าน ภก.วีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ อย. ขอขอบคุณตำรวจ บก.ปคบ. ที่สืบสวนจนสามารถจับกุมผู้ค้าตรวจยึดผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายได้จำนวนมาก

ผลิตภัณฑ์ที่ตรวจพบในครั้งนี้เป็น ยา อาหารที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. ไม่มีฉลากภาษาไทย ลักลอบนำเข้า และพบการโฆษณาหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ไม่มีหลักฐาน หรือผลการทดสอบประสิทธิภาพทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน

จึงขอเตือนผู้บริโภคว่า ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ควรพบแพทย์หรือปรึกษาเภสัชกร ก่อนซื้อก่อนใช้ให้สังเกตยาต้องมีเลขทะเบียนตำรับ สำหรับอาหารต้องมีเลขสารบบอาหารหรือเครื่องหมาย อย.

และ อย.ขอย้ำไม่มีอาหารหรืออาหารเสริมชนิดใดที่มีสรรพคุณบำบัด บรรเทา รักษาโรค ขอให้ผู้บริโภคระมัดระวังและไตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าหลงเชื่อข้อมูลเท็จ โฆษณาเกินจริง

ขณะที่ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. กล่าวว่า ปฏิบัติการดังกล่าว เป็นผลมาจาก อย. ได้ประกาศเตือนให้ระมัดระวังการบริโภคผลิตภัณฑ์นมผง ที่ไม่มีเลข อย. ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเสี่ยงได้รับอันตราย โดยหลังจากประกาศแล้ว ยังพบเห็นว่า ทางออนไลน์มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อยู่ จึงนำมาสู่การกวาดล้างแหล่งเก็บและกระจายสินค้า

และขอฝากถึงพี่น้องประชาชนว่า ผลิตภัณฑ์อาหารนมผง จะต้องขออนุญาตเลขสารบบอาหาร จาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้ถูกต้อง เพื่อเป็นหลักประกันเบื้องต้น ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีแหล่วงผลิตมาจากที่ใด มีมาตรฐานหรือไม่ มีส่วนประกอบ

และการจัดทำฉลากตรงตามที่กำหนดหรือไม่ เมื่อออกสู่ท้องตลาด ผู้บริโภคจะได้ทราบถึงข้อมูลที่ถูกต้อง และมีความปลอดภัยจากการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้บริโภคที่มีภาวะของโรคเบาหวาน หรือ โรคอื่นการจะรับประทานผลิตภัณฑ์ใด ต้องใส่ใจเป็นการเฉพาะ

‘พีระพันธุ์’ ชี้ช่อง ‘ก.เกษตรฯ-ก.พาณิชย์’ แก้ปัญหา ‘ราคาปาล์มตกต่ำ’ ต้องขึ้นทะเบียนลานเท-คุมราคาหน้าลาน-คุยผู้ค้าฯ รับซื้อ B100 ราคาสูงขึ้น

(14 มิ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาการรับซื้อปาล์มจากเกษตรกรที่มีราคาตกต่ำ ก่อนการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาว่า…

การประชุมดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากการประชุม ครม. เศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ขอให้ทางกระทรวงพลังงานช่วยดำเนินการให้ผู้ค้าน้ำมัน เช่น บมจ. ปตท. และ บมจ. บางจาก รับซื้อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ B100 ที่นำมาใช้ผสมน้ำมันดีเซล ในราคาประมาณ 33-35 ต่อกิโลกรัม ตามที่สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ประกาศไว้ โดยทางกระทรวงเกษตรฯ เล็งเห็นว่า หากผู้ประกอบการผลิตน้ำมันปาล์ม B100 สามารถขายได้ในราคาสูงขึ้น ก็จะสามารถไปรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบหรือ CPO จากโรงหีบหรือโรงสกัดในราคาสูงขึ้นได้ แล้วโรงหีบหรือโรงสกัดก็จะไปซื้อผลปาล์มจากลานเทในราคาสูงขึ้น ทำให้ลานเทสามารถขยับราคารับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรสูงขึ้นได้ตามลำดับ

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้รับเรื่องที่จะไปตรวจสอบข้อเท็จจริง  และจากการตรวจสอบพบว่ากระทรวงพลังงานไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะบังคับให้ผู้ค้าน้ำมันรับซื้อน้ำมันปาล์ม B100 ในราคาที่ สนพ. ประกาศ และประกาศของ สนพ. มีเพื่อใช้ประโยชน์ภายในของ สนพ. เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาใช้เป็นราคาซื้อขายแบบประกาศของกระทรวงพาณิชย์

นายพีระพันธุ์เสนอแนะว่า หากต้องการจะช่วยเหลือเกษตรกรจริง ๆ แล้ว ควรให้กระทรวงพาณิชย์กำกับให้ลานเทรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรในราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศตามกฎหมายมากกว่า เพราะปัญหาในปัจจุบันก็คือ ลานเทส่วนมากไม่รับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรในราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ ในขณะที่โรงหีบหรือโรงสกัดส่วนใหญ่กลับเป็นผู้รับซื้อผลปาล์มจากลานเทตามราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ

นายพีระพันธุ์ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาการรับซื้อผลปาล์มที่ลานเทว่า ปัจจุบันยังไม่มีการขึ้นทะเบียนลานเทว่า มีจำนวนเท่าใด ขนาดใด ในขณะที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดทำราคามาตรฐานของราคาปาล์มในแต่ละขั้นตอนไว้ว่า หากราคาขาย CPO อยู่ที่ 32-33 บาท ราคารับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรที่ลานเทจะต้องอยู่ที่ประมาณ 5.50 - 5.75 บาท ซึ่งปัจจุบันราคา CPO อยู่ที่ 32-33 บาท 

ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ควรต้องประกาศราคารับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรที่ลานเทในราคาไม่ต่ำกว่า 5 บาท จึงจะเป็นการช่วยเกษตรกรได้อย่างแท้จริงมากกว่าการขึ้นราคาซื้อ B100 แต่ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ประกาศราคารับซื้อผลปาล์มที่ลานเทที่ประมาณ 4.10 - 4.50 บาทเท่านั้น ขณะที่ลานเทรับซื้อจริงที่ประมาณ 3.90 บาทเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้เกิดปัญหา

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ได้นำเสนอข้อเท็จจริงดังกล่าวในการหารือระหว่างรัฐมนตรีทั้ง 3 กระทรวง ก่อนการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมหารือด้วย ซึ่งรัฐมนตรีทุกท่านเห็นด้วยกับแนวทางที่นายพีระพันธุ์เสนอ โดยตกลงกันว่าจะให้เจ้าหน้าที่พลังงานจังหวัด และพาณิชย์จังหวัด รวมทั้งเกษตรจังหวัด ร่วมกันดำเนินการตรวจสอบการรับซื้อผลปาล์มที่ลานเทในทุกจังหวัด และกระทรวงพาณิชย์จะไปพิจารณาปรับปรุงประกาศกำหนดราคารับซื้อผลปาล์มตามตารางของกรมการค้าภายในต่อไป

ด้านนายพีระพันธุ์จะมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานหารือขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้รับซื้อ B100 ในราคาที่สูงขึ้น โดยจะกำหนดให้ผู้ประกอบการผลิต B100 ต้องจัดการให้โรงหีบหรือโรงสกัดและลานเทที่เป็นคู่ค้าในแต่ละช่วงมาทำข้อตกลงว่าจะปรับราคารับซื้อผลปาล์มในแต่ละช่วงขึ้นเป็นสัดส่วนเดียวกัน เพื่อให้ประโยชน์ตกแก่เกษตรกรอย่างแท้จริง โดยที่ประชุมตกลงกันให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้ไปกำกับดูแลในพื้นที่และทำการสำรวจและขึ้นทะเบียนลานเทให้ถูกต้องต่อไป 

'พงศ์พรหม' ชี้!! สถานการณ์ 'ห้าง-คอมมูนิตี้มอลล์' โซนดัง น่าห่วง 'พื้นที่ปล่อยเช่าไม่ปัง-ร้านค้าเปลี่ยนรายถี่-ยอดจองออฟฟิศหด'

(14 มิ.ย. 67) นายพงศ์พรหม ยามะรัต ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pongprom Yamarat' ระบุว่า...

สังเกตว่าปีนี้ไปเดินตามห้าง หรือ Community Mall เห็นสัญญาณไม่ดี 2 อย่าง...

1. Community Mall จะกลาง CBD หรือใกล้หมู่บ้านชานเมือง คนเดินน้อย ร้านปิดเยอะ

2. ร้านค้าในห้างเปลี่ยนผู้เช่าถี่ขึ้น จะเห็นได้ตามห้างจะเป็นไม้อัดตีผนังทาสีสวย ๆ รอเปลี่ยนผู้เช่าอย่างหนาตา

เพื่อนที่ทำอสังหาฯ มาเล่าให้ฟัง 4 เคส...

>> เคสแรกโครงการใหญ่ Developer ระดับประเทศ เปิดแล้วไม่ปังเหมือนเคย เพราะ Demand หด...ผู้เช่าใช้วิธีคือ เจรจาให้ยึดมัดจำ และยอมเสียค่าเช่าล่วงหน้าไปเลย แต่ขอไม่เข้าไปตกแต่ง เพราะบอกว่าเข้าไปแต่งก็ไม่คุ้ม กระแสเงินสดยิ่งขาด

>> อีกเจ้าทำเล Prime มาก แต่เปิดมาแล้วคนเดินน้อย ยอดซื้อแทบไม่มี ก็ใช้วิธียอมเปิดไปก่อน แต่หั่นคน หั่นการให้บริการ เปิดไปทั้ง ๆ ที่ขาดทุน แต่ลดการขาดทุนลง และเดาว่าอาจไม่ไหวภายในปลายปีนี้

>> ร้านกาแฟที่เปิดภายใน 3 ปีที่ผ่านมา เจ๊งไปแล้วกว่า 40% (ใครมีข้อมูลรบกวนแบ่งปันหน่อยครับ)

>> สุดท้ายคือ อาคารสำนักงานให้เช่าที่เปิดใหม่ ๆ ตอนนี้ยอดจองอย่างมากก็ 60% ต้องออกโปรหนัก และซื้อทีมขายในราคาสูงลิ่ว

4 ตัวอย่างนี้ Prime Location หมด

CEO ใหม่ ปตท. รับลูกรัฐบาล หนุน 'ไฮโดรเจน-พลังงานสะอาด' ช่วยไทยก้าวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

(14 มิ.ย. 67) นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. พร้อมรับนโยบายรัฐบาลมาปฏิบัติตาม เพื่อร่วมผลักดันให้เป็นไปตาม ‘แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 หรือ PDP 2024’ ฉบับใหม่ โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากขึ้นในสัดส่วน 51% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด

โดย ปตท. เป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ ดังนั้นจึงจะเข้ามามีบทบาทในการผลักดันการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในประเทศ และ ผลักดันโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) (โดยในร่างแผน PDP 2024 กำหนดสัดส่วนการใช้ไฮโดรเจน 5% นำไปผสมในเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ สำหรับผลิตไฟฟ้า) เนื่องจากไฮโดรเจนถือเป็นพลังงานสะอาด ที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไทยก้าวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี พ.ศ. 2608 และ CCS ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ในอนาคตด้วย

สำหรับปัจจุบัน ปตท. ได้เข้าไปลงทุนในแหล่งไฮโดรเจนในต่างประเทศเพื่อศึกษาและเรียนรู้เทคโนโลยี เช่น ในแหล่งตะวันออกกลาง หากเริ่มมีความคุ้มค่าต่อการลงทุน ปตท. ก็พร้อมขยายการลงทุนเพิ่ม ประกอบกับถ้ารัฐบาลไทยเริ่มส่งเสริมให้นำไฮโดรเจนมาผสมรวมในท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ทาง ปตท. ก็พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเช่นกัน รวมถึงจะขยายการใช้ไฮโดรเจนไปสู่ธุรกิจโมบิลลิตี้ (Mobility) ด้วย  

นอกจากนี้ในส่วนของราคาน้ำมันตลาดโลกที่ผันผวนนั้น ทาง ปตท. ได้ช่วยเหลือประชาชนด้วยการพยายามควบคุมราคาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ที่ผ่านมา ปตท. ได้นำน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์มาผสมในดีเซล เพื่อช่วยแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ และพยายามให้ผลประโยชน์ไปถึงเกษตรกรโดยตรงมากที่สุด

ส่วนกรณีที่ภาครัฐเดินหน้าผลักดันความร่วมมือในการสำรวจปิโตรเลียมในแหล่งพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA) ปตท.ยืนยันจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับภาครัฐแน่นอน เนื่องจากเป็นเรื่องความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ  

อย่างไรก็ตาม ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ จะนำนโยบายรัฐบาลมาดำเนินการให้สอดคล้องกับบริบทของธุรกิจ ปตท. โดยคำนึงถึงประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียอย่างเหมาะสม บนพื้นฐานของความสมดุลทั้งด้านความมั่นคงทางพลังงาน กำไรที่เหมาะสม และการคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม

สำหรับในด้านธุรกิจนั้น ปตท.เตรียมทบทวนกลยุทธ์ทางธุรกิจตามแผนการลงทุน 5  ปีใหม่ (2568-2572) ภายในเดือน ส.ค. 2567 นี้ โดยจะต้องนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ปตท. (บอร์ด ปตท.) อนุมัติต่อไป คาดว่า จะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงเดือน ก.ย.- ต.ค. 2567 นี้ ทั้งวงเงินลงทุน ธุรกิจที่จะเร่งเดินหน้าต่อ และธุรกิจที่อาจจะปรับลดขนาด หรือถอยการลงทุนลง เป็นต้น ซึ่ง ปตท.จะดำเนินการอย่างระมัดระวัง และเชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนหลังเห็นแผนการลงทุนที่ชัดเจนออกมาในอนาคต

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง 'สร้างอาชีพ สร้างชีวิต' มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่สตรีแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และสงขลา

วันนี้ (วันที่ 14 มิถุนายน 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดสงชลา มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อย มีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม จำนวน 8 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 153,800 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นสามพันแปดร้อยบาทถ้วน) เพื่อให้สตรีได้นำวัสดุอุปกรณ์ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว อันเป็นการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติอย่างยั่งยืน โดยมี  นางณิชาพัชฌ์ เพ็ชรพันธุ์ ผู้อํานวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 11 พร้อมด้วย นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคใต้ จังหวัดสงขลา และ นายสรัณยศ บุญไข่ ผู้อำนวยการกลุ่มคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ์ ร่วมในพิธี พร้อมกันนี้ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้นำทีมหน่วยแพทย์ฯ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชน ฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น และบริการตัดผม ฯลฯ โดยมีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคใต้ จังหวัดสงขลา

วานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ลงพื้นที่มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่สตรีของสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพภาคใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 6 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 112,085 บาท (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสองพันแปดสิบห้าบาทถ้วน) ณ นิคมสร้างตนเองท้ายเหมือง จังหวัดพังงา

โครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรี มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อย มีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม มีความรู้ความสามารถ แต่ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ โดยมูลนิธิฯ มุ่งหวังในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างชีวิต ให้กับสตรีได้นำวัสดุอุปกรณ์ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 10 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูนลำปาง เชียงราย และจังหวัดพิษณุโลก 

โดยตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่สตรีไปแล้ว 4 แห่ง จำนวน 24 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 620,299 บาท (หกแสนสองหมื่นสองร้อยเก้าสิบเก้าบาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป

ติดตามข่าวสารและกิจกรรมด้านสาธารณกุศลช่วยเหลือสังคมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เพจเฟซบุ๊กมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top