Monday, 7 July 2025
TheStatesTimes

‘บิ๊กตู่’ สั่ง เข้มชายแดน ฟันไม่เลี้ยงนายหน้า-จนท.ลักลอบพาคนเข้าประเทศ ด้าน ตชด.เตรียม 14 รพ. สนาม รับมือต่างด้าวข้ามแดนผิดกฎหมาย

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายก เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งการในที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ให้เข้มงวดเรื่องการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศไทยอย่างสูงสุด เพราะขณะนี้ยังมีการลักลอบเข้าประเทศแบบผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ได้ลาดตระเวนอย่างต่อเนื่องและเข้มงวด 

นายกฯ ยังกำชับเรื่องความพร้อมในเรื่องสถานที่กักกันตัวในระดับท้องถิ่น และโรงพยาบาลสนาม ในพื้นที่จ.ชายแดน เพื่อเตรียมรับการเดินทางกลับเข้าประเทศของคนไทยตามช่องทางทางบก และกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่ม 14 แห่ง เพื่อรองรับแรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ข้ามแดนผิดกฎหมาย เป็นการยับยั้งไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังชุมชน และยังเน้นย้ำให้จับกุมนายหน้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกรายที่เกี่ยวกับกระบวนการนำคนต่างชาติเข้ามาเป็นแรงงานอย่างผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หรือพลเรือน เพราะเป็นการกระทำที่เลวร้าย เพิ่มความเสี่ยงต่อการการแพร่ระบาดโควิด19ในประเทศไทย

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ทั้งนี้การแจ้งข้อมูลและเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคและกรณีเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สามารถแจ้ง ผ่านสำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และศูนย์บริการประชาชน 1111 ในส่วนแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย มีจำนวนเรื่องสะสมตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค.-20 พ.ค.แล้ว 45 เรื่อง ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 42 เรื่อง จับกุมดำเนินคดี 11 คดี มีผู้กระทำความผิด 66 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินการ 3 เรื่อง

“สิระ” ข้องใจ ”อิตาเลียนไทย” ปล่อยแรงงานต่างด้าวติดโควิดสายพันธุ์อินเดีย ถาม ใช่แรงงานเถื่อนหรือไม่ จี้ “ประยุทธ์” ดูแลปชช. หยุดอุ้มนายทุน วอน ขอวัคซีนให้คนหลักสี่อย่างเร่งด่วน

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงตรวจพบคนงานติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมากอยู่ที่แคมป์หลักสี่ และมีคนงาน 15 รายที่ตรวจพบ “โควิดสายพันธุ์อินเดีย” หรือ B 1.1617.2 ว่า ตนขอตั้งคำถามว่า เหตุใดแรงงานเหล่านี้ถึงติดโควิดสายพันธุ์อินเดียได้ มีการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้ามาหรือไม่ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด ( มหาชน ) ต้องออกมาชี้แจงกับกรณีที่เกิดขึ้น เพราะบริษัท อิตาเลียนไทย เหมือนทำลายชาติ คิดถึงแต่เรื่องธุรกิจ ไม่คำนึงถือผลประโยชน์ส่วนรวม 

นายสิระ กล่าวต่อว่า บริเวณแคมป์คนงาน เจ้าหน้าที่ที่ไปเฝ้าระวังทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกหรือไม่ เพราะชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนมาว่า มีการตั้งกลุ่มเฮฮากินเหล้ากัน อยากได้น้ำแข็งก็ทุบประตู ยามก็เปิดให้เดินไปซื้อได้ ตนจึงขอถามว่า ที่มาตรการดูแลหย่อนยานเพราะมีการรับผลประโยชน์อะไรใช่หรือไม่ 

“ผมขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน วันนี้รัฐบาลต้องดูแลความปลอดภัยของประชาชนคนไทยเป็นหลัก ไม่ใช่ดูแลแรงงานของพวกนายทุน เพราะกลุ่มนายทุนต้องการแต่ผลประโยชน์ในธุรกิจของตัวเอง ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งนี้ผมขอเสนอให้อพยพประชาชนในพื้นที่โดยรอบออกจากพื้นที่ระบาดให้เร็วที่สุด ก่อนที่โควิดสายพันธุ์อินเดียจะกระจายไปวงกว้างมากกว่านี้ และผมวิงวอนขอวัคซีนให้คนหลักสี่อย่างเร่งด่วนด้วย เพราะขณะนี้ชาวบ้านหลายคนที่เช่าห้องอยู่ติดแคมป์คนงานดังกล่าวก็ล้มป่วยกันแล้ว” นายสิระ กล่าว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เครื่อง Oxygen High Flow แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ จำนวน 10 เครื่อง เพื่อนำไปใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เครื่อง Oxygen High Flow แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ จำนวน 10 เครื่อง เพื่อนำไปใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่อยู่ในภาวะบกพร่องทางการหายใจ หรือผู้ป่วยหนักอื่น ๆ ที่ต้องเร่งรักษา โดยมีพลเรือโท วิชัย มนัสศิริวิทยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ และคณะผู้บริหารของกรมแพทย์ทหารเรือ ทำพิธีรับพระราชทานหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ห้องประพัฒน์ศรี สโมสรโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ  แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เป็นล้นพ้นที่ทรงมีต่อโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ กองทัพเรือ ตลอดจนประชาชนทั่วไป และบุคลากรของโรงพยาบาล กราบถวายบังคมแทบเบื้องพระยุคลบาท และขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมเป็นสรรพสิริมงคล และจักมุ่งมั่นดำเนินภารกิจดูแลผู้ป่วย ประชาชนที่ทุกข์ร้อน โดยใช้ประโยชน์สูงสุดจากเครื่อง Oxygen High Flow พระราชทาน ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการในการช่วยเหลือผู้ป่วย เพื่อพัฒนางานบริการทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยในช่วงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ต่อไป

ตราด - ผู้นำชุมชนบ้านบางเบ้า ร่วมมือหลายภาคส่วน รื้อถอนเศษซากเสาปูนที่ตั้งโด่เด่ในทะเล

วันที่ 21 พ.ค.64 นายเติมศักดิ์ เสริฐศรี ผู้ใหญ่บ้านบางเบ้า หมู่ 1 ต.เกาะช้างใต้ อ.เกาะช้าง จ.ตราด เปิดเผยว่า ปัจจุบันตนเองพร้อมด้วย ทีมงานผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน,สารวัตรกำนัน,ผู้นำชุมชน, เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง,ผู้ประกอบการเรือนำเที่ยว,เจ้าของธุรกิจต่างๆในชุมชนบ้านบางเบ้า,เจ้าของธุรกิจเรือนำเที่ยวเพิ่มพูลทรัพย์ ได้ให้การสนับสนุนเรือจำนวน 3 ลำ พร้อมพนักงาน และชาวบ้านบางเบ้าอีกจำนวนหลายคน ได้ร่วมมือกันทำการรื้อถอนเสาคอนกรีต (เสาปูน) ที่ตั้งโด่เด่!จำนวนมากอยู่ในทะเลใกล้ๆกับสะพานชุมชนบ้านบางเบ้า พร้อมกับนำเรือนำเที่ยวขนาดใหญ่ดำเนินการชักลากเสาปูนและเศษซากสิ่งก่อสร้างของตัวอาคาร (อดีตโรงแรม เกาะช้างซีฮัท) โดยทางอุทยานฯเกาะช้างได้ทำการรื้อถอนตัวอาคารออกไป เมื่อช่วงปลายปี 2553 ที่ผ่านมา เนื่องจากคดีได้ถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาล จ.ตราด ให้มีการรื้อถอน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อไปยืนที่สะพานบ้านบางเบ้า จะได้เห็นมีเศษซากของเสาปูน-ส่วนประกอบฐานล่างของห้องน้ำ ตั้งเรียงรายอยู่ในทะเลจำนวนมาก  

นายเติมศักดิ์ เสริฐศรี ผู้ใหญ่บ้านบางเบ้า หมู่ 1 ต.เกาะช้างใต้ กล่าวว่า การดำเนินการรื้อถอนเศษซากเสาปูนและส่วนประกอบฐานล่างของห้องน้ำ ที่ตั้งโด่เด่อยู่ในทะเลใกล้ ๆ สะพานบ้านบางเบ้าในครั้งนี้ เพื่อปรับทัศนียภาพ สิ่งแวดล้อมโดยรอบชุมชนในทะเลบ้านบางเบ้า ให้ดูสะอาดตาและสวยงามในสายตานักท่องเที่ยวและคนทั่วไป อีกทั้งยังส่งผลดีให้เรือของชาวบ้านในชุมชน สามารถวิ่งเข้า-ออกบริเวณดังกล่าวได้อย่างสะดวกสบาย เตรียมพร้อมต้อนรับเปิดฤดูกาลท่องเที่ยว หลังจากผ่านพ้นวิกฤตการระบาดของโควิด-19 โดยจะมีการใช้เรือทำการลากจูงเศษซากเสาปูนที่รื้อถอนออกทั้งหมดนำไปทำเป็นแนวปะการังเทียม แหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ เกิดประโยชน์กับเรือประมงพื้นบ้านหรือเรือขนาดเล็กแนวชายฝั่ง พร้อมกับมีการทำค่าพิกัด GPS เพื่อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับการดำเนินการรื้อถอนเศษซากเสาปูนในทะเลดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 2-3 วัน  


ภาพ/ข่าว วรโชติ เกาะช้าง-วิเชียร ม่วงสี ทีมข่าวภูมิภาค /รายงาน

นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการฉีดวัคซีนแบบวอล์กอินที่ทำให้ ส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลขัดแย้งกันเองว่า...

นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการฉีดวัคซีนแบบวอล์กอินที่ทำให้ ส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลขัดแย้งกันเองว่า...

ส่วนตัวตนเห็นใจและเข้าใจพรรคภูมิใจไทยที่ถูกนายกรัฐมนตรีเบรก โดยการฉีดวัคซีนแบบวอล์กอินที่พรรคภูมิใจไทยเสนอ เมื่อวิเคราะห์ปัญหานี้อย่างละเอียดแล้ว ตนคิดว่าวัคซีนเพิ่งเข้ามาเพียงนิดเดียว ทำให้ประเทศจำเป็นต้องฉีดวัคซีนตามความจำเป็นและตามแผนยุทธศาสตร์ก่อน จะทำสะเปะสะปะไม่ได้ ในสงครามชีวภาพกับโควิด-19 ขณะนี้ไทยเรากำลังเป็นฝ่ายตั้งรับ วัคซีนเป็นอาวุธสำคัญที่เราจะใช้รบกับเชื้อโควิด แต่ขณะนี้เรามีวัคซีนน้อย เปรียบเสมือนเรามีกระสุนจำนวนน้อย การยิงกระสุนทุกนัดของเราตรงเข้าเป้าจึงจะชนะในสงครามชีวภาพนี้ได้

นพ.ระวี กล่าวต่อว่า ขณะนี้ต้องฉีดวัคซีนให้คนไทยให้ตรงเป้าตามลำดับความสำคัญ คือ บุคลากรทางการแพทย์, กลุ่มที่มีโรคประจำตัว, ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี และกลุ่มคนไทยตามแผนยุทธศาสตร์ที่จะส่งผลให้เปิดประเทศและระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนได้เร็ว รวมถึงกลุ่มที่จะแพร่กระจายโรคได้ง่าย เช่น ภาคการท่องเที่ยว, ภาคโรงงานอุตสาหกรรม, สำนักงาน บริษัท, ห้างสรรพสินค้า, สถานบริการต่าง ๆ , ขนส่งสาธารณะ, พื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ ฯลฯ รัฐบาลต้องทุ่มวัคซีนภายในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมสู่พื้นที่ กทม.อย่างน้อย 5 ล้านคน เพื่อยุติการแพร่ระบาดใน กทม. และต้องทุ่มวัคซีนสู่ภาคแรงงานในโรงงาน สำนักงาน บริษัทต่าง ๆ เพื่อป้องกันการระบาดกลุ่มใหญ่

“หลังเดือนสิงหาคม ถ้าเราฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ครบตามเป้าหมายแล้ว การฉีดแบบวอล์กอินก็คงจะเป็นไปได้ ผมจึงขอเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลยุติการตอบโต้กันและหันมาร่วมกันสู้กับวิกฤตโควิดจะดีกว่า และขอเสนอให้พรรคภูมิใจไทยเสียสละเพื่อชาติ เพราะผมเชื่อว่าการหยุด walk in นั้นรัฐบาลมาถูกทางแล้ว” นพ.ระวีกล่าว

 

ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000048975


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เผย ศบค. เห็นชอบแผนการกระจายวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เข็มแรกเริ่มมิถุนายน-กันยายน จัดลำดับเร่งด่วน 4 จว.สีแดงเข้ม พร้อมจังหวัดรับท่องเที่ยว ก่อนทยอยกระจายทั้วประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ครั้งที่ 7/2564 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกนรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ผ่านระบบ Video Conference จากตึกสันติไมตรี ว่า มีรายงานแจ้งว่า ที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ นอกจากจะมีมติเห็นชอบ ขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในทุกเขตท้องที่ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน-31 กรกฎาคม 2564 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อ ยังคงไม่ลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัดมีแนวโน้มคงตัว

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบแผนการจัดสรรวัคซีนแอสตราเซเนก้า 36 ล้านโดส เข็มที่ 1 โดยเป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 พ.ค. เดือนมิถุนายน-เดือนกันยายน 2564 และเข็มที่ 2 เดือนตุลาคม-ธันวาคม เพื่อให้คนไทย และ คนต่างชาติจำนวน 50 ล้านคน ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ร้อยละ70 ในเดือนกันยายนด้วยความสมัครใจ

สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนหมอพร้อม จะได้รับประกันการจัดสรรวัคซีน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว ตามแผนเปิดประเทศที่กำหนด โดยกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการฉีดวัคซีน 8 กลุ่ม คือ

1.) บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขด่านหน้า ทั้งภาครัฐและเอกชน

2.) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมโรคโควิด-19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย

3.) บุคคลที่มีโรคเรือรังประจำตัว

4.) ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป

5.) ประชาชนที่มีความเสี่ยงสัมผัสโรค เช่น ครู พนักงานขับรถสาธารณะ ชาวไทยที่ไปศึกษาและทำงานต่างประเทศ

6.) คณะทูตานุทูต และครอบครัว รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศ

7.) ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และ

8.) ชาวต่างชาติ และแรงงานต่างด้าว

สำหรับแผนการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เริ่มในเดือนมิถุนายน 6.3 ล้านโดส กรกฎาคม-พฤศจิกายน เดือนละ 10 ล้านโดส และเดือนธันวาคม 5 ล้านโดส และอยู่ระหว่างกำลังจัดหาเพิ่มประมาณ 37 ล้านโดส จากบริษัทจอนสันต์ 10 ล้านโดส ไฟเซอร์ 20 ล้านโดส ชิโนแวค 7 ล้านโดส โดยขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลิตและส่งมอบวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิต

สำหรับแผนการกระจายวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนเข็มแรกในเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน จะถูกกระจายไปยัง พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดก่อน รวม 4 จังหวัด ประกอบด้วยกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี 

ขณะที่จังหวัดที่มีแผนเปิดการท่องเที่ยวได้แก่ ภูเก็ต จะได้รับการกระจายวัคซีนภายในเดือนมิถุนายนเช่นกัน ส่วนจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านและมีความเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ภายหลังการระบาดก็จะได้รับภายในเดือนกรกฎาคม รวม 17 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย สงขลา สระแก้ว ตาก มุกดาหาร นราธิวาส ระนอง หนองคาย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พังงา กระบี่ จันทบุรี ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และสมุทรสาคร จากนั้นก็จะจัดลำดับไปอีก 55 จังหวัดที่เหลือของประเทศไทยเพื่อกระจายวัคซีนอย่างครอบคลุม

นอกจากนี้ที่ประชุม เห็นชอบช่องทางการลงทะเบียนและเข้ารับวัคซีน 3 ช่องทางคือ

1.) จองผ่านหมอพร้อม

2.) นัดหมายผ่านสถานพยาบาลหรืออสม. หรือผ่านองค์กรหรือช่องทางอื่นที่จังหวัดกรุงเทพมหานครจัดเพิ่มเติม และ

3.) ลงทะเบียน ณ จุดบริการ on site พร้อมมอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดการประชาสัมพันธ์เรื่องช่องทางการรับบริการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 และการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายจำเพาะให้ทราบโดยทั่ว

‘Chuck Feeney’ (ชัก ฟีนีย์) อภิมหาเศรษฐีใจบุญ ยอดนักบริจาค ผู้เป็นต้นแบบของ Warren Buffett และ Bill Gates

Chuck Feeney (ชัก ฟีนีย์) ชายชราที่มัธยัสถ์และสุดแสนที่จะธรรมดา แต่สิ่งที่เขาลงมือทำกลายเป็นแบบอย่างให้อภิมหาเศรษฐีของโลกอย่าง Warren Buffett และ Bill Gates ยอมรับ ยกย่อง ชื่นชม นับถือ และนำมาเป็นแบบอย่าง Chuck Feeney (เกิด 23 เมษายน พ.ศ.2474) เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของ DFS บริษัทจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีอันดับ 1 ของโลก (ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่คือ LVMH : Moët Hennessy Louis Vuitton SE) ร่วมกับ Robert Warren Miller โดย Chuck Feeney ได้ขายหุ้นส่วนของตัวเองไปเพื่อนำเงินไปใช้ทำกองทุนการกุศล The Atlantic Philanthropies (AP)
 

DFS (DFS Group) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2503 เครือข่ายประกอบด้วยสาขากว่า 420 แห่ง รวมถึงร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินหลัก 18 แห่ง และร้านค้าในตัวเมือง 14 แห่ง ปัจจุบันบริหารโดย บริษัท Moët Hennessy Louis Vuitton (LVMH) ร่วมกับผู้ร่วมก่อตั้งและผู้ถือหุ้นของ DFS Robert Warren Miller เมื่อ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2540 DFS Group ดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทลูกของ LVMH สำนักงานใหญ่ของ DFS ตั้งอยู่ในฮ่องกง และมีสำนักงานใน ออสเตรเลีย กัมพูชา จีน ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น มาเก๊า นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม DFS Group มีพนักงานมากกว่า 9,000 คนดำเนินงานใน 14 ประเทศทั่วโลก ในปี พ.ศ.2560 มีนักเดินทางเกือบ 160 ล้านคนเข้าเยี่ยมชมและใช้บริการในร้านค้าของ DFS

Chuck Feeney ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ธรรมดา ๆ ในนครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟลอเนีย กับภรรยา Helga Feeney

Chuck Feeney อาศัยอยู่ในนครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟลอเนีย กับภรรยา Helga Feeney เขาใช้ชีวิตอย่างพอเพียง พำนักในอพาร์ทเมนต์ที่มีความเข้มงวดราวกับหอพักของนักศึกษาน้องใหม่ ไม่เคยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม ไม่ชอบทานอาหารหรูหรา อาหารโปรดที่เขาชอบที่สุดคือแซนด์วิชชีสย่างมะเขือเทศราคาแสนถูก ใช้แว่นตาเก่า ๆ ใส่นาฬิกาธรรมดา และไม่มีรถขับ การเดินทางก็มักใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ 

แต่เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดในเรื่องการบริจาคขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ใช้โชคที่ได้รับส่วนใหญ่มาก ๆ ไปกับการบริจาคให้กับการกุศลครั้งใหญ่ แทนที่จะเป็นการบริจาคเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว “เพราะคนเราไม่สามารถนำเงินติดตัวไปในสัมปรายภพได้ ทำไมไม่บริจาคไปทั้งหมด ซึ่งจะสามารถควบคุมการบริจาคได้ว่า เงินบริจาคจะไปให้ใคร ที่ไหน อย่างไร และได้เห็นผลลัพธ์ด้วยตาของคุณเอง” Chuck Feeney กล่าวว่า “เราได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เราจึงเลือกทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป แต่ผมพอใจมาก และรู้สึกดีมากที่ได้ทำสิ่งนี้ได้เสร็จขณะมีชีวิตอยู่” Feeney กล่าวกับ Forbes ว่า “ขอขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมกับผมในการเดินทางครั้งนี้ และสำหรับผู้ที่สงสัยเกี่ยวกับ Giving While Living ขอให้ลองดู แล้วคุณจะชอบ”

ในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา Chuck Feeney ได้บริจาคเงินกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐให้กับองค์กรการกุศล มหาวิทยาลัย และมูลนิธิต่าง ๆ ทั่วโลก ผ่านมูลนิธิ The Atlantic Philanthropies ของเขา เมื่อนิตยสาร Forbes พบเขาครั้งแรกในปี พ.ศ.2555 เขาคาดว่า เขาจะมีเงินเหลือประมาณ 2 ล้านดอลลาร์สำหรับการเกษียณอายุของเขาและภรรยา กล่าวอีกนัยหนึ่งเขาได้รับเงินมากกว่ามูลค่าสุทธิในปัจจุบันถึง 375,000% และเขาบริจาคไปโดยไม่ระบุชื่อ ในขณะที่ผู้ใจบุญที่ร่ำรวยหลายคนต่างก็เกณฑ์กองทัพนักประชาสัมพันธ์เพื่อปาวประกาศถึงการบริจาคของพวกเขา Chuck Feeney ก็พยายามอย่างมากที่จะเก็บงำการบริจาคของเขาไว้เป็นความลับ เนื่องจากการบริจาคเพื่อการกุศลที่เป็นความลับ และกระจายไปทั่วโลก นิตยสาร Forbes จึงเรียก Chuck Feeney ว่า James Bond of Philanthropy

“การให้ในขณะที่ยังมีชีวิต ทำให้เกิดความแตกต่าง”
Chuck Feeney

ก่อนชายผู้แสนมัธยัสถ์นี้จะอายุ 85 เขาได้ทำอะไรมาบ้าง ?

1.) บริจาคเงิน 588,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล โดยห้ามไม่ให้มหาวิทยาลัยประกาศชื่อผู้บริจาค

2.) บริจาค 125,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย 

3.) บริจาค 60,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต

4.) ลงทุน 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง และอีก 2 แห่งในไอร์แลนด์เหนือ

5.) จัดตั้งกองทุนการกุศล The Atlantic Philanthropies (AP) ให้การรักษาพยาบาลฟรีสำหรับเด็กปากแหว่งในประเทศที่กำลังพัฒนา

6.) ได้บริจาคเงินไปทั้งสิ้น 8,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เมื่ออายุ 89 ปี

วันที่ 14 กันยายน 2020 Chuck Feeney พร้อมด้วยภรรยา Helga Feeney ได้ลงนามในเอกสาร ณ นครซานฟรานซิสโกอันเป็นการปิดการบริจาคให้ The Atlantic Philanthropies (AP)

แม้ว่า Chuck Feeney จะรักในการหาเงิน แต่ก็ใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดมาก Chuck Feeney มีความปรารถนาว่า ก่อนปี พ.ศ.2559 เขาจะบริจาคเงินที่เหลือให้หมด เพื่อจะได้ตายอย่างตาหลับ โดยเงินของเขาได้กระจายไปทั่วโลกให้พื้นที่จำเป็นในอัตรา 400,000,000 เหรียญสหรัฐ ต่อปี และในเดือนกันยายน พ.ศ.2563 Chuck Feeney ก็ทำได้สำเร็จ โดยเขาเหลือเงินเพื่อใช้ดำรงชีวิตกับภรรยาเพียงสองล้านเหรียญเท่านั้น 

วันที่ 14 กันยายน ค.ศ.2020 Chuck Feeney พร้อมด้วยภรรยา Helga Feeney ได้ลงนามในเอกสาร ณ นครซานฟรานซิสโกอันเป็นการปิดการบริจาคให้ The Atlantic Philanthropies (AP) หลังจากบริจาคมาแล้วทั่วโลกเป็นเวลาสี่ทศวรรษ The Atlantic Philanthropies พิธีซึ่งกระทำบนระบบ Zoom กับ The Atlantic Philanthropies รวมถึงข้อความวิดีโอจาก Bill Gates และอดีตผู้ว่าการมลรัฐแคลิฟลอเนีย Jerry Brown ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ Nancy Pelosi ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการจากสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาเพื่อขอบคุณ Feeney สำหรับการบริจาคของเขา

“ผมมีหนึ่งความคิดในใจ ซึ่งไม่เคยเปลี่ยน นั้นคือ เราต้องใช้ความมั่งคั่งที่มีเพื่อช่วยเหลือผู้คน” Chuck Feeney

เขาเป็นตัวอย่างสำหรับคนรวยที่ว่า "ในขณะที่มีความสุขกับชีวิต ต้องแบ่งปันความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วย" การทำการกุศลของ Chuck Feeney เป็นที่โด่งดังมาก ผู้สื่อข่าวจำนวนมากเดินทางไปยังบ้านของเขา แล้วทุกคนก็ล้วนแต่แปลกใจ และถาม Chuck Feeney ว่า “คุณมีทรัพย์สินมากมาย ทำไมถึงไม่ใช้ชีวิตที่สวยหรู" 

เพื่อตอบข้อสงสัยของทุกคน Chuck Feeney ยิ้ม และบอกเล่าเรื่องราว 

"สุนัขจิ้งจอก พบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้ อยากจะเข้าไปในไร่ เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่ แต่มันอ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไร่องุ่นไปไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน และแล้วตัวมันก็ผอมลง จนมุดผ่านรั้วเข้าไปในไร่องุ่นได้ ! 

เมื่อกินอิ่มเป็นที่พึงพอใจแล้ว แต่…ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้อีก ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือก มันจึงต้องอดน้ำ อดอาหารอีกสามวันสามคืน จนสุดท้ายแล้ว ท้องของมันตอนที่ออกมาจากไร่องุ่น ก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไปในไร่องุ่น" 

เมื่อเล่าเสร็จ Chuck Feeney กล่าวว่า "บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็จากไปแบบมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งไปกับความตายได้" และเมื่อมีสื่อถาม Chuck Feeney ทำไมต้องบริจาคเงินออกไปจนหมด คำตอบของเขาง่ายมาก ๆ และไม่มีใครคาดถึง เขากล่าวว่า "เพราะถุงใส่ศพนั้นไม่มีกระเป๋า" อันที่จริงแล้วความจนของเขาเกิดจากการบริจาคเงินมหาศาล สิ่งที่เขาได้มา ได้ส่งคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด มันช่วยทำให้เขามีความสุขมากกว่ามีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านเสียอีก


Chuck Feeney กับ Warren Buffett

Chuck Feeney จึงมีอิทธิพลต่อทั้ง Warren Buffett และ Bill Gates เมื่อพวกเขาเปิดตัว การให้คำมั่นสัญญาในปี พ.ศ.2553 ซึ่งเป็นการรณรงค์เชิงรุกเพื่อโน้มน้าวให้ผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก บริจาคทรัพย์สมบัติอย่างน้อยครึ่งหนึ่งสำหรับการกุศล ก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต “Chuck Feeney เป็นต้นแบบที่สำคัญในแง่ของแรงบันดาลใจในการให้และทำตามคำมั่นสัญญา” Warren Buffett กล่าวว่า “เขาเป็นต้นแบบสำหรับพวกเราทุกคน ซึ่งจะต้องใช้เวลาราว 12 ปีหลังจากที่เสียชีวิตเพื่อทำสิ่งที่เขาทำภายในช่วงชีวิตของเขา” สำหรับ Bill Gates ได้กล่าวถึง Chuck Feeney ว่า “Chuck ได้สร้างเส้นทางให้ผู้ใจบุญคนอื่น ๆ เดินตาม ผมจำได้ว่า พบเขาก่อนเริ่มการให้คำมั่นสัญญา เขาบอกผมว่า เราควรสนับสนุนผู้คน ไม่ให้เพียงแค่ 50% แต่ให้มากที่สุดในช่วงชีวิตของพวกเรา ไม่มีใครเป็นตัวอย่างที่ดีไปกว่า Chuck หลายคนพูดกับผมว่า Chuck Feeney เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาได้อย่างไร ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ”

“Chuck ได้สร้างเส้นทางให้ผู้ใจบุญคนอื่น ๆ เดินตาม ผมจำได้ว่า พบเขาก่อนเริ่มการให้คำมั่นสัญญา เขาบอกผมว่า เราควรสนับสนุนผู้คนไม่ให้เพียงแค่ 50% แต่ให้มากที่สุดในช่วงชีวิตของพวกเรา” Bill Gates
 

เชียงใหม่ - ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้แทน ตร. เดินทางมาประชุมเพื่อรับทราบสถานการณ์ และแผนการสกัดกั้นคนต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการบริหารจัดการวัคซีนให้แก่ข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

วันที่ 21 พ.ค.64  เวลา 10.30 น. ด้วย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มีความห่วงใยข้าราชการตำรวจที่ต้องปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงต่อการต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ /ประธานคณะทำงานการจัดหาและฉีดวัคซีนฯ พิจารณาจัดสรรวัคซีนเป็นพิเศษ เพิ่มเติมจากที่ได้รับการจัดสรรจากสาธารณสุขจังหวัด ให้แก่ข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่  ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดนั้น

พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้แทน ตร.เดินทางมาประชุมเพื่อรับทราบสถานการณ์และแผนการสกัดกั้นคนต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการบริหารจัดการวัคซีนให้แก่ข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่  พร้อมทั้งเป็นตัวแทน ตร. มอบวัคซีนจำนวน 3,200 โดส เพื่อฉีดให้แก่ข้าราชการตำรวจทุกหน่วยในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมอบหมายให้โรงพยาบาลดารารัศมี เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการฉีดให้ข้าราชการตำรวจในโอกาสต่อไป

โดยมี พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี รอง ผบช.ภ.5 รรท. ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ  จีระนันตะสิน ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ , พล.ต.ต.หญิง พิมพรรณ ทรัพย์ขำ ผบก.รพ.ดร. และข้าราชการตำรวจในสังกัด ภ.จว.เชียงใหม่ ร่วมประชุมและรับมอบวัคซีน ณ ห้องประชุม 4 ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ชลบุรี - สงขลา - ด่วน เรือเฟอร์รี่ ชลบุรี-สงขลา เที่ยวแรกเทียบท่าแล้วไร้ปัญหา เตรียมเปิดให้บริการ 21 พ.ค.นี้

ทดสอบเที่ยวแรก เรือเฟอร์รี่เส้นทางชลบุรี-สงขลา ล่าสุดเข้าเทียบท่าที่ จ.สงขลา แล้ววันนี้ เผยใช้เวลาวิ่งแค่ 18-20 ชม. และไร้ปัญหา ตั้งเป้าเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเที่ยวแรก 21 พ.ค.นี้

“เรือเฟอร์รี่ ดิ บลู ดอลฟิน” ของบริษัท ซี ฮอร์ส เฟอร์รี่ จำกัด ซึ่งเป็นเรือที่จะเปิดให้บริการขนส่งทางทะเล เส้นทาง ชลบุรี-สงขลา ซึ่งเป็นเส้นทางใหม่ ได้เข้าจอดเทียบท่าที่บริเวณท่าเทียบเรือประทีปซีแลนด์ คอนสตรัคชั่น ถนนแหล่งพระราม เขตเทศบาลนครสงขลาแล้ว โดยเป็นการทดลองเดินทางครั้งแรกของเรือลำนี้ เส้นทางชลบุรี-สงขลา เพื่อเช็คเส้นทางเดินเรือ ทดสอบการเดินเรือ และการเข้าจอดเทียบท่า เพื่อให้มีความพร้อมที่สุด และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยตามแผนจะเปิดให้บริการในวันที่ 21 พ.ค.นี้ จาก จ.ชลบุรี มายัง จ.สงขลา

นายพิพัฒน์ชัย จันทร์เรือง หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท ซี ฮอร์ส เฟอร์รี่ จำกัด กล่าวว่า ในวันนี้เป็นการทดสอบการเดินเรือ วิ่งจากสัตหีบมาที่ จ.สงขลา หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็จะเริ่มเปิดให้บริการได้ ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค.นี้ เส้นทางชลบุรี-สงขลา ซึ่งจะตรวจสอบความพร้อมทุกอย่าง รวมถึงผู้ประกอบการ และจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง ทางเว็บไซต์ของบริษัทฯ

โดยเรือลำนี้ สามารถบรรทุกรถ 10 ล้อได้ 60 คัน และรถเก๋งอีก 20 คัน ผู้โดยสาร 586 คน และในเรือก็จะมีทั้งห้องอาหาร และที่พัก ซึ่งเรือลำนี้จะมาช่วยทั้งด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของ จ.สงขลา และ จ.ชลบุรี โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ส่วนค่าโดยสารกำลังอยู่ระหว่างการขออนุญาตจากกรมเจ้าท่า และจะประกาศผ่านทางเว็บไซต์ให้ทราบรายละเอียดอีกครั้ง โดยเรือลำนี้สามารถโต้คลื่นได้ขนาด 5-10 เมตรได้อย่างสบาย จึงมั่นใจในความปลอดภัยในการเดินทาง

สำหรับรายละเอียดของ “เรือเฟอร์รี่ ดิ บลู ดอลฟิน” ของบริษัท ซี ฮอร์ส เฟอร์รี่ จำกัด มีขนาด 7,003 ตันกรอส ความยาว 136.6 เมตร ความเร็ว 17 น็อต หรือ 31.48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รองรับรถบรรทุกได้ประมาณ 60 คัน รถยนต์ส่วนตัว 20 คัน ผู้โดยสารประมาณ 586 คน จะใช้เวลาในการเดินทางจากท่าเรือจุกเสม็ด หรือท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ จ.ชลบุรี ถึง จ.สงขลา ระยะเวลาเพียง 18-20 ชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าทางรถยนต์ที่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 23-24 ชั่วโมง ทั้งยังรองรับการขนส่งในอนาคตด้วย

โดย “เรือเฟอร์รี่ ดิ บลู ดอลฟิน” มีสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งห้องพัก โซนอาหารและเครื่องดื่ม เหมือนเรือท่องเที่ยวกึ่งเรือสำราญ ซึ่งได้รับการตรวจรับรองความปลอดภัยจากกรมเจ้าท่าแล้ว เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา และคนประจำเรือได้รับการฝึกอบรมตามข้อกำหนด มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน การคมนาคมขนส่งทางน้ำ ในเส้นทางนี้ จะเป็นประโยชน์ในการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เข้ากับระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ช่วยเพิ่มศักยภาพของการขนส่งทางน้ำ ลดต้นทุน และอุบัติเหตุจากการขนส่งทางบก และลดปัญหามลพิษฝุ่นละออง PM2.5


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

อยู่บ้านนาน แต่ร่างห้ามพัง!! Work from home อย่างไร ? ไม่เสียสุขภาพ

ด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้หลายออฟฟิศปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน จากเดิมที่พนักงานทุกคนต้องนั่งทำงานในออฟฟิศ ก็เปลี่ยนมาเป็น Work From Home คือสามารถทำงานหรือประชุมผ่านโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์จากที่ใดก็ได้ ซึ่งภาวะเหล่านี้น่าจะส่งผลกระทบกับพวกเราทุกคนไปอีกนานจนกว่าการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะดีขึ้น

อย่างไรก็ตามการนั่งทำงานผ่านโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน การใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ รวมทั้งการจัดระเบียบร่างกายที่ไม่ถูกต้องย่อมทำให้เกิดการเมื่อยล้า และนำไปสู่อาการปวดเมื่อยได้ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ โดยอาการปวดเมื่อยดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าการทำงานที่ออฟฟิศในสถานการณ์ปกติ ดังนั้นหากมีการจัดท่าทางที่เหมาะสมขณะใช้โน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ จะมีส่วนช่วยคลายความเจ็บปวดจากการ Work From Home ได้

สำรวจตัวเองกันหน่อย

คุณกำลังนั่งท่าแบบนี้หรือเปล่า ??

ท่านั่งที่ไม่เหมาะสม : ไหล่ห่อ หลังค่อม ศีรษะยื่นไปข้างหน้า เท้าลอยจากพื้น
ระดับความสูงของที่พักแขนไม่เท่ากับความสูงของโต๊ะ ส่งผลให้เกิดภาวะเกร็งของกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ 

การจัดระเบียบร่างกายที่เหมาะสมขณะนั่งทำงาน

ศีรษะ ตั้งตรง ไม่ก้มหรือเงยจนเกินไป ควรวางหน้าจอให้อยู่ในระดับสายตา ห่างออกไประมาณ 2.5 ฟุต 

คอ ตั้งตรงแล้ว ไม่เอียงคอหรือหันไปด้านใดด้านหนึ่ง

หลัง นั่งพิงพนักเก้าอี้ ไม่แอ่นหรืองอหลัง อาจมีหมอนใบเล็ก ๆ รองรับส่วนโค้งบริเวณหลังส่วนล่าง

แขนและข้อศอก แขนแนบชิดกับลำตัว วางแขนลงบนที่พักแขนให้แขนทำมุม 90 องศา ข้อศอกและข้อมือควรอยู่ในระนาบเดียวกัน 

ขา วางต้นขาแนบชิดไปกับที่นั่ง และปล่อยขาลงไปให้เท้าแนบพื้น 

เข่า งอเข่า 90 องศา  

เท้า วางเท้าบนพื้นให้เต็มฝ่าเท้า ถ้าหากเท้าไม่ถึงพื้นให้หาอะไรมารองหรือปรับระดับเก้าอี้ลง

มาดู 9 ข้อควรปฏิบัติง่าย ๆ ขณะนั่งทำงาน แล้วลองไปปรับใช้กันดูดีกว่า 

1.) นั่งทำงานในที่มีแสงสว่างเพียงพอ ไม่ควรให้แสงสะท้อนจากภายนอกสะท้อนเข้าตาโดยตรง ควรใช้แสงไฟแบบเดย์ไลท์หรือไฟสีขาว
2.) ปรับสภาพแวดล้อมโต๊ะทำงานให้คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กอยู่ทางด้านหน้าและปรับให้หน้าจออยู่ในระดับเดียวกับสายตา
3.) เลือกเก้าอี้ที่มีเบาะที่นั่งสามารถรองรับต้นขาได้พอดีและมีที่พักแขนอยู่ในระดับเดียวกับโต๊ะ
4.) ปรับระดับความสูงเก้าอี้ให้พอเหมาะ เมื่อนั่งแล้วเข่างอทำมุม 90 องศา เท้าวางบนพื้นได้เต็มฝ่าเท้า หากเท้าไม่ถึงพื้นสามารถหาที่พักเท้ามาวางได้
5.) ไม่วางเมาส์หรือคีย์บอร์ดไกลเกินไปเพราะทำให้ต้องเอื้อมแขนหรือก้มหลัง
6.) ขณะนั่งทำงานควรนั่งหลังชิดพนักพิงหรือพิงเอนหลังเล็กน้อย
7.) ควรเปลี่ยนอิริยาบถทุก 45-50 นาที 
8.) พักสายตาจากหน้าจอบ้าง การจ้องหน้าจอนาน ๆ ทำให้ตาแห้ง ลองกระพริบตาถี่ ๆ หรือมองออกไปในระยะไกล
9.) หมั่นยืดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า แขน ไหล่


ข้อมูลอ้างอิง
https://www.bangkokhospital.com/content/work-from-home-and-office-syndrome

https://www.ergonomicshelp.com/blog/working-from-home-ergonomics

https://www.bbc.com/worklife/article/20200508-how-to-work-from-home-comfortably-ergonomic-tips-covid-19
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top