Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

“พล.ต.ท.สำราญฯ” และคณะ ร่วมประชุมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ติดตามสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน 

(26 ก.พ. 68) ตามที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดำเนินการเชิงรุกตรวจสอบพฤติกรรมกลุ่มคนต่างด้าว กรณีที่ปรากฎข้อมูลข่าวสารว่ามีกลุ่มคนต่างด้าวมีพฤติกรรมที่อาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองก่อความวุ่นวายหรือความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ ตลอดจนการรวมกลุ่มแสดงออกหรือจัดกิจกรรมในลักษณะที่กระทบภาพลักษณ์และความมั่นคงของประเทศ ในพื้นที่่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นั้น     

วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 10.30 น. พล.ต.ท.สำราญ  นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน รอง ผบช.ภ.5 , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ทรงกริช ออนตะไคร้ ผบก.ภ.จว.แม่ฮ่องสอน , พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม. และ พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 ได้เข้าร่วมประชุมติดตามสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อรับทราบสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหา ณ ห้องประชุม โรงแรมมอนทีส รีสอร์ท อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นางออร์นา ซากิฟ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย , นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย , นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง , นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน , นางอาภรณ์ แสงโชติ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอปาย , นายชัยวิชช์ สัมมาชีววัฒน์ อุปนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวอำเภอปาย ตลอดจนหน่วยราชการต่างๆ ,องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ประกอบการในพื้นที่เข้าร่วมประชุม 

จากนั้น พล.ต.ท.สำราญฯ ได้เดินทางไปยัง สภ.ปาย เพื่อประชุมในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับฟังสภาพปัญหา และเพิ่มเติมมาตรการในการปฏิบัติ โดยเน้นมาตรการบังคับใช้กฎหมาย บูรณาการกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวของอำเภอปาย และวางมาตรการในการรักษาความปลอดภัยความสงบเรียบร้อย เพื่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างความต้องการในการเสนอขายในการท่องเที่ยวและความต้องการของนักท่องเที่ยวโดยเร่งด่วน และในส่วนการต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ อ.ปาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความ ปลอดภัยจากการกระทำความผิดอาชญากรรมทุกประเภท สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน อีกทั้ง ประชาสัมพันธ์โดยบูรณาการร่วมกับทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ในการให้ความรู้ทั้งนักท่องเที่ยวอิสราเอล นักท่องเที่ยวสัญชาติอื่น ตลอดจนชุมชนชาว อ.ปาย และประชาชนในภาพรวม เพื่อให้ทราบสถานการณ์ที่แท้จริงต่อไป

ตม.เชียงใหม่ จับหนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษ หลังพบอยู่เกินวีซ่า แอบอยู่ในไทยกว่า 25 ปี

(26 ก.พ. 68) ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. จึงได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัด ให้ดำเนินการสืบสวน ปราบปราม จับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับขบวนการนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ช่วยเหลือซ่อนเร้นคนต่างด้าวให้พ้นจากการจับกุม หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) ในการนี้ พล.ต.ต.สราวุธ คนใหญ่ ผบก.ตม.5 จึงสั่งการให้ ทุกหน่วยในสังกัด กวดขัน จับกุมคนต่างด้าวที่กระทำความผิด และปราบปรามอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อประชาชน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นคง และรักษาความสงบเรียบร้อยให้แก่ประชาชน

ตม.จว.เชียงใหม่ โดยการอำนวยการของ พ.ต.อ.สุรชัย เอี่ยมผึ้ง ผกก.ตม.จว.เชียงใหม่ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ งานสืบสวนปราบปรามฯ ทำการสืบสวนเพื่อจับกุมคนต่างด้าว ซึ่งได้กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 หรือความผิดตามกฎหมายอื่น 

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 พ.ต.ต.สุธีรเทพ โพธิ์นฤมิต สว.ตม.จว.เชียงใหม่ นำทีมชุดสืบสวน ตม.จว.เชียงใหม่ บูรณาการกำลังร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.5 ออกตรวจสอบสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำความผิดในพื้นที่รับผิดชอบบริเวณ ถ.ระแกง ต.ช้างคลาน อ.เมือง จว.เชียงใหม่ ผลการตรวจสอบ สามารถจับกุมคนต่างด้าว สัญชาติบริติช จำนวน 1 ราย ข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (9,135 วัน)” จึงทำการแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามกฎหมายให้ทราบ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและรอดำเนินการผลักดันส่งกลับประเทศต้นทางต่อไป 

โดยคนต่างด้าวรายดังกล่าวให้การรับสารภาพว่าตนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.43 โดยการยกเว้นการตรวจลงตรา (ผ.30) ซึ่งเมื่อครบกำหนดอนุญาตแล้ว ไม่ได้มาดำเนินการยื่นขออยู่ต่อในราชอาณาจักรตามระยะเวลาที่กำหนด พยายามหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ โดยพักอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร 13 ปี ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นระยะเวลา 12 ปี และได้ทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ ภายหลังถูกเจ้าหน้าที่สืบสวน ตม.จว.เชียงใหม่ สืบสวนติดตามจับกุมได้ในที่สุด

ดุสิตธานีพลิกกำไร 310 ล้าน ไตรมาส 4 ปี 67 รายได้รวม 6.1 พันล้าน เป้าธุรกิจโรงแรม-อาหารโต 15-25% ปี 68

(26 ก.พ. 68) นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 4 (ตุลาคมถึงธันวาคม) ปี 2567 ของกลุ่มดุสิตธานี บริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 6,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 224% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 1,089 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 310 ล้านบาท พลิกจากที่เคยขาดทุนในงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 146 ล้านบาท (YoY) และจากที่เคยขาดทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ที่ 538 ล้านบาท (QoQ)

สำหรับผลประกอบการงวด 1 ปี (มกราคมถึงธันวาคม) ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2566 โดย EBITDA อยู่ที่ 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.4%  และมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 237 ล้านบาท ลดลงจากผลขาดทุน 570 ล้านบาทในปีก่อน

“ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของกลุ่มดุสิตธานีเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเราสามารถพลิกผลขาดทุนให้กลับมาเป็นกำไรสุทธิได้ ซึ่งปัจจัยหลักมาจากรายได้จากการส่งมอบงานก่อสร้างพื้นที่อาคารค้าปลีก (Bare Shell) ของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค รายได้จากช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงแรมที่มีลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ที่รับรู้รายได้เต็มไตรมาส หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 ขณะที่รายได้จากธุรกิจอาหารเติบโตได้อย่างน่าพอใจ จากการขยายตลาดและการเพิ่มลูกค้าใหม่ของบริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด (Epicure) และบองชู เบเกอรี่ (Bonjour Bakery)” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีกล่าว

ทั้งนี้ การฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของผลประกอบการในปี 2567 ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ด้านการลงทุน 3 ประการของกลุ่มดุสิตธานี ได้แก่ สร้างสมดุล สร้างการเติบโต และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ทั้งธุรกิจอาหาร รวมถึงธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของดุสิตธานี ทำให้บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการใช้ประสบการณ์และความสามารถจากธุรกิจหลักในการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน ลดการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจโรงแรม และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับกลุ่มดุสิตธานี

สำหรับปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาปลดล็อคมูลค่าลงทุน ตามแผนกลยุทธ์เพื่อการสร้างความเติบโตในระยะยาว บริษัทฯ จะเดินหน้าพลิกฟื้นธุรกิจให้แข็งแกร่ง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ แม้ว่า จะยังมีภาระดอกเบี้ยจากการลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่เป็นปัจจัยหน่วงที่มีนัยสำคัญก็ตาม ซึ่งในส่วนของธุรกิจโรงแรมนั้น คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของรายได้ประมาณ 15-18% จากปี 2567 (ไม่รวมรายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ)  โดยจะเน้นการขยายพอร์ตโรงแรมในรูปแบบรับจ้างบริหารจัดการ (Asset-light) เป็นโรงแรมเปิดใหม่ 5-7 แห่ง และคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาบริหารเพิ่ม 12-14 แห่ง

ส่วนธุรกิจอาหารซึ่งยังเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดี บริษัทฯ ประมาณการการเติบโตของรายได้ธุรกิจอาหารในปีนี้ไว้ที่ 20-25% โดยมีแผนขยายแฟรนไชส์บองชูเบเกอรี่ เพิ่ม 12-15 สาขา รวมถึงร่วมมือกับพันธมิตรญี่ปุ่น Green House เพื่อขยายตลาด พร้อมกันนี้ ยังมีการเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกด้วย ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า จะสามารถขับเคลื่อนมูลค่า โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จากการเปิดให้บริการในส่วนของอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าได้ในครึ่งหลังของปี 2568 และเริ่มทยอยโอนโครงการพักอาศัยดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต พาร์คไซด์ ในช่วงปลายปีนี้ โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 95% ของพื้นที่ขาย

“ปี 2568 เป็นช่วงสุดท้ายของแผนกลยุทธ์เพื่อการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน ที่เราแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ตั้งแต่ปี 2559-2568 ซึ่งตลอดระยะทาง 9 ปีของแผนที่เราวางไว้ เราต้องเจอกับเรื่องไม่คาดคิด รวมถึงปัจจัยท้าทายต่างๆ มากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้บริหาร พนักงาน ผู้ถือหุ้น รวมถึงความไว้วางใจจากลูกค้าและคู่ค้าของดุสิตธานี ที่พร้อมการให้สนับสนุนเราเสมอ ทำให้วันนี้เราจะสามารถพลิกฟื้นธุรกิจของกลุ่มให้กลับมาเติบโตได้อย่างน่าพอใจ ในช่วงเวลาหลังจากนี้ที่เราเรียกว่า เป็นช่วงปลดล็อคมูลค่าลงทุน กลุ่มดุสิตธานีจะเดินหน้าสร้างสมดุลของรายได้ระยะสั้นและรายได้ระยะยาวตามแผน เพื่อตอกย้ำความมั่นคงและต่อยอดไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต พร้อมๆ กับการเดินหน้าขยายแบรนด์ 'ดุสิตธานี' ในอีกหลายๆ พื้นที่ทั่วโลกที่เป็นหมุดหมายใหม่ของเรา” นางศุภจีกล่าว

ก.พลังงาน รุดตรวจสอบกรณีบุกรุกพื้นที่ ‘เขื่อนคิรีธาร’ พบแอบปลูกทุเรียนกว่า 260 ไร่ ขีดเส้น 30 วัน ให้ออกจากพื้นที่

กระทรวงพลังงาน นำสื่อมวลชนลงพื้นที่เขื่อนคิรีธาร จังหวัดจันทบุรี หลังพบการบุกรุกพื้นที่โครงการฯ ปลูกทุเรียน กว่า 260 ไร่ พบไม่ใช่ทุนจีน ได้รับฟังเสียงชาวบ้านพร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เวลาออกจากพื้นที่ 30 วัน ก่อนดำเนินคดีผู้บุกรุก พร้อมเดินหน้าปรับปรุงพื้นที่เพื่อบริหารจัดการน้ำและผลิตไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

(26 ก.พ. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนกรมป่าไม้ ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) และส่วนปกครองจังหวัดจันทบุรี และคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่โครงการไฟฟ้าพลังน้ำคิรีธาร จังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่โครงการหลังพบการใช้พื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะกลางอ่างเก็บน้ำ(เกาะร้อยไร่) ซึ่งมีขนาดกว่า 260 ไร่ โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาข้อสรุป พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการให้เกิดความถูกต้องและป้องกันการบุกรุกซ้ำในอนาคต

ดร.หิมาลัย กล่าวว่า ได้มีการร่วมประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พพ. กรมป่าไม้ ส.ป.ก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกร่วมกัน และได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพบการบุกรุกพื้นที่เพื่อทำการเกษตรและปลูกพืชเศรษฐกิจ อาทิ ทุเรียน ในหลายจุด ซึ่งพบว่าไม่ใช่ทุนจีนแต่อย่างใด โดยพื้นที่การบุกรุกบางส่วนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและบางส่วนเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. ที่ต้องตรวจสอบสิทธิ์ ที่ผ่านมาทาง พพ.ได้แจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับผู้บุกรุกพื้นที่บริเวณเกาะร้อยไร่ 262 ไร่ และพื้นที่โดยรอบโครงการฯ 17 ราย  21 แปลง 

“การบุกรุกพื้นที่รัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวต้องหมดไป กระทรวงพลังงานและภาครัฐ จะดำเนินการถึงที่สุด ใครทำผิดต้องรับผิด เขื่อนคิรีธารไม่ได้เป็นเพียงโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ แต่เป็นแหล่งน้ำสำคัญของประชาชน การใช้พื้นที่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ ได้มีการรับฟังเสียงประชาชน โดยประชาชนที่ได้รับเอกสารสิทธิ์จากราชการ จะดำเนินการเยียวยา ส่วนประชาชนที่เข้าใจผิดในการเข้าใช้พื้นที่ กระทรวงพลังงานจะให้เวลา 30 วันในการออกจากพื้นที่ก่อนจะดำเนินคดีหากพบว่ายังมีการบุกรุกอยู่”  ดร.หิมาลัย กล่าว

นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน  กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมา พพ. ได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่และแจ้งผู้บุกรุกพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ถึงปัจจุบัน ได้ติดตาม ตรวจสอบและประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่เขื่อนคิรีธาร มีการลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับกรมป่าไม้ โดย พพ. มีหนังสือขอยกเลิก หรือเพิกถอนสิทธิการครอบครองที่ดินบางส่วนจาก ส.ป.ก. และแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกที่ไม่มีเอกสารสิทธิ โดยการดำเนินคดีและมาตรการต่าง ๆ จะเป็นไปตามกรอบกฎหมาย พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำที่เป็นพลังงานสะอาด และบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ พพ. ยังเตรียมเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าพลังน้ำคิรีธารให้สามารถเพิ่มน้ำต้นทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า

ฮ่องกงเล็งลดเจ้าหน้าที่รัฐบาล 10,000 ตำแหน่ง ทุ่มงบ 1 พันล้านดอลล์ แก้คลังขาดดุลด้วย AI

(26 ก.พ. 68) รัฐบาลฮ่องกงเปิดเผยแผนลดจำนวนข้าราชการ 10,000 ตำแหน่งภายในปี 2570 เพื่อรับมือกับปัญหาขาดดุลงบประมาณที่ทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมกับการเร่งลงทุนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความตึงเครียด

ในงานแถลงงบประมาณประจำปี พอล ชาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฮ่องกงได้ประกาศว่า “มาตรการนี้เป็นการวางรากฐานที่ชัดเจนเพื่อฟื้นฟูดุลการคลังในระยะยาว โดยการดำเนินการอย่างมีขั้นตอนและการวางแผนอย่างรอบคอบ”

ตามรายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ มาตรการนี้จะลดจำนวนข้าราชการลง 2% ต่อปีในช่วงสองปีข้างหน้า พร้อมกับการตรึงเงินเดือนข้าราชการในปีนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการรัดเข็มขัดทางการคลังอย่างเข้มงวด

ชานยังระบุว่า รัฐบาลมีแผนลดค่าใช้จ่ายภาครัฐลง 7% ตั้งแต่ปีนี้จนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2571 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้าง “รากฐานทางการคลังที่มั่นคงสำหรับการเติบโตในอนาคต”

มาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจากรายได้จากการขายที่ดินของรัฐบาลฮ่องกงลดลงอย่างมาก ทำให้การขาดดุลงบประมาณพุ่งสูงถึง 87,200 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเกือบสองเท่าของตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 48,100 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง

ในส่วนของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออนาคต ชานประกาศว่า ฮ่องกงจะใช้จุดแข็งในฐานะศูนย์กลางระหว่างประเทศในการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม AI โดยมีการจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงสำหรับการตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนา AI เพื่อรองรับการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีตามนโยบายของรัฐบาลจีน

กระทรวงพาณิชย์ จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้า “อีสาน ไอคอน อัตลักษณ์วิถี สู่ของดีลุ่มน้ำโขง” หนุนเศรษฐกิจฐานรากของไทย เติบโตได้อย่างยั่งยืน

(27 ก.พ. 68) กระทรวงพาณิชย์ โดย สำนักงานพาณิชย์จังหวัดกาฬสินธุ์ จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้า “อีสาน ไอคอน อัตลักษณ์วิถี สู่ของดีลุ่มน้ำโขง” ส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจฐานราก ภายใต้ “โครงการยกระดับความร่วมมือทางการค้าภาคอีสาน สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง” ชูของดี 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระจายรายได้สู่ชุมชน พร้อมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ต่อยอดสินค้าสู่การส่งออก หนุนเศรษฐกิจการค้าไทยเข้มแข็ง เป็นธรรม เติบโต อย่างยั่งยืน ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเจเจมอลล์ กรุงเทพฯ

ร้อยตรี จักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่ากระทรวงพาณิชย์มีนโยบายในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สร้างรายได้เพิ่มให้แก่ชุมชนและผู้ประกอบการ SMEs และได้ดำเนินมาตรการต่างๆ ภายใต้นโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสทางการค้า โดยมีแนวทางการพัฒนาส่งเสริมช่องทางการตลาดที่หลากหลายให้แก่ สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยใช้หลักการตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ผลักดันการใช้ Soft Power และอัตลักษณ์ของไทย ในการเพิ่มมูลค่าสินค้า พัฒนาคุณภาพสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาด 

ดังนั้น เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศมั่งคั่งยั่งยืน สอดรับกับแผนพัฒนายุทธศาสตร์ชาติ กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนในระดับภูมิภาค จึงได้จัดทำ "โครงการยกระดับความร่วมมือทางการค้าภาคอีสานสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568" เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้มีความเข้มแข็ง ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้ ส่งเสริมการตลาดสินค้าภาคอีสาน ส่งเสริมการค้าชายแดน และเชื่อมโยงสินค้าเกษตรสมัยใหม่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

การจัดงานในครั้งนี้มีทั้งผู้ประกอบการ เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ผลิตสินค้าชุมชน/OTOP ผู้ประกอบการ SME ของ 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 40 ราย และกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่าย อาทิ คูปองเงินสดใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้า กิจกรรมกรรมนาทีทองซื้อสินค้าในราคาพิเศษ และกิจกรรมสุ่มลุ้นรับโชค วันละ 10,000 บาท  ตลอดจนการเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดการณ์มูลค่าการค้ากว่า 50 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถหนุนเศรษฐกิจฐานรากของไทย เติบโตได้อย่างยั่งยืน

จึงขอเชิญผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์แห่งความภาคภูมิใจจากท้องถิ่นอีสาน ขยายเศรษฐกิจฐานราก หนุนเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ภายในงาน “อีสาน ไอคอนอัตลักษณ์วิถี สู่ของดีลุ่มน้ำโขง” ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2568 ณ ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเจเจมอลล์ จตุจักร กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 19.00 น.

“ท๊อป - จิรายุส”ถอดรหัส 4 วาระสำคัญของสภาเศรษฐกิจโลก(WEF 2025) “อลงกรณ์“เสนอแนวทางก้าวใหม่ประเทศไทยรับมือสงครามการค้าและระเบียบโลกใหม่(New World Order)

(27 ก.พ. 68) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand ร่วมกับ นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา และผู้อำนวยการสถาบัน FKII Thailand จัดกิจกรรม FKII National Dialogue : ก้าวต่อไปไทยแลนด์ เทรนด์ใหม่จาก World Economic Forum 2025 เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2568 โดย ท๊อป – จิรายุส โดยได้เชิญ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด มาให้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการเข้าร่วมงาน World Economic Forum 2025 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ณ TVA Hall สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานคร

นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา และผู้อำนวยการสถาบัน FKII Thailand ได้แนะนำที่มาของสถาบัน FKII Thailand และพันธกิจของสถาบัน ซึ่งมีสถานะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise; SE) ที่มุ่งเน้นในด้านองค์ความรู้ที่มีอยู่ทั่วโลก การสร้างนวัตกรรม และบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ได้แนะนำสถาบันทิวา (TVA) ซึ่งมีความตั้งใจว่าจะเป็นพื้นที่ที่ 3 ที่ไม่ใช่ทั้งบ้านและที่ทำงาน แต่เป็นสถานที่ที่เป็นชุมชนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งหนึ่งในโครงการของ TVA ได้แก่ โครงการ grow Longevity Eco Village (เขาใหญ่) วิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับอาเซียน ที่ได้นำมาทดลองประยุกต์ใช้งานจริงที่เขาใหญ่จนพิสูจน์ได้ว่าสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง ซึ่งปัจจุบันกำลังเตรียมที่จะขยายผลในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง แล้วขยายต่อไปยังทั่วประเทศต่อไปเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนต่อไป

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภาบรรยายสรุปข้อมูลเชิงลึกจาก World Economic Forum 2025 โดยแบ่งออกเป็น 4 เรื่องสำคัญซึ่งเชื่อมโยงกัน ได้แก่ 1) การเติบโตของเศรษฐกิจโลก 2) ภูมิรัฐศาสตร์ 3) เทคโนโลยี และ 4) ASEAN ทั้งนี้ การที่ได้เข้าไปฟังในวงสนทนาต่างๆ ที่มีจำนวนมาก บางเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เปิดเผยได้และอาจเผยแพร่ไปแล้วตามสื่อต่างๆ แต่บางเรื่องเป็นเรื่องที่มีการสนทนากันจริงแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจโลก พบว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2025-2026 จะโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ 3.7% โดยเติบโตเพียง 3.3% ขณะที่เศรษฐกิจดิจิทัลจะเติบโตเป็น 15.5% และในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็น 70% แต่ประเทศจีนประเทศเดียวเติบโตไป 44% ซึ่งนับได้ว่าเติบโตแบบก้าวกระโดดเกินค่าเฉลี่ยเป็นอย่างมาก โดยเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีโอกาสเติบโตสูง โดยมีอัตราการเติบโตจาก 2.2% เป็น 2.7% โดยเติบโตจากปัจจัยด้านนวัตกรรมที่สร้างผลิตภาพ เงินทุนที่เข้มแข็ง และพลังงานที่ถูก ส่วนอินเดียมีการคาดการณ์กันว่าจะเป็นโรงงานแห่งถัดไปของโลกแทนที่จีน ด้านภูมิรัฐศาสตร์ คาดการณ์ว่าจะเกิดสงครามเย็นด้าน AI ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่เข้มข้นขึ้น จะเกิดการแบ่งขั้วทางด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจนระหว่างตะวันตกและตะวันออก ทั้งนี้ มีโอกาสที่จะเกิดสงครามโลก 70%
ด้านเทคโนโลยี การพัฒนา AI จะมีอัตราการพัฒนาที่ก้าวกระโดขึ้น จากปัจจุบันใช้ Large Language Model (LLD) เป็นแบบ Vision Model ที่มีเซ็นเซอร์ต่างๆ เข้ามาประกอบในระบบปฏิบัติการ ส่งผลให้สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้กว่า 39% ซึ่งไมโครซอฟต์คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมที่จะมีผลกระทบโดยตรง 4 ธุรกิจ ได้แก่ 1) ด้านการดูแลสุขภาพ (Health Care) ซึ่งสามารถเรียนรู้และพัฒนาไปจนถึงระดับโมเลกุลโดยใช้ AI ในการศึกษา ลดงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาโดยมนุษย์ที่มีมูลค่ามหาศาล โดยมุ่งเน้นไปที่การมีอายุยืน (Longevity) กว่า 120 ปี 2) ด้านการเงิน (Finance) ซึ่งสามารถใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลและเทคโนโลยีทำงานแทนมนุษย์ได้ทั้งหมด 3) ด้านกฎหมาย (Legal) ที่มีความซับซ้อนและต้องตีความโดยปราศจากอคติของมนุษย์ที่ AI สามารถเข้ามาแทนที่ได้ และ 4) ด้านการศึกษา (Education) คาดว่าในอนาคตไม่เกิน 5 ปี การศึกษาจะเป็นการ Up-Skill / Re-Skill เพื่อตอบโจทย์การทำงาน ภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) อาเซียนควรเร่งผลักดัน Digital Economy Framework Agreement (DEFA) ซึ่งปีนี้มาเลเซียเป็นประธานโดยประกาศว่าในปีนี้หากรวมกันได้กี่ประเทศก็ให้เริ่มดำเนินการเลยไม่จำเป็นต้องรอครบ 10 ประเทศ หากประเทศใดยังไม่พร้อมก็ค่อยให้ตามเข้ามา เพื่อเร่งผลักดัน GDP ของภูมิภาค ทั้งนี้อาเซียนมีการเติบโตต่ำจาก 0.25% เหลือ 0.2% หากเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 5 ปี จะมีมูลค่าเศรษฐกิจเพียง 1 Trillion USD แต่หาก DEFA สำเร็จจะมีมูลค่า 2 Trillion USD แน่นอน ขณะที่ในเวทีที่ท่านนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเข้าร่วม ท่านได้แจ้งว่าประเทศไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่เติบโตต่ำในช่วงที่ผ่านมาจากค่าเฉลี่ย 5.0% เหลือ 1.0% แต่มีการสำรองพลังไฟฟ้าไว้ที่การเติบโต 5% ทำให้มีกำลังการผลิตพลังงานที่เหลือจึงมีราคาถูกและค่อนข้างเสถียร เหมาะสมที่จะทำ Data Center ของบริษัทข้ามชาติต่างๆ แต่มีข้อเสียคือการสร้าง Carbon Footprint สูงมาก จึงโดน Carbon Tax, CBAM มาก รวมทั้งการผลิตซีเมนต์ ด้านประเทศเวียดนามเติบโตสูงสุดเนื่องจากไม่ค่อยมีหนี้ครัวเรือนและมีแรงงานในวัยทำงานจำนวนมาก และการผลิตนักวิทยาศาสตร์จำนวน 500,000 คนต่อปี มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแนวใหม่ของโลก ประเทศอินโดนีเซียประกาศยกระดับเป็นประเทศพัฒนาแล้วเน้นการสร้างสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเพื่อส่งออก และพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใน ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ประกาศที่จะเป็นประเทศเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub) และส่งเสริมด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs อย่างทั่วถึง (ลักษณะ SMEs Bank ที่คิดอัตราดอกเบี้ยถูกเพื่อให้นำไปใช้ประกอบอาชีพ) อย่างไรก็ตาม DEFA จะเข้ามาช่วยในกระบวนการ Free Flow เดินทางไปได้ทั่ว ASEAN การทำงาน การโอนเงิน กระบวนการกงสุล (นำเข้า-ส่งออก) ซึ่งมีประชากรรวมกัน 600 กว่าล้านคน (ประเทศอาเซียน)

ประเด็นอื่นๆ มีการพูดคุยกันว่ารัฐบาลนั้นไม่มีทางตามทันทางด้านเทคโนโลยีเท่าภาคเอกชนที่เป็นผู้คิดค้นและผลิตขึ้นมาซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงมากด้านความมั่นคง (Tech นำ Policy) ขณะที่กระบวนการสร้างความยั่งยืน(ESG) ความปลอดภัย และด้านเกษตรแม่นยำ จะต้องนำ AI มาช่วยในการกำหนด Solution ที่ดีที่สุดต่อไป ส่วนประเด็นที่เป็นที่กังวล คือเรื่องจีนที่มีการผลิตสินค้าออกมาเกิน Domestic Consumption และปัญหา Real Estate ในประเทศ ทั้งนี้ หากมีผู้ที่ปรับตัวให้รอดจากการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้ จะกำหนด Universal Basic Income ให้กับคนกลุ่มนี้อย่างไร

ข้อมูลจากอีลอน มัส เคยกล่าวไว้ว่า หากเราคำนวณ GDP ว่ามาจาก จำนวนคน X Productivity ของคน ในปัจจุบัน อนาคตอาจจะต้องเปลี่ยนเป็น จำนวน Robot X Productivity ของ Robot แทน

อดีตรัฐมนตรี อลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand กล่าวว่า “การที่ได้ไปร่วมประชุมสภาเศรษฐกิจโลกของ คุณท๊อป จิรายุส แล้วมาถ่ายทอดให้กับผู้เข้าร่วมสนทนาในวันนี้ เพื่ออัพเดทข้อมูล แนวโน้ม และทิศทางที่จะกำหนดร่วมกัน และสะท้อนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปนับเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีทั้งด้านบวก ด้านลบ โอกาส ปัญหา และภัยคุกคาม เราได้ทราบถึง ประเด็นปัญหาโลกร้อน ปัญหา การสาธารณสุขและสังคมสูงวัย ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geo Politics) ปัญหา ภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geo Economics ) การรวมกลุ่มระดับภูมิภาค (regional integration ) การเกิดระเบียบโลกใหม่แบบแบ่งขั้วจับคู่ โดยประเทศมหาอำนาจตัวอย่างที่ชัดเจนคือ สงครามการค้า(trade wall )สงครามภาษีศุลกากร(Tariff War )ได้เริ่ม แล้วระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับประเทศต่างๆเช่นจีน แคนาดา เม็กซิโกซึ่งประเทศไทยและอาเซียนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการขึ้นภาษี ภาษีศุลกากรและภาษีอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกานอกจากนี้ ปรากฎการณ์การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์( AI technology) ในระบบ open sources และเอไอ ต้นทุนต่ำ( low cost Ai )แบบDeepseek ,ควอนตั้ม คอมพิวติ้งก์(quantum computing ),6 G ,เทคโนโลยีดาวเทียม และ บล็อกเชนเทคโนโลยี (Blockchain Technology )จะทำให้โลกก้าวสู่ยุค Generative Ai และอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (Internet of everythings ) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสร้างโอกาสใหม่ๆพร้อมกับปัญหาที่จะตามมาคือสงครามเทคโนโลยีครั้งใหม่ ดังนั้น เมื่อโลกเปลี่ยน ประเทศไทยจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือและฉวยโอกาสจากวิกฤตให้สามารถขี่อยู่บนยอดคลื่นของการเปลี่ยนแปลง ด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมขับเคลื่อนสู่การสร้างรัฐบาลเอไอ( Ai Government -การบริหารและพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์)และการสร้างทรัพยากรมนุษย์พร้อมกับสร้างความเข็มแข็งบนฐานหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของASEAN และRCEPรวมทั้งควรเร่งผลักดันให้เกิด DEFA( Digital Economy Framework Agreement ) stable coinและ cryptocurrency โลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างเร็วและแรง ประเทศไทยต้องสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (BioEconomy ), เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy), เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy ), เศรษฐกิจคาร์บอน (Carbon Economy), เศรษฐกิจ ฐานทรัพยากรมนุษย์ (human resources based Economy )และ เศรษฐกิจดิจิตอล-Ai(Ai-Digital Economy ) เพื่อ สร้างศักยภาพใหม่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายของอนาคตในทุกมิติโดยเร็วที่สุด เพราะระบบเศรษฐกิจเดิมไม่สามารถรับมือกับ ภัยคุกคามและโอกาสของปัจจุบันและอนาคตได้อีกต่อไป

จากนั้น รศ.ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล รองประธานสถาบัน FKII Thailand กล่าวขอบคุณและมอบของที่ระลึกให้กับวิทยากร พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก.

ทรัมป์ โบ้ย 'อียู' เอาเปรียบสหรัฐฯ มานาน ต้องเจอกำแพงภาษี 25% อียูเตือนพร้อมโต้กลับ

(27 ก.พ.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า สหภาพยุโรป (อียู) เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อ 'เอารัดเอาเปรียบ' สหรัฐ พร้อมย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องแก้ไขความเสียเปรียบที่เกิดขึ้นกับอเมริกา โดยหนึ่งในมาตรการหลักคือการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอียูในอัตรา 25% ซึ่งรวมถึงภาษีนำเข้ารถยนต์ โดยรายละเอียดเพิ่มเติมจะมีการประกาศในภายหลัง

ด้านคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของอียู ออกแถลงการณ์โต้ว่า อียูเป็นตลาดการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม อียูพร้อมใช้มาตรการตอบโต้ทันที หากสหรัฐดำเนินนโยบายภาษีที่ไม่เป็นธรรม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตและผู้บริโภคในยุโรป

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยว่า สหรัฐขาดดุลการค้ากับอียูสูงถึง 235,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.94 ล้านล้านบาท) ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทรัมป์ผลักดันมาตรการดังกล่าว

ผู้นำสหรัฐย้ำว่า วอชิงตันจำเป็นต้องเร่งแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า โดยกล่าวหาว่าอียูยังไม่นำเข้าสินค้าสหรัฐในระดับที่เพียงพอ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หากสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง สหรัฐอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการภาษีที่เข้มงวดขึ้นเพื่อกดดันอียูให้เปิดตลาดมากขึ้น

‘ป.ป.ช.’ เตรียมแจ้งข้อกล่าวหา ‘สุทิน - โรม’ ส่อขัดประมวลจริยธรรม ปมแถลงข่าวเท็จให้ร้าย ‘ลุงตู่’

เมื่อวันที่ (26 ก.พ. 68) มีรายงานข่าวว่า ในเร็วๆ นี้สำนักงาน "ป.ป.ช." กำลังจะแจ้ง ข้อกล่าวหากับนักการเมืองหลายคนที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ที่นำมาบังคับใช้กับฝ่ายการเมืองด้วยคือ ครม./สส./สว./ข้าราชการการเมืองนั้น    

โดยเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับการอภิปราย/การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน/การเคลื่อนไหวที่ฝ่าฝืนหมวด 2 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลักในข้อ15ที่ระบุว่า ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบ ของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือนและข้อ17ที่ระบุว่า ไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ ง โดยตอนนี้นักการเมืองคนสำคัญหลายคนกำลังถูกตั้งข้อกล่าวหานั้น จะชี้แจงข้อกล่าวหาต่อสำนักงานป.ป.ช.อย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทราบว่า "นายสุทิน  คลังแสง" สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคเพื่อไทย  เป็นหนึ่งในสส.ที่สำนักงานป.ป.ช.กำลังจะชี้มูลความผิด  โดยระบุพฤติการณ์ของ "นายสุทิน" ว่า  วันที่ 8 กันยายน 2564 "นายสุทิน" ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่ามีการแจกเงินให้สส.คนละห้าล้านบาทที่ห้องทำงานนายกรัฐมนตรี(พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ชั้นสาม อาคารรัฐสภาเพื่อให้สส.ลงคะแนนให้นายกรัฐมนตรีในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยนายสุทินมาชี้แจงกับสำนักงานป.ป.ช.แล้วแต่ไม่มีหลักฐานในประเด็นที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนมาแสดงกับสำนักงาน "ป.ป.ช." ซึ่ง "นายสุทิน" เข้าข่ายการละเมิดหมวด 2 ของมาตรฐานทางจริยธรรมฯ

และยังพบว่า "นายรังสิมันต์ โรม" สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนนั้น สำนักงาน "ป.ป.ช."ดำเนินการตรวจสอบ/กลั่นกรองและไต่สวนข้อกล่าวหาของนายรังสิมันต์จำนวน 6 สำนวนคือ  1. การสนับสนุนพรรคก้าวไกลรับข้อเสนอจากกลุ่ม ILaw ที่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดหนึ่งและหมวดสอง/สนับสนุนพรรคก้าวไกลให้มีมติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112/เข้าร่วมชุมนุมขับไล่ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" โดยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์/แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยตั้งสสร./โพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะเสียดสีดูหมิ่น "พลเอกประยุทธ์"

2.วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 "นายรังสิมันต์" ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ "พลเอกประยุทธ์" โดยนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จคือแอบอ้างสถาบันเป็นเครื่องมือเพื่อไม่ให้มีการตรวจสอบเรื่องมัวหมองในอดีตของตนเองและเป็นนักบินเถื่อน ขาดคุณสมบัติการเป็นนักบินถวายการเดินทาง/ก่อหนี้เกินงบประมาณการซ่อมบำรุงอากาศยานของสตช. ทำให้นายกฯต้องขออนุมัติงบกลาง 937 ล้านบาทชำระหนี้ให้การบินไทย/ร่วมกันฮั้วประมูลกับเอกชนในการจำหน่ายอะไหล่ให้อากาศยานของสตช.และขายอะไหล่ที่ใช้ไม่ได้ให้เอกชนนำไปใช้งานต่อ

3. ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตฐานจริยธรรมอย่างรุนแรง โดยนำเสนอข้อมูลของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อสาธารณะในลักษณะอันอาจเป็นการบิดเบือนใส่ร้ายสถาบันและทำให้ประชาชนเกลียดชังสถาบันฯและต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

4.จงใจใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ / ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯกรณีจัดทำหนังสือและแถลงข่าวว่าจะเชิญประธานศาลฎีกามาชี้แจงกรณีไม่ให้ประกันตัวแกนนำม็อบกลุ่มราษฎรโดยประธานศาลฎีกาอ้างว่าบุคคลภายนอกขอมาในกมธ. การกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎรและจะนำวาระเข้าที่ประชุมกมธ.ดังกล่าวเมื่อวันที่7เมย.2564ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่สามารถกระทำได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา129วรรคสี่และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯว่าด้วยข้อบังคับประมวลจริยธรรมของสส.และกมธ. พ.ศ.2563

5.เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 เพื่อเป็นการทำลายสถาบันฯและล้มล้างการปกครอง และ 6. จงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯกรณีร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ซึ่งการดำเนินการนี้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา6

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ที่ผ่านมา สส.พรรคก้าวไกล 44 คนถูกยื่นฟ้องต่อสำนักงานป.ป.ช.กรณีเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112  และตอนนี้สส.พรรคก้าวไกลที่โดนยุบพรรคได้ย้ายมาสังกัดพรรคประชาชน 25 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ"นายรังสิมันต์"ซึ่งทราบว่าสส.เหล่านี้กำลังไปรับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจง คดีฝ่าฝืนจริยธรรม จากการร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การดำเนินการดังกล่าวของสำนักงานป.ป.ช.ในกรณีของ "นายสุทิน" และ "นายรังสิมันต์" รวมทั้งสมาชิกรัฐสภารายอื่นๆนั้น สำนักงานป.ป.ช.ดำเนินการมาหลายปีแล้วก่อนที่คณะกรรมการป.ป.ช.เจ็ดคน จะมีการลงมติเลือก "นายสุชาติ  ตระกูลเกษมสุข"เป็นประธานป.ป.ช.ซึ่งตอนนี้"พรรคประชาชน"ล่ารายชื่อสส.และสว.ราว 140 คน โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 เพื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาให้ถอดถอน "นายสุชาติ" ออกจากตำแหน่ง

อีกทั้งกรณีนี้ มีการตั้งสังเกตว่า การออกมาให้ข่าวว่าจะยื่นถอดถอน"นายสุชาติ"ของสส.พรรคประชาชนและ "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล"นั้นน่าจะ เป็นการกดดัน สำนักงาน "ป.ป.ช."ในฐานะผู้ไต่สวนคดี ของ "นายรังสิมันต์" และอดีต สส.พรรคก้าวไกล  44 คน รวมทั้ง "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์" หรือไม่ 

เนื่องจาก หากพิจารณาจาก ช่วงเวลา ที่มีการตั้งไต่สวนของ "ป.ป.ช." เป็นห้วงเวลาเดียวกับที่นายสุชาติ กำกับดูแล สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมืองเเละผู้ร้องเรียน "ประธานป.ป.ช." มีฐานะเป็นผู้ถูกไต่สวนทั้งสิ้น เเละการดำเนินการอัดคลิประหว่าง"นายสุชาติ"กับ "นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา"ประธานรัฐสภานั้น"นายวันมูหะมัดนอร์" ชี้เเจงเเล้วว่า"พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์" กระทำเเบบไม่ใช่ลูกผู้ชายเเละสังคมน่าจะอ่านเจตนาของ "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์"ได้ว่าหวังผลอะไร และพบว่า"นายสุชาติ"เป็นผู้ดำเนินการไต่สวนเเละวินิจฉัยคดีในสำนักงาน "ป.ป.ช."ที่ยึดหลักนิติธรรมอย่างรอบคอบ ในการตัดสิน/ประวัติโปร่งใส จนบางฝ่ายอาจเสียประโยชน์จากการทำงานของ "นายสุชาติ" จนต้องมีการดำเนินการถอดถอน"นายสุชาติ"

จีนเสนอปรับกม.ใหม่ให้แต่งงานได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี พร้อมสร้างระบบจูงใจ หวังแก้วิกฤตประชากรลดลง

(27 ก.พ.68) ที่ปรึกษาทางการเมืองระดับชาติของจีนได้แนะนำให้ลดอายุการแต่งงานตามกฎหมายลงเหลือ 18 ปี เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตรในสภาวะที่ประชากรลดลงและ 'ปลดปล่อยศักยภาพในการเจริญพันธุ์' โดยเฉพาะในการเผชิญกับการลดลงของประชากรในประเทศ

เฉิน ซงซี สมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติของจีน (CPPCC) กล่าวกับ Global Times ว่า เขามีแผนที่จะยื่นข้อเสนอให้มีการยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดเกี่ยวกับการมีบุตรในจีน และจัดตั้ง 'ระบบจูงใจ' สำหรับการแต่งงานและการมีบุตรในหมู่ประชากรชาวจีนรุ่นใหม่

คำกล่าวของเฉินเกิดขึ้นก่อนการประชุมรัฐสภาประจำปีของจีนในสัปดาห์หน้า ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าจะประกาศมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบจากการลดลงของประชากรในประเทศ

ในปัจจุบัน อายุกฎหมายการแต่งงานในจีนอยู่ที่ 22 ปีสำหรับผู้ชาย และ 20 ปีสำหรับผู้หญิง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอายุการแต่งงานที่สูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่กำหนดอายุการแต่งงานตามกฎหมายที่ 18 ปี

เฉินกล่าวว่า อายุการแต่งงานตามกฎหมายของจีนควรลดลงเหลือ 18 ปี "เพื่อเพิ่มฐานประชากรที่มีความสามารถในการมีบุตรและปลดปล่อยศักยภาพในการเจริญพันธุ์" โดยเขาเชื่อว่ามาตรการนี้จะสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

จำนวนประชากรของจีนลดลงเป็นปีที่สามติดต่อกันในปี 2024 ขณะที่จำนวนการแต่งงานลดลงถึง 20% ซึ่งถือเป็นการลดลงที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้จะมีความพยายามจากรัฐบาลในการส่งเสริมให้คู่รักวัยหนุ่มสาวแต่งงานและมีบุตร

การลดลงของประชากรในจีนส่วนใหญ่เกิดจากนโยบายลูกคนเดียวที่บังคับใช้ระหว่างปี 1980 ถึง 2015 โดยคู่รักได้รับอนุญาตให้มีบุตรได้สูงสุด 3 คนตั้งแต่ปี 2021

เฉินกล่าวว่า จีนควรยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนบุตรที่ครอบครัวสามารถมีได้ เพื่อให้สามารถตอบสนอง 'ความต้องการเร่งด่วนในการพัฒนาประชากรในยุคใหม่'

อย่างไรก็ตาม จำนวนคนที่เลือกที่จะไม่มีบุตรกำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าครองชีพในการเลี้ยงดูลูกที่สูง หรือการไม่อยากแต่งงานหรือหยุดพักการทำงาน

รัฐบาลจีนได้พยายามออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการมีบุตร เช่น การขยายเวลาการลาคลอด, สิทธิประโยชน์ทางการเงินและภาษีสำหรับการมีบุตร รวมถึงการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ตาม จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกสูงที่สุดเมื่อเทียบกับ GDP ต่อหัวของประชากร ตามรายงานจากสถาบันวิจัยชื่อดังของจีนเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งได้พูดถึงต้นทุนเวลาและโอกาสที่ผู้หญิงต้องสูญเสียในการมีบุตร

CPPCC ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทเป็นที่ปรึกษาในลักษณะเชิงพิธีการ จะประชุมพร้อมกับรัฐสภา และประกอบด้วยกลุ่มผู้ประกอบการศิลปิน พระภิกษุ และตัวแทนจากสังคมต่าง ๆ แต่ไม่มีอำนาจในการออกกฎหมาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top