Thursday, 15 May 2025
TheStatesTimes

‘ศาลฎีกา’ ยืน!! ตามคำตัดสินของศาลล่าง ที่ปฏิเสธการออกวีซ่าระยะยาว ให้แก่ชายชาวอเมริกัน ที่แต่งงานกับ ‘คู่รักเพศเดียวกัน’ ชาวญี่ปุ่นในสหรัฐฯ

(24 ก.พ. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ศาลฎีกาของญี่ปุ่นยืนตามคำตัดสินของศาลชั้นล่างที่ปฏิเสธการออกวีซ่าพำนักระยะยาวให้แก่ชายชาวอเมริกันที่แต่งงานกับคู่รักเพศเดียวกันชาวญี่ปุ่นในสหรัฐฯ

ศาลยืนยันคำตัดสินของศาลชั้นสูงโตเกียวในปี 2023 ซึ่งระบุว่าคู่รักเพศเดียวกันในญี่ปุ่นไม่มีสถานะทางกฎหมายเท่ากับคู่รักต่างเพศ แอนดรูว์ ไฮ ผู้ฟ้องคดีโต้แย้งว่าคำตัดสินดังกล่าวละเมิดการรับรองความเท่าเทียมกันตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นไม่รับรองการแต่งงานของเพศเดียวกันตามกฎหมาย และวีซ่า "คู่สมรสหรือบุตรของพลเมืองญี่ปุ่น" มีไว้สำหรับคู่รักต่างเพศเท่านั้น แม้ว่าในตอนแรก High จะได้รับวีซ่าชั่วคราวเท่านั้น แต่ในปี 2022 ศาลแขวงโตเกียวได้แนะนำให้เขาได้รับวีซ่า "กิจกรรมที่กำหนด" ซึ่งเขาได้รับในเดือนมีนาคม 2023

แม้จะเป็นเช่นนี้ ไฮก็ยังพยายามขอวีซ่าพำนักระยะยาวที่มั่นคงกว่า ซึ่งให้ความปลอดภัยที่มากกว่าและมีข้อจำกัดในการทำงานน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม คำร้องของเขาถูกปฏิเสธ ซึ่งยืนยันถึงข้อจำกัดทางกฎหมายที่คู่รักเพศเดียวกันในญี่ปุ่นต้องเผชิญ

‘อพท.’ ลุย!! เสริมกำลังดัน ‘กระเช้าไฟฟ้า ภูกระดึง’ เตรียมปั้นพื้นที่ท่องเที่ยวยั่งยืน รองรับนักท่องเที่ยว

(24 ก.พ. 68) ดร.ชูวิทย์ มิตรชอบ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ อพท. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มอบหมายให้ ผู้บริหารสำนักพัฒนาขีดความสามารถการท่องเที่ยว (สพข.) สำนักท่องเที่ยวโดยชุมชน (สทช.) และสำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลย (อพท.เลย) เดินหน้าลงพื้นที่ จังหวัดเลย เพื่อหารือถึงแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในอำเภอภูกระดึง โดยเตรียมนำมาตรฐานการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (STMS) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก หรือ Global Sustainable Tourism Council ไปใช้ในการค้นหาศักยภาพด้านการท่องเที่ยว เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวตามความบริบทและความเหมาะสมในพื้นที่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในปัจจุบัน และอนาคตที่จะเกิดจากโครงการสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง

ในโอกาสนี้ ผู้บริหาร อพท. ได้เข้าพบ นายศุภฤกษ์ น้อยสุวรรณ นายอำเภอภูกระดึง ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอภูกระดึง พร้อมหารือร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 องค์กร ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีฐาน เทศบาลตำบลภูกระดึง องค์การบริหารส่วนตำบลผานกเค้า องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยส้ม และองค์การบริหารส่วนตำบลภูกระดึง ถึงแนวทางการการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พร้อมเชิญชวนเข้าร่วมส่งเสริมมาตรฐาน STMS โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 5 องค์กร เห็นถึงความสำคัญในการเตรียมมาตรฐานการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และยินดีเข้าร่วมส่งเสริมมาตรฐาน STMS ของ อพท. และจะร่วมลงพื้นที่สำรวจศักยภาพของพื้นที่ทั้ง 54 หมู่บ้านในโอกาสต่อไป

สำหรับความคืบหน้าในเรื่องการสร้างกระเช้าภูกระดึงนั้น ทางจังหวัดเลยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีความยินดีและพร้อมที่จะร่วมขับเคลื่อนโครงการฯ ร่วมกัน เพราะเป็นโครงการที่รอมานาน และได้ให้ข้อเสนอแนะในการสร้างการรับรู้และสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมให้กับท้องถิ่นและชุมชนอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงต่อไป โดยขั้นตอนการดำเนินงานต่อไปของ อพท. คือ การพัฒนาศักยภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 5 องค์กร ตามมาตรฐาน STMS และการพัฒนาศักภาพด้านการท่องเที่ยวของ 54 หมู่บ้าน เพื่อให้ได้แหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมท่องเที่ยว เรื่องราวท้องถิ่น อาหารท้องถิ่น เครื่องดื่มท้องถิ่น ของฝากและของที่ระลึก ที่พักและผู้ประกอบการท้องถิ่น ที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป

‘ทราเวลโลก้า’ ฉลองครบรอบ!! ทศวรรษแห่งนวัตกรรม มอบดีลสุดพิเศษ!! ให้นักท่องเที่ยวนับล้านทั่วโลก

(24 ก.พ. 68) ในปีพ.ศ. 2568 ทราเวลโลก้า (Traveloka) สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ฉลอง 13 ปีแห่งนวัตกรรมและการเติบโต ทราเวลโลก้าก่อตั้งขึ้นในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปีพ.ศ. 2555 ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะปฏิวัติวงการการเดินทาง ปัจจุบันเติบโตเป็นแพลตฟอร์มการเดินทางแบบครบวงจร โดยขยายการให้บริการไปประเทศออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม เพื่อให้นักเดินทางได้ท่องเที่ยวทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก

ทราเวลโลก้ามอบดีลฉลองวันเกิด พร้อมส่วนลดพิเศษ คูปองจัดเต็ม และแฟลชเซลล์ ครอบคลุม 5 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม พ.ศ. 2568 ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวไทยร่วมวางแผนการเดินทางแสนสนุกในปีนี้ พร้อมรับประสบการณ์ที่คุ้มค่าและสะดวกสบายยิ่งกว่าที่เคย

ซีซาร์ อินทรา (Caesar Indra) ประธานบริษัททราเวลโลก้า ได้กล่าวถึงการเติบโตของบริษัทว่า “ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา ทราเวลโลก้าได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการการท่องเที่ยว ไม่เพียงแค่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยังรวมถึงตลาดสำคัญทั่วโลก เราได้ผสมผสานความเชี่ยวชาญเชิงลึกในแต่ละตลาด ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรม และมุ่งมั่นพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันแอปพลิเคชันทราเวลโลก้ามีผู้ใช้งานประจำกว่า 40 ล้านคนและให้บริการใน 8 ประเทศ จนเติบโตเป็นแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวระดับโลกที่ก้าวไปพร้อม ๆ กับนักเดินทาง ด้วยการมอบประสบการณ์ที่สร้างสรรค์และปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล การมอบส่วนลดวันเกิดของทราเวลโลก้าครั้งนี้ จึงเป็นทั้งการเฉลิมฉลองเส้นทางแห่งความสำเร็จ และโอกาสในการตอบแทนลูกค้า พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์การเดินทางที่ราบรื่น คุ้มค่า และน่าประทับใจ”

มาร่วมทำให้ทุกการเดินทาง คุ้มค่ายิ่งขึ้น ไปกับทราเวลโลก้า
เพื่อขอบคุณลูกค้าคนสำคัญ เราขอมอบส่วนลดพิเศษมากมาย ให้คุณวางแผนการเดินทางปีพ.ศ. 2568 ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ด้วยการสนับสนุนจากพันธมิตรชั้นนำ พันกว่าเจ้า ทั้งสายการบิน ที่พัก แหล่งท่องเที่ยว และอื่น ๆ พร้อมโปรโมชันสุดคุ้ม ให้คุณเดินทางได้อย่างสะดวกและคุ้มค่าที่สุด
•รับส่วนลดสูงสุด 50% สำหรับเที่ยวบิน โรงแรม และประสบการณ์การเดินทาง ให้ทุกจุดหมายปลายทางในฝันของคุณเป็นจริงในราคาที่คุ้มค่ากว่าที่เคย
•ปลดล็อค Flash Sale รายวัน ทุกวัน วันละ 2 รอบ เวลา 09:00 – 11:00 น. และ 21:00 – 23:00 น.
•เสริมด้วย Flash Sale แบบจำกัดจำนวน ระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม 
•รับ Flash Sale พิเศษ เฉพาะวันที่ 3 มีนาคม เวลา 00:00 – 02:00 น. และ 13:00 – 15:00 น. และวันที่ 4 มีนาคม เวลา 13:00 – 15:00 น.
•พิเศษ! อย่าพลาดโปรโมชันสุดคุ้มในช่วง Birthday Peak ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม
•เที่ยวเกาหลีใต้สุดคุ้มด้วยส่วนลดสุดเอ็กซ์คลูซีฟตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม: ทราเวลโลก้าจับมือกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) มอบโค้ดให้นักท่องเที่ยวที่สนใจอยากเดินทางไปเกาหลีใต้ ดังนี้
oเที่ยวบิน: โค้ด LOVEKOREAFL – ส่วนลดสูงสุด 2,000 บาท
oที่พัก: โค้ด LOVEKOREAHT – ส่วนลด 400 บาท
oประสบการณ์: โค้ด LOVEKOREATA – ส่วนลด 100 บาท

ทราเวลโลก้าแนะจุดหมายปลายทางยอดฮิต ที่รอให้คุณออกเดินทาง
•ในประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครราชสีมา ภูเก็ต เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ หาดใหญ่ และสงขลา
•ต่างประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ จีน สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย

ทราเวลโลก้ามอบประสบการณ์การเดินทางที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ ด้วยบริการที่หลากหลายกว่า 20 รายการ ครอบคลุมทั้งการขนส่ง ที่พัก และแหล่งท่องเที่ยว ล่าสุด แอปพลิเคชัน Traveloka 5.0 ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี AI ทำให้ใช้งานง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยฟีเจอร์ทันสมัยและบริการที่ครบครัน รวมถึงแพ็คเกจล่องเรือและทัวร์ที่เพิ่งเปิดให้บริการ ช่วยให้การวางแผนการเดินทางตั้งแต่การขนส่งไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวเป็นไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ด้วยแถบค้นหาแรงบันดาลใจด้านการเดินทาง (Search Bar) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบสะสมคะแนน (Traveloka Points) ที่ได้รับการอัปเกรดให้ได้แต้มมากขึ้น ทำให้ Traveloka 5.0 มอบประสบการณ์การเดินทางที่ราบรื่นและตอบโจทย์นักเดินทางได้ดียิ่งกว่าเดิม

การปฏิวัติการท่องเที่ยวร่วมกับพันธมิตร
นอกเหนือจากภารกิจในการช่วยให้ลูกค้าหลายล้านคนออกไปเที่ยวในจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ แล้ว เรายังมุ่งมั่นสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น โดยทราเวลโลก้าร่วมมือกับสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก (Global Sustainable Tourism Council: GSTC) จัดการฝึกอบรมด้านความยั่งยืนให้กับโรงแรมกว่า 150 แห่ง ทั่วประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนก้าวขึ้นเป็นผู้สนับสนุนระดับแพลตตินัมรายแรกของ GSTC ในปีพ.ศ. 2567 ตอกย้ำบทบาทสำคัญของเราในการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และยกระดับมาตรฐานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ โครงการเสริมทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของทราเวลโลก้า (Traveloka Goodwill - Digital Literacy) ยังได้มอบความรู้และทักษะดิจิทัลที่จำเป็นให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อมและขนาดย่อย (MSME) เจ้าของธุรกิจ และนักศึกษาในอุตสาหกรรมการบริการและการท่องเที่ยว กว่า 96,000 ราย ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเสริมศักยภาพในการปรับตัวและเติบโตในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

ทราเวลโลก้ายังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหามลภาวะจากขยะพลาสติกในประเทศไทย โดยในปีพ.ศ. 2567 ทราเวลโลก้าได้สนับสนุนการเก็บขยะพลาสติกจากมหาสมุทรจำนวน 24,000 กิโลกรัม ผ่านความร่วมมือกับ Second Life กิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย ปริมาณขยะที่เก็บได้นี้มากกว่าปริมาณขยะพลาสติกที่บริษัทใช้ในสำนักงานต่อปีถึง 5 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจของเราในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากประสบการณ์ในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่ผ่านมา ทราเวลโลก้ายังคงมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์ระบบนิเวศธรรมชาติในระยะยาว และส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนให้เติบโตควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมการเดินทางในภูมิภาค

ทราเวลโลก้าสานต่อความร่วมมือกับพันธมิตร เสริมสร้างระบบนิเวศการเดินทางให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทราเวลโลก้าได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับสายการบินกว่า 300 แห่ง ผู้ให้บริการที่พัก กว่า 2.2 ล้านราย และพันธมิตรด้านกิจกรรมด้านการเดินทางกว่า 90,000 ราย ในมากกว่า 100 ประเทศ เรามุ่งมั่นนำเสนอโซลูชันการเดินทางที่ครอบคลุมและราบรื่นเพื่อให้ลูกค้าทั่วโลกได้รับประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกและตอบโจทย์ยิ่งขึ้น

เนื่องจากภูมิทัศน์การท่องเที่ยวยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทราเวลโลก้าจึงร่วมกับ YouGov เปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดในหัวข้อ “การท่องเที่ยวในมิติใหม่: ทำความเข้าใจและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” โดยได้เก็บข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 12,000 คน จาก 9 ประเทศ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มสำคัญที่จะส่งผลต่อวงการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผลการศึกษานี้จะช่วยให้พันธมิตรสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในประเทศไทย 70% ของนักเดินทางนิยมท่องเที่ยวภายในประเทศ เนื่องจากความสะดวกสบาย ขณะที่ 85% ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยธรรมชาติยังคงเป็นปัจจัยดึงดูดหลัก (72% ชื่นชอบภูเขา และ 65% นิยมชายหาด) นอกจากนี้ ค่าใช้จ่าย (41%) และเครื่องมือดิจิทัล เช่น โซเชียลมีเดีย (46%) และแพลตฟอร์มการเดินทาง (37%) มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางอย่างมีนัยสำคัญ แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนถึง ความจำเป็นในการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตอบโจทย์ตลาดท้องถิ่น ตัวเลือกการเดินทางที่ยั่งยืนและเข้าถึงได้ง่าย รวมถึงประสบการณ์ที่เน้นความคุ้มค่า การปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของนักเดินทางได้ดีขึ้น และคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ตำรวจภูธรภาค 2 เตรียมรับ 200 แก๊งคอลเซนเตอร์จากปอยเปต เตรียมพนักงานสอบสวนคัดกรองค้ามนุษย์

เมื่อวันที่ (23 ก.พ. 68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2)  เปิดเผยถึงกรณีทางการกัมพูชาควบคุมตัวแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่ตั้งฐานในปอยเปต ประเทศกัมพูชา ได้กว่า 200 คน และเตรียมส่งตัวให้ไทยเพื่อนำตัวเข้าสู่กระบวนการคัดกรองเหยื่อค้ามนุษย์ ทางชายแดนด้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว ว่า ภายหลัง พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ได้เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อประสานความร่วมมือในการดำเนินการร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศในการดำเนินการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ตั้งฐานในฝั่งปอยเปต และทางการกัมพูชาได้ดำเนินการควบคุมตัวขบวนการคอลเซนเตอร์มากกว่า 200 คนซึ่งในจำนวนนี้มีคนไทยมากกว่า 100 คน ในส่วนของตำรวจภูธรภาค 2 จะดำเนินการใน 2 ส่วน คือ การสอบสวนเพื่อคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ และการประสานข้อมูลการสืบสวนข้อมูลขบวนการคอลเซนเตอร์กับตำรวจกัมพูชา  ขณะนี้ทราบว่าทางการกัมพูชากำลังคัดกรองตามขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมายของกัมพูชาและจะส่งตัวมายังประเทศไทย 

ผบช.ภ.2 กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง ผบช.ภ.2 เตรียมแผนการปฏิบัติและกำกับดูแลการปฏิบัติ พร้อมกำชับ พล.ต.ต.ถาวร  ดุลยวิทย์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว จัดพนักงานสอบสวนรองรับการสอบสวนเพื่อการคัดกรองเหยื่อค้ามนุษย์ตามกระบวนการกลไกส่งต่อระดับชาติ : National Referral Mechanism (NRM) ซึ่งจะมีหน่วยงานอื่น ๆ บูรณาการกำลังในการคัดกรองด้วย โดยย้ำว่าการสอบสวนต้องเป็นไปอย่างครบถ้วน ถูกต้อง รอบด้าน ให้ความเป็นธรรม ในส่วนของการประสานงานข้อมูลด้านการสืบสวนขบวนการคอลเซนเตอร์ กำชับให้ประสานงานกับทางกัมพูชาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้กำหนดการในการส่งตัวขบวนการคอลเซนเตอร์เข้ามานั้นยังอยู่ระหว่างการประสานงาน

นราธิวาส-รองนายกฯ ควง ทักษิณ ทปษ.ประธานอาเซียน ลงพื้นที่ปลายด้ามขวาน ย้ำพัฒนา แก้ปัญหา ในมิติคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษา เพื่อความมั่นคงพื้นที่ในพื้นที่ และขอชาวไทยมุสลิม สู่รอมฎอนสร้างสันติ

(23 ก.พ. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี / ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พร้อมด้วย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน และพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายมิติ ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านศาสนา และด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส รวมถึงประชาชนมารอต้อนรับ ณ สนามบินนราธิวาส

การลงพื้นที่ครั้งนี้ คณะฯ ได้เปิดเวทีรับฟังข้อเสนอแนะจากภาคประชาชน ผู้นำศาสนา ข้าราชการ นักวิชาการ ภาคธุรกิจ และองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรค รวมถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยจะนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลผลและผลักดันแนวทางการแก้ไขในระดับพื้นที่และระดับอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความร่วมมือกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาพื้นที่      รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยที่ปรึกษาประธานอาเซียน ถึงสนามบินนราธิวาสแล้วเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในมิติด้านความมั่นคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ 

รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยที่ปรึกษาประธานอาเซียน ถึงสนามบินนราธิวาสแล้วเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในมิติด้านความมั่นคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ (เวลา 10.00 น.) พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พา ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี/ที่ปรึกษาประธานอาเซียน และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้ากราบนมัสการพระธรรมวัชรจริยาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา/ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 18 ณ วัดประชุมชลธารา (วัดสุไหงปาดี) ตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส โดยมีประชาชนในพื้นที่เดินทางมาต้อนรับ กว่า 2 พัน คน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระภิกษุสงฆ์และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทั้ง 13 อำเภอของจังหวัดนราธิวาส โดยก่อนการพบปะพูดคุยกับประชาชน คณะฯ ได้ร่วมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน อาทิ การแสดงรำหมอลำจากกลุ่มสตรีในพื้นที่ สะท้อนถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นและความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

ภายหลังการเยี่ยมเยียนและพบปะประชาชน ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ได้กล่าวถึงแนวทางในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และการร่วมมือกันแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นภัยต่อสังคม โดยระบุว่า "ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ผมเห็นว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ควบคู่ไปกับการจัดการปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ ซึ่งหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาคือ การเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้หันหน้าเข้าหากัน พูดคุย และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขอย่างสันติ การสื่อสารและความร่วมมือคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ"

จากนั้น คณะฯ มีกำหนดการเดินทางไปยังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เพื่อพบปะผู้บริหารสถานศึกษาและหารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่เพื่อวางแนวทางพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนพร้อมทั้งรับประทานอาหารเที่ยง

รองนายกรัฐมนตรีนำคณะเยี่ยมโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส หารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่

ต่อมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พร้อมด้วย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เพื่อพบปะผู้บริหารสถานศึกษาและหารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่เพื่อวางแนวทางพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนพร้อมทั้งรับประทานอาหารเที่ยง โดยมี ผู้บริหารโรงเรียน คณะครูอาจารย์ ตลอดจนนักเรียน และบัณฑิตอาสา ร่วมให้การต้อนรับ
โอกาสนี้คณะฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานนักเรียนและกิจกรรมแต่ละระดับชั้นที่ให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้พร้อมต่อยอดในการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น จากนั้นคณะได้เข้ารับฟังข้อเสนอแนะ ปัญหาอุปสรรคจากผู้แทนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ผู้นำศาสนา ข้าราชการ เพื่อเดินหน้าแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาในพื้นที่พร้อมกันนี้ผู้แทนสถานศึกษาได้ให้ข้อเสนอแนะในด้านการพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มค่าตอบแทนครู บุคลากรทางศึกษา ซึ่งครูถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาศักยภาพเด็กนักเรียน

ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวตอนหนึ่งว่า จังหวัดนราธิวาสมีหลายอย่าง ซึ่งควรที่จะได้รับการผลักดัน เลยลงมาดู เพื่อนำข้อมูลไปหารือกับ นายอันวา อิบรอฮิม นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย  และกลุ่มประเทศอาเซียน  เพื่อเตรียมที่จะนำของดีเหล่านี้กลับมาพัฒนาและส่งเสริมอีกรอบหนึ่ง “เด็กเปรียบเหมือนผ้าขาวขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมของผู้ใหญ่อยากให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาของพื้นที่ส่วนเรื่องการศึกษาคือหัวใจของการพัฒนาในปัจจุบัน  การสร้างแรงจูงใจให้เด็กคือสิ่งที่เราต้องทำผมอยากเห็นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีศักยภาพสูงในด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ และได้รับการพัฒนาในทุกด้าน”

สำหรับอยากโรงเรียนสัมพันธ์วิทยาเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควบคู่สามัญ มีนักเรียนทั้ง 3 ระดับ ระดับอนุบาล ระดับประถามศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งสิ้น 2,020 คน มีบุคลากรทั้งหมด 150 คน เป็นโรงเรียนที่มุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพเพื่อให้เยาวชนเป็นคนดี คนเก่ง กล้าคิด กล้าแสดงออกและเป็นการเรียนรู้ที่พร้อมปลูกฝังด้านคุณธรรมจริยธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของอิสลามและมีความเจริญก้าวหน้าทันต่อยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะโรงเรียนเชื่อมั่นว่าการศึกษาเท่านั้นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนให้มีอนาคตที่ดี เพื่อไปพัฒนาตนเองและประเทศชาติให้มีความเจริญยิ่งขึ้นต่อไป

ทักษิณลงปัตตานีหารือผู้นำศาสนาหาแนวทางใหม่ดับไฟใต้  นิรโทษกรรม VS คืนศักดิ์ศรี หรือแก้มาตรา 21 พ.ร.บ.ความมั่นคง

วันเดียวกัน 13.30 น. ที่ร.ร.สายบุรีอิสลามวิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี  ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาปธ.อาเซียน พร้อมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รมต.ว่าการกระทรวงกลาโหมและพัน ต.อ ทวี สอดส่อง รมต.ว่าการยุติธรรม พร้อมคณะ ในโอกาสเป็นตัวแทนรัฐบาลเดินหน้าหาแนวทางแก้ปัญหาและการพัฒนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งมีนางพาตีเมาะ สะดียามู ผวจ.ปัตตานี หัวหน้าส่วนราชการ นายนิเดร์ วาบา บริหารสถานศึกษา ผู้นำศาสนา  ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ภาคประชาสังคมและประชาชน นักเรียนให้การต้อนรับ กว่า1,000 คน  บรรยากาศเต็มไปด้วยความยิ้มแย้ม เด็กๆ นักเรียนทั้งหญิงและชายต่างขอถ่ายรูปเซลฟี่กันอย่างคับคั่ง

โดยการลงมาเยือนชายแดนใต้ครั้งนี้ มีวาระประเด็นสำคัญว่า มีแนวคิดอ้างอิงจาก "โมเดล 66/2523" ซึ่งเคยใช้แนวทาง "นิรโทษกรรม" ต่ออดีตผู้ก่อความไม่สงบในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จะกลับมาใช้อีกครั้ง หรือไม่ ซึ่งกำลังดำเนินการทำรายละเอียด ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ย้ำว่าแนวทางใหม่นี้จะไม่ใช่การนิรโทษกรรมโดยตรง แต่จะมีหลักเกณฑ์ชัดเจน และใช้แนวคิด "การเมืองนำการทหาร" ในการดำเนินการ

โดยล่าสุด นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้แต่งตั้ง นายทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาประธานเลขาธิการอาเซียน ซึ่งส่งผลต่อยุทธศาสตร์ทางการเมืองในพื้นที่ตอนเหนือของมาเลเซียที่ติดกับจังหวัดชายแดนใต้ของไทย คือปัญหาความไม่สงบ นายอันวาร์ อิบริฮิม หวังใช้โอกาสนี้ขยายฐานเสียงในพื้นที่พรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย (PAS) ซึ่งมีอิทธิพลในรัฐที่ติดกับชายแดนไทยด้วยเช่นกัน

ครั้งนี้ยังถูกจับตาว่า นายทักษิณ อดีตนายกฯ ต้องการรักษาฐานเสียงของพรรคประชาชาติ ซึ่งเป็นพันธมิตรของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ชายแดนใต้ด้วย ท่านได้พบปะหารือกัน มีการแลกเปลี่ยน พูดคุยก่อนรับฟังข้อเสนอ และได้กล่าวว่า

ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า วันนี้ยินดีมากที่ได้กลับมา พบกับท่านนิเดร วาบา เพื่อนเก่า ผมเคยมาที่นี้ 20 กว่าปีที่แล้ว และออกไปอยู่ในตะวันออกกลางและในหลายประเทศ เข้าใจพี่น้องมุสลิมเป็นอย่างดี ผมได้โอกาสได้ฟังความคิดเห็นิหารือจากเพื่อนๆต่างประเทศมานานแล้วต้องการให้ช่วยแก้ปัญหาพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจ แก้ปัญหาอื่นๆ ทั้งความรุนแรง ผมสมัยเคยเป็นนายกรัฐมนตรี เคยทำงานอาจจะใจร้อน มีข้อผิดพลาดบ้าง ก็ขอกราบขอโทษทุกๆท่านมา ณที่นี้

ตอนนี้เหตุการณ์สถานการณ์ดีขึ้นมากแล้ว เราคุยกันรู้เรื่องมากขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีทรัพยากร และมีศักยภาพพัฒนาไปข้างหน้าให้ดีกว่านี้ การพูดคุยสันติสุข สมัยนายกปู นายกยิ่งลักษณ์   ผมมีโอกาสได้ช่วยเหลือและริเริ่ม เข้าลงไปช่วยอยู่บ้าง ซึ่งได้คุยกับคนที่อยู่ต่างประเทศ ว่าทุกคนอยากกลับบ้านของตนเอง ตอนนี้ผมกลับบ้านได้แล้ว แต่อีกหลายๆคนยังไม่ได้กลับ ต้องถึงเวลสที่ผมมาช่วยให้ทุกคนได้กลับบ้านด้วยเช่นกัน และในโอกาสอีกไม่กี่วัน พี่น้องมุสลิมจะเข้าสู่เดือนรอมฎอนแล้ว ขอให้ทุกคนได้ทำบุญ ทำกุศล เข้าทำความดีสู่เดือนรอมฎอนด้วยสันติ พระเจ้าทรงรับผลงามความดีของทุกๆท่าน ผมขอสันติสุขแก่พี่น่องมุสลิม ณที่นี่ และทั่วประเทศด้วยขอบคุณครับ

ขอนแก่น-กรมชลประทานขุดพื้นที่แก้มลิง พบแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาอายุราว 500 ปี 

(24 ก.พ. 68) ที่บริเวณโนนหนองเทา บ้านสำโรง ต.บ้านขาม อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่นนายธนนพพงษ์ เฉลิมศรีกร ครูโรงเรียนบ้านสำโรง ได้พาผู้สื่อข่าวเข้าตรวจสอบเศษหม้อ เศษไห ดินเผา ที่ถูกรถแบคโฮ ขุดเปิดหน้าดิน เพื่อเตรียมพื้นที่สร้างแหล่งกักเก็บน้ำ (แก้มลิง) ของกรมชลประทานที่ 6 พบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดอนกว้างประมาณ 50 เมตร อยู่กลางแหล่งน้ำหนองบึงสำโรง ชาวบ้านเรียกว่า “โนนหนองเทา”  ตรงข้างเนินดินมีหลุมจากการขุดของรถแบคโฮ ลึกประมาณ 3 เมตร ช่วงความลึกราว 1.5 เมตร พบชั้นดินที่มีเศษเครื่องปั้นดินเผา เกาะตัวกัน พร้อมเถ้าดินเผา หนาประมาณ 30 เซนติเมตร เศษหม้อบางชิ้นสามารถดึงออกมาได้ โดยได้นำมามาทำความสะอาด พบว่ามีลวดลายเขียนด้วยสีธรรมชาติ สีแดง เป็นลายเส้น ลักษณะคล้ายกับลายเส้นของเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง จ.อุดรธานี 

นายธนนพพงษ์ เผยว่า เดิมทีที่ตรงนี้อยู่ในบริเวณโครงการขุดรอกบึงสำโรง เพื่อจัดทำแก้มลิง ซึ่งผู้รับเหมาได้มาขุดดินตรงเนินหนองเทา เพื่อนำดินแห้งไปปูเป็นเส้นทางให้รถบรรทุกวิ่งในช่วงที่ดินในหนองน้ำมีแต่น้ำ จากการขุดลงไปประมาณ 3 เมตร พบเศษ ซากหม้อไห โบราณ ตรงบริเวณนี้ ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่า ผู้แก่ ในหมู่บ้านว่า สมัยก่อนแถวบ้านสำโรงจะมีโนนที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ เรียกว่าโนนหนองเทา โนนพันชาด โนนหนองส้ง โนนหัวชิงไค ซึ่งบริเวณนี้มีการปั้นดินเผา ปั้นหม้อ เชื่อมโยงกับประศาสตร์ของปรางค์กู่ประภาชัย บ้านนาคำน้อย ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งช่วงนั้นชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสมัยคนแปดศอก (มนุษย์ที่มีความสูง 8 ศอก) ซึ่งเป็นจุดสังเกตว่าหาว่ามีปรางค์กู่ฯ ที่ไหน ก็จะมีแหล่งผลิตหม้อ ไห ไม่ห่างกันด้วย ตรวจสอบอย่างละเอียดจะพบเศษ ซาก หม้อ ไห กองทับถมกัน ซึ่งจะต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือกรมศิลปากร เข้ามาตรวจสอบอายุให้แน่ชัดอีกครั้ง ซึ่งในโอกาสต่อไปจะได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนด้วย

ขณะที่ นางเคน เตินเตือน อายุ 80 ปี ชาวบ้านสำโรง เล่าว่า สมัยก่อนปู่ย่าตายายพ่อแม่เล่าสืบต่อกันมาว่า บริเวณดังกล่าว มีไทยตีหม้อมาตีหม้ออยู่ตรงนั้น (ตีหม้อ คือ ปั้นหม้อ) สมัยเป็นเด็กจำได้ว่าตอนไปเลี้ยงควายได้นำเศษหม้อ เศษไห มาโยนเล่น แต่ไม่เคยได้เห็น หรือใช้หม้อไหที่มีลายแบบนี้เลย 
อย่างไรก็ตาม สำหรับบริเวณโนนหนองเทา ทางชาวบ้านได้มีการอนุรักษ์ไว้ไม่ให้มีการขัดดินตรงนั้นออกเพื่อทำแก้มลิง ซึ่งจะปรับปรุงให้เป็นเกากลางน้ำ พร้อมกับได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ และหาอายุของเศษหม้อไห เหล่านั้นต่อไป

นายกรัฐมนตรีไทยจับมือนายกกัมพูชาเดินหน้ากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

(24 ก.พ. 68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้รับมอบหมายจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้รับผิดชอบในการปราบปราม กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศพดส.ตร.) ตามสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปประชุมร่วมกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา เพื่อร่วมมือกันในการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเป็นไปตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา ซึ่งในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางตำรวจกัมพูชาได้มีการระดมกวาดล้าง ตรวจค้น จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนหลายจุด ซึ่งข้อมูลขณะนี้พบว่ามีจำนวนทั้งหมด 215 คน ในจำนวนนี้มีคนไทย จำนวน 125 คน และชาวต่างชาติจำนวน 90 คน โดยยังมีการดำเนินการปราบปรามจับกุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนจุดที่กวาดล้าง จำนวนของผู้ที่ถูกจับกุม และผู้ที่รับการช่วยเหลือ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลการปฏิบัติ และขณะนี้ พ.ต.อ.ปิยวัฒน์ เกียรติก้อง ผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่เพื่อทำหน้าที่ในการประสานงานระหว่างตำรวจไทยและตำรวจกัมพูชา

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การดำเนินการในครั้งนี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะนำไปสู่การกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความต้องการของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ได้มีการไปหลอกลวงไม่ใช่แต่คนไทยเพียงฝ่ายเดียว ยังมีการไปหลอกลวงคนทั่วโลก ซึ่งการค้นหาและการตรวจค้น จับกุม ยังมีปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องจนกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดไป

เชียงใหม่- คณะแพทยศาสตร์ มช. จัดเสวนา แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน 

(24 ก.พ. 68 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารเรียนรวม คณะแพทยศาสตร์ มช. รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นประธานเปิดการเสวนา แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 เพื่อให้ความรู้และเป็นแนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน 

รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า "ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็น ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและจังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มช. ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ และเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับ PM2.5 จึงได้จัดกิจกรรมเสวนา "แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน" เพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรและประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันฝุ่น PM2. ซึ่งปัญหา มลพิษทางอากาศที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง การป้องกันและลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 จำเป็นเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการให้ความรู้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการลดมลพิษเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนทุกคน"

ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ตระหนักถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้ผลกระทบต่อสุขภาพ และในครั้งนี้ได้จัดกิจกรรมเสวนาแนวทางป้องกันฝุ่นPM2.5 ในเชิงการจัดการทางกายภาพ และแนวทางการปฏิบัติเชิงพฤติกรรม ที่สามารถนำไปประยุกต์ และปฏิบัติได้ทั้งในสถานที่ทำงานและที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือ และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากฝุ่น PM2.5 

โดยมีหลักที่สำคัญ 2 ส่วนคือ
1. ด้านกายภาพ (กั้น กรอง ดัน) กั้น : ปิดประตูหน้าต่างที่สนิท ชื่อตามขอบหน้าต่าง หรือรูรั่วอื่น ๆ ให้ชิด และเปิดระบาย อากาศบ้าง ช่วงที่ฝุ่นภายนอกน้อย กรอง : ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท เปิดเครื่องพ่อกอากาศ และปิดพัดลมดูดอากาศ(ถ้ามี) ดัน : ติดตั้งเครื่องเติมอากาศสะอาด สร้างแรงดันอากาศภายในห้องให้มากว่าภายนอก เพื่อ
ดันฝุ่นไม่ให้เข้ามาในห้อง

2.พฤติกรรม (3ส 1 ล)
ส.สะสาง คัดแยกสิ่งของที่ไม่จำเป็นหรือไม่ใช้แล้วออกไปเพราะจะเป็นแหล่งสะสมฝุ่น ส.สะอาด ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ และเช็ดถูทำความสะอาดพื้นและตามซอกมุมต่าง ๆ เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่น รวมทั้งล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ เช่น
พัดลม เครื่องปรับอากาศ แผ่นกรองอากาศและมุ้งลวด
สร้าง สร้างสุขนิสัย ในการดูแลและทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะมีฝุ่นละอองสูง อาจจะต้องเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดมากขึ้น รวมถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยปลูกต้นไม้ที่มีลักษณะใบหนา หยาบ มีขน เพื่อช่วยดักฝุ่น ลดหรือเลี่ยง กิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละองเพิ่ม เช่น การจุดธูป-เทียน การเผาขยะ การจุดเตาถ่าน และการสูบบุหรี่

ผศ.นพ.ธวัชชัย มั่นอ่ำ รองคณบดีด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า"จากข้อมูลที่ผ่านมา พบว่าคนเชียงใหม่ต้องเผชิญกับฝุ่น PM2.5 เป็นระยะเวลานานเกือบครึ่งปี (ประมาณ กุมภาพันธ์ - พฤษภาคม) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ นอกจากนี้ สถิติยังบ่งชี้ว่าจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การป้องกันฝุ่นจึงไม่ควรจำกัดเพียงแค่การสวมใส่หน้ากากหรือหลีกเลี่ยงพื้นที่โล่งแจ้ง แต่ควรรวมถึงการจัดการฝันในสถานที่ทำงานด้วย ซึ่งการป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบต่อสุขภาพของบุคลากร การติดตามคุณภาพอากาศ ปรับปรุงระบบระบายอากาศสวมหน้ากากที่เหมาะสม และดูแลสุขภาพของพนักงาน เป็นมาตรการที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

กิจกรรมในครั้งนี้มีการบรรยายใน 6 หัวข้อหลัก ได้แก่ สถิติคุณภาพอากาศตัวเมืองเชียงใหม่ ป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงานอย่างไร การเลือกขนาดเครื่องฟอกอากาศ การเฝ้าระวังและติดตาม การปรับปรุงด้าน PM2.5 คณะแพทยศาสตร์ การติดตั้งแผ่นกรองฝุ่น เครื่องปรับอากาศ และพัดลม โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ คือ รศ.ดร.ยศธนา คุณาทร อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มช. , ผู้แทนพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มช. , ผศ.นพ.ธวัชชัย มั่นอ่ำ รองคณบดีด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม คณะแพทยศาสตร์ มช. , คุณวิชชากร จามีกร หัวหน้าศูนย์บริหารจัดการระบบสนับสนุนคณะแพทยศาสตร์ มช. และคุณณัฐพล ไชยแก้ว วิศวกร สังกัดงานอาคารสถานที่ บรรยายใน 6 หัวข้อในการเตรียมความพร้อมและเสริมความรู้แก่บุคลากร ให้ทราบถึงแนวทางในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ใช้ในหน่วยงานช่วงที่เกิดภาวะฝุ่น PM2.5 เพื่อลดดผลกระทบด้านสุขภาพของบุคลากรและผู้ที่มารับบริการของคณะแพทยศาสตร์ มช.

ผบ.ตร.สั่งคุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้า ย้ำกลุ่มเสี่ยงเด็ก เยาวชน ใกล้โรงเรียน สถานศึกษา ต้องไม่มีเด็ดขาด หากจับกุมได้ สั่งขยายผลทุกมิติ พร้อมลงดาบหากพบตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องผลประโยชน์ ปล่อยปละละเลยจนกลายแหล่งมอมเมาเยาวชน 

(24 ก.พ. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลสั่งการให้ทุกหน่วยคุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย หลังพบว่ามีข้อมูลในหลายพื้นที่มีร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเปิดขายผิดกฎหมายนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รับทราบข้อมูล ขานรับนโยบาย พร้อมปฏิบัติทันที ได้สั่งการให้ทุกหน่วยกำหนดมาตรการคุมเข้มปราบปรามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเฝ้าระวัง เด็กและเยาวชนตามโรงเรียน สถานศึกษา หรือที่มีแหล่งข่าวว่ามีสถานที่พัก ลักลอบเก็บอุปกรณ์ สิ่งของ และนำออกไปจำหน่ายให้เด็ก เยาวชน นักศึกษา หรือใกล้สถานประกอบกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ จะต้องไม่มีโดยเด็ดขาด รวมทั้งตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าตามแนวชายแดน สนามบิน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น ศุลกากร นอกจากนี้ ให้หน่วยประสานงานกับหน่วยงานเกี่ยวข้องในพื้นที่ ประสานข้อมูลบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อบูรณาการร่วมปฏิบัติในการเข้าตรวจสอบ ปราบปรามจับกุม 

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.เน้นย้ำให้ทุกหน่วยเข้มงวดในการตรวจสอบ กวดขันตามอำนาจหน้าที่ หากจับกุมได้ให้มีการสืบสวนขยายผลดำเนินการทุกมิติ และกำชับทุกหน่วยห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่มิชอบ หรือปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นแหล่งมอมเมาเด็กและเยาวชน หากพบจะมีการดำเนินการทั้งวินัย อาญา และปกครองอย่างเด็ดขาด

‘เอกนัฏ’ เล็งขุดรากถอนโคนขนขยะอันตรายเข้าประเทศ เตรียมชงเคส รง.ไฟไหม้ สมุทรสาคร ให้ DSI รับช่วงจัดการต่อ

(25 ก.พ. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วยตำรวจสอบสวนกลางและคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเพื่อติดตามความคืบหน้าในคดีเหตุโกดังเก็บพลาสติกรีไซเคิลของบริษัท เถิงต๋า พลาสติก แอนด์ เมทเทิล จำกัด มีนายฟูควน ลัว เป็นผู้เช่าอาคารโกดังต่อจากเจ้าของคนไทย ซึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 

จากการตรวจสอบพบว่า ผู้เช่าและผู้ให้เช่ามีการกระทำความผิดกฎหมายและฝ่าฝืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ในหลายกรณี อาทิ มีการก่อสร้างต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต มีการลักลอบประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต ลักลอบตั้งโรงงานในพื้นที่ขัดผังเมืองและมีการประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้ง ยังมีการลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จำพวกสายไฟเก่าโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อนำมาทำการคัดแยกโลหะมีค่าและบดบ่อยเป็นเม็ดพลาสติกก่อนที่จะทำการจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มอก. และความผิดอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ผิดกฎหมายทั้งหมด พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด และได้ทำการยึดอายัดของกลางประกอบด้วย เศษสายไฟฟ้าและเศษพลาสติกที่บดย่อยแล้ว ปริมาณกว่า 6,900 ตัน ไว้ ณ ที่เกิดเหตุ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป  

นายเอกนัฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจะผนึกกำลังร่วมกับจังหวัดสมุทรสาคร ผลักดัน ‘สมุทรสาครโมเดล’ ยกระดับมาตรการการตรวจกำกับโรงงานอย่างเข้มข้น ตั้งแต่ต้นทางกระบวนการอนุญาต โดยจะจัดให้มีคณะทำงานกลั่นกรองร่วมระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อร่วมกันให้ความเห็นประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตโรงงานกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น โรงงานหล่อหลอมโลหะ โรงงานคัดแยกหรือรีไซเคิลวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว เป็นต้น นอกจากนี้ จะมีการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.โรงงานฯ เพิ่มเติมให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของจังหวัดสมุทรสาครเพื่อร่วมกันเสริมกำลังให้กับชุดทำงานเฉพาะกิจเพื่อตรวจตราและเฝ้าระวังการประกอบการที่ผิดกฎหมาย ตลอดจนการเฝ้าดูแลและบริหารจัดการของกลางที่ได้ทำการยึดอายัดเอาไว้ ควบคู่ไปกับที่กระทรวงอุตสาหกรรมใช้เครื่องมือ ‘แจ้งอุต’ ให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาเผ้าระวังการประกอบการที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีทีมตรวจการสุดซอยลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างเข้มข้นและรวดเร็ว 

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า กระทรวงอุตสาหกรรม จะได้เตรียมหารือร่วมกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เพื่อส่งต่อคดีนี้ให้ไปอยู่ในความดูแลเพราะถือเป็นคดีสำคัญระดับประเทศ และเชื่อว่ามีผู้ร่วมขบวนการเป็นเครือข่ายใหญ่ ซึ่งจะต้องดำเนินการผู้ที่เกี่ยวข้องที่เข้ามายึดพื้นที่ในจังหวัดสมุทรสาคร ในการลักลอบนำเข้าวัตถุอันตรายและประกอบกิจการที่ไม่ได้รับอนุญาต ไร้มาตรฐานสินค้าไทย และยังนำออกจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานสู่ผู้บริโภค ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

หากประชาชนพบเห็นปัญหาหรือเหตุต้องสงสัยเกี่ยวกับการประกอบการอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกต้องหรือสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่าน ‘แจ้งอุต’ https://landing.traffy.in.th?key=wTmGfkav หรือไลน์ไอดี ‘traffyfondue’ เพื่อกระทรวงฯ จะเร่งส่งทีมสุดซอยลงพื้นที่จัดการกับปัญหาให้ประชาชนในทันที’ นายเอกนัฏกล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top