Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

'ไบเดน' อภัยโทษ 'ลูกชาย' คดีภาษี-ค้าอาวุธ อ้างฝ่ายตรงข้ามกลั่นแกล้งทางการเมือง

(2 ธ.ค. 67) ทำเนียบขาวแถลงว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามคำสั่งอภัยโทษให้แก่นายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชาย กรณีหลบเลี่ยงภาษีมูลค่าอย่างน้อย 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 48.17 ล้านบาท) ระหว่างปี 2559-2562 และให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการซื้ออาวุธปืนในปี 2561 ขณะที่ยังอยู่ในสถานะ "บุคคลต้องห้าม" เนื่องจากมีประวัติการใช้ยาเสพติด

ก่อนหน้านี้ อัยการสั่งฟ้องฮันเตอร์ในคดีให้ข้อมูลเท็จเรื่องครอบครองอาวุธปืนเมื่อต้นปี 2566 ส่วนคดีหลบเลี่ยงภาษี ฮันเตอร์ยอมรับสารภาพในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการตัดสินโทษ โดยโทษสูงสุดของทั้งสองคดีรวมกันอาจถึง 42 ปี

การตัดสินใจครั้งนี้ของไบเดน แม้เป็นไปตามอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แต่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากพรรครีพับลิกัน และอาจสร้างความไม่พอใจในพรรคเดโมแครต เนื่องจากก่อนหน้านี้ไบเดนเคยยืนยันว่าจะไม่อภัยโทษให้บุตรชาย

ไบเดน ซึ่งจะหมดวาระในเดือนมกราคม 2568 ระบุว่า การดำเนินคดีต่อฮันเตอร์เป็น "การกลั่นแกล้งทางการเมือง" และขอให้ชาวอเมริกันเข้าใจการตัดสินใจครั้งนี้ ทั้งในฐานะบิดาและประธานาธิบดี

ทั้งนี้ ไบเดนไม่ใช่ผู้นำสหรัฐคนแรกที่อภัยโทษสมาชิกครอบครัว อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน เคยอภัยโทษลูกพี่ลูกน้องจากคดีเกี่ยวกับโคเคน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อภัยโทษบิดาของลูกเขยในคดีภาษีเช่นกัน

“พาณิชย์” เผย ครม.สัญจร เคาะ! มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว-ข้าวโพด ปี 67/68 กว่า 9,900 ล้านบาท ช่วยพี่น้องเกษตรกรไทยยั่งยืน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย ภายหลังการประชุม ครม. สัญจรที่เชียงใหม่ ที่มี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้อนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มาตรการเพิ่มช่องทางการตลาด ปี 67/68 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาผลผลิตที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งมาตรการเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้มีเพียงพอต่อความต้องการ รวมงบประมาณทั้งสิ้น กว่า 9,924 ล้านบาท จำแนกเป็น ข้าวเปลือก 3 มาตรการ วงเงิน 9,604 ล้านบาท และข้าวโพด 5 มาตรการ 320 ล้านบาท ดังนี้

ข้าวเปลือก 3 มาตรการ เพื่อดูดซับข้าวเปลือกในช่วงที่ข้าวออกมาจำนวนมาก เป้าหมาย 8.50 ล้านตันประกอบด้วย 

(1) สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เป้าหมาย 3 ล้านตัน วงเงิน 8,362.76 ล้านบาท โดยช่วยค่าฝาก 1,500 บาท/ตัน ในกรณีเข้าร่วมกับสหกรณ์ สหกรณ์รับ 1,000 บาท/ตัน เกษตรกรรับ 500 บาท/ตัน เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง 1–5 เดือน เริ่มตั้งแต่ ครม. มีมติ - 28 ก.พ.2568 และเกษตรกรสามารถนำข้าวไปขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยข้าวหอมมะลิตันละ 12,500 บาท ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ตันละ 12,000 บาท (+500 บาท/ตัน) ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 11,000 ล้านบาท ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ตันละ 10,500 บาท (+500 บาท/ตัน) ข้าวหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเหนียว ตันละ 10,000 บาท หากข้าวราคาขึ้น เกษตรกรสามารถไปไถ่ถอนออกมา เพื่อนำมาจำหน่ายได้ 

(2) สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่เป้าหมาย 1 ล้านตัน (+0.5 ล้านตัน) วงเงิน 656.25 ล้านบาท โดยสหกรณ์จ่าย ดอกเบี้ย 1% รัฐช่วยดอกเบี้ย 3.5% ระยะเวลา 15 เดือน ระยะเวลาการจ่ายสินเชื่อตั้งแต่ ครม. มีมติ -30 ก.ย.2568 

และ (3) ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการเก็บสต๊อก เป้าหมาย 4 ล้านตัน วงเงิน 585 ล้านบาท โดยรัฐช่วยดอกเบี้ย 3% เก็บสต๊อก 2–6 เดือน ระยะเวลารับซื้อตั้งแต่ ครม. มีมติ - 31 มี.ค.2568

นายพิชัย กล่าวอีกว่า มติคณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 67/68 เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกร รวมถึงรักษาเสถียรภาพราคาในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก  ซึ่งจะส่งผลให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และมาตรการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนในการพัฒนาการผลิตของตนเองโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และลดต้นทุนการผลิตรวม 5 โครงการ ประกอบด้วย

(1) สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 0.1 ล้านตัน วงเงิน 35 ล้านบาท โดยสหกรณ์จ่าย ดอกเบี้ย 1% รัฐช่วยดอกเบี้ย 3.5% ระยะเวลา 12 เดือน ระยะเวลาการจ่ายสินเชื่อตั้งแต่ ครม. มีมติ -31 พ.ค.2568

(2) ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการเก็บสต๊อก เป้าหมาย 0.2 ล้านตัน วงเงิน 26.67 ล้านบาท โดยรัฐช่วยดอกเบี้ย 3% เก็บสต๊อก 2–4 เดือน ระยะเวลารับซื้อตั้งแต่ ครม. มีมติ - 31 ม.ค. 2568

(3) โครงการเพิ่มช่องทางการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 67/68 วงเงิน 51.50 ล้านบาท

(4) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 67 – 68 วงเงิน 138 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่เกษตรกรนำไปใช้เป็นเงินทุนในการเพิ่มผลิตภาพการผลิตและคุณภาพ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อาทิ ระบบน้ำหยด วงเงินรายละไม่เกิน 230,000 บาท เป้าหมาย 10,000 ราย รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ย 3% ต่อปี 

และ (5) โครงการส่งเสริมพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประเทศไทย (ปีที่ 1) วงเงิน 69.54 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก เพิ่มคุณภาพผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยจะดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูก 32 จังหวัด 

“รัฐบาลนำโดยท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการดูแลราคาสินค้าเกษตรทุกตัวให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์ก็จะเร่งดำเนินมาตรการต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา รวมทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพการเพาะปลูก เพิ่มคุณภาพผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน“ นายพิชัยกล่าว 

ธงฟ้าเชียงรายคึกคัก!  พาณิชย์นำสินค้าฉลาดเลือกราคาประหยัด กว่า 500 รายการ ลดสูงสุด 70% ช่วยลดรายจ่าย-มอบความสุขช่วงท้ายปี  

(1 ธ.ค.  67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานมหกรรมธงฟ้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ จังหวัดเชียงราย เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน ที่บริเวณลานหลังเทศบาลตำบลเมืองพาน อ.พาน จ.เชียงราย โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สส.เชียงราย ร่วมด้วย ภายในงาน มีการนำสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพมาจำหน่ายรวม 10 หมวด กว่า 500 รายการ ลดสูงสุด 70% สำหรับคนฉลาดเลือก อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ซอสปรุงรส น้ำยาซักผ้า ของใช้ประจำวัน เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ช่าง สินค้าซ่อมแซมบ้าน สินค้าทำความสะอาดบ้านเรือน สินค้าชุมชน เป็นต้น 

“เมื่อเดือนที่แล้วทางภาคเหนือมีน้ำท่วม รัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์พยายามเข้ามาช่วยเหลือในทันทีและเมื่อน้ำลด กระทรวงพาณิชย์ก็มาช่วยฟื้นฟูและขายสินค้าในราคาถูกให้กับพี่น้องชาวเชียงใหม่และเชียงราย จัดมหกรรมธงฟ้า อยากให้ประชาชนมีความสุขโดยเฉพาะในช่วงใกล้ปีใหม่ ซื้อของตกแต่งบ้าน สินค้าอุปโภค-บริโภค ในราคาถูก อยากให้ทุกคนมีขวัญกำลังใจที่ดี วันนี้ได้มาเห็นหน้าผู้คนเดินซื้อของยิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข แม่บ้านก็ชอบมาก ได้ความรู้สึกที่ดีกลับไป ซึ่งคาดว่าจะขายได้หลายล้านบาทแต่ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกของคนที่มาจับจ่ายใช้สอย และที่สำคัญรัฐบาลเราดูแลทุกภาค ทางภาคใต้ที่กำลังประสบอุทกภัย กระทรวงพาณิชย์ก็ตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมกระทรวงพาณิชย์ และได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดเข้าไปช่วยกำกับดูแลราคาสินค้า ของห้ามขาด ห้ามแพง ถ้าพบราคาแพงเกินสมควรขอให้แจ้ง 1569 สายด่วนของกรมการค้าภายในจะรีบเข้าไปแก้ไขในทันที“ นายพิชัย กล่าว

ภายในงาน มีการจำหน่ายสินค้าไฮไลต์ สินค้าประมง และสินค้าผลไม้ที่เชื่อมโยงจากกลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในราคาพิเศษทุกวัน อาทิ ไข่ไก่เบอร์ M แผงละ 95 บาท น้ำตาลทรายขาว กิโลกรัมละ 24 บาท น้ำมันพืชปาล์มขวดละ 46บาท ข้าวหอมมะลิ 100% (5 กก.) ถุงละ 150 บาท กุ้งเผา กล่องละ 199 บาท ส้มโอขาวใหญ่ ลูกละ 40 บาท สับปะรดภูแล กิโลกรัมละ 20 บาท และส้มเขียวหวานสีทอง กิโลกรัมละ 30 บาท และมีสินค้าโปรโมชั่น ปลานิลเผา ตัวละ 99 บาท มาให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย ช่วยเพิ่มรายได้ และระบายสินค้าให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการ มีการรวบรวมผลผลิตจากกลุ่มเกษตรกร เช่น ส้ม มาจำหน่ายในกิจกรรมของธงฟ้าฯ เพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรแบบเชิงรุก ป้องกันไม่ให้ผลไม้ราคาตกต่ำและสินค้าล้นตลาด

“เชียงราย”วันนี้ที่รอคอย”คนไทยไม่ไร้สิทธิ์! ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย แห่งสหประชาชาติปลื้ม 

(1 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ที่ว่าการอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ว่า พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางมาเป็นประธานในพิธีมอบบัตรประจำตัวให้แก่กลุ่มเด็กนักเรียนที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G และบุคคลที่ได้รับการเพิ่มชื่อเข้าในทะเบียนราษฎร หรือคนไทยตกหล่น ตามโครงการนำความยุติธรรมเข้าหาประชาชน แก้ไขปัญหาสถานะบุคคลและสัญชาติ โดยมีผู้แทนส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว และมี คณะผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย แห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประกอบด้วย 1.) คุณมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่  ผู้ประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (Ms. Michaela Friberg-Storey, UN Resident Coordinator, Thailand), 2.) คุณแทมมี ชาร์ป ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (Ms. Tammi Sharpe, Representative of UN High Commissioner for Refugees (UNHCR), Thailand), 3.) คุณคยองซอน  คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย (Ms.Kyungsun Kim, Representataive of United Nations Children’s Fund (UNICEF), Thailand), 4.) คุณเจอรัลดีน อองซาร์ค หัวหน้าสำนักงานองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน ประจำประเทศไทย (Ms. Géraldine Ansart, Chief of Mission for the International Organization for Migration (IOM) Thailand) เดินทางมาร่วมในพิธีด้วย โดยมี นายราชัน มีน้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำกล่าวต้อนรับ และส่วนราชการ องค์กรปกครองท้อนถิ่นในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ

การมอบบัตรประจำตัวดังกล่าวเกิดจาก กระทรวงยุติธรรม โดย กรมสอบสวนคดีพิเศษ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน สำนักงานยุติธรรมจังหวัดเชียงราย บูรณาการกับสำนักทะเบียนอำเภอแม่สรวย และ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย แห่งสหประชาชาติ (UNHCR) โดยกลุ่มบุคคลที่ได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้ประกอบด้วยกลุ่มเด็กนักเรียนที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G จำนวน 3,149 ราย ได้รับการกำหนดเลข 13 หลัก จำนวน 1,020 ราย เหลือจำนวนที่ต้องดำเนินการคัดกรอง จัดทำทะเบียนประวัติ จำนวน 1,665 ราย 

นอกจากนี้ ภายในกิจกรรมยังมีการเปิดรับลงทะเบียนบุคคลที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือในการตรวจสารพันธุกรรม (DNA) จากกระทรวงยุติธรรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเปิดรับลงทะเบียนกลุ่มบุคคลที่จะขอรับความช่วยเหลือในการพัฒนาสถานะทางทะเบียน ซึ่งทั้งสองกลุ่ม กระทรวงยุติธรรมจะบูรณาการร่วมกับสำนักทะเบียนอำเภอแม่สรวย และหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ โดยภายหลังกิจกรรมมอบบัตรประจำตัว จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สรวย เพื่อกำหนดแผนงานในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มบุคคลดังกล่าวเพิ่มเติม

พันตำรวจเอก ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติเป็นอย่างมาก โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ วันที่ 29 ตุลาคม 2567 อนุมัติ หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามา ในอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ซึ่งรวม แล้วมีจำนวนประมาณ 480,000 คน เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถใช้สิทธิที่ตนพึงมีตาม กฎหมายในด้านต่างๆ อันเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล และกฎหมายระหว่างประเทศ จากนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมได้ร่วมขับเคลื่อนการแก้ไข
ปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติมาอย่างต่อเนื่องผ่านนโยบาย “การนำความยุติธรรมเข้าหา ประชาชนอย่างทั่วถึงและถ้วนหน้า” โดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมจะร่วมบูรณาการกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และองค์กร ระหว่างประเทศ ในการสนับสนุนการปฏิบัติงานกับสำนักทะเบียนอำเภอ เพื่อแบ่งเบา ภาระหน้าที่ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้อย่าง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  

พันตำรวจเอก ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า จากที่ได้รับฟังรายงานของนายอำเภอแม่สรวย และผู้อำนวยการกองกิจการ อำนวยความยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเห็นได้ว่า มีการประสานงานและ บูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงยุติธรรม จังหวัดเชียงราย และอำเภอแม่สรวย อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการอำนวยความยุติธรรมด้านสิทธิมนุษยชน ในพื้นที่อำเภอแม่สรวยให้เกิดเป็นรูปธรรม ผมขอแสดงความยินดีกับน้องนักเรียนผู้ได้รับบัตรประจำตัวผู้ไม่มีสถานะ ทางทะเบียนทุกคนในวันนี้ นอกจากสิทธิทางการศึกษาแล้ว ยังมีสิทธิด้านอื่นที่น้องๆ พึงได้รับ เช่น สิทธิการรักษาพยาบาล ซึ่งจะได้มีการลงทะเบียนเข้ารับสิทธิการ รักษาพยาบาลของกองทุนประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ให้เกิดผล อย่างเป็นรูปธรรมในวันนี้ และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในความ ร่วมมือและสนับสนุนภารกิจกันระหว่างหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัด เชียงราย อำเภอแม่สรวย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทุกท่าน ในฐานะผู้มีอำนาจ หน้าที่ตามกฎหมาย ที่ได้ร่วมกันบูรณาการทำงานร่วมกับคณะทำงานของกระทรวง ยุติธรรม ในการผลักดันให้เกิดการพิจารณาสถานะทางทะเบียนตามกระบวนการของ กฎหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีความก้าวหน้าในการ ดำเนินการร่วมกันในระยะต่อไป  

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า คุณมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ ผู้ประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ได้กล่าวขอบคุณ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐบาลไทย ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติ และได้จัดงานในวันนี้ขึ้น ซึ่งถือเป็นห้วงเวลาประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญและมีความหมายกับเด็กทุกคน รวมถึงสะท้อนความยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานสากลของไทย และความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของรัฐบาลไทยในการยุติปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติ และขอแสดงความยินดี กับน้อง ๆ เยาวชน ที่ได้บัตรประจำตัวประชาชนทุกคนด้วย ทั้งนี้ ในพื้นที่อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย มีบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติและผู้มีปัญหาสถานะทางทะเบียน ฯลฯ ซึ่งกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการร่วมกันให้ความช่วยเหลือกลุ่มบุคคลดังกล่าวกับอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย อย่างต่อเนื่อง

พันตำรวจเอก ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังได้ร่วมพูดคุยและแสดงความยินดีกับผู้ปกครองของเยาวชนที่ได้รับบัตรในวันนี้ โดยตัวแทนผู้ปกครองได้มอบผ้าพื้นเมืองให้ไว้เป็นที่ระลึก เป็นการขอบคุณที่เดินทางมาตรวจเยี่ยม และลงพื้นที่พบปะประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่สรวยในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งมีตัวแทนเยาวชนนำกล่าวขอบคุณท่านรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน

พันตำรวจเอก ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีกำหนดการเดินทางทัวร์นกขมิ้นวันนี้เป็นวันที่สามต่อเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย ตามลำดับ หลังปฏิบัติภารกิจร่วมประชุม ครม.สัญจร กับคณะรัฐมนตรี ที่มี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่วานนี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ พร้อมคณะ เพิ่งกลับจากการเดินทางลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยและให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงบ่าย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีกำหนดการเดินทางไปที่ บ้านรวมมิตร รับฟังรายงานสรุปการดำเนินงานศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมของเรือนจำกลางเชียงราย และเรือนจำและทัณฑสถานเขต 5 กรมราชทัณฑ์
กระทรวงยุติธรรม และมีพิธีมอบบ้านน๊อคดาวน์ เฟส 2 ให้กับประชาชนด้วย ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในช่วงค่ำ

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

สนพท.นำคณะสื่อจีนดูงาน NBT พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

เมื่อวันที่ (29 พ.ย.) เวลา 9.00 น. ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศ ไทย (NBT)  นายศุภพงษ์ เชาว์แล่น ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สนพท.) พร้อมคณะกรรมการและที่ปรึกษาสมาคมฯ ที่นำคณะตัวแทนสื่อมวลชนจากสาธารณ รัฐประชาชนจีน ประกอบด้วย นายหลี่ เจียนหมิน ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวซินหัว เป็นหัวหน้าคณะสื่อ, นายซู่ ลี่จวิน ผอ.การประสานงาน สถานีวิทยุเฮย์หลงเจียง, นายจาง ผิงจ้าว บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์เปาอันเดลี่, นายหวาง หย่งโป รอง ผอ.ฝ่าย สนง. สมาคมนักข่าวสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายจ่าว เทา นักวิจัยฯ ศูนย์กิจกรรมนักข่าวต่างประเทศ สมาคมนักข่าวสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าศึกษาดูงานพร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงสถานการณ์สื่อในยุคปัจจุบัน และการปรับตัวในโซเซียลมีเดียของทั้ง 2 ประเทศ 

ซึ่งทั้งสองประเทศได้มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารกันอยู่แล้วโดย NBT ได้มีการร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ยูนนานและกว่างซีของจีน เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารเพื่อนำมาออกอากาศในประเทศไทย
จากนั้นคณะผู้บริหารได้พาคณะสื่อจากประเทศจีนเข้าเยี่ยมชมการผลิตรายการข่าว และเยี่ยมชมสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยมีนางสาวชนิสา ชมศิลป์ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย พร้อมคณะส่วนสื่อข่าวและผลิตรายการข่าวให้การต้อนรับพร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและพาชมสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

‘เอกนัฏ’ เล็งใช้ AI ตรวจจับสินค้าออนไลน์ไม่ได้มาตรฐาน ย้ำชัด! ความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสำคัญที่สุด

เมื่อวันที่ (27 พ.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีมาตรฐานก่อนจำหน่ายไปยังผู้บริโภค โดยพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน มักนิยมสั่งซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้น ซึ่งบางครั้งเกิดการร้องเรียนเรื่องสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ไม่คุ้มค่า คุ้มราคา โดยจากสถิติเรื่องร้องเรียนสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 -2567 เกิดการร้องเรียนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2566 ได้รับการร้องเรียนจำนวน 209 เรื่อง และในปี 2567 ได้รับการร้องเรียนแล้ว 216 เรื่อง ซึ่งสินค้าที่มีการร้องเรียนเข้ามา ได้แก่ ปลั๊กไฟ สายไฟ พาวแบงก์ หม้อสแตนเลส ภาชนะพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ทำให้หน่วยงานภาครัฐวางมาตรการในการควบคุมดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์ ป้องกันสินค้านำเข้าไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ 

โดย กระทรวงอุตสาหกรรม มีหน่วยงานในสังกัดที่ดูแลเรื่องร้องเรียนในด้านต่างๆ ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนโรงงาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ดูแลเรื่องการจดแจ้ง การขออนุญาตมาตรฐานต่างๆ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ดูแลผู้ประกอบการจึงต้องมีการกำกับ ดูแล เกี่ยวกับการจัดการข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้น และเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ 282/2567 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรมขึ้น โดยมีนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานคณะ ทำหน้าที่ ศึกษา และรวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการสนับสนุนการปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ จัดทำระบบ ฐานข้อมูล พร้อมเสนอแนวทางจัดทำแผนปฏิบัติการของหน่วยงานในกระทรวง ประสานงานกับหน่วยงานภายนอก เพื่อศึกษา พิจารณา กลั่นกรอง และนำเสนอแนวทางในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปอุตสาหกรรม 

“การแต่งตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อให้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญร่วมกันเสนอมุมมอง และวิธีการจัดการที่เหมาะสม ควบคุมดูแลร้านค้าบนแฟลตฟอร์มออนไลน์อย่างจริงจัง ขอย้ำว่ากระทรวงอุตสาหกรรม เอาจริง ปรับจริง และจับจริงกับผู้ค้าที่จำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ผ่านมาตรฐานตามข้อกฎหมายกำหนด เพราะความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภคเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก” นายเอกนัฏ กล่าว

ด้านนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า คณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม เป็นการดำเนินการตามแนวตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส” โดยให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยและสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

ซึ่งที่ประชุมได้นำเสนอ 2 เทคโนโลยี ได้แก่ 1) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ที่ใช้ใน Platform e-Commerce เพื่อแก้ปัญหาสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการแอบอ้างนำเครื่องหมาย มอก. มาแสดงบนผลิตภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาตบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และ 2) เทคโนโลยี Traffy Fondue มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แจ้งเรื่องร้องเรียนรายงานสินค้าปลอมหรือผิดกฎหมาย โดยที่ประชุมได้ยังลงความเห็นให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นอีก 2 คณะ คือ

1. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม โดยมีนายวีรพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เป็นประธานอนุกรรมการ มีหน้าที่ส่งเสริมการขับเคลื่อนการดำเนินงานการตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาประยุกต์ใช้ในการตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และบูรณาการความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่ร่วมดำเนินการ

และ 2. คณะอนุกรรมการพัฒนาแพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ โดยมี
นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่ ส่งเสริมการขับเคลื่อนการดำเนินงานการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แจ้งเรื่องร้องเรียน สนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยี Traffy Fondue มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แจ้งเรื่องร้องเรียนเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม ให้การรับเรื่องร้องเรียนจากภาคประชาชนเป็นเรื่องง่ายผ่านช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ 

 “การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 2 คณะดังกล่าว เรามุ่งดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายในการปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจไทยยุคใหม่ของกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ร่วมกันหารือการจัดทำระบบที่เป็นมาตรฐาน มีฐานข้อมูลของผู้ขายและสินค้าที่ขายมีการใช้เทคโนโลยี  AI ในการตรวจสอบตัวตน สามารถตัดระบบผู้ที่ทำผิดกฎได้ในทันที เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าบนแฟลตฟอร์มออนไลน์ มีความปลอดภัย ได้รับสินค้าที่มีมาตรฐาน ทั้งนี้คณะกรรมการฯ แต่ละชุดจะเร่งจัดหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป” นายพงศ์พล กล่าว

“นพ.เอก” ตั้งคำถามเดือด อ้างชื่อราชวิทยาลัยแพทย์ต้านบุหรี่ไฟฟ้าระดมส่งไลน์หวังกดดันสภาฯ ไม่เห็นชอบการควบคุมให้ถูกกฎหมาย

‘หมอเอก’ อดีต ส.ส. เชียงรายโพสต์ข้อความผ่านบัญชี Facebook ส่วนตัว แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยระบุราชวิทยาลัยต่างๆ ที่ออกมาแสดงจุดยืน “ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า” อย่างแข็งขัน พร้อมตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของมาตรการเดิมๆ ที่ใช้อยู่

“ไม่มีใครอยากเอาบุหรี่ไฟฟ้าหรอกครับ… แต่ทั้งๆ ที่แบน ทั้งรณรงค์ และปราบปราม บุหรี่ไฟฟ้าก็ยังเกลื่อนเมือง” นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ หรือ หมอเอก อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 1 จังหวัดเชียงราย และอดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุขกล่าว พร้อมชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีการใช้ทรัพยากรและงบประมาณจำนวนมากในความพยายามดังกล่าว แต่ผลลัพธ์กลับไม่สามารถลดการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าในสังคมได้

นอกจากนี้ นพ.เอก ยังสะท้อนว่าการรณรงค์ในปัจจุบันดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่การต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น แต่กลับละเลยการควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบโดยรวม ส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดในแผนควบคุมยาสูบแห่งชาติ

นพ.เอกยังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการอ้างมติของราชวิทยาลัยต่างๆ ว่าอาจไม่ได้มีการประชุมหารือหรือรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกอย่างครบถ้วน พร้อมเสนอว่า ควรใช้โอกาสนี้ในการออกข้อเสนอเชิงนโยบายที่ชัดเจนเพื่อควบคุมยาสูบอย่างเป็นรูปธรรม และเรียกร้องให้ใช้แนวคิดใหม่ ปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงาน โดยระบุว่า “หากทำแบบเดิมๆ มา 20-30 ปี แล้วทำไม่สำเร็จ ทำไมถึงไม่ใช้แนวคิดหรือวิธีการใหม่ๆ บ้างล่ะครับ จะทำแบบเดิมเพื่อหวังผลลัพธ์เปลี่ยนกันอย่างนั้นหรือ?”

ทั้งนี้ นพ.เอก เป็นคนหนึ่งที่ติดตามประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการควบคุมที่เหมาะสม ป้องกันสุขภาพผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าและป้องกันเยาวชนเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้โดยง่าย และเคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคอีวาลี่ ซึ่งกรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกายืนยันว่าเกิดจากการการผลิตบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐานโดยการลักลอบนำวิตามินอีไปผสมกับน้ำยานิโคตินเหลว

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวพบว่ามีการส่งข้อความผ่านไลน์กลุ่มบุคคลากรทางการแพทย์และไลน์กลุ่มอื่นๆ จำนวนมาก เพื่อรวบรวมรายชื่อไปยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคัดค้านการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมายโดยอ้างเหตุผลเรื่องเด็กและเยาวชน โดยในข้อความยังระบุว่า “แม้ดูแล้วสู้ไปก็แพ้นักการเมือง แต่เราจะสู้จนหยดสุดท้าย” ทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มผู้คัดค้านอาจทราบผลการพิจารณาของคณะกมธ วิสามัญ บุหรี่ไฟฟ้า ที่ได้พิจารณาข้อมูลทุกด้านทั้งมิติกฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ จนนำไปสู่ความพยายามในการกดดัน กมธ และสภาฯ ในโค้งสุดท้ายไม่ให้รับรองรายงานฉบับนี้ โดยก่อนหน้านี้คณะกรรมาธิการสาธารณสุขในสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนก็เคยมีความเห็นสมควรให้นำบุหรี่ไฟฟ้ามาควบคุมให้ถูกต้องตามกฎหมายเช่นเดียวกับ 80-90 ประเทศทั่วโลกเนื่องจากเห็นความล้มเหลวของการแบนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่ไม่สามารถควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าได้จริง

จากเหนือ.. สู่อีสาน.. มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ยกทัพจัดผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคลงพื้นที่บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร 22 จังหวัดภาคอีสาน 

ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 20 ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร มอบหมายให้คณะกรรมการ และผู้บริหารฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกสาธารณภัย และแผนกบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปฏิบัติการ ลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร  22 จังหวัดภาคอีสาน ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี เพชรบูรณ์ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด มุกดาหาร นครพนม  บึงกาฬ และ สกลนคร นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรีในบางพื้นที่ ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา คัดกรองเบาหวาน ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

โดยวานนี้ (วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2567) นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วยนางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่มอบผ้าห่ม พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา ฯลฯ บรรจุลงกระเป๋าผ้า  เพื่อบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ที่อำเภอนาด้วง อำเภอเอราวัณ อำเภอผาขาว จังหวัดเลย รวม จำนวน 2,000 ชุด พร้อมทั้งจัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน ให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา คัดกรองเบาหวาน ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ในพื้นที่อำเภอผาขาว โดยมีประชาชนทั้งในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก  โดยมี  นายชัยพจน์ จรูญพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย คณะมูลนิธิสว่างคีรีธรรม จังหวัดเลย เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

โครงการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยหนาว เป็นโครงการที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งดำเนินการต่อเนื่องมาไม่ต่ำกว่า 60 ปี โดยในปีนี้  ระหว่างเดือน พฤศจิกายน -  ธันวาคม 2567 มูลนิธิฯ กำหนดลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบ “ภัยหนาว” ในถิ่นทุรกันดาร ครอบคลุมพื้นที่ ภาคเหนือ  ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้  รวมการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวทั้งสิ้น  4 ภาค  43 จังหวัด ผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภครวม 51,500 ชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 34,637,500 บาท (สามสิบสี่ล้านหกแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน)  โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี 

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาการดำเนินงานอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป ติดต่อสอบถาม ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สละแรงกาย แรงใจ  สมทบทุน ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ศัพท์แห่งปี 2024 จากม.ออกซฟอร์ด หมายถึง 'คนเสพสื่อออนไลน์จนปัญญาเสื่อมถอย'

(2 ธ.ค. 67) มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้ประกาศคำศัพท์แห่งปีที่ได้รับการโหวตจากสาธารณชน โดยคำที่ได้รับการเลือกในปีนี้คือ "brain rot" หรือ "สมองเน่า เป็นคำสแลงที่พจนานุกรมออกซ์ฟอร์ดนิยามว่า "การเสื่อมสภาพของสภาวะทางจิตใจหรือทางสติปัญญาของบุคคล ซึ่งมักจะเกิดจากการบริโภคเนื้อหาที่ไม่มีคุณค่า ไม่ท้าทาย โดยเฉพาะจากเนื้อหาบนโลกออนไลน์" 

สมองเน่า หรือ สมองบื้อ เป็นหนึ่งในคำศัพท์ที่คนวัยรุ่นบนโลกออนไลน์อย่าง Gen Z และ Gen Alpha นิยมใช้กันอยู่บ่อยครั้ง

ข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์บัญญัติศัพท์ออกซ์ฟอร์ดระบุว่า พบการใช้คำนี้ครั้งแรกในปี 1854 จากหนังสือ Walden; or, Life in the Woods เขียนโดยเฮนรี เดวิด โธโร โดยพบว่าในช่วงปี 2023-2024 ความถี่ในการใช้คำนี้เพิ่มขึ้นถึง 230% ซึ่งมักใช้เพื่อแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการที่ผู้คนเสพสื่อเนื้อหาคุณภาพต่ำ โดยเฉพาะตามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

โดยในปี 2024 นี้ คำว่า “Brain rot” เป็นอีกหนึ่งคำศัพท์ที่ได้ถูกเสนอชื่อให้เป็นคำศัพท์ที่มีความหมายน่าสนใจและมีผู้คนใช้เยอะมากที่สุดคำหนึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการโหวตให้ชัยชนะเหนือคำว่า “lore,” “demure,” “romantasy” และ “slop” ที่เป็นคำศัพท์ที่ถูกเสนอเข้าชิงในปีนี้

คำว่า brain rot ได้รับการโหวตจากผู้คนมากที่สุดในบรรดา37,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นคำศัพท์ที่สะท้อนชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันได้ชัดเจนที่สุด โดยในปีที่แล้วพจนานุกรมออกซ์ฟอร์ดได้บัญญัติให้คำว่า "Rizz" ที่หมายถึงเสน่ห์ สไตล์ และความน่าหลงใหล ซึ่งนิยมใช้กันในหมู่ Gen Z และผู้ใช้ TikTok เป็นคำศัพท์แห่งปี 2023

‘ณัฐวุฒิ’ โต้ รัฐบาลนี้เป็นของคนภาคไหนไม่มีอยู่จริง ป้องนายกฯพูดสามีเป็นคนใต้ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาทตาย ไม่ต้องขยี้กลายเป็นวาระแห่งชาติ

เมื่อวันที่ (1 ธ.ค. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัวระบุว่า ตนไม่เชื่อเรื่องการเมืองแบ่งภูมิภาค พรรคไหนเป็นของคนภาคไหน รัฐบาลนี้เป็นของคนภาคนั้น ไม่มีอยู่จริง เป็นเรื่องที่ตนเห็นต่างมาตลอด เพราะรัฐบาลทำงานแบ่งตามภาคไม่ได้ สื่อมวลชนถามนายกฯว่ามีคนพูดว่าละเลยภาคใต้หรือไม่ เป็นเสรีภาพในการทำหน้าที่สื่อ ส่วนที่นายกฯตอบว่ามีสามีเป็นคนใต้ ย่อมไม่ละเลยคนใต้ ถ้าฟังด้วยใจนิ่งๆก็เข้าใจได้ว่า เป็นการพูดเพื่อเชื่อมโยงให้เห็นบางมุม ระหว่างตัวเองกับคนภาคนี้ เพื่อยืนยันว่าไม่ทิ้งกัน และรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ออกมาตรการเยียวยา ซึ่งตนแน่ใจว่าการโอนเงินเยียวยาน้ำท่วมเร็วที่สุด เจ้าของสถิติคือรัฐบาลชุดนี้ ถ้ายกเลิกการประชุมกะทันหัน คำถามจะไม่เกิดขึ้นอีกหรือว่าทิ้งคนภาคเหนือ

“ความเห็นผม นายกฯ พูดเรื่องครอบครัวสามีเป็นคนใต้ เป็นมุมเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่จะขยี้กันจนแทบกลายเป็นวาระแห่งชาติ ผมห่วงใยพี่น้องที่น้ำท่วม แต่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจัดการจนเราผ่านมันไปด้วยกันได้ ขณะเดียวกันผมห่วงใยบรรยากาศแบบนี้ด้วย แบบที่โจมตีกันทุกเรื่อง เล็กใหญ่ใส่หมดถ้าไม่ใช่ฝ่ายที่ตัวนิยม ไม่รู้เราจะผ่านจุดนี้ไปด้วยกันอย่างไร” นายณัฐวุฒิ ระบุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top