Tuesday, 20 May 2025
TheStatesTimes

‘ปิยบุตร’ ติง ‘ก้าวไกล’ ถูกอนุรักษ์นิยมวางเกม ปล่อยพ่นเรื่อง ‘เพ้อฝัน-เอามัน’ ถ้าถึงเวลาตัวเองมาเป็นรัฐบาล ก็ทำไม่ได้ กลับกันสิ่งที่พวกเขาทำ ‘เป็นไปได้’

(12 ธ.ค. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า…

พลังฝ่ายอนุรักษ์และชนชั้นปกครองที่สนธิกำลังกันทำ ‘Passive Revolution’ (ปฏิวัติจากเบื้องบน ปฏิวัติที่ไม่ปฏิวัติ ปฏิวัติเพื่อหยุดการเปลี่ยนแปลง หยุดไม่ให้ชนชั้นผู้ถูกปกครองขึ้นครองอำนาจได้) ได้ใช้การทำสงครามทางความคิด หรือ ‘War of Position’ เพื่อแย่งชิงความคิดและฐานมวลชน

เช่น

การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่พรรคก้าวไกลเสนอ เป็นไปไม่ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้

สิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอ เป็นเรื่องเพ้อฝัน เสนอเอามัน เสนอเอาแต้ม และไม่รับผิดชอบกับสังคม ถึงเวลาตัวเองมาเป็นรัฐบาล ก็ทำไม่ได้

แต่การเปลี่ยนแปลงก็ต้องเกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลตัวแทนพลังอนุรักษ์และชนชั้นปกครอง จะทำให้ดู โดยไม่ต้องทำแบบก้าวไกล

ไม่ต้องเปลี่ยนใหญ่ ไม่ต้องรื้อ

เปลี่ยนได้ ถ้ารู้จักประนอมอำนาจ ถ้าใช้กลไกแบบที่เป็นอยู่ให้เป็น เราก็สามารถทำประโยชน์ให้ประชาชนได้แล้ว ดีกว่าฝันไปวันๆ แต่ไม่มีโอกาสใช้อำนาจเปลี่ยนแปลง

ยกเลิกเกณฑ์ทหารรึ ไม่ต้องแก้กฎหมายหรอก ใช้การบริหารจัดการจำนวน ก็เลิกโดยปริยายได้

ยกเลิก กอ.รมน. หรือ ไม่ต้อง แต่เปลี่ยนบทบาทแทน

ทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือ ทำสิ แต่ทำทั้งฉบับ สุดท้ายจะไม่ได้ทำ

เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ คนหาเช้ากินค่ำ ได้เติบโต ขยายเค้ก พื้นที่ให้กว้างกว่าเดิม แต่ยังไงก็ไม่มีทางท้าทายทุนผูกขาดขนาดใหญ่ได้ ฯลฯ

พรรคก้าวไกล นักการเมืองของพรรคก้าวไกล จะสู้กับสงครามทางความคิดรอบใหม่นี้ได้อย่างไร ในห้วงเวลาที่เขามีอำนาจรัฐและงบประมาณ และจะทำให้ดูให้ได้ด้วย

ผมเห็นว่า ถ้า สส.พรรคก้าวไกล (บางคน หลายๆ คน) ยังคงใช้วิธีแบบเดิม เช่น

ตามจับว่ารัฐบาลไม่ทำตามที่หาเสียงไว้

ทำไมรัฐบาลไม่ทำตามที่พรรคก้าวไกลเสนอ

พร้อมเติมสีสันด้วยการแซะผ่านคำคม ภาพล้อเลียน ตามโลกโซเชียล

ทำแค่นี้ ไม่เพียงพอต่อการเอาชนะสงครามทางความคิดรอบนี้ได้

พวกเขากำลังสร้างชุดอธิบายว่า “แบบก้าวไกลเป็นไปไม่ได้ แบบเขาเป็นไปได้”

แบบก้าวไกล ‘เสี่ยง’ ไปเจออะไรไม่รู้ แบบเขาอาจมาทีละนิด มาช้า แต่ชัวร์ และได้อะไรบ้าง

ถ้า สส.บางคนหรือหลายคน ยังคงสู้ด้วยการอธิบายแค่ว่า ‘ตระบัดสัตย์’ ไม่ทำตามที่หาเสียง ทำเท่านี้ ก็ได้แค่ทำลายความชอบธรรม แต่มันไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ไม่ได้สร้างความหวังให้ผู้คนว่า สังคมใหม่ที่ก้าวไกลกำลังสร้าง คืออะไร? หน้าตาแบบไหน?

นอกจากนี้ ยังไม่ได้ชี้นำความคิดมวลชนด้วย

พรรคและ สส. มีหน้าที่ ทำให้คนมหาศาลเชื่อได้ว่า สิ่งที่ กก. เสนอ เป็นไปได้ในวันพรุ่ง ทำให้คนมีความหวัง วาดภาพให้เห็นเป็นรูปธรรม

ถ้า 4 ปีนี้ ยังทำไม่ได้ หรือไม่มากพอ แล้วจะหาคะแนนเสียงเพิ่มอีก 6-7 ล้านจากไหน?

‘จีน’ ออกมาตรการเร่งพัฒนา ‘การค้าในประเทศ-ระหว่างประเทศ’ เพิ่มคุณภาพการค้า-รักษาเสถียรภาพการเงิน-เสริมระบบเศรษฐกิจ

(12 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า คณะรัฐมนตรีจีนออกชุดมาตรการเร่งรัดการพัฒนาเชิงบูรณาการของการค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างการพัฒนารูปแบบใหม่และการส่งเสริมการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง รวมถึงมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ การขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และการรักษาเสถียรภาพของผู้ประกอบการ

มาตรการเหล่านี้จะยกระดับการปรับปรุงกฎเกณฑ์และระบบการค้า ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งครอบคลุมการกำกับตรวจสอบ การควบรวมมาตรฐานต่างๆ และการอำนวยความสะดวกแก่การหมุนเวียนทรัพยากรการค้า ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศอย่างราบรื่น

นอกจากนั้น มาตรการเหล่านี้จะส่งเสริมการประสานงาน ของช่องทางการตลาดภายในประเทศและระหว่างประเทศ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการพัฒนาเชิงบูรณาการ ของการค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ และเร่งรัดการพัฒนาเชิงบูรณาการในหลายด้านสำคัญ

ทั้งนี้ จีนจะเสริมสร้างการสนับสนุนทางการคลังและการเงิน สำหรับการพัฒนาเชิงบูรณาการของการค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศเพิ่มเติม

ผบ.ตร.ส่งตำรวจร่วมฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่ช่วยเหลือคุณยายชาวอุตรดิตถ์

ผบ.ตร.ส่งตำรวจร่วมฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่ช่วยเหลือคุณยายชาวอุตรดิตถ์ ที่คุณตาปลิดชีพตนเองใช้หนี้  สั่งดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดและจริงจัง เบื้องต้นเรียกเจ้าหนี้ คนทวงหนี้มาสอบสวนแล้ว เตรียมขยายผลดำเนินคดีเจ้าหนี้ทุกรายที่พบการทำผิด  กำชับตำรวจเพิ่มความเข้ม ลงพื้นที่ตรวจสอบ ดูแลความปลอดภัยของประชาชนทุกมิติ ที่เข้าร่วมโครงการหนี้นอกระบบของรัฐบาล 

วันนี้ (12 ธ.ค.66) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เปิดเผยถึงโศกนาฎกรรมหดหู่คุณตาปลิดชีพตนเอง ให้ยายเอาเงินฌาปนกิจไปใช้หนี้นอกระบบว่า “ ตามที่ปรากฎข่าวทางสื่อโซเชียล ว่ามีการติดตามทวงหนี้นอกระบบ จนปรากฎข่าวสลดใจข้างตน ในเขตพื้นที่ สภ.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ นั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการมายัง ผบ.ตร.ให้ตำรวจร่วมดำเนินการกับฝ่ายปกครอง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เร่งตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดำเนินการตามกฎหมาย และลงไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ตามนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม

ผบ.ตร.สั่งการไปยัง พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6. ให้ พล.ต.ต.สุทธิพงศ์ เป๊กทอง ผบก.ภ.จว.อุตรดิตถ์ ร่วมประชุมหารือกับ  นายนพฤทธิ์  ศิริโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมี พ.ต.อ.พีระเพชร  อุบลจิตต์ รอง ผบก ภ.จว.อุตรดิตถ์ , ว่าที่ พ.ต.อ.ณัทรภณ ทรงไทย ผกก.สภ.วังกะพี้,  นายประเดิม เดชายนต์บัญชา นายอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการดำเนินการคดีดังกล่าวโดยจะมีการบูรณาการร่วมกันลงพื้นที่บ้านคุณยาย เพื่อทำการช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้น ส่วนทางคดีให้ตำรวจเร่งรวบรวมหลักฐาน เบื้องต้นติดตามเจ้าหนี้ 1 ราย คนทวงหนี้ได้ 1 ราย มาสอบสวนแล้ว  เตรียมดำเนินคดีและขยายผลไปยังเจ้าหนี้หรือคนทวงหนี้รายอื่นๆ หากพบการกระทำผิด จะมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดทุกราย  และจะได้ร่วมกับฝ่ายปกครองนำลูกหนี้ เจ้าหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้ต่อไป

ทั้งนี้ ผบ.ตร.ยืนยันว่า เป็นเรื่องสลดใจที่เกิดขึ้นในสังคมเกี่ยวกับปัญหาหนี้นอกระบบ ได้ย้ำไปแล้วว่า คดีนี้จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดจริงจัง และต้องขยายผลไปยังนายทุน เจ้าหนี้ทุกราย ที่กระทำความผิด ที่สำคัญต้องร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องลงช่วยเหลือเยียวยาคุณยาย ดูแลสภาพจิตใจ ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวคุณยาย และนำเข้าสู่ขบวนการไกล่เกลี่ยตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังได้กำชับไปยังทุกพื้นที่ ให้ตำรวจจับมือฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่ เพิ่มความเข้ม ตรวจสอบทุกมิติ สอบถามลูกหนี้ เจ้าหนี้ที่ลงทะเบียน ว่ามีเหตุความรุนแรง ถูกข่มขู่หรือไม่ หรือมีเหตุที่ผิดปกติวิสัยหรือไม่อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก และให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

ร้อยเอ็ด - ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เปิดงาน เทศกาลข้าวหอมมะลิโลก จังหวัดร้อยเอ็ด ครั้งที่ 23 อย่างยิ่งใหญ่

ค่ำวานนี้(11 ธันวาคม 2566) เวลา 18.30 น. ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานเทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 23 โดยมี นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย ผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด หัวหน้าส่วนราชการ องค์กรภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนชาวร้อยเอ็ด เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ที่ โดมเวทีกลาง บึงพลาญชัย อำเภอเมืองร้อยเอ็ด 

โดยในช่วงเช้าของวันนี้ได้มีพิธีบวงสรวงแม่โพสพและสู่ขวัญข้าว เพื่อแสดงถึงการเคารพบูชาพระแม่โพสพ และเสริมสร้างสิริมงคล การประกวดธิดาข้าวหอมมะลิโลก ส่วนช่วงบ่ายได้จัดเจรจาการค้าข้าวและจับคู่ธุรกิจ ระหว่างผู้ผลิต ผู้ประกอบการ รวมถึงมีการจัดนิทรรศการและผู้เชี่ยวชาญให้ความรูด้านการพัฒนาข้าวหอมมะลิให้เป็นสินค้ามูลค่าสูง ฟอีกทั้งยังมีการแสดงสินค้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ของกลุ่มองค์กรเกษตรกร การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน และมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีพี่น้องเกษตรให้ความสนใจอย่างมากมาย 

ทั้งนี้ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ข้าวหอมมะลิ ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนร้อยเอ็ดและคนไทยทั้งชาติ ซึ่งข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ถือเป็นสายพันธุ์ข้าวที่มี ลักษณะความนุ่ม และมีกลิ่นหอม อันเป็นเอกลักษณ์ จนทั่วโลกยอมรับว่าเป็นข้าวที่มีคุณภาพดี ที่สุดในโลก จนได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงการตลาดข้าวหอมมะลิไทยไปสู่ตลาดทั้งภายใน และต่างประเทศต่อไป

ศาลฯ พิพากษา ‘อติรุจ’ จำคุก 3 ปี 2 เดือน กรณีตะโกน “ไปไหนก็เป็นภาระ” ใส่ขบวนเสด็จฯ

(12 ธ.ค. 66) ทวิตเตอร์ (X) ‘TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ศาลอาญากรุงเทพใต้จำคุก 3 ปี 2 เดือน ‘อติรุจ’ คดี #ม112 และ ขัดขวางเจ้าพนักงาน กรณี ตะโกน "ไปไหนก็เป็นภาระ" ใส่ขบวนเสด็จ ร.10 และ ราชินีฯ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 15 ต.ค. 2565

ศาลพิพากษาว่า การตะโกน "ไปไหนก็เป็นภาระ" เป็นคำที่มิสมควร เป็นการใส่ความว่า การเสด็จเป็นการสร้างปัญหาภาระ ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน

เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา 

ขณะนี้กำลังยื่นประกันตัว เพื่อสู้ต่อชั้นอุทธรณ์”

โดยก่อนหน้านี้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า..

สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดําเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปทรงเปิดอาคารศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หลังจากเสร็จสิ้นพิธี ได้เสด็จกลับเวลาประมาณ 18.00 น. ในขณะที่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งของทั้งสองพระองค์เสด็จกลับออกไป มีประชาชนต่างพร้อมใจนั่งเฝ้ารับเสด็จตรงบริเวณเส้นทางเข้าและเส้นทางออกอาคารศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และต่างพากันเปล่งเสียงว่า “ทรงพระเจริญ” แต่นายอติรุจซึ่งยืนอยู่บริเวณที่รถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนขบวนผ่านได้ตะโกนเสียงดังหันหน้าไปทางขบวนเสด็จว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ”

ซึ่งจากคำฟ้องของอัยการ ได้ระบุว่า เป็นถ้อยคํากล่าวที่มิบังควร จาบจ้วง มุ่งหมายใส่ความให้ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จและบุคคลทั่วไปเห็นว่าการเสด็จพระราชดําเนินนั้น เป็นการสร้างปัญหา สร้างภาระให้ประชาชน ก่อให้เกิดความเกลียดชังและเป็นภัยคุกคามต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ทําให้ทั้งสองพระองค์ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี อันเป็นการฝ่าฝืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

นอกจากนี้หลังจากที่นายอติรุจ ได้ตะโกนประโยคดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยในบริเวณนั้นประมาณ 5 นาย ได้เข้าจับกุมจำเลยทันที เพื่อให้จําเลยหยุดการกระทําดังกล่าว แต่จําเลยได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยใช้เท้าถีบเจ้าพนักงานตํารวจอย่างแรง ทำให้ได้รับบาดเจ็บเกิดบาดแผลถลอก และได้รับบาดเจ็บฟกช้ำบริเวณกลางหลังช่วงเอว อัยการจึงได้สั่งฟ้องใน 2 ข้อกล่าวหาแก่อติรุจ ได้แก่ ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหา ‘ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ’ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138

ส่อง 10 อันดับสูงสุด!! ยอดจองรถ Motor Expo 2023 (29 พ.ย.-11 ธ.ค.)

(12 ธ.ค. 66) นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน ‘มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40’ หรืองาน MOTOR EXPO 2023 เปิดเผยภายหลังงานได้ปิดฉากลงไปอย่างเป็นทางการ หลังจากจัดงานมาตลอดระยะเวลา 13 วัน (29 พ.ย.-11 ธ.ค.) พบว่า มียอดจองรถยนต์ในงานจำนวน รถยนต์ 53,248 คัน จักรยานยนต์ 7,373 คัน

โดยข้อมูลจาก ผู้ร่วมกิจกรรม ‘ซื้อรถ…ชิงรถ’ พบว่า มีผู้ร่วมกิจกรรมสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว 22.4% โดยเป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป 61.6% และเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 38.4%

ขณะที่รถยนต์ที่ผู้ซื้อเข้าร่วมกิจกรรมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ HONDA, TOYOTA, CHANGAN ส่วนรถรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่มียอดจองสูงสุด ได้แก่ CHANGAN, BYD, AION

ประเภทรถที่ได้รับความสนใจสูงสุด รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) 57.3 % รถเก๋ง 18.3 % รถท้ายลาด10.4 % รถกระบะ 9.5 % และอื่น ๆ 4.5 %

ด้านรถจักรยานยนต์ที่ผู้ซื้อเข้าร่วมกิจกรรม ‘ซื้อมอเตอร์ไซค์…ชิงบิกไบค์’ สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ YAMAHA, LAMBRETTA, และ EM

สำหรับราคาเฉลี่ยของรถที่ขายได้ในงาน 1,323,962 บาท รถจักรยานยนต์เฉลี่ย 198,488 บาท และมีเม็ดเงินหมุนเวียนในงานประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท ผู้เข้าชมงาน 1,503,030 คน ขณะที่ JOIN BOAT PLATFORM ที่เป็นศูนย์รวมธุรกิจเรือ กิจกรรมทางน้ำ และ AVIATION ZONE ที่จัดแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยี สถาบันฝึกอบรมด้านการบิน ธุรกิจเครื่องบินเช่าเหมาลำ ได้รับความสนใจสามารถ สร้างยอดเงินสะพัด 2 โซน รวมมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า สำหรับยอดจองรถยนต์ จักรยานยนต์สูงสุดจากการแจ้งยอดจองภายในงาน MOTOR EXPO 2023 10 อันดับแรก มีดังนี้

1.Toyota จำนวน 7,245 คัน
2.Honda จำนวน 6,149 คัน
3.BYD จำนวน 6,119 คัน
4.GAC Aion จำนวน 4,568 คัน
5.MG จำนวน 3,568 คัน
6.CHANGAN จำนวน 3,549 คัน
7.GWM จำนวน 3,524 คัน
8.ISUZU จำนวน 2,460 คัน
9.NISSAN จำนวน 2,459 คัน
10.MAZDA จำนวน 1,961 คัน

ส่วนรถจักรยานยนต์ ขายดีได้แก่

1.YAMAHA จำนวน 1,204 คัน
2.LAMBRETTA จำนวน 909 คัน
3.FELO จำนวน 613 คัน
4.ROYAL ENFIELD จำนวน 610 คัน
5.EM จำนวน 519 คัน

'ยูทูบเบอร์หนุ่ม' ยอมใจ!! ไม่มีเงิน ไม่มีการรักษา ประสบการณ์สุดเลวร้ายหลังประสบอุบัติเหตุแรงในลาว

(12 ธ.ค.66) จากช่องยูทูบ ‘Wepergee’ ซึ่งเป็นช่องเกี่ยวกับสายท่องเที่ยว ที่เน้นการผจญภัยในประเทศต่างๆ เพื่อสำรวจเนื้อแท้ด้านวัฒนธรรม การใช้ชีวิต ในมิติที่ทุกคนอาจจะไม่เคยรับรู้ หรือสัมผัสมาก่อน ได้โพสต์คลิปวิดีโอตอนใหม่ ชื่อ ‘เกิดอุบัติเหตุในลาวเสียเงินเท่าไหร่? ที่นี่เงินสำคัญกว่าชีวิต’ โดยเจ้าของช่อง ‘คุณแบงค์’ ได้มาเล่าประสบการณ์หลังเกิดอุบัติเหตุในประเทศลาว ที่หลวงพระบาง ที่ดูเหมือนจะไม่ร้ายแรงนัก แต่กลับสาหัสเอาการเลยทีเดียว เพื่อเป็นอุทาหรณ์และเป็นประโยชน์สำหรับใครที่อยากจะเดินทางไปเที่ยวลาวหรือประเทศอื่น ๆ ในเรื่องของ ‘อุบัติเหตุ’ โดยระบุว่า… 

จริง ๆ แล้วผมคิดว่ามันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร ไม่ได้มีความคิดจะรอดหรือไม่รอด และผมรู้ตัวว่าตัวเองไหว ณ ตอนนั้น แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับร่างกายมีมันเยอะมาก ๆ เริ่มจากเลือดออกใต้เยื่อบุสมอง เพราะว่ารถชนประสานงากับรถมอเตอร์ไซค์ และจริง ๆ จะผ่าตัดสมองด้วย แต่คุณหมอเขาอัดยาเยอะมากในระหว่าง 2 อาทิตย์ที่อยู่โรงพยาบาล แล้วทีนี้คุณหมอเขาพยายามเทสร่างกาย เทสสมอง จึงบอกว่าตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว ดังนั้น จึงไม่ต้องผ่าตัดสมองแล้ว 

ซึ่งในส่วนที่เกิดขึ้นเยอะที่สุดจะเกี่ยวกับใบหน้าทั้งหมดเลย อย่างเช่น กะโหลกหน้าร้าว กรามร้าว จมูกหัก และวันนี้ผมก็เพิ่งจะไปถอดสิ่งที่คุณหมอเขาจัดกระดูกใหม่ให้ แต่ไม่ได้เสริม ถัดมามีเรื่องฟัน ซึ่งมันไม่ได้หักแต่ว่ามันบิ่น แล้วก็ฟันห่างออกหมดเลย และยังมีสิทธิ์ที่รากฟันจะตายได้ อีกทั้งในระหว่างนี้จะไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้เป็นเวลา 1 เดือน และอีกอย่างนึงคือเกี่ยวกับจมูกหลังจากที่มันหัก ผมไม่ได้กลิ่นเลย หลังจากเกิดอุบัติเหตุจนตอนนี้มาก็ประมาณ 2 อาทิตย์แล้ว แต่ปากยังรับรสชาติได้อยู่ จึงได้สอบถามคุณหมอว่ามีโอกาสที่จะกลับมาได้กลิ่นเหมือนเดิมไหม ซึ่งคุณหมอตอบว่ายาก…ดังนั้น ผมอาจจะไม่ได้กลิ่นไปตลอดชีวิต…อันนี้ก็เป็นเรื่องที่จะบอกว่ารับไม่ได้มันก็ใช่ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้

ถัดมา ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น คือ รถมอเตอร์ไซค์มา 2 ฝั่ง แล้วถนนเป็นแอ่งและเป็นทางโค้ง ซึ่งตอนนั้นผมกำลังไปน้ำตก ขณะช่วงที่ขึ้นเนินนั้น เวลาจะลงก็มีรถคุณลุงท่านนึงขี่มอเตอร์ไซค์มา ซึ่งผมก็เห็นแล้ว แต่ก็เอ๊ะ…ทําไมเขาขับมาแบบไม่เบาเลย ซึ่งเขาก็เห็นว่ารถผมก็มาเหมือนกัน แล้วอีกอย่างที่ลาวเขาใช้เลนส์คนละฝั่งกับที่เมืองไทย ซึ่งตอนนั้นผมก็เริ่มเห็นแล้วว่าคุณลุงขับมาแบบไม่มีหยุด ไม่มีเบาเลย จึงหาแหล่งที่เราจะสามารถหลบได้ แต่ทีนี้ดันหลบไม่พ้น จึงทำให้แฉลบลงข้างทาง แต่คุณลุงท่านนั้น เขาไม่แฉลบไม่ทําอะไรเลย ทีนี้พอผมลงข้างทางไม่พ้น เพราะรถมันประสานงากันก่อน ผมก็โดนจัง ๆ เลยในส่วนของหน้าและกระโหลก เพราะมันปะทะเข้ากับกระจังหน้าของรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าของคุณลุงหรือโดนรถมอเตอร์ไซค์ตนเอง แต่จากภาพที่เห็นมันมีจุดนึงที่ชัดเจนเลยว่าอันนี้คือเลือดของผม ซึ่งคิดว่าตรงนั้นทำให้หัวอาจจะกระแทกด้วย ยอมรับเลยว่าโมโห เพราะลืมตาแทบมองไม่เห็น จึงมีความรู้สึกกลัวตาบอด เพราะตอนนั้นตามันปิดไปหมดเลย แม้จะพยายามลืมแต่มันก็เห็นได้นิดนึง 

แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ยินแล้วมันมันคาใจมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ คือคุณลุงที่ขับรถเขาตะโกนว่าผมว่า… “จับมันเลย มันเมาแล้วขับ” ทีนี้รถชาวบ้านผ่านมาจึงช่วยกันเรียกรถพยาบาลให้ และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ช็อกเหมือนกัน คือเขามาถามหาเงินกับผมก่อนเลย ถาม ‘น้องมีเงินไหม มีเงินเท่าไหร่ ถ้าไม่มีเงินพาไปโรงพยาบาลไม่ได้นะ’ ผมก็เลยรีบบอกไปว่ามีเงินอยู่ ซึ่งหากรวมทั้งเงินไทยเงินกีบ จะประมาณ 8,000 บาท และช่วงที่เขามาไม่ได้ถามเลยว่ามีประกันไหมหรือจะทํายังไงเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้ แต่เขากลับถามหาเงินผมก่อนเลย ซึ่งหลังจากที่เขาเห็นว่ามีเงิน เขาก็หยิบกระเป๋าคาดเอวผมไปค้นคนจนได้เงิน แล้วเขาถึงจะแบบมาช่วยทําแผล ช่วยรักษาพยาบาลเบื้องต้นให้ 

ไม่เพียงเท่านั้น…ถัดมาอีกสิ่งหนึ่งที่ช็อก มันทําให้ผมสลบไปเลย…คือตรงหน้าผากผมมันแตก ตอนนั้นเขาก็หยิบเข็มมาผมจําได้เลยเห็นเข็มเล่มใหญ่มาก ซึ่งเขาบอกว่าหัวคุณต้องเย็บตรงนี้ เพราะเลือดมันออกเยอะ ผมจึงบอกพี่ช่วยซับเลือดไปก่อนได้ไหม เข็มขนาดนี้ไม่ไหว ผมตายแน่นอน… แค่ตรงนี้ก็เจ็บไม่รู้จะยังไงแล้ว ตาก็ลืมไม่ขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ฟัง เขาก็เอาเข็มจิ้มเข้าไปตรงแผล และหลังจากนั้นผมสลบไปเลย ตื่นมาอีกทีคือโรงพยาบาล

หลังจากที่ตื่นมาจากโรงพยาบาล ยอมรับเลยผมไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่เกิดอุบัติเหตุแล้วสลบคาไปเลย โดยตอนนั้นยังรู้ตัว ยังพอมีสติอยู่ แต่พอเข็มมันทิ่มเข้าไปแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมมันสลบ แต่ก็ยังดีที่เขามาช่วย ไม่อย่างงั้นคงสลบอยู่ตรงนั้น และอีกอย่างนึงตรงที่เกิดเหตุมันเป็นทางกลับจากน้ำตก มันก็จะมีแต่ป่า แต่สิ่งที่รับไม่ได้จริง ๆ คือคุณลุงเขามาปรักปรำ หาว่าผมเมาเหล้าแล้วขับรถ 

สุดท้ายคุณลุงเขาก็เรียกเงินผมอีกด้วย เป็นจำนวน 20,000 บาท แต่ก็จบกันที่ 18,000 บาทแทน ซึ่งเขาก็เอาไป แต่เชื่อไหมว่าคุณลุงเขาไม่เป็นอะไรเลย… ทั้งที่ผมเองก็ใส่หมวกกันน็อคด้วย ยังเป็นถึงขนาดนี้ หลังจากที่จ่ายคุณลุง ค่าทำขวัญเสร็จ ก็ต้องมาจ่ายค่ารถเช่ามอเตอร์ไซค์อีกประมาณ 12,000 หรือ 15,000 บาท ซึ่งตรงนี้ในส่วนค่าทําขวัญกับค่ามอเตอร์ไซค์หมดไปประมาณ 35,000 บาทหรือ 32,000 บาทนี่แหละ ซึ่งจําตัวเลขที่แม่นยําไม่ได้

***นอกจากนี้ ยังมีเรื่องพีคอีก…หลังจากที่มาโรงพยาบาล คุณหมอก็พยายามทํา CT Scan ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่กว่าจะได้ทําในแต่ละอย่าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ประเทศนี้เขาเป็นแบบนี้รึเปล่า ก่อนที่จะทำอะไร จะพยายามขอเงินทุกอย่าง และต้องเป็นเงินสดด้วย ผมนอนจนปวดหลัง จากการที่เย็บแผล หน้าก็ปวดไปหมด ปวดจนกินแค่ยาพาราก็เอาไม่ไหวแล้ว ดังนั้น ผมเลยขอยาแก้ปวดแบบฉีดได้ไหมแทน แต่พยาบาลกลับถามว่ามีเงินไหม? ถ้ามีเงินก็จะไปเอายามาฉีดให้ ถ้าไม่มีเงินก็ทำไม่ได้ เช่นเดิม…ผมเลยตอบไปว่ามีเงิน แต่คือตอนนี้ลุกไปไม่ได้ แล้วที่โรงพยาบาลก็ไม่สามารถรูดบัตรได้ด้วย จะให้คนไปกดก็กดไม่ได้ เพราะตู้ ATM เป็นไรไม่รู้ ซึ่งผมก็พยายามขอร้องให้ช่วยรักษาก่อน เพราะเรื่องเงินผมไม่มีปัญหาเลย ออกจากโรงพยาบาลเคลียร์ให้ได้แน่นอน จะเอาพาสปอร์ตหรืออะไรไว้ก็ได้ แต่เขาก็ยังยืนยันว่าไม่ได้ ต้องมีเงินและต้องเป็นเงินสดเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นก็พยายามอธิบายต่อไปว่าอยากให้ดูสภาพตนก่อน ยังไงก็จ่ายแน่นอน แต่อยากให้รักษาก่อน เพราะว่าไม่อยากอยู่ที่นี่นาน เดี๋ยวก็ต้องกลับประเทศแล้ว

จากนั้นเขาไปคุยปรึกษากับแผนก แล้วก็เอาใบสัญญามาให้เซ็นต์ว่าการรักษาต้องจ่ายอะไรงี้นะ ซึ่งตอนนั้นเซ็นต์ไม่ไหว ลุกนั่งยังไม่ได้เลย ตอนนั้นผมนอนลากอยู่กับเตียง ตาก็ปิดอยู่ สุดท้ายเขาก็เลยเอาที่แสตมป์มือ เพื่อที่จะเอามาเป็นสัญญาในการรักษา

ดังนั้น ถ้าเกิดว่าใครไปเที่ยวลาว ต้องฟังประสบการณ์ในการเกิดอุบัติเหตุของผมไว้นะครับ…และหลังจากที่ผมได้รบกวนคนที่โรงพยาบาล เพื่อถามว่าแถวนี้มีใครรับโอนเงินไทยไหม เพราะจะได้โอนเงินไทยเพื่อขอแลกเป็นเงินกีบมาจ่ายค่ารักษาตรงนี้ ไม่งั้นเขาก็ไม่ยอม ทางโรงพยาบาลจึงช่วยหา สุดท้ายก็หาจนเจอและก็ได้รักษา

หลังจากรักษาเบื้องต้นเสร็จ คุณหมอก็บอกว่ามีเลือดออกใต้เยื่อบุสมอง กระโหลกร้าว เขาขอไม่รักษา เพราะไม่อยากเสี่ยง เลยให้กลับประเทศให้ได้ไวที่สุด เพราะที่นี่ไม่มีอุปกรณ์ที่เพียงพอจะรักษาเคสแบบนี้ พอได้ยินดังนั้นจึงหาวิธี เพราะผมก็อยากกลับไทยให้ได้ไวที่สุด จนสุดท้ายก็ได้ประสานงานกับทีมงานผมที่ฝั่งไทย และได้ติดต่อรถพยาบาลจากทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย โดยนั่งรถตู้พยาบาลจากหลวงพระบางมากลับมาที่กรุงเทพฯ เกือบ 24 ชั่วโมง ส่วนค่ารถตู้ที่จ่ายไปทั้งหมดประมาณ 52,000 บาท ตัวเลขอาจจะผิดพลาดไปในหลักพัน จึงขอตีเป็นกลม ๆ ประมาณนี้

ถัดมายังมีเรื่องพีคอีก ประกันการเดินทางที่ผมซื้อมารายปี มันไม่รับรองอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ ทีนี้ก็เป็นเป็นเรื่องที่ช็อกที่ต้องจ่ายคนเดียว…ส่วนในเรื่องของค่าการรักษา ก็มีบางส่วนที่ประกันเขาช่วยประสานงานให้ ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไป…

ดังนั้น หากใครจะไปเที่ยวที่ไหน อยากจะให้ดูประกันการเดินทางให้ดี ต้องอ่านกรมธรรม์เกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุ ต้องให้รับรองทุกอย่างเลย ดังนั้น อยากให้ทุกคนคอยระวัง ถึงแม้เมื่อเราคิดว่ายังไงอุบัติเหตุมันไม่เกิด แต่ประกันการเดินทางก็เป็นสิ่งที่สําคัญมากเลยจริง ๆ ขนาดผมมีสุดท้ายก็ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเป็นแสนเลย…

อันนี้ก็เป็นประสบการณ์ในการเที่ยวลาว จึงอยากให้ทุกคนระวังตัวไปไหนมาไหนใช้สติให้ได้มากที่สุด… ซึ่งจากประสบการณ์นี้ผมก็ไม่อยากจะโทษใคร ถือเป็นจุดซวย ๆ ของชีวิตอย่างน้อยก็ไม่ถึงตาย แต่ก็รอดมาได้…

'นายกฯ' เผย 'พิพัฒน์' ดึงกลับขึ้น 'ค่าแรงขั้นต่ำ' หวังให้เหมาะกับสถานการณ์มากขึ้น ยัน!! ทันปีใหม่

(12 ธ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ว่า เรื่องของแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ได้นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.โดยนายพิพัฒน์ได้สรุปเอง บอกว่าจะต้องนำกลับไปตั้งข้อสังเกตและพิจารณาสูตรการคิดค่าแรงใหม่ ท่านนำมาเสนอและดึงกลับไปเอง จึงแจ้งเพื่อทราบ

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นายกฯ กล่าวว่าเป็นการตั้งข้อสังเกตไปแล้ว ซึ่งก็ต้องแล้วแต่และต้องให้เกียรติคณะกรรมการไตรภาคี พูดได้แค่นี้ เมื่อถามว่าจะทันช่วงปีใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนคิดว่าอาทิตย์หน้าอาจจะนำเข้าที่ประชุมครม.หรือไม่เกิน 2 อาทิตย์อาจจะเป็นวันที่ 25 ธ.ค.หรืออะไรสักอย่างตรงนั้น น่าจะเอาเข้ามาทันได้

เมื่อถามว่า ตัวเลขที่นายกฯ ตั้งใจไว้อยู่ที่เท่าไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ไม่ใช่ตัวเลขปัจจุบันนะ แต่ก็ต้องฟังเขาก่อน มันมีข้อกฎหมายอะไรหลายๆ อย่าง ที่ทักท้วงเข้ามา แต่สิ่งที่ตนต้องการไม่ใช่ตัวเลขจำนวนนี้

เมื่อถามว่า จะได้ตัวเลข 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศหรือไม่ นายเศรษฐา ไม่ตอบคำถามพร้อมกับกล่าวว่า “คำถามต่อไปครับ”

ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.วันนี้ มีมติรับทราบมติคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 หรือบอร์ดไตรภาคี ที่เห็นชอบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 เพิ่มขึ้นวันละ 2-16 บาท หรือเฉลี่ย 2.37% แต่เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้น กระทรวงแรงงานจึงขอเสนอกลับไปพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง คาดว่าจะนำกลับเข้ามาในครม.ก่อนสิ้นปี 2566 นี้

“วันนี้กระทรวงแรงงาน เสนอมติของคณะกรรมการค่าจ้างเข้ามาครม.ตามกำหนด แต่ในการประชุมก็ได้มีการตั้งข้อสังเกตและขอนำกลับไปพิจารณาเพิ่มเติม เพราะส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการนำหลักการคำนวณค่าแรงขั้นต่ำ โดยใช้ฐานปี 2563-2564 มาเป็นสูตรคำนวณ โดยจะเสนอไปยังคณะกรรมการค่าจ้าง พิจารณาเพิ่มเติมใหม่อีกครั้ง” นายพิพัฒน์ กล่าว

เมื่อถามว่าในการพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรอบนี้เมื่อนำกลับไปพิจารณาใหม่ จะทำให้เกิดความล่าช้าหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวยอมรับว่า การดำเนินการจะทำให้เร็วที่สุดและจะได้ข้อสรุปให้เดือนธันวาคม 2566 เพื่อให้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567

‘บพข.’ ผนึก ‘รัฐ-เอกชน-ชุมชน’ แก้ปัญหาขยะพลาสติก เปลี่ยน ‘ขยะซองขนม’ ไร้ราคา เป็น ‘อะลูมิเนียม’ ที่มีค่า

(11 ธ.ค.66) รายงานข่าวจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มเความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า บพข.ได้ร่วมมือ UNDP ประเทศไทย, CIRAC, บริษัท โกลบอล อาร์แอนด์ดี จำกัด, ทีมวิจัยเคมีเทคนิคจุฬาฯ และชุมชนวัดจากแดง ในโครงการแก้ปัญหาขยะพลาสติกผสมชั้นอะลูมิเนียมอย่างยั่งยืน ด้วยเครื่องจักรไพโรไลซิสแบบต่อเนื่องออกแบบโดยคนไทย เพื่อรีไซเคิลอะลูมิเนียมและพลาสติกใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ 

โดยได้เปิดตัวเครื่องจักรไพโรไลซิสแบบต่อเนื่องสำหรับรีไซเคิลอะลูมิเนียมจากขยะพลาสติกผสมชั้นอะลูมิเนียม หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘ถุงวิบวับ’ เพื่อแยกชั้นอะลูมิเนียมออกจากพลาสติก (Laminated Plastic) และนำอะลูมิเนียมที่แยกได้มาหลอมเป็นอะลูมิเนียมก้อนที่มีความบริสุทธิ์สูงมากกว่า 97% นำกลับไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีความต้องการใช้อะลูมิเนียมได้ ขณะที่ขยะพลาสติกที่เหลืออยู่จะเปลี่ยนเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง และขายต่อได้ 

ดร.พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์ ประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน บพข. กล่าวว่า เครื่องจักรดังกล่าวใช้หลักการของไพโรไลซิสในการแยก Laminated Plastic โดยเฉพาะอะลูมิเนียมออกกัน คาดว่าจะสามารถรับขยะประเภทกล่องนม และถุงขนมขับเคี้ยวได้ 100 กิโลกรัมต่อวัน และได้อะลูมิเนียมจากการรีไซเคิลประมาณ 20 กิโลกรัมต่อวัน ทั้งยังมีผลพลอยได้เป็นน้ำมันจากการหลอมละลายพลาสติก ซึ่งสามารถขายต่อได้ รวมถึงได้ Fuel Gas ที่สามารถนำมาใช้หมุนเครื่องจักรแทนก๊าซ LPG ได้อีก จึงตอบโจทย์ บพข. ทั้งด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าโดยการเอาอะลูมิเนียมกลับมาใช้ใหม่ ด้านการลดของเสีย และการลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก เนื่องจาก Fuel Gas นำมาใช้แทน LPG ได้ เป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง

“ต้องขอบคุณ UNDP และ CIRAC ที่เริ่มต้นดำเนินโครงการกันมาตั้งแต่ระดับ Lab Scale ขอบคุณทีมวิจัยจากภาควิชาเคมีเทคนิค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท โกลบอล อาร์แอนด์ดี จำกัด ที่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์ไพโรไลซิสแบบต่อเนื่องจากระดับ Lab Scale สู่ระดับ Pilot Scale ทำให้ได้เครื่องจักรที่จัดการกับขยะกลุ่ม Laminated Plastic ได้อย่างมีประสิทธภาพ ที่ขาดไม่ได้เลยคือความร่วมมือจากทางวัดจากแดงที่อนุเคราะห์สถานที่สำหรับดำเนินโครงการ และชาวบ้านในชุมชนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”

ด้าน ดร.ศิขริน เตมียกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง CIRAC กล่าวเสริมว่า ปัญหา คือโอกาส เนื่องจากขยะพลาสติกมีอะลูมิเนียมซึ่งเป็นโลหะที่มีมูลค่าสูงผสมอยู่ หากแยกออกมาได้ จะเปลี่ยนขยะที่ไม่มีมูลค่าให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง และเติบโตได้ในเชิงธุรกิจ ซึ่งบริษัทผู้ผลิตสินค้าที่จำเป็นต้องใช้บรรจุภัณฑ์กลุ่ม Aluminum Plastic ต่างให้ความสนใจแก้ไขปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์ชนิดดังกล่าว ซึ่ง CIRAC เป็นหนึ่งใน Solution Provider ให้บริษัทต่าง ๆ คาดว่าหากโครงการนี้ได้รับการขยายผลในเชิงพาณิชย์สำเร็จจะมีกำไรสุทธิ (Potential Profit) จากการจำหน่ายอะลูมิเนียมรีไซเคิลได้ถึง 140-340 เหรียญสหรัฐต่อตัน นับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาขยะบรรจุภัณฑ์พลาสติกผสมชั้นอะลูมเนียมที่ยังไม่มีใครสามารถจัดการอย่างยั่งยืนในระดับชุมชน และระดับประเทศ ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจากกระบวนการผลิตอลูมิเนียม และลดการนำเข้าของอะลูมิเนียมจากต่างประเทศอีกด้วย

จากการสำรวจของทีมวิจัย พบว่าขยะพลาสติกในประเทศไทยมีที่มีอะลูมิเนียมผสมอยู่คิดเป็นปริมาณ 50 ตันต่อวัน เพียงพอต่อการสร้างรถยนต์ได้ถึง 150 คัน ถ้าหากรีไซเคิลอะลูมิเนียมกลับมาใช้ในอุตสาหกรรมได้ จะเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมได้มหาศาลจากการไม่ต้องนำเข้าอะลูมิเนียมจากต่างประเทศ และสามารถที่จะใช้อะลูมิเนียมที่รีไซเคิลมาจากขยะได้เอง

ตลาดอะลูมิเนียมในไทย (Total Market) มีมูลค่าสูงถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่ผลิตอะลูมิเนียมเองได้ ต้องนำเข้า 100% หากคิดเฉพาะอะลูมิเนียมที่แทรกซึมอยู่ตามถุงขนม ซองกาแฟ กล่องนม กล่องน้ำผลไม้ต่างๆ ที่ไม่สามารถรีไซเคิลนำกลับมาใช้ได้ มีมูลค่าถึง 35 ล้านเหรียญสหรัฐ

รายงานข่าวระบุว่า ประเทศไทยได้รับการจัดให้เป็นประเทศที่มีการปล่อยขยะพลาสติกลงสู่สิ่งแวดล้อมมากเป็นอันดับ 6 ของโลก และปัจจุบันการรีไซเคิลขยะพลาสติก เช่น ขวดน้ำพลาสติก (PET) หรือถุงแกง กลับมาใช้งานใหม่หรือเปลี่ยนสภาพเพื่อใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นทำได้ไม่ยากนักด้วยกระบวนการทางเคมี 

แต่โครงการนี้มุ่งเน้นการจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกในกลุ่มที่เรียกว่า ‘Aluminum Plastic Packaging’ หรือก็คือ บรรจุภัณฑ์ที่มีชั้นอะลูมิเนียมเป็นเลเยอร์อยู่ด้านในตรงกลางระหว่างชั้นพลาสติก เรียกอีกอย่างว่า Laminated Plastic ที่ยากต่อการรีไซเคิล และไม่สามารถขายต่อได้ จนกลายเป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมนั่นเอง

เมื่อ ‘กม.สูงสุด’ ถูกคณะราษฎรเสกเป็น ‘ของขลัง’ แห่งยุคสมัย อุปโลกน์ให้สูงส่งกว่ากษัตริย์ ทั้งที่สถานะเป็นเพียง ‘กฎหมาย’

การเกิด ‘ลัทธิบูชารัฐธรรมนูญ’ นั้นเกิดขึ้นโดยการรังสรรค์ของคณะราษฎร ด้วยการสร้างรัฐธรรมนูญให้มีรูปลักษณ์จับต้องได้ กลายเป็นของขลัง มีพิธีกรรมประกอบ มีพิธีรีตองเฉพาะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชา มีสถานะที่สูงส่งกว่ากษัตริย์ เพื่อรองรับฐานอำนาจของระบอบใหม่ ทำทุกๆ อย่าง เพื่อให้ประชาชนได้รู้จักรัฐธรรมนูญ

แต่ไม่ทำอย่างเดียวคือ ทำให้ประชาชนได้รู้ว่ารัฐธรรมนูญคือ ‘กฎหมาย’ 

นับจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ มาจนถึงวันที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ความพยายามต่างๆ ของคณะรัฐบาลและคณะราษฎรในการเผยแพร่ ให้ความรู้ เกี่ยวกับการปกครองในระบอบใหม่ โดยมีกฎหมายสูงสุดคือ “รัฐธรรมนูญ” ยังเป็นไปอย่างอิหลักอิเหลื่อ ทั้งนี้เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั้งภายในคณะราษฎร และระหว่างคณะราษฎรกับคณะรัฐบาล จนนำมาสู่การยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลจาก ‘พระยามโนปกรณ์นิติธาดา’ มาเป็น ‘พระยาพหลพลพยุหเสนา’ 

รัฐบาลคณะนี้โดยการผลักดันของ ‘หลวงวิจิตรวาทการ’ ที่ต้องการเผยแพร่รัฐธรรมนูญจึงเกิดขึ้นมาอีกครั้ง

คณะทำงานนำโดย ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ได้ร่างแผนการที่จะเผยแพร่แนวคิดเรื่องรัฐธรรมนูญ รวมถึงการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ การส่งหน่วยโฆษณาการลงพื้นที่ทุกตำบล เพื่อประชาสัมพันธ์ อย่างเป็นรูปธรรม ก่อนจะถูกเร่งให้เกิดเร็วขึ้นด้วย ‘กบฏบวรเดช’ 

เนื่องจากวิธีการให้ความรู้แบบเดิมก่อนเกิดกรณี ‘กบฏบวรเดช’ นั้น ไม่สามารถเข้าถึงและสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนได้ การนำเสนอรัฐธรรมนูญแบบใหม่ของคณะราษฎรจึงเกิดขึ้น 

การปรับให้ ‘รัฐธรรมนูญ’ กลายเป็น ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ คุ้มบ้าน ป้องเมือง ควรค่าแก่การเคารพบูชามีสถานะไม่แตกต่างจาก ‘ของขลัง’ เอาง่ายๆ คือ ‘ความรู้ไม่ต้องมี’ เน้น ‘ความงมงาย’ เข้าไว้ จูงใจคนได้ง่ายกว่า และเมื่อมีความศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องได้รับการปกป้อง คุ้มครอง ไม่ให้ใครมาทำลาย 

สร้างให้ ‘รัฐธรรมนูญ’ มีค่าเท่ากับ ‘พระมหากษัตริย์’ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ และเป็นหน้าที่ของชาติและประชาชนที่ต้องปกป้อง

ในเดือนธันวาคม พ.ศ ๒๔๗๖ รัฐบาลได้จัดตั้ง ‘สมาคมคณะรัฐธรรมนูญ’ โดยมีจุดประสงค์ดำเนินการในด้านการธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ สร้างความสามัคคี อบรมสมาชิก และดำเนินการด้านต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการปกครองด้วยระบอบใหม่ ไม่ให้ใครมาโค่นล้มได้ 

โดย ‘สมาคม’ ประกอบด้วย ๒ องค์กรคือ ‘ชุมนุมใหญ่’ และ ‘คณะกรรมการกลาง’ ซึ่งสมาคมนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของ ‘รัฐธรรมนูญ’ !!! 

หลังจากงานงานฉลองรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งบรรดาสมาคมฯ ภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ยังต้องทรงเสด็จฯ ทอดพระเนตรงาน ซึ่งก็ตรงกับเจตนารมณ์ที่ชัดแจ้งว่าความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญนั้น แม้แต่พระมหากษัตริย์ยังต้องทรงมาร่วมงานฉลองให้

‘ลัทธิบูชารัฐธรรมนูญ’ โดยเฉพาะการสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวเกิดขึ้นจากแนวความคิดของ จำรัส มหาวงศ์นันทน์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ด้วยการเสนอให้มีการสร้าง ‘รัฐธรรมนูญจำลอง’ เป็นสมุดข่อย อัญเชิญไปยังศาลากลางจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ประชาชนใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นการเผยแพร่รัฐธรรมนูญไปด้วย ซึ่งถ้าจบตรงแค่นี้ก็น่าจะไม่เป็นไรมาก 

แต่คุณจำรัส แกไปเพิ่มมูลค่าความศักดิ์สิทธิ์ด้วยการเสนอให้ ‘รัฐธรรมนูญจำลอง’ นั้นต้องวางอยู่บน “พานแว่นฟ้า” ซึ่งใช้สำหรับวางของสูง แล้วคณะรัฐบาลขณะนั้นก็เอาด้วย เพราะอยากจะทำยังไงก็ได้ให้รัฐธรรมนูญคือสัญลักษณ์สำคัญแทนพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว

รัฐธรรมนูญจำลองจำนวน ๗๐ ชุด เป็นสมุดไทยลงรักปิดทองเป็น ‘รัฐธรรมนูญ’ วางบนพาน 2 ชั้น เป็น ‘พานรัฐธรรมนูญ’ โดยในวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ ได้มีพิธีสมโภช ‘พานรัฐธรรมนูญ’ ก่อนที่จะการส่งมอบให้กับผู้แทนราษฎรแต่ละจังหวัด 

พิธีในครั้งนั้น มีสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการ เป็นประธานในพิธี ทรงเจิมพานรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ประกอบเสียงมโหรีปี่พาทย์ เสียงสวดอำนวยจากพระสงฆ์ ๗๐ รูป มีพิธีเวียนเทียนสมโภช ก่อนจะนำไปประดิษฐานร่วมกับพระพุทธสิหิงค์ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ ก่อนที่จะ ‘อัญเชิญ’ เพื่อไป ‘ประดิษฐาน’ ยังจังหวัดต่าง ๆ จำนวน ๖๙ ชุดและอีก ๑ ชุด จะประดิษฐานไว้ ณ ที่ทำการใหญ่ของ “สมาคมคณะรัฐธรรมนูญ” พระราชอุทยานสราญรมย์

การอัญเชิญ ‘พานรัฐธรรมนูญ’ ก็เป็นไปอย่างเอิกเกริก ราวกับเป็นสิ่งสำคัญของชาติบ้านเมือง พอไปถึงจังหวัดต่าง ๆ ก็มีการนำขึ้นบุษบกแห่แหนให้ชมกันรอบเมือง ก่อนจะนำไปประดิษฐาน ณ ศาลากลางของจังหวัดนั้นๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าสักการะบูชา ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และมีการปฏิญาณตนต่อหน้าพานรัฐธรรมนูญ 

จากความ ‘ขลัง’ ระดับจังหวัด ก็กระจายลงไปถึงความ ‘ขลัง’ ระดับอำเภอ ดังที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเห็นว่า “พานรัฐธรรมนูญนี้ถือว่าขลัง เผยแพร่ไปมากเก๊งตามจิตต์วิทยาว่าขลัง หรือสงวนไว้ขลัง ถ้าถือว่าแพร่หลายไปทำให้คนรู้จัก และเลื่อมใสยิ่งขึ้น ก็ควรทำให้แพร่หลายไป” 

‘พานรัฐธรรมนูญ’ ที่ได้รับไปนั้นจะต้องผ่านพิธีกรรม มีพิธีการที่สมเกียรติ เพราะถือเป็นของสูง เวลานำไปจัดงานหรือเพื่อให้ประชาชนสักการะก็ต้องมีพลับพลาสำหรับประดิษฐานอย่างโอ่โถง 

ทั้งหมดเพื่อหวังผลบั้นปลายให้ ‘รัฐธรรมนูญ’ กลายเป็นแหล่งที่มาของอำนาจอันชอบธรรมในระบอบใหม่ เทียบเคียงกับสถานะบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบเก่านั่นเอง 

นอกจากพานที่กล่าวมาแล้ว ‘ลัทธิบูชารัฐธรรมนูญ’ ยังมีมิติครอบคลุมออกไปอย่างหลากหลาย ลึกซึ้ง อย่างเช่น อนุสาวรีย์ก็ไม่ได้มีแค่ ‘อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย’ ถนนราชดำเนินกลาง ก็ยังมี ‘อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ’ ที่ก่อสร้างตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ ๖ แห่ง เช่นที่ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ฯลฯ อย่างวัด ก็มี ‘วัดประชาธิปไตย’ (ปัจจุบันคือวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน) 

ยังไม่รวมสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏในงานปั้น งานเครื่องหมาย โดยเป็นศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ สื่อถึงระบอบใหม่ ควบคู่ไปกับงานฉลอง ‘รัฐธรรมนูญ’ ที่ยิ่งใหญ่กว่างานฉลองของระบอบเก่า 

จนกระทั่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้นำบ้านเมืองของเราเข้าสู่ยุค ‘เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย’ การยึดเอา ‘รัฐธรรมนูญ’ เป็นของขลัง ของสำคัญ ของชาติจึงค่อยๆ มลายหายไป 

จาก ๑๐ ธันวาคม พ.ศ ๒๔๗๕ มาจนถึง ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ผ่านไปแล้ว ๙๑ ปี 

ปัจจุบันประชาชนได้รู้แล้วว่า ‘รัฐธรรมนูญ’ คือ ‘กฎหมาย’ ไม่ใช่ ‘ของขลัง’ ไม่จำเป็นต้อง ‘บูชา’ แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังไม่ได้ฝังรากลึกให้ประชาชนได้ยึดถืออย่างมีสำนึกและเข้าใจอย่างที่มันควรจะเป็น นับเนื่องมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ 

ทำไมนะ ? 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top