Friday, 16 May 2025
TheStatesTimes

สืบ ตม. จับชายแดนมักกะโรนี overstay หนีคดีปล้นทรัพย์คนพิการซุกไทย

บก.สส.สตม. จับกุมนายเอดิ (นามสมมติ) อายุ 63 ปี สัญชาติอิตาลี โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

สืบเนื่องจาก ตร. ได้สั่งการให้ สตม. พิจารณาดำเนินการ กรณีสำนักงานกลางแห่งชาติตำรวจสากลโรม มีหนังสือขอความร่วมมือมายังกองการต่างประเทศ เพื่อให้สืบสวนติดตามจับกุมนายเอดิ (นามสมมติ) อายุ 63 ปี สัญชาติอีตาลี ผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการอิตาลี ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ และเป็นบุคคลตามประกาศตำรวจสากลสีแดง และได้หลบหนีมาอยู่ในประเทศไทย เพื่อส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐอิตาลี พฤติการณ์กระทำผิด คือ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.53 ในสาธารณรัฐอิตาลี นายเอดิได้ร่วมกับพวกปล้นคู่สามีภรรยาสูงอายุซึ่งเป็นชายตาบอดและหญิงพิการ

โดยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย ข่มขู่และใช้ความรุนแรงกับผู้เสียหาย จากนั้นได้ขโมยเอาเงินสด จำนวน 28,000 ยูโร (ประมาณ 1,077,000 บาท) และเพชรพลอยสร้อยข้อมือ นาฬิกา และคลิปหนีบเนคไท พร้อมสมุดบัญชีธนาคารประเภทออมทรัพย์ของผู้เสียหายทั้ง 2 คนไป  บก.สส.สตม. จึงมอบหมายให้ กก.1 บก.สส.สตม. ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายเอดิ เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 ก.พ.63 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.30 และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปด้วยเหตุผล ใช้ชีวิตบั้นปลาย ถึงวันที่ 30 ม.ค.66 ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้ว จึงสืบสวนติดตามหาตัวนายเอดิ จนกระทั่งทราบว่านายเอดิ ได้ไปพักอาศัยในคอนโดมิเนียมในย่าน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้ร่วมกับ ตม.จว.ชลบุรี บก.ตม.3 ไปตรวจสอบพบนายเอดิ จึงแจ้งข้อกล่าวหา “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และจับกุมส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย

บก.ตม.6 รวบหนุ่มรัสเซีย หนึ่งในสมาชิก “ธุรกรรมทางการเงินเถื่อน” รับฝาก โอน ถอน เก็บเงินผิดกฎหมายทุกชนิด ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าเงินผิดกฎหมายหมุนเวียน 1,643 ล้านบาท 

บก.ตม.6 จับกุมนายนาโกโร (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี สัญชาติรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ควนโดน จว.สตูล ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

เมื่อ 21 พ.ย.66 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สตูล ได้รับแจ้งจากประชาชน พบบุคคลต่างชาติท่าทางมีพิรุธบริเวณตลาดชายแดน ต.วังประจัน อ.ควนโดน จว.สตูล เจ้าหน้าที่สืบสวนซึ่งกำลังตั้งด่านตรวจรถยนต์ที่กำลังจะออกนอกประเทศไปยังมาเลเซีย จึงได้นำกำลังไปตรวจพบบุคคลต้องสงสัยตามที่ได้รับแจ้ง เมื่อพบนายนาโกโร จึงขอตรวจหนังสือเดินทางพบว่า การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดของนายนาโกโรสิ้นสุดลงแล้ว จึงแจ้งข้อกล่าวหา “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และจับกุมส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ควนโดน จว.สตูล ดำเนินคดีตามกฎหมาย และได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายนาโกโร ยังเป็นบุคคลตามหมายจับตำรวจสากล (Red Notice) พฤติการณ์การกระทำความผิด คือ เมื่อประมาณเดือน ต.ค.61 ถึง ก.ค.63 ที่เมืองมอสโกและเมืองบรานค์ สาธารณรัฐรัสเซีย นายนาโกโร สมาชิกกลุ่มอาชญากรรมขนาดใหญ่ในรัสเซีย ได้รับดำเนินธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยรับ ฝาก ถอน โอน และเก็บรักษาเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้บริการกับบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กรที่ได้เงินมาโดยผิดกฎหมายและไม่ต้องการแสดงตนในการทำธุรกรรม โดยได้รับค่าบริการในอัตรา 10% ของยอดเงินที่ใช้บริการ ซึ่งนายนาโกโรรับหน้าที่เป็นผู้หาลูกค้ามาใช้บริการดังกล่าว มูลค่าเงินหมุนเวียนผิดกฎหมาย จำนวน 1,643 ล้านบาท ผลกำไรประมาณ 164 ล้านบาท 

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th   จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ขอนแก่น-ผู้ตรวจฯ สธ.แจง เสียชีวิตเพิ่มจากโรคเลือดออกในทางเดินอาหารมากขึ้น เนื่องจากการดื่มสุรา

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 23  พฤศจิกายน 2566 ที่ ห้องประชุมศรีจันทร์ โรงแรมเจริญธานี จังหวัดขอนแก่น  นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารสุข เขตสุขภาพที่ 7 เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาคุณภาพบริการศัลยกรรมในเขตสุขภาพที่ 7” โดยมี นพ.เกรียงศักดิ์  วัชรนุกูลเกียรติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ,ผู้บริหารโรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 7 ,รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล,  คณะกรรมการบริหาร, นพ.นิติเทพ  หลายทวีวัฒน์  นายแพทย์ชำนาญการ กลุ่มงานศัลยกรรม รพ.ขอนแก่น  หัวหน้ากลุ่มงาน หัวหน้างาน โรงพยาบาลขอนแก่น ผู้มีเกียรติและผู้เข้าร่วมประชุม

นพ.ธนรักษ์  ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 7 เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคที่น่าเป็นห่วงอีกโรคหนึ่งในขณะนี้คือภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหาร โดยได้รับรายงานว่าปีนี้มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้ว กรณีตัวอย่างกรณีของโรงพยาบาลขอนแก่นทราบว่ายังไม่ทันสิ้นปีก็พบตัวเลขผู้ป่วยเลือดออกในกระเพาะอาหารก็มากกว่าปีที่แล้ว อันที่จริงโรคนี้สามารถป้องกันได้ คนทั่วไปไม่ควรจะเป็น ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพตัวเองได้ดีแค่ไหน สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ ปัจจัยหนึ่งเพราะการรับประทานยาบางชนิดที่เราไปซื้อกิน เช่นยาห่อ ยาต้ม มีสารบางอย่างหรือตัวยาบางอย่างทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหารได้ อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ส่งผลให้มีภาวะตับแข็ง สุดท้ายก็จะเกิดภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ โดยสรุปแล้วภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือเลือดออกทางเดินอาหารส่วนบน สามารถป้องกันได้แทบทั้งหมด เมื่อเป็นแล้วการรักษาค่อนข้างซับซ้อนขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ส่วนหนึ่งต้องผ่าตัดและต้องได้รับเลือด“ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เป็นภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารจะดีกว่า เพราะถ้าเป็นแล้วต้องรักษาให้ยุ่งยากดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์” นพ.ธนรักษ์กล่าว

ขณะที่ นพ.นิติเทพ หลายทวีวัฒน์ นายแพทย์ชำนาญการ กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลขอนแก่น กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะเลือดออกทางเดินอาหารตอนบนหรือกระเพาะอาหาร ตัวเลขผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลขอนแก่นเมื่อปีที่แล้วประมาณ 1,500 ราย แต่ในปีนี้ยังไม่ทันครบรอบปี จำนวนผู้ป่วยที่ประสบกับภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารก็นี้มากกว่า 1,500 รายแล้ว ส่วนอัตราการเสียชีวิตจากภาวะเลือดออกฯดังกล่าวประมาณร้อยละ 4-5 ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญทำให้มีจำนวนผู้ป่วยฯเพิ่มมากขึ้นคือภาวะตับแข็งจากการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งช่วงนี้เป็นหน้าเทศกาลการดื่มฉลองจะมีความถี่เป็นพิเศษ ดังนั้นจึงอยากฝากเตือนให้พี่น้องประชาชน ลดการดื่มแอลกอฮอล์ คือดื่มให้น้อยลง จะป้องกันได้มาก“ผู้ป่วยภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารหากผ่าตัดต้องมีการเติมเลือด โรงพยาบาลต้องสำรองเลือดเพิ่มมากขึ้นนอกเหนือจากรองรับคนเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ในโอกาสนี้จึงขอเชิญชวนมาช่วยบริจาคเลือดกับโรงพยาบาลกันให้มากขึ้น

‘ททท.’ ผนึก ‘Fliggy’ แอปฯ ท่องเที่ยวยอดฮิตของ ‘จีน’ หวังเรียกความเชื่อมั่น นทท.จีน-เสริมภาพลักษณ์เมืองไทย

(23 พ.ย. 66) นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้ร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (แอลโอไอ) กับ Mr.Tyrion Tong รองประธานบริษัท Zhejiang Fliggy Network Technology ผู้ผลิตแอปพลิเคชัน ‘Fliggy’ แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ยอดนิยมในตลาดจีน บริษัทในเครือ Alibaba กรุ๊ป เพื่อร่วมกันส่งเสริมการขายกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ Mr.Zhuoran Zhuang รองประธานบริหารอาลีบาบา กรุ๊ป และประธานบริหาร บริษัท Zhejiang Fliggy Network Technology เข้าร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามดังกล่าว

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ความคืบหน้าการดำเนินมาตรการฟรีวีซ่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวจีนอาจยังเดินทางมาไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่การใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เรามุ่งหวังไว้ และการร่วมมือครั้งนี้การเป็นการเจาะกลุ่มตลาดใหม่ในจีน ที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงเป็นหลัก ส่วนประเด็นการเข้ามาของชาวจีนที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยว และเข้ามาหาผลประโยชน์ในไทย อาทิ การเข้ามาขอทานนั้น มองว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงยังไม่อยากให้รีบสรุปไปว่าเป็นผลจากการไม่มีวีซ่า ทำให้คนเหล่านี้เข้ามาในไทย โดยมองว่าการตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมาย ของกลุ่มคนที่เข้ามาหาผลประโยชน์ในไทยแบบผิดกฎหมาย จะไม่กระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวแน่นอน

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากเดิม โดยนักท่องเที่ยว 86% เดินทางมาเที่ยวด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพที่มีกำลังซื้อ มีระยะเวลาพำนักเฉลี่ย 7.88 คืน ยาวนานกว่ากลุ่มทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 คิดเป็นจำนวน 56,000 บาทต่อทริป ขณะที่ข้อมูลจาก Alipay ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออาลีบาบากรุ๊ป พบว่านักท่องเที่ยวจีนที่ใช้บริการผ่าน Alipay มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว โดยยังไม่รวมค่าที่พักสูงถึง 20,000 บาทต่อคนต่อทริป ซึ่งเพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยจากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 22 พฤศจิกายน 2566 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยแล้วประมาณ 3 ล้านคน

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ททท. จะร่วมมือกันนำสมาร์ตเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อยกระดับประสบการณ์ในการท่องเที่ยว นำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวไทยบนแพลตฟอร์ม Fliggy การส่งเสริมและนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่มีศักยภาพแก่นักท่องเที่ยวจีน การร่วมผลิตและเผยแพร่เนื้อหาประชาสัมพันธ์สำหรับตลาดจีน จัดแคมเปญส่งเสริมตลาดสำหรับอีเวนต์ รวมถึง Fliggy จะจัดทีมบริการให้ความช่วยเหลือแก่นักท่องเที่ยวจีนตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งในรูปแบบออนไลน์และศูนย์ให้บริการข้อมูลข่าวสารในพื้นที่ที่กำหนด โดย ททท. จะสนับสนุนการจัดอบรมและให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่เจ้าหน้าที่ของ Fliggy ด้วย

“การลงนามร่วมกันครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสในการนำเสนอสินค้า และบริการคุณภาพของประเทศไทยในตลาดจีน ผ่านแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง รวมถึงเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เชิงบวก เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางการท่องเที่ยวไทยในตลาดจีน และเร่งกระตุ้นรายได้ทางการท่องเที่ยวจากกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพของจีน เนื่องจากแพลตฟอร์มบริการด้านท่องเที่ยวออนไลน์ยอดนิยมของจีน ซึ่งมีบัญชีผู้ใช้มากกว่า 500 ล้านบัญชี และมีบริการที่ครบวงจร (One Stop Service) ครอบคลุมตั้งแต่การสำรองบัตรโดยสารเครื่องบิน ที่พัก ทัวร์ส่วนตัว” นางสาวฐาปนีย์ กล่าว

‘ลิซ่า’ สวมชุด ‘Asava’ แบรนด์ของคนไทย รับเครื่องราชฯ ชั้น MBE จากคิงชาร์ลส์ที่ 3

(23 พ.ย. 66) เรียกว่าเป็นความปลาบปลื้มของ 4 สาววง BLACKPINK (แบล็กพิงก์) ทั้ง เจนนี่, จีซู, ลิซ่า, โรเซ่ ที่ได้มีโอกาสไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ณ พระราชวังบักกิงแฮม ประเทศอังกฤษ โดย สมเด็จพระราชาธิบดีชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร และ พระราชินีคามิลลา ทรงเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเป็นเกียรติแก่ ยุน ซอก-ยอล ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และ คิม กอน-ฮี สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เนื่องในโอกาสกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติ เมื่อวันอังคารที่ 21 พ.ย.66 ที่ผ่านมา

ต่อมาในวันที่ 22 พ.ย.66 สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงเป็นประธานในพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น MBE ให้แก่ เจนนี่ จีซู ลิซ่า และ โรเซ่ และทรงมีพระราชปฏิสันถารกับทั้ง 4 สาวอย่างเป็นกันเอง โดยตรัสว่า “เราหวังว่าเราจะได้ชมการแสดงสดของพวกคุณบ้างในบางโอกาส”

สำนักพระราชวังบักกิงแฮม เปิดเผยว่า 4 สาว BLACKPINK ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ MBE เพื่อเป็นการแสดงความยอมรับบทบาทของพวกเธอในผู้สนับสนุนการประชุมสุดยอดผู้นำสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสภาพอากาศครั้งที่ 26 หรือ COP26 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อปี 2564

นอกจากนี้มีการเปิดเผยว่า ชุดที่ ลิซ่า BLACKPINK สวมใส่เข้าพิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น MBE เป็นชุดเสื้อผ้าจากแบรนด์ไทยชื่อดังอย่าง Asava เรียกว่านอกจากจะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวงการ K-POP ยังเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยด้วยเช่นกัน

‘เพจดัง’ สวน ‘วิโรจน์’ ปมสามี สส.เมืองจันท์ แขวะ!! ไหนว่าโปร่งใส ยัน!! ไม่มีท่อน้ำเลี้ยงตามแอบถ่าย คนใน ‘ก้าวไกล’ โพสต์เองทั้งนั้น

(23 พ.ย. 66 ) จากกรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ‘เพจวันนี้พรรคก้าวไกลโกหกอะไร’ ออกมาแฉเรื่องการแต่งตั้งสามีของ น.ส.ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี แล้วปรากฎภาพถ่ายคู่กับเด็กเอ็น รวมถึงทีมงานทำอาชีพรับจัดหาเด็กเอ็น ในตอนหนึ่งกล่าวถึงเพจดังกล่าวว่า การโจมตีกันก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ แต่เนื้อหาสาระก็ฟังจากที่ สส.จันทบุรีพูด ผมว่าก็ต้องฟังทั้งสองฝ่ายด้วย สิ่งที่น่ากังวลคือ พฤติกรรมที่เป็น ‘สตอล์กเกอร์’ (Stalker) คอยสอดแนม ติดตาม แอบถ่าย ละเมิดความเป็นส่วนตัว และเอาภาพถ่ายบางส่วนมาเขียนข่าวในทางร้าย กล่าวหาในทางร้ายเพียงภาพภาพเดียว โดยที่ไม่ฟังบริบท

ยืนยันว่า ตอนนี้การกล่าวหามีการพ่วงไปถึงประชาชนปกติแล้ว และเพจที่ไม่ได้มีตัวตน ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ตรวจสอบ สส.ที่เป็นบุคคลสาธารณะ ก็ทำเลย กรณีต้องสงสัยใครว่าเป็นบุคคลใกล้ชิดแต่งตั้งมาทำงานจริงหรือไม่ ก็ทำเลย แต่ประชาชนคนธรรมดา ที่มาเป็นจิตอาสาทำงานในพื้นที่ เขาเป็นประชาชน ถึงขั้นไปสอดแนมติดตาม สตอล์กเกอร์ และไปล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของเขาอย่างนี้ ต้องถามสังคมกลับ เราจะสนับสนุนสังคมแบบนี้จริงหรือ? แล้วกฎหมาย PDPA จะมีไว้ทำไม? ถ้าไปถ่ายภาพหลุด 1 ภาพ แล้วเขียนข่าวกันเอาเอง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ ไม่ฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายหนึ่ง และบางครั้งบางเรื่องเป็นเรื่องส่วนตัว เขาไม่ได้เป็นบุคคลสาธารณะ ไม่ได้มีพื้นที่สื่อ เป็นเพียงแค่ประชาชนที่ไปช่วยงาน คิดว่ายุติธรรมหรือไม่?

“หลังๆ ผมให้คำแนะนำอย่างนี้ครับ ว่าถ้าคุณไม่ได้มีตัวตน การชี้แจงก็ชี้แจงผ่านสาธารณะ และผมวิงวอนว่า ถ้าใครก็ตามที่สงสัย พรรคก้าวไกลก็เปิดเผยอยู่แล้ว ก็สามารถที่จะร้องเรียนที่พรรค อย่างที่มีสมาชิกพรรคมา 10 ท่าน เราก็พร้อมตรวจสอบ เราก็ให้เกียรติทุกคนอยู่แล้ว ผมว่าถ้าเพจแบบนี้มีเยอะแยะในประเทศ แต่ถ้าเป็นประเทศที่มีสังคมที่เจริญแล้วพัฒนาแล้วตนว่าไม่ใช่” นายวิโรจน์ กล่าว

ล่าสุด เฟซบุ๊กเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ออกมาตอบโต้นายวิโรจน์ โดยระบุว่า…

“ทุกคนคะ พี่วิโรจน์ด้อยค่าเพจหนูและดูถูกประชาชนหรือคะ? พี่วิโรจน์บอกประชาชนอย่างฟังความข้างเดียวแล้วตัดสิน หนูขอตอบว่า ประชาชนเขารอฟังความทุกฝ่ายอยู่แล้วค่ะ แต่หลายสื่อติดต่อไป แต่ถูกเท ถูกยกเลิก อ้างอิงจากรายการลุงหมาแก่ได้เลยค่ะ ถูกเทไป 3-4 ครั้ง

พี่วิโรจน์บอกว่าเพจหนูทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์แอบถ่าย หนูขอตอบว่า ภาพที่ลงเพจเกือบทั้งหมด เป็นภาพจาก สส.และคนของพรรคก้าวไกล ที่โพสต์ลงโซเชียลกันเองทั้งนั้น พวกพี่ไม่มีค่าให้หนูตามถ่ายหรอกค่ะ

พี่วิโรจน์บอกว่า เพจหนูออกมาแฉแบบนี้ ประชาชนได้ประโยชน์อะไร หนูขอเอามือทาบอกและสบถเบาๆ ก่อนตอบว่า “ไหนบอกว่าพรรคก้าวไกลชูเรื่องความโปร่งใสและต้องตรวจสอบได้ ชูว่าจริยธรรมสูงส่งกว่าใคร หนูก็ตรวจสอบในฐานะชาวบ้านที่เสียภาษีไงคะ

หนูไม่ละเมิด PDPA กับประชาชนแน่นอนค่ะ เป็นพรรคก้าวไกลเองหรือเปล่า ที่ทำอินโฟกราฟิกให้คนเข้าใจผิด

ปล.หนูมีเรื่อง ผช.สส.ท่านหนึ่ง ส่อแววร่ำรวยผิดปกติ 4 ปี ก่อน ยังไม่มีอะไร แต่ตอนนี้มีทั้งรถ Supercar ใส่นาฬิกาหลักล้าน กินเที่ยวหรู หนูแจ้งใครได้บ้างคะ?”

24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ในหลวง ร.9 เสด็จฯ ทางชลมารค เปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์

วันนี้เมื่อ 13 ปีก่อน ถือเป็นวันสำคัญของเมืองไทย เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปทรงเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ รวมถึง สะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 ทั้งหมดเป็นโครงการในพระราชดำริที่ทรงตั้งใจแก้ปัญหาให้กับประชาชน

โดยที่มาของการสร้างประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ เกิดขึ้นจากการทรงเห็นว่า สภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมมีลักษณะไหลวนคดเคี้ยว โดยเฉพาะบริเวณรอบพื้นที่บางกระเจ้า ที่มีความยาวถึง 18 กิโลเมตร ส่งผลให้การระบายน้ำที่ท่วมพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานครเป็นไปได้ช้า ไม่ทันเวลาน้ำทะเลหนุน

จึงมีพระราชดำริให้พัฒนาใช้คลองลัดโพธิ์ ซึ่งเดิมมีความตื้นเขินและมีความยาวราว 600 เมตร ให้เป็นประตูระบายน้ำที่หลากและน้ำที่ท่วมสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้ลงสู่ทะเลทันที และจะปิดคลองลัดโพธิ์เมื่อน้ำทะเลหนุน เพื่อหน่วงน้ำทะเลไม่ให้ขึ้นลัดเลาะไปตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยาที่คดโค้งถึง 18 กิโลเมตรด้วยกัน

ในส่วนของสะพานภูมิพล 1 และ 2 ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างเพื่อรองรับการขนถ่ายและลำเลียงสินค้าจากท่าเรือกรุงเทพ ไปยังพื้นที่อุตสาหกรรมใน จ.สมุทรปราการ และพื้นที่อื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาการจราจร โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่จากแหล่งอุตสาหกรรม เพื่อให้มีช่องทางเลี่ยงออกจากใจกลาง กทม. สู่ต่างจังหวัดได้ทันที

ทั้งหมดคือพระราชประสงค์เพื่อแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้น จากวันนี้และในอนาคตสืบไป...

‘ทนง’ ชี้!! ‘อาร์เจนตินา’ จะเลวร้าย หากถอนตัวจากบริกส์-ใช้เงินดอลลาร์ เชื่อ ผู้นำคนใหม่จะพาประเทศถอยหลังเข้าคลองอย่างแน่นอน

(23 พ.ย. 66) นายทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ ร่วมสนทนาในรายการ ‘คนเคาะข่าว’ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง ‘นิวส์วัน’ ในหัวข้อ ‘อาร์เจนตินาถอนตัว BRICS ทิ้งเงินเปโซ หันมาใช้ดอลลาร์แทน’

โดยนายทนง กล่าวในช่วงหนึ่งว่า ‘จาเวียร์ มิเลย์’ คว้าชัยเลือกตั้งประธานาธิบดีอาร์เจนตินา สะท้อนถึงความสิ้นหวังของประชาชนชาวอาร์เจนตินา ว่าที่ผ่านมาต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจตลอดหลายสิบปี และไม่สามารถฟื้นออกจากวิกฤตได้ ค่าเงินเปโซตกต่ำแบบไม่เหลือค่า เงินเฟ้อราว 140 เปอร์เซ็นต์ ประชาชนจึงต้องการความเปลี่ยนแปลง

กระทั่ง นายจาเวียร์ มิเลย์ ได้นำเสนอการเปลี่ยนแปลงที่ฟังดูถูกใจประชาชน มองว่าอาจเป็นทางออกของประเทศในการยกเลิกเงินเปโซ และใช้ดอลลาร์แทน ซึ่งเท่ากับยกเลิกอธิปไตยทางด้านการเงิน ในขณะที่ธนาคารกลางอเมริกากำลังมีปัญหาในการดูแลเงินเฟ้อ ตอนนี้มีปัญหาความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์อยู่แล้ว แต่อาร์เจนตินากลับถอยหลังเข้าคลอง

นอกจากนี้ นายจาเวียร์ มิเลย์ ยังจะนำอาร์เจนตินาออกจากกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ทั้งที่เพิ่งได้เข้าเป็นสมาชิกในการประชุมที่ผ่านมา โดยจะมีผล 1 ม.ค. ปีหน้า แต่นี่กลับจะถอนตัวออก โดยบอกว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

นายทนง กล่าวอีกว่า ตนเชื่อว่าสถานการณ์อาร์เจนตินาจะเลวร้ายลง ไม่แน่ใจดอลลาร์ซัปพลายจะมาจากไหน ยกเลิกแบงก์ชาติแล้วใครจะบริหารการเงินของประเทศ พูดหาเสียงได้ แต่ใช้จริงจะใช้ได้หรือเปล่า? ก็ต้องรอดู…

อย่างไรก็ตาม คาดว่า นายจาเวียร์ มิเลย์ น่าจะมีชาติฝั่งตะวันตกอยู่เบื้องหลัง เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของบริกส์ เนื่องจากที่ผ่านมา ‘จีน’ ให้การช่วยเหลืออาร์เจนตินาอย่างมาก จู่ๆ ผู้นำเข้ามาจะตัดขาดจากบริกส์ ทั้งที่เศรษฐกิจเสียหายอย่างหนักตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็สืบเนื่องมาจากนโยบายของฝั่งตะวันตก

การร่วมกับบริกส์น่าจะช่วยเรื่องการค้าของอาร์เจนตินาด้วยซ้ำไป แต่อยู่ๆ มาล้มโต๊ะแบบนี้ เชื่อว่าจะเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจหนักหน่วงและรุนแรงกว่าเดิมอย่างแน่นอน

‘คมนาคม’ เตรียมเพิ่มโทษปรับ ‘รถบรรทุกน้ำหนักเกิน’ ชี้!! จากเดิม 1 หมื่นบาท เพิ่มสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท

(23 พ.ย. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมหารือเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้ความสำคัญและตั้งใจแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน หรือส่วยสติกเกอร์ที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจากข้อเท็จจริงการตรวจสอบพบว่ามีรถบรรทุกน้ำหนักเกินจริง และมีข้อบกพร่องในโครงสร้างและกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการร่วมกัน เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมในทุกมิติ ป้องกันปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้น และ ลดงบประมาณในการซ่อมบำรุงถนน 

ทั้งนี้เนื่องจากการบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนด ทำให้กระทรวงคมนาคมต้องใช้งบประมาณซ่อมบำรุงถนนจำนวนมาก โดย กรมทางหลวง (ทล.) ต้องจ่ายค่าซ่อมถนนปีละ 26,000 ล้านบาท และ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ปีละ 18,000 ล้านบาท

สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาที่นำมาดำเนินการให้ประสบความสำเร็จจะต้องสร้างความมั่นใจ และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการเดินทางอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ พร้อมกำชับการทำงานทุกขั้นตอน ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ปฏิบัติงานด้วยความสุจริต และปราศจากการทุจริต เน้นย้ำว่าช่วงที่ตนดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม จะต้องไม่มีการทุจริต หรือมีส่วยสติกเกอร์ทางหลวงเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า การประชุมครั้งนี้มีแนวทางแก้ไขปัญหาดังนี้ 1.ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ทางหลวง 2535 มาตรา 73/2 เกี่ยวกับบทลงโทษการบรรทุกน้ำหนักเกิน ปัจจุบันระบุว่า ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ โดยจะปรับแก้ไขกฎหมายให้มีโทษปรับในอัตราที่สูงขึ้น คือปรับสูงสุดไม่เกิน 100,000-200,000 บาท แล้วแต่กรณีการกระทำความผิด 

“ส่วนกรณีการเพิ่มโทษจำคุกนั้นให้ ทล. ไปศึกษาผลดีผลเสียที่เหมาะสมต่อไป รวมทั้งเอาผิดกับผู้ประกอบการรถบรรทุกด้วย เมื่อดำเนินการเสร็จแล้วจะเสนอการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร และมีผลบังคับใช้ได้ภายใน 1 ปี เชื่อว่าการเพิ่มอัตราโทษปรับที่สูงขึ้นนี้ทำให้แก้ปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกินได้ เพราะปัจจุบันรถบรรทุกน้ำหนักเกินมีโทษปรับน้อยสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ทำให้ผู้ประกอบการถบรรทุกเสี่ยงต่อการกระทำผิดด้วยการบรรทุกน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนด เพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้” นายสุริยะ กล่าว

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะออกประกาศกฎกระทรวงคมนาคม ในการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล โดยเฉพาะตำรวจจราจร ในพื้นที่ กทม. ให้มีอำนาจตรวจจับรถบรรทุกน้ำหนักเกินในพื้นที่ กทม. ได้ จากเดิมตำรวจจราจรไม่มีอำนาจหน้าที่ตรวจจับ เพราะ พ.ร.บ.ทางหลวง ไม่ได้ให้อำนาจส่วนนี้แก่ตำรวจจราจร ซึ่งเรื่องดังกล่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องเสนอเรื่องนี้มาที่กระทรวงคมนาคม เพื่อให้ตนลงนามในประกาศกฎกระทรวงและมีผลบังคับใช้ต่อไป

2.เพิ่มประสิทธิภาพตรวจสอบรถบรรทุกน้ำหนักเกิน เพิ่มความถี่ อัตรากำลัง ยานพาหนะ ติดตามตรวจสอบรถบรรทุกน้ำหนักเกินของตำรวจ และ ทล. และ 3.นำเทคโนโลยีมาใช้ดำเนินงาน อาทิ การนำเทคโนโลยี AI พร้อมกล้อง CCTV มาช่วยประเมินรถบรรทุกที่มีแนวโน้มบรรทุกน้ำหนักเกิน การบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระบบจีพีเอส ของ ขบ. ร่วมกับ กองบังคับการตำรวจทางหลวง และ ทช. ช่วยติดตามจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกิน และบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูล Call Center เรื่องร้องเรียนรถบรรทุกน้ำหนักเกิน

ทั้งนี้ทางภาคเอกชนเสนอขอให้ตั้งคณะกรรมการร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กทม. เพื่อนำปัญหามาหารือกันเป็นระยะๆ และหาแนวทางป้องกันไม่เกิดรถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนดต่อไป

ด้านนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่า ปัจจุบัน ทล. มีโครงข่ายถนนที่รับผิดชอบกว่า 50,000 กม. เพื่อป้องกันการบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนด ได้ดำเนินการติดตั้งระบบเครื่องชั่งอัตโนมัติสำหรับชั่งน้ำหนักรถยนต์ขณะเคลื่อนที่ หรือ WIM ช่วยคัดกรองรถบรรทุกที่มีน้ำหนักไม่เกินกฎหมายกำหนด สามารถวิ่งผ่านได้โดยไม่ต้องเข้าชั่งที่สถานี โดยมีแผนจะติดตั้งระบบ WIM บนโครงข่ายทางหลวงทั่วประเทศ จำนวน 960 แห่ง ซึ่งติดตั้งไปแล้ว 182 แห่ง อยู่ระหว่างติดตั้ง 21 แห่ง และ ที่เหลืออีก 757 แห่ง จะทยอยติดตั้งให้ครบต่อไป โดยในแต่ละปีจะได้รับงบประมาณดำเนินการอยู่แล้ว เน้นติดตั้งในจุดที่จำเป็นและมีปริมาณรถบรรทุกใช้เส้นทางจำนวนมากก่อน

ขณะที่ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีรถบรรทุกขนาด 6 ล้อ และ รถบรรทุกขนาด 10 ล้อขึ้นไป จดทะเบียนกับ ขบ. มากกว่า 1,000,000 คัน ซึ่งมีการติดตั้งระบบจีพีเอสเกือบครบทั้งหมดแล้ว และ ขบ. ได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลจีพีเอสรถบรรทุก กับ ทล. และ ทช. แล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการเชื่อมข้อมูลกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้สามารถตรวจสอบข้อมูลในเรื่องดังกล่าวต่อไป

‘WHO’ จี้ ‘จีน’ เปิดเผยข้อมูลโรคทางเดินหายใจ หลังพบคลัสเตอร์เด็กป่วย ‘ปอดอักเสบ’ สูงขึ้น

(23 พ.ย. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า องค์การอนามัยโลก(WHO) ได้ร้องขอข้อมูลจากทางการจีนหลังพบการระบาดของโรคระบบทางเดินหายใจในพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ และการพบคลัสเตอร์ของเด็กที่ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบในจีนเพิ่มสูงขึ้น

แถลงการณ์ของ WHO เผยแพร่ในวันก่อนหน้าระบุว่า WHO ได้ร้องขอข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นทางการจากจีนเกี่ยวกับอาการป่วยโรคทางเดินหายใจที่เพิ่มสูงขึ้นและการพบคลัสเตอร์เด็กที่ป่วยเป็นปอดอักเสบ หลังจากมีรายงานว่าในพื้นที่ทางตอนเหนือของจีนมีผู้ป่วยโรคที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนแถลงเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า การป่วยโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการยกเลิกมาตรการคุมเข้มโรคโควิด-19 และการแพร่กระจายของเชื้อโรคต่าง ๆ รวมถึงไข้หวัดใหญ่และการติดเชื้อแบคทีเรียทั่วไปที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก

ด้านนายหวัง ฉวนอี้ รองผู้อำนวยการและหัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของปักกิ่ง บอกกับปักกิ่งนิวส์ว่า ปักกิ่งเข้าสู่ฤดูกาลที่มีอุบัติการณ์ของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในระดับสูง ซึ่งกำลังแสดงให้เห็นแนวโน้มของเชื้อโรคหลายชนิดที่อยู่ร่วมกัน

ขณะที่เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ProMED สื่อและระบบเฝ้าระวังโรคสาธารณะของจีน ยังรายงานว่ามีคลัสเตอร์ของโรคปอดอักเสบที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยในเด็กทางตอนเหนือของจีนด้วย ซึ่ง WHO กล่าวว่ายังไม่ชัดเจนว่ารายงานของ ProMED เกี่ยวข้องกับการแถลงข่าวของทางการจีนหรือไม่ ซึ่ง WHO ต้องการคำชี้แจง นอกจากนี้ WHO ยังร้องขอข้อมูลแนวโน้มของเชื้อโรคต่าง ๆ ที่แพร่กระจายอยู่ รวมถึงเชื้อไข้หวัดใหญ่, SARS-CoV-2 (โควิด-19) RSV ที่กระทบต่อทารก และเชื้อไมโคพลาสมา ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในธรรมชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top