Thursday, 15 May 2025
TheStatesTimes

'ธนาธร' ย้ำ พัฒนาประเทศ 5 ด้าน ใช้งบฯ ไม่เกิน 5 แสน ลบ. ลั่น!! ใช้งบฯ ทำ 8 ปี ตกปีละ 6 หมื่นล้าน ทำได้ไม่ต้องกู้เพิ่ม

(18 พ.ย.66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ว่า…

ขอบคุณทุกท่านที่มารับฟังบรรยายสาธารณะในหัวข้อ ‘ประเทศไทยควรได้อะไร ถ้าต้องใช้ 5 แสนล้าน’ ในการบรรยายนี้ ผมขอสรุปให้ทุกท่านฟังอีกครั้ง ว่าผมเสนอแนะการพัฒนาประเทศ 5 ด้าน โดยใช้เงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท อย่างไรบ้าง

* สร้างระบบแพทย์ทางไกล หรือเทเลเมดิซีน ทั่วประเทศ 60,000 ล้านบาท
* รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด 88,000 ล้านบาท
* น้ำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ 67,000 ล้านบาท
* จัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะทั่วประเทศ 120,000 ล้านบาท
* ลงทุนเพิ่มศักยภาพโรงเรียน 121,000 ล้านบาท

รวม 456,000 ล้านบาท

1. การสาธารณสุข ผมเชื่อว่าอนาคตการสาธารณสุขไทยคือการทำเทเลเมดิซีน หรือการแพทย์ทางไกล (telemedicine) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่นเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ ไม่ต้องรอคิวตรวจที่โรงพยาบาลนานหลายชั่วโมง โดยมีเครื่องตรวจวัดความดัน ค่าน้ำตาลในเลือด สัญญาณชีพต่างๆ ในทุกหมู่บ้าน เก็บขึ้นคลาวด์อย่างเป็นระบบ สามารถพบแพทย์ได้ผ่านหน้าจอ หากอาการป่วยไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เทเลเมดิซีนไม่เพียงทำให้ประชาชนมีความสะดวกสบาย ประหยัดเงินและเวลาในการเดินทางไปโรงพยาบาล แต่ยังจะทำให้ไทยมีระบบจัดเก็บข้อมูลสุขภาพของประชาชนที่สามารถใช้คาดการณ์งบประมาณด้านสาธารณสุข และเตรียมบุคลากรการแพทย์ให้เพียงพอกับความต้องการในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย คณะก้าวหน้าได้ทำเทเลเมดิซีนสำเร็จใช้งานจริงแล้วที่เทศบาลตำบลหนองแคน โดยประชาชนเข้ารับการตรวจได้ที่เครื่องเทเลเมดิซีนทุกหมู่บ้าน โดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว ซึ่งสิ่งนี้สามารถเกิดได้ทั่วประเทศ มีเครื่องเทเลเมดิซีนทุกหมู่บ้าน โดยใช้งบเพียง 60,000 ล้านบาท

2. การคมนาคม ผมเสนอให้มีการจัดทำบริการรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การลดฝุ่นละออง pm2.5 ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้พลังงานโดยประชาชนจะใช้รถส่วนตัวน้อยลง และยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา การทำงาน การประกอบธุรกิจของประชาชนครั้งใหญ่ ที่สำคัญ ยังเป็นการสร้างอุตสาหกรรมรถเมล์ไฟฟ้า เพราะในอนาคตเทรนด์โลกคือการใช้รถไฟฟ้าอยู่แล้ว รถเมล์ในไทยจะถูกทยอยเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด หากเราไม่พัฒนาอุตสาหกรรมไว้รองรับ สุดท้ายก็จะต้องซื้อจากจีน แทนที่จะสร้างงานและอุตสาหกรรมให้กับคนไทย โดยการทำรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด จะใช้งบประมาณ 88,000 ล้านบาท

3. การทำประปาดื่มได้ ประเทศที่เจริญแล้วล้วนมีน้ำประปาที่ดื่มได้ เพื่อลดรายจ่ายของประชาชน โดยจากข้อมูลของ Rocket Media Lab คนไทยต้องทำงานถึง 27 นาทีเพื่อซื้อน้ำกิน 1 วัน แต่คนฝรั่งเศสใช้เวลาเพียง 9 นาทีเท่านั้นในการทำงานเพื่อให้ได้เงินมาซื้อน้ำกิน 1 วัน น้ำประปาอาจสามารถทำให้ดื่มได้ใน 99 วัน และยังมีการพัฒนาต่อยอดติดตั้งสมาร์ทมิเตอร์ เพื่อตรวจวัดคุณภาพน้ำ และออกบิลค่าน้ำอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้คนเดินจดมิเตอร์ สิ่งนี้สามารถเกิดได้ทั่วประเทศ โดยใช้งบ 67,000 ล้านบาท ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงน้ำประปาสะอาดระดับดื่มได้ทั่วประเทศ และยังก่อเกิดอุตสาหกรรมชิปและสมาร์ทมิเตอร์อีกด้วย

4. สิ่งแวดล้อม การจัดการขยะเป็นสิ่งที่เราลงทุนน้อยเกินไปมาก เมื่อเทียบกับการจัดการเมืองด้านอื่น ทำให้ขยะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ในเทศบาลตำบลหนองพอก ร้อยเอ็ด คณะก้าวหน้าได้ทำให้เห็นแล้วว่า หากท้องถิ่นจริงจังในการแยกขยะเศษอาหารจากขยะแห้งและขยะรีไซเคิล จะสามารถลดปริมาณขยะได้ทันทีอย่างน้อย 50% และสามารถฝังกลบหรือเผาขยะ และขายขยะต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมเสนอให้ใช้งบประมาณ 120,000 ล้าน เพื่อลงทุนซื้อรถขยะที่มีประสิทธิภาพ สร้างบ่อขยะและโรงเผาขยะที่สะอาดปลอดภัยได้มาตรฐานสากล ไม่ปล่อยมลภาวะหรือสารพิษปนเปื้อน โดยการลงทุนขนาดใหญ่หลักแสนล้าน จะสามารถสร้างบ่อขยะและโรงขยะที่ดีเทียบเท่าญี่ปุ่นหรือเดนมาร์ก ที่มีระบบการจัดการขยะดีที่สุดในโลก และคณะก้าวหน้าได้เคยไปดูงานมาแล้ว โดยการสร้างโรงขยะจะต้องไม่เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของนายทุนหรือนักการเมือง แต่ต้องดึงต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียมาร่วมทุนในการสร้าง และไทยเรียนรู้เทคโนโลยีจากประเทศเหล่านี้ เพื่อนำมาต่อยอดสร้างโรงขยะที่ปลอดภัยเองในอนาคต

5. การศึกษา การลงทุนในการศึกษาเป็นสิ่งที่จำเป็นและคุ้มค่าอย่างสูงสุด เพราะในยุคเทคโนโลยีดิสรัปต์ คนรุ่นใหม่จำเป็นต้องเรียนทักษะของอนาคต เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อให้รอดจากภาวะ AI และระบบ automation เข้ามาแทนที่มนุษย์ ที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษาน้อยเกินไป เพราะมัวแต่คิดว่าเด็กอาชีวะต้องตีกัน ทั้งที่ในประเทศพัฒนาแล้ว ทักษะและวิชาชีพช่าง เป็นสิ่งที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีอย่างสูงและได้รับการสนับสนุนอย่างมากโดยรัฐ เราสามารถเพิ่มการลงทุนในโรงเรียนและอาชีวศึกษาได้ โดยอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อปรับปรุงอาคารสถานที่ อุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัย ให้กับโรงเรียน แห่งละ 500,000 - 3 ล้านบาท ตามขนาดของโรงเรียน และสถานศึกษาระดับอาชีวะ แห่งละ 20 ล้านบาททุกแห่งทั่วประเทศ รวมถึงอุดหนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาอีก 4,500 ล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาเด็กตกหล่นจากระบบ รวม 121,000 ล้านบาท

ทั้งหมดนี้ ผมขอย้ำว่า รัฐสามารถเลือกได้ว่ารัฐจะทำเอง หรือให้เอกชนเข้ามาทำ ทำให้งบประมาณ 456,000 ล้านบาทในการยกระดับประเทศ 5 ด้าน มีความยืดหยุ่นได้มาก ใช้จริงอาจน้อยกว่านี้ เพราะตัวเลข 456,000 ล้าน หมายถึงรัฐลงทุนทำเอง 100% แต่รัฐสามารถใช้บริการเอกชน ดึงเอกชนมาร่วมลงทุน ก็จะลดค่าใช้จ่ายของรัฐลงไป แต่ผมยืนยันว่าในการลงทุนร่วมกับเอกชน จะต้องไม่เป็นช่องทางให้เอกชนเข้ามาแสวงหาสัมปทาน เอากำไรเกินควรบนผลประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ แต่รัฐต้องตัดสินใจบนพื้นฐานของการจัดงบประมาณที่สมเหตุผล และได้คุณภาพบริการสาธารณะที่ดีสำหรับประชาชน

ประเทศไทยวันนี้ไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าเป็นประเทศที่เจริญได้โดยปราศจากเทคโนโลยี การใช้งบประมาณที่คุ้มค่าสูงสุด จึงเป็นการเอาปัญหาของประชาชนมาแปรเป็นโจทย์ที่รัฐต้องแก้ >> เป็นความต้องการที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ >> สร้างงานที่มีคุณภาพ >> สร้างเทคโนโลยีที่เราเป็นเจ้าของเอง

ซึ่งการทำประปาดื่มได้ ทำรถเมล์อีวี ทำโรงขยะที่มีมาตรฐาน ล้วนแล้วแต่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นของประเทศไทย

การใช้เงินเกือบ 5 แสนล้านพัฒนาประเทศ 5 ด้านนี้ หากไม่ใช้เงินกู้ 5 แสนล้าน แต่ใช้งบประมาณแผ่นดินปกติ ทยอยทำ 8 ปี ก็จะตกปีละ 60,000 ล้าน ผมเชื่อว่าสามารถหาได้โดยไม่จำเป็นต้องกู้เพิ่ม เพราะแต่ละโครงการต้องค่อยๆ ทยอยทำอยู่แล้ว ไม่สามารถเกิดขึ้นทีเดียวภายใน 2-3 ปีได้ และถึงแม้ 5 แสนล้านจะเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งหากนำมาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งประเทศ และยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทย เดินหน้าสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้าและมีรายได้สูง ไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนาอีกต่อไป

‘จิตแพทย์’ ห่วงคนไทย ‘ยอดฆ่าตัวตายสำเร็จ’ คาบเส้น WHO กำหนด ชี้ คนร่าเริงก็มีทุกข์ในใจ แนะ!! คนใกล้ตัวจับสัญญาณเปลี่ยนแปลง

(18 พ.ย.66) ที่สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ในงานสัมมนาวันผู้สูญเสียบุคคลใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตายนานาชาติ ครั้งที่ 4 โดยมี ผศ.พิเศษ นพ.ปราการ ถมยางกูร กรรมการสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ และสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย, สมาคมสมาพันธ์ผู้ดูแลไทย, เครือข่ายก่อการต้านเศร้า ร่วมในเวทีเสวนาด้วย

ผศ.พิเศษ นพ.ปราการกล่าวว่า ข้อมูลของทั่วโลกพบว่า มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จปีละเกือบ 1 ล้านคน หรือเฉลี่ยเป็นทุกๆ 40 วินาที จะมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน สำหรับข้อมูลในประเทศไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จเกือบๆ 8 ต่อแสนประชากร ขณะที่ประเทศเกาหลีสูงถึง 24 ต่อแสนประชากร ซึ่งตัวเลขที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ไม่ควรเกิน 8 ต่อแสนประชากร คำถามคืออะไรเป็นเหตุที่ทำให้เขาฆ่าตัวตาย เพราะ 1 คนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ จะมีผู้ได้รับผลกระทบอย่างน้อย 6-10 คน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้องหรือเพื่อน รวมถึงผู้ที่รู้ข่าวอย่างน้อย 100 คนที่ได้ร่วมสูญเสีย เสียใจไปด้วย ทั้งนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกากำหนดให้วันหยุดก่อนถึงสัปดาห์วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) เป็นวันรำลึกผู้สูญเสียคนใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตายนานาชาติ ซึ่งจัดกันมากว่า 20 ปีแล้ว

“การฆ่าตัวตายของคนใกล้ชิด เป็นเรื่องที่หลายคนเองไม่อยากรำลึกถึงสิ่งที่สูญเสีย เพราะว่าเป็นบาดแผลที่ข้างนอกดูดีแล้ว แต่ข้างในอาจจะยังเป็นหนองอยู่ ดังนั้นถ้าเราช่วยกันเยียวยาให้หายสนิท แผลนั้นจะดีมากขึ้น ซึ่งผลของการสูญเสียบุคคลใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตาย เป็นเรื่องที่คนใกล้ชิดทำใจได้ยาก และติดอยู่ในใจไม่สามารถทำให้หลุดออกไปได้ ซึ่งการทำกลุ่มบำบัดสามารถช่วยได้จริง ซึ่งประเทศไทยก็จะต้องมีการจัดงานนี้ขึ้นในอนาคต” ผศ.พิเศษ นพ.ปราการกล่าว

ด้าน นพ.ณัฐกร กล่าวว่า สมัยที่ยังไม่มีโลกโซเชียล คนที่คิดจะฆ่าตัวตายจะทิ้งจดหมายลาตาย หรือ Suicide note แต่ปัจจุบันนี้เปลี่ยนเป็นลักษณะของการโพสต์ในสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณการฆ่าตัวตายผ่านโซเชียล ทำให้ผู้ที่เป็นเพื่อนกันในโลกออนไลน์สามารถมาพบเห็นได้ ซึ่งตรงนี้จริงๆ ทุกคนสามารถแจ้งข้อมูลผ่านสายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 เพื่อแทรกแซงเหตุการณ์ไม่ให้ผู้นั้นฆ่าตัวตายได้สำเร็จ โดยขณะนี้มีเครือข่ายการป้องกันการฆ่าตัวตายร่วมกับตำรวจ ฉะนั้นไม่ว่าคนโพสต์อยู่จุดไหนของประเทศไทย ก็สามารถเข้าถึงจุดเกิดเหตุได้ภายใน 3 ชั่วโมง ทั้งนี้ ตั้งแต่ดำเนินการมา มีการเข้าไปช่วยเหลือกว่า 500 เคส และทุกเคสใช่เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

“ทุกคนอาจจะไม่ได้มีปรารถนาอย่างแรงกล้าในการปลิดชีพตัวเอง หลายเคสเป็นการส่งสัญญาณ ในสิ่งที่คนอื่นเรียกว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจ แต่แท้จริงแล้วเป็นการแสวงหาความช่วยเหลือ ซึ่งเราจะเห็นทุกวันว่าในโซเชียลมีเดียจะมีเรื่องประมาณนี้อยู่ทุกวัน หลายเคสมีเวลาไตร่ตรองอยู่ ซึ่งก็เป็นข้อดีในการให้ตำรวจเข้าไปช่วยเหลือและส่งต่อไปยังสถาบันจิตเวชรับการดูแลรักษาต่อได้” นพ.ณัฐกร กล่าว

นพ.ณัฐกร กล่าวว่า ขณะเดียวกันสื่อที่นำเสนอข่าวก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง ตนสงสัยมาตลอดว่าทำไมต้องพูดถึงข่าว เช่น “ดาราดังสวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้นสีแดง กางเกงขาสั้น 3 ส่วนสีดำ มือขวากำแว่นตาไว้แน่น โดยใช้สายสะพายกระเป๋าหนังผูกคอตัวเองไว้ที่ระแนงไม้” ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การรายงานข้อมูลที่จำเป็น โดยหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน ตนได้ไปถามตำรวจที่เข้ามาอบรมเรื่องป้องกันการฆ่าตัวตาย ทุกคนจำเหตุการณ์นั้นได้ว่า มือของบุคคลนั้นกำลังกำแว่นตาอยู่ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นเรื่องต้องจำ

นพ.ณัฐกร กล่าวต่อว่า ฉะนั้นสื่อที่นำเสนอเรื่องของการฆ่าตัวตาย หรือผู้มีปัญหาสุขภาพจิต ขอให้มีการพูดถึงทางออก เช่นสายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 หรืออธิบายช่องทางการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้คนอ่านนั้นได้รับทราบว่ามีทางออกและได้ใช้สติไตร่ตรองในเรื่องนั้นๆ

เมื่อถามถึงการสังเกตผู้ที่มีอารมณ์ดี มีพลังบวกมาก แต่สุดท้ายแล้วเลือกจบชีวิตตนเอง ผศ.พิเศษ นพ.ปราการ กล่าวว่า สัญญาณเตือนเหล่านั้นจะแสดงออกมาทางอารมณ์ มีความซึมเศร้ามีอารมณ์แปรปรวน หรือโมโหง่าย ประกอบกับพฤติกรรมการแยกตัวเอง ในบางรายอาจพูดถึงว่าตนเองอยู่ไปก็เป็นภาระผู้อื่น

“สำหรับผู้ที่ฆ่าตัวตายจะมี 2 ประเด็น คือ 1.ผู้ที่ส่งสัญญาณเตือนมาโดยตลอด ซึ่งคนรอบตัวจะต้องจับสัญญาณมันให้ได้ และ 2.การตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ที่เกิดจากมีความรุนแรงมากระทบจิตใจหรือความรู้สึก แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นคนสดใสร่าเริง ไม่แสดงความทุกข์ที่อยู่ในใจ ดังนั้นการสื่อสารเพื่อให้เขาได้พูดความทุกข์ที่อยู่ในใจก็จะช่วยให้เขาปลดปล่อยความรู้สึกเศร้าออกมาได้” ผศ.พิเศษ นพ.ปราการ กล่าว

ด้าน นพ.ณัฐกรกล่าวว่า สิ่งที่จะต้องดูคือ เขาดูเปลี่ยนไปจากปกติของเขา เช่น ความสัมพันธ์ทางสังคม แม้กระทั่งผู้ที่เป็นคนโลกส่วนตัวสูง (Introvert) ก็ยังจะมีเส้นหนึ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโลกภายนอก

“ฉะนั้นการดูว่าเขาเปลี่ยนไปนั้นต้องรู้ว่า คนคน นั้นไม่ต้องการที่จะไปเชื่อมต่อกับโลกภายนอก หรือสังคมข้างนอก หรือทำตัวคล้ายมือถือที่ไม่พร้อมรับสัญญาณใด” นพ.ณัฐกรกล่าว

‘อนุสรณ์’ โต้ ‘ธนาธร’ ปมเสนอ 5 ด้านพัฒนาประเทศ ชี้!! เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ที่รัฐบาลทำอยู่แล้ว

(18 พ.ย.66) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ระบุหากมี 5 แสนล้านบาท จะนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน สร้างรถเมล์ไฟฟ้า น้ำประปาดื่มได้ การจัดการขยะ ว่า ตนเห็นต่างจากนายธนาธร เพราะสิ่งที่นายธนาธรพูด เป็นโครงการที่เป็นระเบียบปฏิบัติประจำของรัฐบาลอยู่แล้ว หลายเรื่องก็มีความก้าวหน้าไปมาก หากจะนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็จะถูกใช้ผ่านบริษัทหรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กว่าจะส่งต่อถึงมือประชาชนต้องใช้เวลานาน

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล เป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่กระเป๋าเงินของประชาชนโดยตรง ไม่ผ่านคนกลาง เป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เงินจะสะพัด หมุนไปในหลายภาคส่วนหลายๆ รอบ ประชาชนจะมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยทันที การค้าการขายจะดีขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมจะโต ประเทศไทยไม่ได้มีเงินมาก

หากนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไปทำสวัสดิการแห่งรัฐก่อน เม็ดเงินนั้นจะไม่เกิดการหมุนเวียน เงินในกระเป๋าประชาชนไม่มี เศรษฐกิจก็ไม่โต เราจึงต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดเม็ดเงินให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าก่อน เพราะเป็นปัญหาเร่งด่วน จากนั้นเมื่อเศรษฐกิจโต รัฐบาลก็พร้อมจะยกระดับในการดูแลสวัสดิการประชาชนให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

“รัฐบาลเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนจากวิกฤตที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ วิธีคิด วิธีทำแบบเดิมๆ จึงไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาประเทศ ดิจิทัลวอลเล็ต คือ หนึ่งในนโยบายเรือธงที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่” นายอนุสรณ์ กล่าว

‘CPF’ อาสาสานฝันเด็กไทย พาไปดูงาน ณ ‘JAXA’ ญี่ปุ่น หลัง 3 การทดลองได้รับเลือกขึ้นทดสอบในสถานีอวกาศฯ

เมื่อวานนี้ (17 พ.ย. 66) เฟซบุ๊ก ‘NSTDA - สวทช.’ โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘🚀CPF อาสาร่วมสนับสนุนเด็กไทยไปองค์การสำรวจอวกาศ JAXA ประเทศญี่ปุ่น’ ระบุว่า…

ตามที่ สวทช. ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น จัดแข่งขันโครงการ Asian Try Zero-G 2023 และได้คัดเลือกแนวคิดการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของตัวแทนเยาวชนไทยที่ผ่านการคัดเลือก จำนวน 3 เรื่อง โดยแนวคิดทั้ง 3 เรื่องนี้จะนำไปทดลองจริงในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ โดย นายซาโตชิ ฟุรุคาวะ (Satoshi Furukawa) นักบินอวกาศญี่ปุ่นที่ปฏิบัติการบนสถานีอวกาศนานาชาติ ISS 

ซึ่งในการนี้ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้กำชับให้ สวทช. ดำเนินการทุกวิถีทางให้เด็กไทยได้ไปร่วมกิจกรรม ณ ประเทศญี่ปุ่น ล่าสุดทีมจัดกิจกรรมของ สวทช. ได้รับการติดต่อจากบริษัท CPF อาสาร่วมให้ทุนสนับสนุนโครงการดังกล่าว

สวทช. ขอขอบคุณ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ที่ได้ติดต่อขอร่วมสนับสนุนในการส่งเด็กไทยไปร่วมโครงการขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีของเยาวชนไทยที่จะได้นำความรู้ความสามารถไปแสดงในเวทีโลก

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF กล่าวว่า "CPF รู้สึกยินดีและร่วมชื่นชมน้อง ๆ เยาวชนไทยที่เก่งและมีความสามารถไม่แพ้ชาติอื่น จนได้รับคัดเลือกจากองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) ให้ไปทดลองโครงงานบน Kibo Module สถานีอวกาศนานาชาติ เรา CP แบรนด์อาหารของคนไทย อยากช่วยเติมฝันของน้อง ๆ ในโอกาสนี้ เพราะเราเชื่อในศักยภาพของคนไทย ที่ยังก้าวไปได้อีกไกลในเวทีโลก หากเราร่วมกันผลักดัน"

ทาง สวทช. ยินดีที่ก่อนหน้านี้ CPF ก็ได้ดำเนินโครงการ Thai Food-Mission to Space เพื่อยกระดับมาตรฐานอาหารไทย ก้าวสู่มาตรฐานใหม่ไปพิชิตมาตรฐานอวกาศ (Space Food Safety Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศรับประทาน ตามหลักเกณฑ์ขององค์กร NASA มาแล้ว และตอนนี้ได้ขยายโอกาสมาสานฝันน้อง ๆ ให้มีโอกาสในเวทีระดับโลกเพิ่มเติมขึ้นอีก สวทช. ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นในภารกิจการสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติและประชาชนทั่วไป รวมทั้งจะแสวงหาโอกาสให้เยาวชนไทยได้แสดงความสามารถและเข้าร่วมในกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ อย่างเต็มกำลัง

สำหรับแนวคิดการทดลอง 3 เรื่อง ได้แก่
1. เรื่อง ‘ก้อนน้ำทรงกลมกับแรงไฟฟ้า’ โดย นายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์ นักเรียน ม.5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย 

2. เรื่อง ‘การศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลสองลูกบนเส้นเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ’ โดย นายณัฐภูมิ กูลเรือน, นายจิรทีปต์ มะจันทร์, นางสาวฟ้าใหม่ คงกฤตยานุกุล และนายภูมิพัฒน์ รัตนวัฒน์ นักเรียน ม.5 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย 

3. เรื่อง ‘การออกกำลังกายท่าดาวทะเลภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ’ โดย นางสาววรรณวลี จันทร์งาม และนางสาวพุทธิมา ประกอบชาติ นักเรียน ม.6 โรงเรียนระยองวิทยาคม

อ่านรายละเอียดโครงการเพิ่มที่: https://www.nstda.or.th/home/news_post/sci-news-flash-asian-try-zero-g-2023-result/ 

‘สุวัจน์’ อิ่มบุญ ร่วมทอดกฐินวัดทุ่งสว่าง จ.นครราชสีมา ชี้!! โคราชครบ 555 ปี หวังดันเป็น Soft Power ดึง นทท.

(18 พ.ย. 66) ที่วัดทุ่งสว่าง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการฝ่ายฆราวาสและผู้แทนเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคีเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา ประจำปี พ.ศ. 2565 ถวายองค์กฐินและเครื่องไทยธรรมแด่ พระครูอุดมวรรโณภาส ประธานกรรมการฝ่ายสงฆ์ในฐานะเจ้าคณะตำบลในเมืองเขต 3 เจ้าอาวาสวัดทุ่งสว่าง

โดยมี นายประเสริฐ บุญชัยสุข นายกเทศบาลฯ นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พลตรีณรงค์ฤทธิ์ ด่านสุวรรณ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พร้อมผู้บริหารและสมาชิกสภา พนักงาน ข้าราชการในสังกัด ทน.นครราชสีมา และชาวโคราช 98 ชุมชน ร่วมกิจกรรมงานบุญกันอย่างชื่นมื่น โดยได้รวมยอดเงินทั้งสิ้น 1,007,224 บาท

นายสุวัจน์ กล่าวว่า วันนี้รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมทำบุญในพิธีทอดกฐินสามัคคี ที่ทางเทศบาลและพี่น้องประชาชนได้ร่วมกันจัดขึ้นคนแน่นมาก เรียกว่าแย่งกันทำบุญ สมกับคำว่า คนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน แม้ว่าเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก แต่ในเรื่องบุญเรื่องกุศล เรื่องช่วยเหลือ เรื่องการพัฒนาบ้านเมือง คนโคราชมีน้ำใจตลอด

“ปีนี้เมืองโคราชครบรอบ 555 ปี ถือว่าเก่าแก่มาก แสดงว่าเรามีโบราณสถาน มีหลาย ๆ สิ่งที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องช่วยกันรักษาเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลัง อย่างวัดทุ่งสว่างที่มาทอดกฐิน ถือเป็นวัดเก่าแก่เป็นส่วนหนึ่งของการได้ช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และรักษาของเก่าของเมืองโคราช” นายสุวัจน์กล่าว

นายสุวัจน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของเทศบาลท่านนายกฯ ประเสริฐกำลังทำโครงการอนุรักษ์รักษาเมืองโคราชโบราณสถานต่าง ๆ โดยเฉพาะคูเมืองที่ยาวทั้งหมด 5,400 เมตร ระยะทาง 5.4 กิโลเมตร ทำการทำนุบำรุงรักษา สร้างสวนสาธารณะ สร้างคูคลองกันใหม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเฉลิมฉลอง 555 ปี เมืองโคราช

“วันนี้ต้องทำสองเรื่อง คือ ทำเรื่องใหม่ สองทำเรื่องเก่า เรื่องเก่าต้องรักษาประเพณี การต่อยอด เรียกว่า ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ การรักษาสิ่งเก่า ๆ ของบ้านเมืองเอาไว้ แต่ขณะเดียวกันของใหม่ ๆ ก็ต้องมา อย่างเช่น รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ โดยแบ่งหน้าที่กันทำงาน คุณหมอวรรณรัตน์ ชาญนุกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พูดในสภาฯ ทุกอาทิตย์ ทวงสิ่งของต่าง ๆ โครงการต่าง ๆ ให้เมืองโคราช คุณเทวัญ ลิปตพัลลภ เข้าไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คุณวัชรพล โตมรศักดิ์ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ก็เอาโครงการเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยต่าง ๆ มาให้กับพี่น้องประชาชน

“เราต้องร่วมกันทำงานพัฒนาเมืองโคราช ดึงนักท่องเที่ยวมาโคราช รัฐบาลให้ความสำคัญกับซอฟต์พาวเวอร์ กีฬา ประเพณี วัฒนธรรม โอท็อปต่าง ๆ เรียกว่าของเก่า เพื่อที่จะดึงนักลงทุน นักท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นการทำงานที่เป็นทีมเวิร์ก เป็นการทำงานที่ดี” นายสุวัจน์ ระบุ

‘มาดามแป้ง’ ยัน!! พร้อมดูแล ‘ชนาธิป-พรรษา’ เต็มที่ หลังบาดเจ็บจากศึกฟุตบอลโลก ย้ำ!! ไม่มีใครอยากให้เกิด

(18 พ.ย.66) ‘มาดามแป้ง’ นางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทย ยืนยันพร้อมดูแล ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ พรรษา เหมวิบูลย์ เต็มที่ หลังได้รับบาดเจ็บระหว่างเกมเปิดบ้านพบกับ จีน ในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 พร้อมทั้งแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และขอขอบคุณไปยังต้นสังกัดของนักเตะทั้ง 2 คือ บีจี ปทุม และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รวมถึงสโมสรทุกสโมสรที่ให้ความร่วมมือ และสนับสนุนในการปล่อยตัวนักเตะมาร่วมทีมชาติไทยในครั้งนี้

“เรื่องอาการบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แป้ง ในฐานะผู้จัดการทีม แป้งพร้อมดูแลน้องทั้งสองอย่างเต็มที่ เหมือนเช่นที่ดูแลนักเตะทีมชาติไทยทุกคน ในทุกๆ ทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา เพราะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบหลักของผู้จัดการทีมในการดูแลทุกข์สุขของทีมให้ดีที่สุด โดยในส่วนของเจ (ชนาธิป) แป้งก็ได้ตามไปดูอาการด้วยหลังจบเกมที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งดีที่ผลตรวจออกมาว่า ไม่พบรอยแตกหักใหม่บริเวณข้อเท้าซ้าย และต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์ ทำให้คงไม่ได้เดินทางไปกับทีมที่สิงคโปร์ด้วย”

“เช่นเดียวกับ โย่ง (พรรษา) ที่ได้รับการตรวจตั้งแต่หลังจบเกม ปรากฏว่าพบกระดูกช้ำบริเวณหน้าเข่า และเอ็นอักเสบ ต้องใช้เวลาพักประมาณ 2 สัปดาห์เช่นกัน ซึ่งล่าสุดได้เดินทางกลับไปรักษาตัวต่อที่บุรีรัมย์แล้ว โดยแป้งต้องขอขอบคุณน้องทั้งสอง ที่มุ่งมั่น ทุ่มเทเพื่อทีมชาติไทย รวมถึงขอโทษ และขอบคุณไปยังสองต้นสังกัดของทั้งคู่อย่าง บีจี ปทุม และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ด้วยที่เข้าใจ แป้งหวังว่าทั้งคู่ จะฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว และแป้งจะคอยติดตามอาการบาดเจ็บของทั้งคู่อย่างใกล้ชิด และพร้อมดูแลทุกด้านอย่างเต็มที่”

“ส่วนผู้เล่นที่จะทดแทน เจ และโย่งนั้น เป็นหน้าที่ของมาโน่ในฐานะโค้ชเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะเราได้เตรียมเก็บตัวผู้เล่นและซ้อมกันมา 26 คน คือเรียกเก็บตัวมาเกินไว้ 3 คน เผื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณไปยังทุกสโมสรที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการปล่อยตัวด้วยค่ะ” มาดามแป้ง ปิดท้าย

โปรแกรมต่อไป ทีมชาติไทย เตรียมบุกเยือน สิงคโปร์ ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 เวลา 19.00 น. ช่อง 32 ถ่ายทอดสด

‘อัลท์แมน’ ผู้ก่อตั้ง ChatGPT โดนปลดพ้นเก้าอี้ซีอีโอ เหตุ ‘ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำองค์กร’

แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI บริษัทผู้พัฒนา ChatGPT ถูกคณะกรรมการปลดออกจากตำแหน่งแบบฟ้าผ่า หลังจากบอร์ดแจ้งเหตุผลไม่ได้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในความรับผิดชอบงาน

เมื่อวานนี้ (17 พ.ย. 66) บริษัท OpenAI ออกแถลงการณ์ระบุว่า คณะกรรมการบริหารของ บริษัท OpenAI ได้ประกาศในวันนี้ว่า แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอบริษัท OpenAI และลาออกจากคณะกรรมการบริหาร โดยคณะกรรมการได้แต่งตั้งให้ มิรา มูราติ (Mira Murati) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัท ดำรงตำแหน่งซีอีโอชั่วคราว โดยมีผลทันที

แถลงการณ์ ระบุอีกว่า การพิจารณาอัลท์แมนออกจากตำแหน่ง เป็นไปตามกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการ ซึ่งสรุปได้ว่า "เขาไม่ได้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับคณะกรรมการอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในความรับผิดชอบต่องาน"

ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการ จึงไม่มีความมั่นใจในความสามารถในการเป็นผู้นำของ OpenAI อีกต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อแถลงการณ์บริษัทเผยแพร่ออกไปได้สร้างความสั่นสะเทือนวงการ AI อย่างมาก รวมถึงสร้างความประหลาดใจให้คนภายในบริษัท เพราะก่อนหน้าในช่วงเช้าวันเดียวกันอัลท์แมนยังคงส่งอีเมลถึงพนักงาน

สำหรับประวัติ แซม อัลท์แมน เกิด 22 เมษายน ค.ศ. 1985 ที่รัฐ Missouri สหรัฐอเมริกา เขาสนใจคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเด็ก โดยในปี 2003 เข้าสมัครเรียนปริญญาตรีด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ Stanford มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ แต่เรียนได้ปีเดียวก็ลาออกเพื่อมาทุ่มให้กับแอปพลิเคชัน Loopt ที่ร่วมกับเพื่อนผ่านบริษัท Y Combinator

ปี 2012 แซม อัลท์แมน ทำเงินได้ถึง 43.4 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท จากการขาย Loopt ให้บริษัทการเงิน Green Dot

ปี 2014 แซม อัลท์แมน เลื่อนจากหุ้นส่วนขึ้นเป็นประธาน Y Combinator และยังเคยรักษาการ CEO ให้ Reddit ช่วงสั้น ๆ ทำให้รู้จักคนดังในแวดวงเทคโนโลยีจำนวนมากรวมทั้ง Elon musk นำไปสู่การก่อตั้ง OpenAI ศูนย์วิจัยด้าน AI ขึ้นในปี 2015

โดย Microsoft ให้ความสนใจและให้เงินสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและสามารถเปิดตัวแชตบอต ChatGPT ซึ่งสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก

‘ชุดเทพธิดาอาณาจักรอยุธยา’ ถูกเลือกลงหนังสือพิมพ์ ‘เอลซัลวาดอร์’ พร้อมยกให้เป็น 1 ใน 10 ชุดที่ดีที่สุด บนเวที Miss Universe 2023

(18 พ.ย.66) เป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก เมื่อสื่อเจ้าภาพเอลซัลวาดอร์ คัดเลือกชุดประจำชาติของประเทศไทย ‘ชุดเทพธิดาอาณาจักรอยุธยา’ ที่ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ สวมใส่ลงหนังสือพิมพ์ ‘เอลซัลวาดอร์’

โดยสื่อเจ้าภาพเอลซัลวาดอร์ ยกให้ ‘ชุดเทพธิดาอาณาจักรอยุธยา’ ที่ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ สวมใส่ เป็น 1 ใน 10 ชุดที่ดีที่สุดบนเวที Miss Universe 2023 

โดยสื่อของเอลซัลวาดอร์ได้โพสต์ภาพพร้อมคำบรรยายลงในหนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ ‘Diario El Salvador’ ว่า 

“Miss Universe Thailand นำเสนอเอกลักษณ์และวัฒนธรรมไทยในชุดสีทองและผมยาวดั่ง ‘พระแม่ธรณี’ ผู้ที่เป็นที่นับถือของคนในชาติมาตั้งแต่ประวัติการณ์"

ทั้งนี้ ร่วมส่งกำลังใจให้ 'แอนโทเนีย โพซิ้ว' ในรอบการประกวด Final Competition ได้ ผ่านการถ่ายทอดสดทางช่องJKN18 ตั้งแต่เช้าตรู่เวลา 7 นาฬิกาเป็นต้นไป ในวันพรุ่งนี้ 19 พฤศจิกายน 2566 ตามเวลาประเทศไทย

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง ‘90 ปี หอการค้าไทยกับการพัฒนาของเศรษฐกิจไทย’

เมื่อวานนี้ (18 พ.ย.66) นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง ‘90 ปี หอการค้าไทยกับการพัฒนาของเศรษฐกิจไทย’ ว่า ต้องชมเชยรัฐบาลที่เพิ่งผ่านไป นำโดยนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องการเงินการคลังก็ทำได้ดี จีดีพีต่อหนี้ของประเทศเพียง 61% คนอื่นเกิน 100% ต้องชมเชยว่าดูแลอย่างดี แต่วันนี้เศรษฐกิจของโลกมันไม่เหมือนปกติแล้ว วันนี้วินัยการเงินมันดีเกินไป ถ้าดีเกินไปก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าโลกกำลังเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจของระดับโลก ยกเว้นอเมริกาที่ทุกคนก็เชื่อการเงินอเมริกา พอขึ้นดอกเบี้ยเงินกลับไหลเข้าอเมริกามาก แม้มีหนี้สูงเกิน100% สูงกว่าจีดีพี คนก็ยังให้ความเชื่อมั่นการเงินของอเมริกา

“ในความคิดผม รัฐบาลชุดใหม่ ผมมีความเชื่อมั่นสูงมากว่าเข้ามาในเวลาที่ถูกต้องแล้ว ที่จะมาแก้ไขเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะท่านนายกเศรษฐา ผลงานของท่านทำธุรกิจอสังหาฯใหญ่มากเป็นที่หนึ่ง การเงินการคลังท่านบริหารได้อย่างเยี่ยมออกบอนด์ 4% กว่า แสดงว่าท่านไม่ใช่เป็นนักธุรกิจอสังหาอย่างเดียว ท่านเป็นนักบริหารการเงินอย่างยอดเยี่ยมในเหตุการณ์วันนี้ของโลก ผมมีความมั่นใจที่ออกมาตรการมานี้ผมคิดว่าทุกอย่างถูกต้อง วันนี้เศรษฐกิจไม่ปกติ การกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ใช้วิธีปกติในการกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้เป็นวิกฤตเศรษฐกิจ ไม่ใช่ประเทศไทย แต่โชคดีที่ผมเพิ่งชมเชยไป รัฐบาลประยุทธ์ ผมก็ไม่กล้าพูดว่าไม่มีผลงาน เพราะเจอวิกฤตโควิด-19 ปาเข้าไป 3 ปี ทำได้แบบนี้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว”นายธนินท์กล่าว

นายธนินท์กล่าวว่า แต่วันนี้ไม่ใช่ ทั่วโลกเปิดแล้ว เช่น พักหนี้เกษตกรเห็นด้วยอย่างยิ่ง ไม่ใช่พักหนี้แล้วเสียวินัยการเงิน ถามว่าประเทศไหนในโลกนี้ ที่เจริญรุ่งเรื่องได้ ไม่ปกป้องราคาสินค้าเกษตรให้สูง เพราะสินค้าเกษตรเป็นน้ำมันบนดินของประเทศไทย คนมองว่าสินค้าเกษตรไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่ แต่พอปลูกเสร็จ ข้าวเปลือกขายเข้าโรงสีก็จบแล้ว ตัวเลขรายได้ไม่ใช่ของเกษตรแล้ว เป็นของอุตสาหกรรม แต่จะเพิ่มมูลค่าขึ้นอีก อย่างอ้อยเมื่อเกษตรกรขายอ้อยเช้าโรงสี โรงงานผลิตน้ำตาลก็กลายเป็นสินค้าของอุตสาหกรรมไปแล้ว ถ้าสินค้าเกษตรสามารถต่อยอด ให้เพิ่มมูลค่าขึ้นอีก 2-3 เท่า ประเทศไทยจะมีรายได้ที่สูงขึ้นอย่างแท้จริง เงินเข้าประเทศจะมากขึ้น และเก็บเกี่ยวไม่หมด แต่น้ำมันใต้ดินดูดแล้วหมด แต่น้ำมันบนดินเป็นพลังงานของมนุษย์ สำคัญกว่าน้ำมันใต้ดินอีก แต่น้ำมันหมดใช้นานเข้าก็หมด

“ผมอยากให้ช่วยกัน ไม่ใช่ว่าพอสินค้าเกษตรแพง ค่าครองชีพ ต้องจำกัดราคา หวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่เป็นแบบนี้ ถ้าราคาสูงต้องดูสินค้า เพราะแล้ง น้ำท่วม เป็นแมลงหรือเป็นโรค ถึงทำให้ของมันขาด แพงก็แค่ชั่วคราว เราต้องรีบจัดการพวกเหล่านี้ เพื่อเป็นระยะยาว ทำให้เพิ่มผลผลิต เกษตกรก็ร่ำรวยขึ้น คนซื้อก็ซื้อสินค้าเกษตรราคาถูกลง แต่ถ้าไปจำกัดราคาโดยไม่เข้าใจว่าทำไมสินค้าเกษตรแพง ดังนั้นคนจำกัดราคาก็ทำให้เกษตรกรยากจน ไม่ใช่ผมทำสินค้าเกษตรแล้วมาเชียร์” นายธนินท์ กล่าว

นายธนินท์ กล่าวว่า วันนี้คนยากจนส่วนใหญ่มาจากเกษตรกรเลยทำให้หนี้นอกระบบเกิดขึ้น อยากฝากนักธุรกิจ สมาชิกหอการค้าไทยช่วยกัน วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกพรรคการเมือง นักธุรกิจ ราชการ ต้องมองประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักและประชาชน ซึ่งนักธุรกิจประเทศ ประชาชนต้องมาก่อน บริษัทมาทีหลัง ถ้าประเทศอยู่ไม่ได้ ประชาชนไม่มีกำลังซื้อ แล้วพวกเราที่ผลิตสินค้าจะขายให้ใคร

“ทำให้นายกเศรษฐาออกเงื่อนไข ผมเห็นด้วยและผมสนับสนุนว่านี่ใช่แล้วที่กำลังกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท พวกเราต้องช่วยกัน คือ ไม่ใช่ไปช่วยเพื่อคนยากจน คือ กระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องให้เข้าใจ แล้ววินัยทางการเงินเราไม่ได้เสียเลย แต่ต้องมีแผนที่ 2 ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ผมเชื่อมั่นว่าถ้าพวกเราสามัคคีกันทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการ นักการเมือง มองประเทศชาติเป็นหลัก เอาตัวเองเป็นที่ 3 ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทย ภายใต้การนำของรัฐบาลชุดใหม่ต้องเจริญรุ่งเรืองแน่นอน” นายธนินท์ กล่าว

นายธนินท์ กล่าวว่า เวลานี้ใครๆ ก็อยากมาอยู่เมืองไทย เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤตเหมือนกัน แม้สหรัฐยังเป็นผู้นำเศรษฐกิจอยู่ แต่เงินเฟ้อ 4% และเศรษฐกิจโต 10% กว่า จึงมองว่าอย่าไปกลัวเงินเฟ้อ เพราะเงินเฟ้อที่ไม่มีเลยคือเงินฝืด ซึ่งมีความอันตราย เปรียบเหมือนเป็นความดันต่ำ ที่แจกยารักษาได้ยาก และถึงเวลาหนึ่งก็หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้ ทำให้หากเงินฝืดแล้วอาจทำให้เศรษฐกิจและประเทศชาติล้มละลายได้ ทำให้ห่วงที่สุดคือ เงินฝืด ทำให้วินัยการเงินเราเยี่ยมมากแล้ว นำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะธุรกิจในยุคต่อไป มีข้อเสนอแนะ คือ โลกมีวิกฤต แต่อาเซียน 10 ประเทศ ภาพตอนนี้ไม่เหมือนต้มยำกุ้ง แตกต่างกันสิ้นเชิง โดยเฉพาะไทย ที่ชื่อเสียงด้านการเงินของไทยอยู่อันดับต้นๆ ของอาเซียน ทั่วโลกจึงมองว่าอาเซียนทั้ง 10 ประเทศเป็นสถานที่น่าลงทุนมากสุด เศรษฐกิจกำลังเติบโต

นายธนินท์ กล่าวว่า ขณะที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเร็วเกินไป ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะไทยเนื้อหอม คนเก่งๆ อยากมาอยู่เมืองไทย แต่เราเข้าใจผิดและกลัวว่าจะเข้ามาแย่งอาชีพคนไทย ซึ่งมองว่าไม่ใช่ หากเรารู้จักทำกฎหมาย ชักชวนคนเก่งๆ เข้ามาทำงานในไทย ด้านที่คนไทยยังทำไม่ได้ และกลายเป็นคนไทยไปเลย อาทิ สหรัฐแทบไม่มีเชื้อชาติสหรัฐ แต่เป็นสัญชาติสหรัฐกันเยอะ โดยหากดึงคนเก่งเข้ามา 5 ล้านคน มีการจ้างเลขา 1 คนก็ 5 ล้านคนไทยที่ไม่ตกงานแล้ว ซึ่งการสร้างนักศึกษาที่ปีหนี่งจบ 4 แสนคนเท่านั้น ต้องใช้เวลาผลิตถึง 10 ปี หากจ้าง 2 คน ต้องใช้เวลาผลิตเป็น 20 ปี ทำให้การบอกว่าดึงคนเก่งเข้ามาแย่งงานคนไทยไม่เป็นจริง เพราะคนไทยยังไม่มีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ทำให้เกิดการจ้างงาน และการสร้างเศรษฐกิจให้ไทยแล้วยังสามารถดึงนักธุรกิจที่เป็นไฮเทคโนโลยีเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทระดับต้นๆ ในโลก แต่รัฐบาลจะต้องมีกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้

“ที่ผ่านมามีการพูดถึงการขายบ้านและที่ดิน 1 ไร่ให้ต่างชาติ ถูกหาว่าขายชาติ ซึ่งส่วนนี้มองว่าจะเป็นการขายชาติอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถนำที่ดินกลับไปได้ มองว่าคนไม่เข้าใจจึงบอกแบบนี้ จึงมองว่าวิกฤตของโลกถือเป็นโอกาสของประเทศไทย เชื่อมั่นว่าไทยมีความปลอดภัยมากสุด เพราะไม่รู้จะไปรบกับใคร 10 ประเทศอาเซียนมีความอุดมสมบูรณ์ เศรษฐกิจกำลังเติบโต วิกฤตจึงเป็นโอกาสของอาเซียนโดยเฉพาะไทย แม้เข้าสู่สังคมสูงวัยเร็วไปก็ไม่เป็นไร”  นายธนินท์ กล่าว

นายธนินท์ กล่าวว่า ภาคธุรกิจการผลิตเป็นตัวหนัก การขายออนไลน์เป็นตัวเบา ซึ่งตอนนี้เราต้องมองทั้งตัวเบาและตัวหนัก เพราะหากออนไลน์ขายได้มาก การผลิตก็ต้องผลิตมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ของออนไลน์ เพียงแต่ต้องผลิตให้มีความทันสมัยตามทันโลกมากที่สุด นอกจากนี้ มองว่ากำลังจะหมดยุคค่าแรงขั้นต่ำถูกๆ แล้ว เตรียมพร้อมสู่การจ้างงานผ่านการปรับค่าแรงขึ้น แต่ต้องทยอยเปลี่ยนแปลง ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย รวมถึงการสนับสนุนนักธุรกิจไทยผ่านรัฐบาลนำเงินเข้ามาช่วยนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเพิ่มเติม เพราะเอกชนไทยเก่งๆ มีเยอะ

สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ ดึงสื่อมวลชนมาเลเซีย อินโดนีเซีย และผู้ประกอบการ ร่วมโครงการเปิดแหล่งท่องเที่ยวแดนใต้ พบผู้บริหารผู้นำองค์กร พร้อมสัมมนาท่องเที่ยวสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ

สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย จัดประชุมคณะกรรมการสมาคมฯ เพี่อมอบหมายหน้าที่ต้อนรับและเตรียมความพร้อมการต้อนรับคณะสื่อมวลชนจากประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซียและผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยมี นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล  นายกสมาคมฯ เป็นประธานการประชุม ที่ประชุม นายตูแวดานียา มือรีงิง กรรมการบริหาร/ประธานอนุคณะกรรมการฝ่ายต่างประเทศ สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ผู้รับผิดชอบโครงการ“สานสัมพันธ์สื่อมวลชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยวคาบสมุทรมลายูครั้งที่ 1” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2566

นายตูแวดานียา กล่าวว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลาและสตูล เป็นจังหวัดที่ติดกับชายแดนประเทศมาเลเซีย มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ  ประเพณีวัฒนธรรม อาหาร แหล่งประวัติศาสตร์ และศาสนสถาน ซึ่งเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวไม่เฉพาะมาเลเซียเท่านั้น

“จนกระทั่งล่าสุดนิตยสาร Lonely Planet สื่อท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลก จัดอันดับจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดในปีหน้า 2567“Best in Travel 2024" “ภาคใต้ของไทย” ติด Top 10 ในหมวด “#ภูมิภาคที่น่าเที่ยวที่สุดในโลกในปี2024”Lonely Planet ระบุเหตุผลพร้อมอธิบายความโดดเด่น “ภาคใต้ของไทย” ไว้ว่า ยินดีต้อนรับสู่อีกภูมิภาคหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งมีมัสยิดวิจิตรงดงาม และมีศาลเจ้าอันลึกลับที่ซึ่งมีเสียงสวดมนต์อันไพเราะพร้อมเสียงระฆังของวัด

นายตูแวดานียา กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าวว่า เพื่อเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยเฉพาะเขตพัฒนาเศรษฐกิจ IMTGT  พร้อมกับมีการเชื่อมสัมพันธ์และกระชับมิตรระหว่างสื่อมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสื่อไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในการแลกเปลี่ยนข่าวสารต่อกัน

“เป็นการเชื่อมสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนแหล่งท่องเที่ยวไทย มาเลเซียและอินโดนีเซีย ระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้งสามประเทศ พร้อมกับเปิดมุมมองหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวในอนาคตและพัฒนาเศรษฐกิจ IMTGT (Indonesia Malaysia Thailand Growth Triangle)อีกด้วย”

“เราเองสามารถขยายพื้นที่การท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้กว้างขึ้นแล้ว ยังสร้างรายได้ให้กับพื้นที่ โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่มีงานทำเพิ่มรายได้  รวมถึงเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลและข่าวสารด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย มาเลเซียและอินโดนีเซียอีกด้วย”

นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรรมการทุกท่านได้ร่วมคิดร่วมทำในการเตรียมความพร้อมการเป็นเจ้าภาพต้อนรับสื่อมวลชนและผู้ประกอบการจาก 2 ประเทศ สิ่งที่เราทำครั้งนี้เป็นการคืนกำไรให้กับสังคม

“เมื่อเราเชิญเขามาแล้วคนที่ควรจะได้คือ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในมิติของการท่องเที่ยว การลงทุน และเศรษฐกิจ เพ่ราะฉะนั้น โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ วันนี้ในฐานะองค์กรสื่อเรากำลังจะทำและพร้อมที่จะดำเนินการตามโครงการดังกล่าว”

ทั้งนี้ โครงการสานสัมพันธ์สื่อมวลชนฯ เริ่มต้นวันแรกเข้าจากด่านเบตง จ.ยะลา จ.นราธิวาส จ.ปัตตานี จ.สงขลา พบปะเลขาธิการ ศอ.บต. ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารองค์กรการท่องเที่ยว ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

ชมแหล่งท่องเที่ยวอันซีนและแหล่งใหม่ของแต่ละจังหวัด และสัมมนาหัวข้อ”#ความร่วมมือการพัฒนาการท่องเที่ยวและเขตเศรษฐกิจIMTGT” ที่จังหวัดสงขลา ก่อนเดินทางกลับผ่านด่านสะเดา

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top