Monday, 16 June 2025
Region

ศรีสะเกษ - พิษโควิด "หมอลำสุนันทา" งานหด ต้องเปลี่ยนอาชีพมาปิ้งหมูนมสด ทำปลาเผาขาย หารายได้เลี้ยงครอบครัว

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 64  ที่สำนักงานหมอลำแม่บุญโฮม ตั้งอยู่เลขที่ 73/1 หมู่ 11 ต.หญ้าปล้อง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ  ซึ่งเป็นสำนักงานหมอลำที่มีหมอลำและดนตรีมาสังกัดอยู่หลายคณะด้วยกัน ทั้งคณะลำเรื่องต่อกลอน หมอลำเซิ้ง หมอลำหมู่ หมอลำทรง หรือหมอลำผีฟ้า หมอลำพื้น หมอลำผญา และหมอลำเพลิน ที่เป็นศิลปวัฒนธรรมของชาวอีสานและมักจะมีการจ้างหมอลำไปแสดงตามงานประเพณีต่าง ๆ เป็นประจำอยู่เสมอ 

ปรากฏว่า หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มานานร่วม 2 ปีแล้ว ทำให้บรรดาหมอลำที่มีอยู่ในสังกัดได้รับผลกระทบมีความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่า บรรดาเจ้าภาพที่มาจ้างหมอลำเอาไว้ได้พากันยกเลิกงานจ้างหมอลำทั้งหมด  เพราะเกรงว่า หากมีการจัดงานแล้วจะเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

บรรดาหมอลำต้องพากันเปลี่ยนอาชีพไปทำมาหากินอาชีพอื่นจนหมดสิ้น จนแทบจะทำให้อาชีพหมอลำสูญพันธุ์ไปเลยทีเดียว  เพราะว่า บรรดาหมอลำหากยังคงรอรับงานอีกต่อไปก็คงจะไม่มีรายได้อะไรมาเลี้ยงตนเองและครอบครัว

นางละมุล  พรหมมา อายุ  43 ปี  หมอลำกลอนชื่อดังของ จ.ศรีสะเกษ ในชื่อการแสดงคือ หมอลำสุนันทาไก่แก้ว เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา  งานจ้างหมอลำของตนจะเยอะมาก เดือนละประมาณ 5 – 6 งาน และหมอลำคนอื่นก็จะมีงานจ้างเข้ามาคิวแน่นมากเช่นกัน มีรายได้ต่อเดือน เดือนละ 20,000 – 30,000 บาท แต่ว่าหลังจากที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้บรรดาเจ้าภาพพากันยกเลิกงานจ้างหมอลำกันหมด  ส่งผลให้บรรดาหมอลำทุกคนต้องพากันเปลี่ยนอาชีพไปทำไร่ไถนา และรับจ้างทั่วไปเพื่อให้ได้เงินมาประทังชีวิต 

ส่วนตนนั้นยังคงปักหลักอยู่ที่สำนักงานแห่งนี้ แต่ว่าได้เปลี่ยนอาชีพจากการเป็นหมอลำมาทำหมูปิ้งนมสด ข้าวเหนียว ข้าวจี่ ตับย่าง หมูยอ น่องไก่ ทำปลาเผาขาย รวมทั้งรับทำข้าวกล่องด้วย เพื่อให้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว ที่จะต้องเลี้ยงลูกชาย 2 คน คนโตเรียนมหาวิทยาลัย  ส่วนลูกชายคนเล็กเรียนระดับมัธยมศึกษา มีรายได้วันละ 500-1,000 บาท บางวันก็ขายไม่ได้ 

โดยหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีเงินเหลือเล็กน้อยพอได้ใช้จ่ายในครอบครัว  หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หมดสิ้นไปแล้วตนก็จะกลับมารับงานเป็นหมอลำเช่นเดิมต่อไป เนื่องจากว่า ตนมีความชื่นชอบในอาชีพหมอลำมากนั่นเอง    


ภาพ / ข่าว ศิริเกษ  หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ. ศรีสะเกษ

ฉะเชิงเทรา – สนธิกำลังไล่ล่าขบวนการมอดไม้พะยูง กลางป่าบนภูเขานรกผีสิง

หมู่ที่ 5 บ้านหนองขาหยั่ง ผุ้ต้องหาใช้ความชำนาญเส้นทางป่าหลบหนี พบเพียงไม่พะยูง กว่า 10 ต้น ถูกโค่นรอการตัดทอนขนย้าย จากมีชาวบ้านหาเห็ดป่าแจ้งผุ้ใหญ่บ้านนำมาสู่ฝ่ายปกครอง ป่าไม้ ทหารพรานที่1306 ไฟป่า อนุรักษ์ ตำรวจ ผู้นำชุมชนลุยบุกป่าใช้เวลา 3 วันจึงปฏิบัติการสำเร็จ

เมื่อเวลา 07.30 น. วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 นายอาคม ชาติกปริญญ์ หัวหน้าหน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ท่าตะเกียบ นายสุริยกมล ไวยหงส์ ปลัดฝ่ายความมั่นคงท่าตะเกียบ สนธิกำลัง พ.ต.อ.พิพัชร์ พ่วงแพ ผกก.สภ.ท่าตะเกียบ รอ.สุระ โสรักนิษฐ์ รอง.ผบ.ร้อย.ทหารพรานที่1306 เจ้าหน้าที่ดับไฟป่า เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่อนุรักษ์ เจ้าหน้าที่กองร้อย อส.ท่าตะเกียบ ผู้นำชุมชน ปฏิบัติการร่วมไล่ล่าขบวนการมอดไม้พะยูง กลางป่าบนภูเขานรกผีสิง หมู่ที่ 5 บ้านหนองขาหยั่ง ต.คลองตะเกรา อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา จากที่ผู้ใหญ่ทะนง ศิริเล็ก ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 5 บ้านหนองขาหยั่ง แจ้งว่า มีชาวบ้านที่เข้าไปในป่าหาเก็บเห็ด พบกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังตัดไม้กลางป่า

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 64 ในวันแรกของการเริ่มปฏิบัติการร่วม และเมื่อไปถึงชายป่าบริเวณภูเขานรกผีสิงตามตำนานเล่าขานของชาวบ้านต่อ ๆ กันมาว่า เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ แต่มีคนหลงเข้าไปแล้วออกไม่ได้ต้องตายอยู่ในป่าหลายคน ได้มีการวางแผนในการเตรียมปฏิบัติการขึ้นเขานรกผีสิง ที่ต้องระมัอระวังเป็นอย่างดีบนความปลอดภัย หลังจากหน่วยราดตระเวนขึ้นไปชุดแรก และพบเห็นมีกลุ่มชายฉกรรจ์ของขบวนการมอดไม้จริง แต่ด้วยด้านบนเขามีหุบเหว ป่ารกร้างมาก จึงไม่สามารถทำการจับกุม ผุ้ต้องหาใช้ความชำนาญเส้นทางป่าหลบหนี พบเพียงไม่พะยูง กว่า 10 ต้น ถูกโค่นรอการตัดทอนขนย้าย

ด้าน นายอาคม ชาติกปริญญ์ หัวหน้าหน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ท่าตะเกียบ ต้องขอกำลังทหารพรานที่1306 จาก รอ.สุระ โสรักนิษฐ์ รอง.ผบ.ร้อย.ทหารพรานที่ 1306 ในการร่วมเฝ้าระวังและขนย้ายของกลางคือไม้พยูงจำนวน  29 ท่อน ปริมาตร 1.433 ลบ.ม. ราคาประเมิน เป็นเงิน จำนวน 375,250 บาท ลงจากบนภูเขานรกผีสิง ที่รกร้าง สูงชัน ใช้เวลาไปถึง 3 วัน จนกระทั่งเช้าตรู่วันนี้ จันทร์ ที่ 10 พฤษภาคม 64 จึงขนย้ายได้สำเร็จ เป็นไปด้วยความยากรำบาก ทุลักทุเล ด้วยมีฝนตกลงอย่างหนักทุวันในช่วงบ่ายและค่ำคืน

ผู้ใหญ่ทะนง ศิริเล็ก ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 5 บ้านหนองขาหยั่ง ต.คลองตะเกรา อ.ท่าตะเกียบ เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า มีชาวบ้าน ไปหาเก็บเห็ด แล้วไปพบเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ คือ ขบวนการมอดไม้ ที่กำลังทำการโค่นไม้พะยูง ตนจึงรีบแจ้งนายอำเภอท่าตะเกียบ ก่อนประสานป่าไม้ ทหารพรานที่1306 ปฏิบัติการร่วม  ด้านนายอาคม ชาติกปริญญ์ หัวหน้าหน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ท่าตะเกียบ ได้ทำการบันทึกพร้อมส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าตะเกียบ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฏหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ศักรินทร์ กิยาหัต

กระบี่ - โลกโซเชียลแห่ชื่นชม ทีมแพทย์พยาบาลโรงพยาบาลกระบี่ ผ่าคลอดหญิงป่วยโควิด-19 ได้สำเร็จ เป็นรายแรกของจ.กระบี่ ปลอดภัยทั้งแม่และลูก เผยต้องใช้ทีมแพทย์ พยาบาล และจนท. ถึง15คน

วันที่ 8 พ.ค.64  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ได้มีการแชร์ และชื่นชมกันเป็นจำนวนมาก  เมื่อผู้ใช้เฟซบุค “Jiravan Phaipana”  ได้โพสต์  ภาพและคลิปเรื่องราวที่สุดประทับใจ ขณะทีมแพทย์พยาบาล กำลังนำคนไข้หญิงที่ป่วยโควิด-19 ออกมาจากห้องผ่าตัดได้อย่างปลอดภัย ท่ามกลางการแสดงความยินดี  พร้อมข้อความระบุว่า “ภารกิจวันนี้ สำเร็จ ลุล่วงผ่านไปด้วยดีค่ะผู้ป่วย COVID-19 ผ่าตัดทำคลอดเคสแรก ของประวัติศาสตร์ รพ.กระบี่ #บันทึกในความทรงจำ เผื่อแจ้งเตือนในวัยเกษียณ #ขอบคุณในความเป็นทีมเวิร์คครั้งยิ่งใหญ่ค่ะ” หลังจากที่เธอได้โพสต์รื่องราวดังกล่าวออกไป ปรากฏว่ามีเพื่อน ๆ และเพื่อนชาวโซเชียล  ต่างเข้ามาแสดงความชื่นชมให้กำลังใจ แสดงความยินดีกันเป็นจำนวนมาก ที่สามรถผ่าคลอด ผู้ป่วยโควิด-19  ได้สำเร็จ นับเป็นรายแรกของจังหวัดกระบี่ 

ผู้สื่อข่าวสอบถาม ไปยังน.ส. จิราวรรณ ไพพะนา ผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งเป็นพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่ตึกผู้ป่วยในโรงพยาบาลกระบี่ ได้รับการเปิดเผยว่า ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายนี้เป็นผู้หญิง อายุ 33 ปี  อายุครรภ์ 39 สัปดาห์ ได้เข้ามารักษาตัวที่รพ. เมื่อวันที่ 5 พ.ค.64  ที่ผ่านมา และผู้ป่วยมีอาการเจ็บท้องคลอดสูตินรีแพทย์ประเมินว่ามีความจำเป็นต้องผ่าตัด และได้นำผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด เมื่อวานนี้ (7.พ.ค.64) ซึ่งได้มีการวางแผนซักซ้อมเป็นอย่างดี เพราะต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย ใช้เวลาในห้องผ่าตัดนาน 30 นาที ก็ทำการผ่าคลอดสำเร็จ เป็นทารกเพศหญิงสภาพร่างกายสมบูรณ์  จากนั้นผู้ป่วยก็อยู่ที่ห้องพักฟื้น30 นาที  ก่อนพากลับไปยังหอผู้ป่วย เบื้องต้นคนไข้ ไม่มีอาการแทรกซ้อนใด ๆ

น.ส. จิราวรรณ เปิดเผยอีกว่า การผ่าคลอดและดูแลต่อ ต้องใช้บุคลากรถึง 15 คน ในห้องผ่าตัด 5 คน ประกอบด้วยหมอผ่าตัด 1 คน  พยาบาลช่วยส่งเครื่องมือ 1 คน  วิสัญญี 1 คน พยาบาลผู้ช่วยดมยา 2 คน นอกจากนั้น ยังมีทีมรับเด็กไปตึกหลังคลอด 3 คน หมอเด็กอีก 1 คน พยาบาลเด็ก 2 คน ทีมเปล 3 คน และทีมพยาบาลดูแลอีก 3 คน 

“รู้สึกภูมิใจมากที่ได้มีส่วนร่วมในครั้งนี้ เป็นนครั้งแรกของกระบี่ แม้จะต้องมีความกดดันบ้าง แต่ก็ได้มีการซ้อมเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องความปลอดภัยของบุคลากร รวมทั้งแม่และเด็ก จนสำเร็จปลอดภัย แต่ก็พร้อมใจในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงเพียงใด แต่ด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ พร้อมที่จะช่วยเหลือคนป่วย คนไข้ทุกรายแน่นอน และขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนด้วย” น.ส. จิราวรรณ กล่าว


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์  ศรีปล้อง รายงาน

สงขลา - พลเอกประวิตรฯ ห่วงใยคณะสงฆ์และประชาชนไทยพุทธในชุมชนห่างไกลเมืองจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 และสิบวันสุดท้ายรอมฎอน 64 พร้อมสั่งการให้ทุกฝ่ายเร่งช่วยเหลือโดยด่วน

วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเร่งด่วนให้  ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับส่วนราชการและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นการด่วนที่สุดแก่คณะสงฆ์และประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธที่พักอาศัยบริเวณพื้นที่โดยรอบวัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยเฉพาะในพื้นที่หมู่บ้านและชุมชนรอบวัดที่ห่างไกลเมืองซึ่งมักพบว่ามีประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธเป็นจำนวนน้อยส่งผลให้การส่งเสริมกิจกรรมทางพุทธศาสนาไม่มีความสะดวกเท่าที่ควร บางพื้นที่มีประกาศงดปฏิบัติศาสนกิจของสงฆ์เป็นการชั่วคราว ทำให้พระและลูกวัดมีความเป็นอยู่และการปฏิบัติศาสนากิจประจำวันยากลำบากมากขึ้น ประกอบกับช่วงเวลานี้ เป็นช่วงสิบวันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน ประจำฮิจเราะห์ศักราช 1442/2564 ซึ่งมักเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่าในช่วงเวลาอื่น

ในการนี้ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า พลเอก ประวิตรฯ ได้มีความห่วงใยต่อเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก เพราะคณะสงฆ์และประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ โดยเฉพาะที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเมือง ล้วนได้รับผลกระทบ 2 ทาง ทั้งจากสถานการณ์โควิด-19 และเหตุการณ์ความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีการใช้ความรุนแรงเป็นจำนวนมากกว่าเวลาอื่น พร้อมนี้ ได้มอบหมายให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เร่งไปดำเนินการให้ความช่วยเหลือคณะสงฆ์และประชาชน มีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาความเดือดร้อนตามปัญหาข้างต้นทั้งในระดับพื้นที่ อาทิ การมอบหมายให้ส่วนราชการในจังหวัดรับผิดชอบดูแลให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของวัดและประชาชนในพื้นที่ห่างไกลในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง การจัดตั้งโรงครัวเพื่อจะได้ถวายอาหารแก่พระภิกษุสงฆ์สามเณรที่ไม่สามารถปฏิบัติศาสนากิจได้อย่างเต็มที่ตลอดห้วงเวลานี้ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ได้ประสานให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนการปฏิบัติงานให้กับหน่วยงานในระดับพื้นที่ต่อไปโดยไม่ชักช้า ดังนั้น หากคณะสงฆ์และวัดใดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประสบปัญหาและความเดือดร้อนในเรื่องใด ขอให้ประสานงานโดยตรงไปยังจังหวัด สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดและสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดที่ตั้งเป็นลำดับแรก หรือ อาจจะประสานไปที่ ศอ.บต. ทางสายด่วน ศอ.บต. 880

ภายหลังจากที่พลเอก ประวิตรฯ ได้สั่งการในข้างต้นนั้น ศอ.บต. ได้ลงพื้นที่พบปะเจ้าคณะประจำอำเภอในปัตตานี และเสาร์-อาทิตย์นี้ จะส่งทีมบัณฑิตอาสาในหมู่บ้านที่เป็นที่ตั้งของวัดและสำนักสงฆ์เพื่อจัดทำข้อมูลปัญหาและความเดือดร้อนของวัด พระภิกษุสงฆ์ สามเณรและประชาชนในพื้นที่ที่นับถือศาสนาพุทธโดยรอบวัดที่ห่างไกลและการดูแลให้ความช่วยเหลือยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรวบรวมปัญหาและความจำเป็นให้สำนักปลัด    สำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยเหลือเร่งบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของพระภิกษุสงฆ์ สามเณรและประชาชนตามที่รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ มอบหมายต่อไป

ทั้งนี้ มีการแสดงข้อมูลของพระอารามหลวง วัด สำนักสงฆ์ และที่พักสงฆ์ หรือ เทียบเท่า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีจำนวนทั้งสิ้น 392 แห่ง แบ่งเป็นวัด จำนวน 309 แห่ง สำนักสงฆ์ จำนวน 11 แห่ง ที่พักสงฆ์ จำนวน 72 แห่ง มีพระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งสิ้น 1,509 รูป และสามเณร รวมทั้งสิ้น 33 รูป มีชุมชนไทยพุทธที่อาศัยรอบบริเวณวัดที่เปราะบางและต้องการให้หน่วยงานรัฐเข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อน มากถึง 26 ชุมชน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการให้ความช่วยเหลือเพื่อธำรงไว้ซึ่งความเป็นพหุสังคมและวัฒนธรรมที่ดีงามของจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามนโยบายของรัฐบาล


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ปราจีนบุรี – เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบมือยิงหน้าห้างได้แล้ว พร้อมทำแผนประกอบคำรับสารภาพ

จากเหตุการณ์ที่มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงคู่อริ ที่บริเวณหน้าห้างแมคโคร สาขากบินทร์บุรี หมู่ 8 ต.เมืองเก่า อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้ในเวลาประมาณ  23.00 น. บริเวณถนนสายสุวรรณศร ทราบชื่อนายอภินันท์ โสมา จากการตรวจค้นร่างกาย  พบของกลาง ปืนสั้น 1 กระบอก พร้อมกระสุนอีก 4 นัด กระสุนปืน M16 จำนวน 130 นัด กระสุนปืนลูกซอง 5 นัด และระเบิด จำนวน 1 ลูก อยู่ภายในเป้  จึงได้ควบคุมตัวมาทำการสอบสวนที่  สภ.กบินทร์บุรี

เช้าวันนี้ (9 พ.ค. 64) พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง  ผบก.ภ.จว.ปราจีนบุรี ได้นำตัวนายอภินันท์ โสมา ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพบริเวณหน้าห้างแมคโคร กบินทร์บุรี โดยมีชาวบ้านมามุงดูเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ได้ทำแผนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง  ผบก.ภ.จว.ปราจีนบุรี กล่าวถึงสาเหตุในการก่อเหตุในครั้งนี้ โดยคนร้ายได้รับสารภาพว่า ตนเองมีเรื่องขัดแย้งกับนายวัฒนะ เรื่องงานประจำ ก่อนที่จะนัดเคลียร์ปัญญากันในช่วงเย็นเมื่อวาน ที่หน้าห้างแมคโคร  แต่การเจรจาไม่ลงตัว  ผู้ก่อเหตุอ้างว่าฝ่ายตรงข้ามยกพวกมาหลายคน และจะเข้ามาชกต่อยตน จึงได้ใช้อาวุธปืนที่เตรียมมายิงเข้าใส่กลุ่มของนายทรงกลด เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ก่อนที่จะหลบหนีออกนอกประเทศ ก่อนที่จะถูกจับตัวได้ 

นายอภินันท์  โสมา ผู้ก่อเหตุได้กล่าวขอโทษญาติของผู้สูญเสีย ตนเองทำไปเพราะต้องการป้องกันตัวเอง ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตใคร และตกใจที่ฝ่ายตรงข้ามยกพวกมากันหลายคน ส่วนการแจ้งข้อกล้าวหานั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ครอบครองอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัฒน์  กุลเศรษฐ์สุวภา ผู้สื่อข่าว จ.ปราจีนบุรี

กระบี่ – เตือนภัยรูปแบบใหม่ ดาบตำรวจหนุ่มเมืองกระบี่ โดนหลอกเช่ารถเก๋งป้ายแดงไปถอดชิ้นส่วนอะไหล่ เชื่อทำเป็นขบวนการ

วันที่ 11 พ.ค.2564 ด. ต. ศุภชัย กรรมการ อายุ 44 ปี  ตำแหน่งผบ. หมู่ กก. สส. ภ. จว. กระบี่ อยู่บ้านเลขที่ 296/2 ม.7 ต.ไสไทย อ.เมือง จ.กระบี่  เจ้าของรถเก๋งฮอนด้าซิตี้ สีขาว ป้ายแดงทะเบียน  ก 2331 กระบี่  ได้เข้าไปตรวจสภาพความเสียหาย  ของรถคันดังกล่าวภายในศูนย์ริการฮอนด้ามะลิวัลย์กระบี่ ม.2 ต.กระบี่น้อย อ.เมืองกระบี่ หลังนายพิชานัน  หรือตั้ม  เกียรติโอฬาร  อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 408/13  ถ.อุตรกิจ ต.กระบี่ ใหญ่ อ.เมืองกระบี่   ได้เช่าไปเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา แต่กลับนำไปจอดที่อู่แห่งหนึ่งใน พื้นที่ ม.2 ต.ทับปริก อ.เมืองกระบี่  จึงตามไปเอารถคืนปรากฎว่า รถอยู่ในสภาพห้องเครื่องมีร่องรอยถูกรื้อถอดชิ้นส่วนไปหลายรายการ   จึงได้ติดตามตัวนายพิชานัน มาสอบถาม ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าได้รื้อเอาอุปกรณ์ในรถไปจริง จึงได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สภ.เมืองกระบี่  เมื่อวันที่9 พ.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะมาตรวจสอบความเสียหายของรถและชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายไปเพื่อประเมินควรามเสียหายและแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหาลักทรัพย์

เบื้องต้นนายภูวดล ไชยบุญ หัวหน้าช่างประจำศูนย์บริการฯ กล่าวภายหลังการตรวจสภาพรถ ว่า การถอดอะไหล่ในลักษณะดังกล่าวตนไม่เคยเจอมาก่อน เพิ่งพบเป็นเคสแรก จากการตรวจสอบสภาพรถในเบื้องต้น พบว่ามีร่องรอยถอดอุปกรณ์ เช่น  ท่อไอเสีย แคทตาไลติก   และที่ชัดเจนมีชิ้นส่วนถูกถออดออกไป2 รายการ คือ แผ่นกันความร้อนคอท่อหลังเทอร์โบ1 ชิ้น  และแผ่นกันความร้อนเทอร์โบด้านบน 1 ชิ้น ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องกับตัวเทอร์โบ แต่ยังไม่ทันได้ถอดเทอร์โบ นอกจากนั้นยังพบว่ามีการใส่อะไหล่มาไม่ครบ และใส่น็อตไม่ตรงด้วย รวมมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น คาดว่าไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท 

ขณะที่ ด.ต.ศุภชัย เล่าให้ฟังว่า ตนเปิดบริการให้เช่ารถเป็นอาชีพเสริมในตัวเมืองกระบี่ก่อนเกิดเหตุ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 8 พ.ค.64 ที่ผ่านมา นายพิชานัน ฯ ผู้ต้องหาได้โทรศัพท์ติดต่อมาขอเช่ารถ พร้อมระบุเป็นรถฮอนด้าซิตี้ รุ่นใหม่ ป้ายแดง ซึ่งตนก็นมีรถรุ่นดังกล่าวเพิ่งซื้อมาได้ประมาณ 5 เดือน จึงได้ตกลงทำสัญญาเช่าเป็นเวลา1 วัน ในราคา 900 บาท โดยผู้ต้องหานัดคืนรถในเช้าวันที่ 9 พ.ค.64  โดยผู้ต้องหาได้โอนเงินมัดจำมาให้ 2 พันบาท และนัดมารับรถที่ ถนนปานุราช เขตเทศบาลเมืองกระบี่  เมื่อตรวจสอบรถในสภาพเรียบร้อย ผ็ต้องหาก็ขับรถไปทันที  ต่อมาช่วงเย็นวันเดียวกันตนสังเกตเห็นสัญญาณจีพีเอสที่ติดตัวรถ หยุดนิ่งผิดปกติเป็นเวลา 4 -5ชม.ที่ปั้มน้ำมันปตท.ไสไทย ก่อนเคลื่อนรถไปที่อู่รถยนต์แห่งหนึ่ง ในพื้นที่ม.2 ต.ทับปริก และรถจอดที่อยู่ดังกล่าวตั้งแต่4โมงเย็นจนถึงเช้า 

ด.ต.ศุภชัย กล่าวอีกว่า ขณะรถจอดที่อู่ดังกล่าว พบความผิดปกติ คือสัญญาณจีพีเอสหายไปประมาณ3 ชม. ตั้งแต่5โมงเย็นถึง3ทุ่ม เมื่อเห็นผิดสังเกตุ จึงโทรศัพท์ไปสอบถามผู้ต้องหาว่าจะคืนรถตามกำหนดหรือไม่ผู้ต้องหาก็รับปาก ตนจึงถามต่อว่าทำไมมาจอดที่อู่ ผู้ต้องหาตอบว่ามาดูรถที่ซ่อมไว้ ตนจึงกำชับว่าอย่าถอดอะไหล่รถที่ให้เช่าเขาก็รับปาก ต่อมาเช้าวันที่9 พ.ค.ถึงเวลานัดรับรถคืนแต่ไม่มาตามนัด  ตนพยายามโทรติดต่อแต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้ประสาน ผช..ผญบ  ม.2 ทับบปริก มาร่วมตรวจสอบที่อู่ดังกล่าวปรากฎว่าพบรถจอดอยู่ในสภาพไม่ล๊อคประตู และเปิดไฟในรถทิ้งไว้ ตัดสัญญานภาพกล่องบันทึก ในรถออก มีร่องรอยการถอดอุปกรณ์ โดยมีน๊อตตกอยู่ในกะโปรงรถ และร่องรอยการขันน๊อตหลายจุด พร้อมพบคราบน้ำมัน ของเหลว ภายในห้องเครื่อง จึงได้นำรถ มาตรวจสอบที่ศูนย์บริการดังกล่าว

เชื่อว่าผู้ต้องหาต้องการจะถอดเทอร์โบแต่ถอดไม่ทัน จากการประมวลเหตุการณ์ตนเชื่อว่านายพิชานันไม่ได้ลงมือเพียงคนเดียว อาจจะมีผู้ร่วมขบวนการ 2-3 คน และทางเจ้าของอู่น่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วย ซึ่งหลังจากนี้จะรวบรวมหลักฐานแจ้งความดำดำเนินคดีตามกฎหมาย  และให้เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลว่ามีผุ้ร่วมขบวนการหรือไม่อย่างไร  และอยากฝากเตือนเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้บริการให้เช่ารถได้ระมัดระวังด้วย เพราะตอนนี้มิจฉาชีพมาในหลายรูปแบบ ด.ต.ศุภชัย กล่าว


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์ ศรี

 

นราธิวาส - โควิด-19 พ่นพิษ แม่ค้าร้านเสื้อผ้านราธิวาสโอดครวญ เสื้อผ้ารับเทศกาล ’ฮารีรายอ’ ปีนี้ไม่คึกคัก

วันนี้ 10 พ.ค.64  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศร้านเสื้อผ้าย่านถนนพิชิตบำรุง ย่านธุรกิจ ต.บางนาค อ.เมือง จ.นราธิวาส  ก่อนเทศกาลฮารีรายออิฎิ้ลฟิตรี รีหรือเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของพี่น้องชาวมุสลิม ที่จะถึง ภายหลังที่ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศวันดูดวงจันทร์ เพื่อกำหนดวันฎิ้ลฟิตรี ในคืนวันที่ 11 พ.ค.64 นี้

โดยที่บริเวณถนนสายหอนาฬิกา ถนนพิชิตบำรุง เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ได้มีประชาชนออกมาซื้อเสื้อผ้า ผ้าโสร่ง รองเท้า เสื้อโตป หมวกกาปีเยาะ ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายแบบมุสลิม เพื่อใส่ไปละหมาดในวันฮารีรายออิฎิ้ลฟิตรี นี้ ก็มีประชาชนเดินทางมาจับจ่ายซื้อของกันอย่างคึกคัก

ขณะที่ น.ส นิสา นิแมเราะ อายุ 20 ปี พนักงานร้าน ELAMIN (แอลลานมีน) ตั้งอยู่ที่ถนนพิชิตบำรุง เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ให้ข้อมูลว่า ในปีนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีเหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดอย่างหนักในตอนนี้ และราคายางพาราที่ตกต่ำ ทำให้ประชาชนออกมาจับจ่ายน้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วง 10 วัน สุดท้ายของเดือนรอมฎอน จะมีประชาชนออกมาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้ากันอย่างคึกคัก และขายได้ดี ซึ่งปีนี้เศรษฐกิจย่ำแย่เป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีพี่น้องประชาชนออกมาจับจ่ายซื้อสินค้า แต่ส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาถูกลง เนื่องจากผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้มีกำลังในการซื้อสินค้าน้อยลง ทำให้ร้านค้าจำนวนมากต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าย่ำแย่

ทั้งนี้ จากการประกาศจากสำนักจุฬาราชมนตรี ให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศดูดวงจันทร์  กำหนดวันที่ 1 เดือนเชาวาล (วันอิฎิ้ลฟิตรี)  ฮิจเราะห์ศักราช 1442 ในวันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564  เวลาหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า หากมีผู้เห็นดวงจันทร์ แสดงว่า วันที่ 1 เดือนเชาวาล (วันอิดิลฟิตรี)  ตรงกับวันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564  หากไม่มีผู้เห็นดวงจันทร์ วันอิดิลฟิตรี ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564


ภาพ/ข่าว  ปทิตตา หนดกระโทก ผู้สื่อข่าวนราธิวาสรายงาน

กาฬสินธุ์ – อดีตพยาบาลสาว สร้างอาชีพสู้ภัยโควิด-19 ผันชีวิตทำเกษตรรายได้เดือนละแสน

อดีตพยาบาลสาวชาวอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ลาออกจากงานผันชีวิตมาทำเกษตรผสมผสาน สร้างอาชีพสู้ภัยโควิด-19 ทั้งเลี้ยงไก่ดำ ปลูกผักหวาน ปลูกไผ่ เลี้ยงด้วงขายสร้างรายได้เดือนละแสน

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีอดีตพยาบาลสาวได้ลาออกจากงานกลับมาบ้าน เพื่อมาทำเกษตรผสมผสาน ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงลงพื้นที่ไปที่บ้านเลขที่ 252 บ้านโนนสำราญ ม.5 ต.กุดสิมคุ้มใหม่ อ.เขาวง  จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นบ้านของ น.ส.ธัญลักษณ์ มหัทธนยศนันท์  อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นอดีตพยาบาลที่ลาออกมาทำการเกษตรและเปิดเป็นฟาร์มการเกษตร ชื่อพรเจริญฟาร์ม

โดย น.ส.ธัญลักษณ์ ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ตนทำงานเป็นพยาบาลโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ซึ่งในระหว่างที่ยังทำงานประจำอยู่ก็ได้ลองลงมือทำการเกษตร โดยการปลูกพืชก่อนเป็นอันดับแรกเช่น ปลูกกล้วย ผักหวาน ปลูกไผ่สายพันธุ์ต่างๆ ไว้ที่สวนของตนเองที่ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งจะเดินทางกลับมาดูแลสวนทุกๆวันหยุด จาก จ.ชลบุรี-มาที่ อ.เขาวง  จ.กาฬสินธุ์ ทำลักษณะนี้อยู่ประมาณ 2 ปี พบว่า การปลูกพืชอย่างเดียวยังไม่ตอบโจทย์ และรายได้ที่เข้ามายังน้อยมาก ทั้งนี้ที่ผ่านมาเคยศึกษาการเลี้ยงไก่ดำเชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองได้อย่างแน่นอน อีกทั้งหลังจากที่ทำงานมาหลายปีตนเองก็รู้สึกว่าเหนื่อยแล้วกับการทำงานที่ทำอยู่ ประกอบกับเป็นคนที่ชอบเรื่องการเกษตรอยู่แล้ว จึงตัดสินใจลาออกจากงาน กลับมาทำเกษตรแบบผสมผสานอย่างจริงที่บ้าน

น.ส.ธัญลักษณ์ กล่าวต่อว่า จากนั้นจึงลงมือทำการเกษตรแบบผสมผสานอย่างจริงจัง โดยมีพื้นที่ 6 ไร่ แบ่งทำนา 2 ไร่ สระน้ำเลี้ยงปลา 1 ไร่ ปลูกไผ่ 1 ไร่ ส่วนที่เหลือทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์หลายอย่าง ทั้งเลี้ยงไก่ดำ KU ภูพาน ขายลูกอายุ 21วัน ตัวละ 50 บาท อายุ 1 เดือนขายตัวละ 70 บาท อายุ 2 เดือนขายตัวละ 150บาท  ไก่ดำชำแระขายกิโลกรัมละ180 บาท โดยก็มีลูกค้าประจำทั้งต่างจังหวัดและแถวๆใกล้บ้าน ปลูกผักหวานเก็บยอดขาย กิโลกรัมละ 300 บาท และบางครั้งก็จำหน่ายเมล็ดด้วย ปลูกไผ่กิมซุงตัดหน่อขายโดยการชั่งเป็นกิโลกรัมๆละ50บาท เลี้ยงด้วงสาคูขายปลีก กิโลกรัมละ 250 บาท ราคาส่งกิโลกรัมละ 200 บาท

นอกจากนี้ยังเลี้ยงหนูนาหรือหนูพุกขายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ซึ่งจะขายเป็นชุด โดยหนูอายุ 3-4 เดือนตัวผู้ 1 ตัวและตัวเมีย 2 ตัว จะขายอยู่ที่ราคา 1,000บาท และขายเป็นหนูเนื้อกิโลกรัมละ 200-250บาท และตอนนี้กำลังวางแผนที่จะเลี้ยงหอยเชอรี่กับปลาไหลเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้มีรายได้ให้เข้ามาตลอดทั้งปี

น.ส.ธัญลักษณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการทำเกษตรผสมผสานและเลี้ยงสัตว์ที่ทำอยู่นั้น นอกจากจะเป็นสร้างอาชีพให้กับตนเองมีงานทำในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว อาชีพนี้ยังลดความเสี่ยงในการทำงานในสถานที่ที่มีผู้คนแอดอัดด้วย อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้ให้ตนเองและครอบครัวในการสู้ภัยโควิด-19  เฉลี่ยประมาณ 100,000บาท ต่อเดือน ซึ่งหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วจะเหลือเก็บเดือนละประมาณ 70,000-80,000 บาท ถือว่าเป็นรายได้ที่มากพอสมควรในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ ซึ่งจะเห็นว่าอาชีพการเกษตรนั้นยังมีเสน่ห์ มีอนาคต และสามารถสร้างรายได้แบบยั่งยืน เฉพาะในยุคโควิดระบาด หากเปลี่ยนวิธีคิด อย่างไรก็ตามสำหรับท่านที่ต้องการสอบถาม หรืองต้องการเข้ามาเยี่ยมชมฟาร์ม ก็สามารถสอบถามได้ทาง Facebook  ไก่ดำ ไก่บ้าน พรเจริญฟาร์ม หรือโทรสอบถามได้ที่เบอร์ 097-0821444

จันทบุรี - กองทัพเรือร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 กปช.จต. มอบอาหารพร้อมน้ำดื่ม และหน้ากากอนามัย จำนวน 500 ชุด บรรเทาความเดือดร้อน เขตเทศบาลเมืองจันทบุรี

วันนี้ (11 พ.ค.64) เวลา 1700 กองทัพเรือ โดย กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เดินหน้าจัดกิจกรรม "กองทัพเรือร่วมใจสู้ภัยโควิด-19" เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี โดย พล.ร.ต.ปริญญาธรรม พูลพิทักษ์ธรรม รอง ผบ.กปช.จต.พร้อมด้วย พล.ร.ต.อภิรักษ์ กลิ่นหม่น เสธ.กปช.จต. และจิตอาสาฯ ได้ทำพิธีส่งมอบอาหาร พร้อมน้ำดื่ม และหน้ากากอนามัยจำนวน 500 ชุด ให้แก่ประชาชนชุมชนย่อยที่ 10 เนินเอฟเอ็มและชุมชนย่อยที่ 14 บ้านมั่นคง เขตเทศบาลเมืองจันทบุรี  

โดยมีผู้เแทนจากเทศบาลเมืองจันทบุรี ผู้นำท้องถิ่น พัฒนาชุมชน เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนตามที่พักอาศัย เป็นการลดการแออัด การรวมกลุ่มของคนหมู่มาก เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว และในวันที่ 12 พ.ค.64 เป็นต้นไป หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ได้สนับสนุนรถครัวสนาม มาให้บริการประกอบอาหารแจกจ่ายให้กับประชาชนตามชุมชนที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  ชลาธร  รัตตพลสกุล / จันทบุรี

นราธิวาส – โจรใต้ตาย 1จับเป็น 2 หลบหนีไปได้ 1 หลังทหารบังคับใช้กฎหมายพื้นที่บาเจาะ

เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 11 พ.ค. 64 น.อ.ธงฉาน บุญระเทพ ผบ.ฉก.ทพ.นย.ทร. พ.ต.อ.ดุลมาน แยนา ผกก.สภ.บาเจาะ ได้ร่วมสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษร่วม จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ศูนย์ซักถามและรวบรวมข่าวสาร ฉก.นย.ภต. จำนวน 4 ชุดปฏิบัติการณ์ บังคับใช้กฎหมายในการบุกจู่โจมตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 7 จุด ในพื้นที่ อ.บาเจาะ เพื่อกดดันสมาชิกกองกำลังติดอาวุธในช่วง 10 วันสุดท้ายในช่วงเดือนรอมฎอน หรือ ถือศีลอด ในการป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่ง 1 ใน 7 เป้าหมาย เป็นบ้านปูน 2 ชั้น เลขที่ 3 ม.9 ต.บาเจาะ ที่เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังกันโอบล้อม ก่อนที่จะแสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น แต่คนร้ายที่หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว ได้ใช้อาวุธปืนสงครามและอาวุธปืนพก ยิงใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่จนทั้ง 2 ฝ่ายได้เปิดฉากยิงปะทะกันเป็นระลอกๆนานกว่า 15 นาที

เมื่อเสียงปืนสงบลงเจ้าหน้าที่ได้เคลียร์พื้นที่โดยรอบของบ้านหลังดังกล่าว พบศพนายซูไรดิน กะแต หรือ มะดง อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/2 ม.5 ต.บาเจาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส นอนจมกองเลือดเสียชีวิตอยู่ที่บริเวณด้านในของประตูหลังบ้านดังกล่าว โดยมีอาวุธปืนสงคราม AK102 จำนวน 1 กระบอก ตกอยู่ที่ข้างศพ และมีอาวุธปืนพกขนาด 11 ม.ม. ตกอยู่ห่างจากศพ ประมาณ 5 เมตร จำนวน 1 กระบอก และมีปลอกกระสุนปืนของคนร้าย ตกกระจายเกลื่อนทั่งบริเวณ จำนวนกว่า 100 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบและเก็บรวบรวมหลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง

ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว 2 พี่น้อง เจ้าของบ้านพักหลังดังกล่าว คือ นายกูอัฟนัน และนายกูอัมรัน กุพะมา มาทำการสอบสวนในเบื้องต้น พบว่าทั้ง 2 คน ไม่มีปะวัติอาชญากรรมและก่อคดีความมั่นคง เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวไปสอบสวนขยายผลที่ศูนย์ซักถามที่ ฉก.ทพ.นย.ทร. และจากการตรวจสอบประวัตินายซูไรดิน ผู้เสียชีวิต เป็นสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบระดับปฏิบัติการ มีหมายจับ ป. วิ  อาญา จำนวน 2 หมาย ซึ่ง 1 ในนั้น ก่อเหตุยิง 2 แม่ลูกเสียชีวิต คือนางนิตยา และน.ส.อัจฉริยา แก่นเรือง เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2561 ส่วนอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พบว่า อาวุธปืน AK102 คนร้ายใช้ก่อเหตุดักซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณป้อมจุดตรวจหลัง สภ.บาเจาะ เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2564 และใช้อาวุธปืนดักซุ่มยิงจุดตรวจบาตู ในพื้นที่ ต.ต้นไทร อ.บาเจาะ เมื่อ 8 เม.ย. 2561 ส่วนอาวุธปืนพก ขนาด 11 ม.ม. เป็นอาวุธปืนที่คนร้ายได้ขโมยจากอาสารักษาดินแดนมูฮำหมัดซับรี สาและ ประจำที่ว่าการ อ.บาเจาะ ที่คนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 มี.ค.2564 ที่ผ่านมา

ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย คือ อาสาสมัครทหารพรานนาวิกโยธินกำพล แก้วจำรัส อายุ 28 ปี ถูกกระสุนปืนของคนร้ายที่บริเวณข้อมือซ้าย เพื่อนทหารได้นำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลบาเจาะ

และจากการตรวจสอบคนร้ายที่สามารถหลบหนีไปได้ 1 คน คือ นายซูเฟียน ยูโซ๊ะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดกำลังในการติดตามไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด คาดว่าจะหลบหนีไปอาศัยบ้านพักของสมาชิกแนวร่วมหลังใดหลังหนึ่งในพื้นที่รอยต่อกับจุดเกิดเหตุ โดย พ.ต.อ.ดุลยมาน แยนา ผกก.สภ.บาเจาะ ได้สั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตามจุดตรวจจุดสกัดทุกจุดในพื้นที่ อ.บาเจาะ ตั้งจุดตรวจจุดสกัดในการตรวจสอบยานพาหนะทุกชนิด เกรงจะมีสมาชิกแนวร่วมในพื้นที่นำนายพาหนะมารับหลบหนี ซึ่งการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถตรวจสอบพบนายซูเฟียน ยูโซ๊ะ แต่อย่างใด


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top