Sunday, 8 June 2025
PoliticsQUIZ

‘ดร.หิมาลัย’ วอนหยุดด้อยค่า ส.ว. โหวตนายกฯ ชี้ เป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้อง

ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่คนจำนวนมากออกมาระบุว่า สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่ได้มาจากประชาชน ไม่ควรเกี่ยวข้องกับการโหวตนายกรัฐมนตรี ว่า การที่ สว.มีอำนาจในการพิจารณาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นสิ่งที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านการเห็นชอบจากประชาชน จากการทำประชามติมากกว่า 15 ล้านเสียง 

นั่นเท่ากับว่าคนส่วนใหญ่ เห็นชอบที่จะให้ สว.มีสิทธิ์โหวตนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้น จึงอยากจะวอนพี่น้องประชาชน ที่ไม่พอใจคนที่ตนเองเชียร์อยู่ไม่ได้รับความเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรี หยุดด้อยค่า หรือ ออกมาโจมตี สว.ที่ท่านทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และอำนาจที่ประชาชนให้มาก

ขณะเดียวกัน การจะอ้างคะแนนเสียง 14 ล้านเสียงที่ชนะการเลือกตั้ง แล้วระบุว่าตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว จะต้องได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้เป็นรัฐบาลนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะระบอบประชาธิปไตยมีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่าง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ อเมริกา ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และฮิลลารี คลินตัน 

ในครั้งนั้น ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า ฮิลลารี คลินตัน ได้รับคะแนนเสียงมหาชน (Popular Vote) มากกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ แต่กลับไม่ได้เป็นประธานาธิบดี เพราะทรัมป์ ได้รับคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) จำนวนมากว่านั่นเอง เพราะฉะนั้น ในระบบของสหรัฐอเมริกา แม้จะได้คะแนนเสียงจากมหาชน ก็ไม่ได้การันตีว่า คนๆนั้นจะได้เป็นประธานาธิบดีเสมอไป ในขณะที่ระบบเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบฝรั่งเศสนั้น จะยึดเอาคะแนนเสียงจากประชาชนโดยตรง 

“ระบบการเลือกตั้งของทั้ง 2 ประเทศ ที่มักอ้างว่าเป็นประเทศผู้นำด้านระบอบประชาธิปไตยของโลก ยังมีความแตกต่างอย่างชัดเจน และไม่อาจตัดสินได้ว่าประเทศใดมีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่ากัน เพราะถ้ายึดเอาคะแนนโหวตของประชาชนเป็นตัวตัดสิน นั่นเท่ากับว่า สหรัฐฯ เป็นเผด็จการ เพราะไม่ทำตามมติเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แต่ฝรั่งเศส เป็นประชาธิปไตยเช่นนั้นหรือไม่”

ดร.หิมาลัย กล่าวย้ำว่า ประชาธิปไตยมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการออกแบบให้เข้ากับประเทศนั้น ๆ ประเทศไทยจะใกล้เคียงกับ อังกฤษ และเยอรมัน ที่เป็นระบบรัฐสภา พรรคที่ได้จำนวน ส.ส.มากสุด ยังไม่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องไปรวมเสียงให้ได้จำนวนเสียงข้างมากในสภาให้ได้ก่อน และจะเห็นว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศเหล่านี้ หลายครั้งไม่ได้มาจากพรรคที่ได้ป๊อปปูลาร์โหวต

สำหรับประเทศไทย ในรัฐธรรมนูญได้เพิ่มอำนาจ สว. ในการพิจารณาเห็นชอบผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั่นเพราะเจตนารมณ์ต้องการให้คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อมาเป็นผู้นำประเทศ

ส่วนกรณีที่ สว.ส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบให้ ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ในการโหวตเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมานั้น ดร.หิมาลัย ให้ความเห็นว่า สว.ส่วนใหญ่ ท่านมีความกังวล ในเรื่องที่พรรคก้าวไกล มีแนวคิดที่จะแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายปกป้องสถาบันกษัตริย์ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ และเมื่อพิจารณาจากร่างข้อเสนอที่พรรคก้าวไกล เคยยื่นมานั้น หากพิจารณาให้ดี จะเห็นว่า ข้อแก้ไขที่ว่านั้น เท่ากับการยกเลิกก็ว่าได้ เพราะเสนอให้ลดโทษคนที่หมิ่นสถาบัน เหลือโทษเท่ากับหมิ่นประมาทคนทั่วไปเท่านั้น อีกทั้งยังให้องค์ประมุขแห่งรัฐลงมาร้องทุกข์กล่าวโทษเอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม 

“เหตุผลหลักที่สว.ท่านไม่ยกมือให้คุณพิธา เพราะมีความกังวลเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หากพรรคก้าวไกล จะยึดร่างเดิมที่เคยยื่นมาก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ก่อนหน้านี้มีการท้วงติง แต่ทางพรรคก็ยังยืนยันที่จะแก้ไขตามร่างดังกล่าว ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ ทำให้ สว.ท่านกังวล และโหวตไม่เห็นชอบ เพราะอย่าลืมว่า สถาบันกษัตริย์นั้นอยู่คู่ประเทศไทยมาช้านานกว่า 700 ปี พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ หลายพระองค์ได้ออกรบ ใช้เลือดเนื้อและชีวิต ปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทยมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่มาถึงปัจจุบันกลับมีนักการเมืองบางกลุ่มด้อยค่าสถาบันฯ เช่นนี้แล้ว เชื่อว่า ทั้ง สว.และคนที่มีความจงรักภักดี คงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน”

ครม. ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ‘นายกฯ อิ๊งค์’ ชี้ ยิ่งทำเร็วยิ่งดี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ - ท่องเที่ยว

นายกฯ เผย ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ยันกฤษฎีกาไม่ขวาง แต่ต้องปรับคำให้เข้ากับนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ชี้ยิ่งทำเร็วยิ่งดี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจดึงท่องเที่ยว งัดธุรกิจใต้ดินขึ้นมาบนดินให้ถูกกฎหมาย

(13 ม.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมีสาระเป็นการกำหนดให้มีกฎหมาย ว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น กำหนดให้มีคณะกรรมการสถานบันเทิงครบวงจร คณะกรรมการบริหารจัดตั้งสำนักงานสถานบันเทิงครบวงจร และมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการท่องเที่ยวในประเทศ และส่งเสริมการลงทุนในประเทศ และแก้ปัญหาการพนันที่ผิดกฎหมายในปัจจุบัน และทำให้เกิดผลดีในอนาคต ในภาพรวม เป็นหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืน ตามที่เคยแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไป

เมื่อถามว่า เมื่อ ครม.เห็นชอบแล้วจะสามารถส่งให้สภาพิจารณาได้เลยหรือไม่ หรือต้องนำความเห็นจากกฤษฎีกากลับมาเข้า ครม.อีกครั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นเฉย ๆ และก็บอกว่าไม่ได้ขวาง แต่จะปรับเนื้อหาข้างใน เพราะที่อ่านข่าวมามีบอกว่า ขวาง ยืนยันว่าไม่ได้ขวาง แค่จะปรับคำให้เข้ากับที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และหลังจากนี้ก็สามารถเข้าสภาได้เลย

เมื่อถามว่าเป้าหมายจะเป็นปีนี้เลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็พยายามเร่ง แต่กระบวนการต่าง ๆ จะผ่านอย่างไร ถ้าเกิดเร็วก็ดี เช่น ประเทศสิงค์โปร์ มีกาสิโน 10% และที่ท่องเที่ยวอีก 80 - 90% แม้ในอดีตจะบอกว่ามีน้อย แต่เมื่อมีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เข้ามา ก็ทำให้ GDP โตขึ้นอย่างมาก และจะเกิดผลดีต่อประเทศในอนาคต ถ้าผลักดันให้เกิดขึ้นได้ ส่วนรายละเอียดจกระทรวงการคลังจะแถลงอีกที

เมื่อถามต่อว่าข้อกังวลเรื่องมาเฟีย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องอยู่กับความเป็นจริง ทุกวันนี้มีการพนันไม่ถูกฎหมายเต็มไปหมด เพราะฉะนั้น การส่งเสริมการท่องเที่ยว จะเป็นการแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล ทำอะไรที่อยู่นอกกฎหมาย ทำให้กฎหมายครอบคลุมชัดเจน ชีวิตประชาชนปลอดภัยด้วย และเงินที่ได้ก็เป็นภาษีเข้าประเทศอีก ต้องมองว่าโลกปัจจุบัน ถ้าเอาทุกอย่างมาทำให้โปร่งใสได้ ก็จะเป็นประโยชน์ให้กับประเทศ เป็นเรื่องใหม่ในประเทศเรา เป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่เป็นไร เราต้องสื่อสารบ่อยหน่อย ฝากสื่อมวลชนถามคำถาม และจะให้กระทรวงต่าง ๆ ชี้แจงรายละเอียดเพื่อให้เข้าใจภาพรวมพร้อมกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีได้มีการสอบถามไปยังกฤษฎีกาว่าถึงความชัดเจนว่า เมื่อ ครม.ส่งให้กฤษฎีการปรับแก้คำให้ถูกต้องแล้ว แล้วสามารถส่งเข้าสภาพิจารณาเลยหรือไม่ ซึ่งทางกฤษฎีกาแจ้งกลับมาว่าจะต้องให้ ครม.ให้ความเห็นชอบอีกครั้งก่อนส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภา

'โรม' แฉ 'จีนเทา' เคยบุกถึงสภาฯ ขายงาน ห่วง ‘เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ ในไทยถูกใช้ฟอกเงิน

เมื่อวันที่ (14 ม.ค.68) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของฝ่ายค้านหลังจากที่ ครม.มีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ว่า ในเรื่องนี้ที่ผ่านมามีกลุ่มจีนเทามาถึงรัฐสภา เพื่อมาพรีเซนต์ราวกลับเข้ามาขายงาน ซึ่งกลุ่มจีนเทาไม่ใช่ใครคือบริษัท หย่าไถ้ คือเจ้าของชเวโก๊กโก ที่เป็นประเด็นมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นหากรัฐบาลจะเดินหน้าในเรื่องนี้ต้องเผชิญกับความต้องการ ความมุ่งหมายของกลุ่มจีนเทาที่จะเข้ามา ซึ่งตนเป็นห่วงว่าอาจจะเข้ามาในฐานะผู้ประกอบการ และอาจจะนำเงินที่ผิดกฎหมาย มาฟอกเงินผ่านคาสิโนที่จะเปิดขึ้นในประเทศไทย จึงคือสิ่งที่รัฐบาลจะต้องเตรียมการ ตนในฐานะ สส. แทบไม่เห็น รัฐบาลสื่อสารหรือออกมาพูดเรื่องนี้เลย และไม่เห็นความพยายามของรัฐบาล ที่จะทำความเข้าใจต่อประชาชน ดังนั้นส่วนตัวของตนเป็นห่วงว่าหากมีการเปิดคาสิโน สิ่งที่จะตามมาคือจะรับมือกับทุนจีนสีเทาอย่างไร

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ปัญหาที่สองคือเรื่องโครงสร้างกฎหมายระบบราชการ มีความพร้อมเพียงใดในการรับมือกับเรื่องนี้ นอกจากเจอปัญหาเรื่องบัญชีม้า ซิมม้า ปัญหาของทุนจีนสีเทาที่ใช้การฟอกเงิน และเจอปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน ดังนั้นคำถามคือรัฐบาล มีแนวทางการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร และประเด็นที่สาม เรื่องของความโปร่งใส ถ้าร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นร่างที่เคยมีการรับฟังความเห็น จากประชาชนมาแล้ว ตนมีความเป็นห่วงในเรื่องของการคอร์รัปชันที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสถานที่ว่าใครจะได้ประโยชน์ในการเลือกให้ใบอนุญาต ตนจึงเป็นห่วงว่า อาจเกิดปัญหาเรื่องการล็อกสเป็ก ดังนั้นเมื่อนำเหตุผลมาประกอบทั้งหมดตนจะมีความกังวลจริงๆ ว่าการที่รัฐบาลจะเร่งรัดเรื่องของ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อาจจะอันตรายต่อประเทศไทยได้

เมื่อถามเหตุผลของรัฐบาลที่จะดึงเม็ดเงิน 1 แสนล้านบาท เข้าสู่ประเทศจึงเกิดการเร่งรัดในเรื่องนี้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าประเทศไทย กำลังเจอปัญหา 2 อย่าง คือการถูกดึงเม็ดเงินออกด้วยธุรกิจสีเทาด้วยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 1 แสนล้านบาท เรื่องพนันออนไลน์ และ ปัญหายาเสพติด ซึ่งก็เข้าใจว่าทุกรัฐบาลอยากให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามา แต่ประเด็นประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อ จะได้เม็ดเงินเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ซึ่งอย่าลืมว่าเรื่องนี้ต้องมีคู่แข่ง เช่น มาเก๊า สิงคโปร์ หรือที่โอซาก้าประเทศญี่ปุ่น หากมีการสร้างสำเร็จ อาจทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น ขณะเดียวกันในพื้นที่ กทม. ก็มีโรงแรมและห้องประชุม ครบอยู่แล้ว เพียงเติมคาสิโนเข้าไป ก็กลายเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือเช่นที่พัทยา และ ภูเก็ต ก็มีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว เติมคาสิโนไปก็เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ดังนั้นแทบจะไม่มีความจำเป็น จะต้องคิดถึงการลงทุนจำนวนมากมายมหาศาล

อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปดูนโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล (พรรคประชาชนเดิม) จะพบว่า ทางพรรคฯ มีนโยบายเกี่ยวกับคาสิโนเอาไว้เช่นกัน โดยอยู่ข้อที่ 286 และ 287 จากนโยบาย 300 ข้อ 

โดยข้อ 286 ระบุว่า คาสิโนถูกกฎหมาย รัฐกำกับดูแล 
- อนุญาตให้ เสนอให้มีคาสิโนอย่างถูกกฎหมายโดย
- จำกัดอายุผู้เล่น ไม่ต่ำกว่า 20 ปี
- จำกัดฐานะของผู้เล่น โดยกำหนดรายได้ขั้นต่ำของผู้ที่จะมีสิทธิเล่นได้ ยึดตามรายได้ที่แจ้งต่อสรรพากรในปีภาษีก่อนหน้า
- จำกัดจำนวนคาสิโน โดยถ้าจังหวัดไหนจะมีคาสิโนได้ ต้องออกเป็น พ.ร.ฎ. กำหนดพื้นที่และจำนวนคาสิโนที่จะออกใบอนุญาตได้
- มีคณะกรรมการการพนันและขันต่อเป็นผู้ออกใบอนุญาต รวมทั้งกำหนดประเภทของการพนันและขันต่อที่จะมีในคาสิโนได้

ขณะที่ ข้อ 287 ระบุว่า คาสิโนออนไลน์ถูกกฎหมาย รัฐกำกับดูแล

- ออก พ.ร.ฎ. กำหนดจำนวน และให้คณะกรรมการฯ ออกใบอนุญาต-ควบคุม เหมือนเป็นคาสิโนปกติ
- ข้อกำหนดอายุและข้อกำหนดอื่นเป็นเหมือนคาสิโนปกติ บัญชีธนาคารที่ผูกกับบัญชีคาสิโนต้องเป็นชื่อของตัวเองเท่านั้น
- การพนันขันต่อบางอย่างอาจแตกต่างกันกับคาสิโนปกติ เช่น การพนันผลการแข่งขันกีฬา
- ต้องทำเรื่อง National Digital ID ให้ดี เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการสวมรอยเข้ามาเล่นพนันโดยคนที่ขาดคุณสมบัติ

‘ปธ.กมธ.อุตสาหกรรม’ ต้อนรับรัฐมนตรีไอซีที สปป.ลาว พร้อมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ ในโอกาสมาร่วมประชุม ADGMIN

(15 ม.ค.68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วานนี้ (14 ม.ค. 68) ตนและคณะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายบ่อเวียงคำ วงศ์ดารา รัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร สปป.ลาว และภริยา พร้อมด้วยนายคำพัน อั่นลาวัน เอกอัครราชทูตลาวประจำประเทศไทย ที่เดินทางมาประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ADGMIN ครั้งที่ 5 ณ กรุงเทพมหานคร มีนายพวงประเสริฐ แก้วสะหวัน ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร ของ สปป.ลาว และคณะ ร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย

‘แกนนำ คปท.’ ชี้ 'อิ๊งค์' อาจมีสิทธิ์หลุดจากเก้าอี้นายกฯ เซ่นตั้ง 'หมอเลี้ยบ' นั่งรองประธานที่ปรึกษาของนายกฯ

เมื่อวันที่ (14 ม.ค.68) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า “รัดแน่นกว่าเดิม”

กรณี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี อาจขาดคุณสมบัตินั้น ก็น่าสนใจ

เลขาฯกฤษฎีกา ท่านก็บอกให้กลับมาศึกษาการตีความ ซึ่ง กฤษฎีกาเคยตีความไว้แล้วนั้น

มีอีกกรณี และน่าจะหลายกรณี เมื่อเทียบเคียงกับการตีความของกฤษฎีกา เทียบเคียงกับกรณีของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มีลักษณะตีความคล้ายกันเป๊ะ ๆ

น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นเดียวกัน ก็เข้าข่ายชัดเจนเมื่อเทียบกับ กรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง

เหตุเพราะ

1.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ก็มีตำแหน่ง รองประธานที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี

2.ประธานคณะกรรมการพัฒนาการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ

3.กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯเป็นประธาน

เมื่อเทียบเคียงกับกรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เมื่อครั้งเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แล้วยังรับตำแหน่งประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ด้วย

ซึ่ง ประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย นั้นเป็นตำแหน่งที่ กฤษฎีกา ตีความว่า เป็นตำแหน่งที่มีลักษณะ "ควบคุมบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญ"

เมื่อมาเทียบเคียงกับกรณี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แล้ว ตำแหน่ง ที่นายกฯแพทองธาร ชินวัตร มอบให้ในข้อ 2-3 ที่เขียนมาตอนต้น เหมือนกับ กรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้รับมอบหมายชัดเจน

เช่นนี้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ดังนั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีสิทธิ์หลุดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแน่นอน

เมื่อมีรัฐบาลขายแผ่นดิน - ฝ่ายค้านล้มล้างสถาบัน แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร? อย่าคิดว่าประเทศไทยจะไม่ล้ม

(21 ม.ค. 68) ปีสองปีมานี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยหันไปทำอาชีพค้ายาเสพติดกันมากขึ้น ไล่ตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ แบบแอบขายปลีกตามซอกซอย ไปจนถึงนักค้ารายใหญ่ อาชีพรองลงมาก็คือเป็นเจ้ามือหวย มีตั้งแต่หวยเถื่อนปกติที่หนึ่งเดือนมีสองครั้ง กับหวยเถื่อนแบบตั้งวงเล่นในหมู่บ้าน มีให้คนหาเช้ากินค่ำแทงเล่นได้ทุกวันทั้งเช้าและเย็น และส่วนใหญ่ชาวบ้านก็จะหมดตูดกันถ้วนหน้า

รัฐบาลเด็กอมมือนอมินีในสายเลือดของ “นักโทษเทวดา” ก็ยังสนับสนุนให้ประชาชน “รอเงินแจก” เมื่อไร้สมอง และไม่มีวิสัยทัศน์ในการบริหารชาติให้ก้าวหน้าก็กลับมาเล่นแผน “ประชานิยม” ตามสูตรเดิม ส่งเสริมให้คนไทยที่กำลังขี้เกียจให้ขี้เกียจทำงานหนักขึ้นกว่าเก่า 

ยังไม่นับการเดินหน้าสนับสนุนให้มีบ่อน เพื่อตอกย้ำการมอมเมาผู้คนให้สิ้นเนื้อประดาตัวในระยะยาว และที่ชั่วได้คลาสสิคที่สุดก็คือการเอื้อให้เขมรได้อณาเขตทางทะเลไทยไปหากินแบบง่าย ๆ ดีที่ยังมีคนไทยส่วนมากตื่นรู้ กล้าหาญออกมาปกป้องแผ่นดินของเราเอง รัฐบาลที่มีแผลอยู่เต็มตัวจึงไม่กล้าออกอาวุธส่งเดช ทุกอย่างจึงยังไปไม่สุด ก็ต้องจับตากันไปมาแบบไม่กะพริบ 

รัฐบาลไทยยามนี้มีแต่ “ความโลภ” จึงเดินหน้าดึงชาติให้ตกต่ำเพื่อ “ผลประโยชน์” ของตนเองเท่านั้น แทบไม่มีผลงานใดที่จะโชว์ให้สังคมโลกเห็นว่าเป็นความปรารถนาดีต่อคนไทยได้เลย แต่ถึงจะบริหารประเทศได้ย่ำแย่ ตกต่ำกว่าทุกยุคสมัยแค่ไหน แต่ฝ่ายค้านของเราก็ยังนิ่งเฉย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ยังคงวางแผนเดินเกมลับเพื่อล้มสถาบันดังเดิม เพียงแต่หนนี้หันไปเล่นเกมในสภา เพราะถ้าจะหลอกใช้เด็กวัยรุ่นให้ไปติดคุกแทนด้วยการแตะ 112 ด้วยการ “เขียนกำแพงวัดพระแก้ว” อีก แผนชั่วนี้คงใช้ไม่ได้ผล เด็ก ๆ ตื่นจากความโง่จนรู้เท่าทัน “กลลวงของพรรคส้มเน่า” แล้ว การมีพรรคฝ่ายค้านในเวลานี้ก็ไม่ต่างจากการเอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายให้นักการเมืองที่ไม่ทำหน้าที่ ถ้านำเงินไปเลี้ยงหมาจรจัดตามข้างถนน เรายังจะได้ “ความซื่อสัตย์จากสุนัข” มากกว่า 

ถึงวันนี้ เราจึงมีแต่นักการเมืองโลภ ไร้คุณภาพ และไร้วิสัยทัศน์ จึงยากที่ประเทศไทยจะอยู่อย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ ที่พึ่งสุดท้ายคือประชาชนแบบเรา ๆ ถ้ายังอ่านคนไม่ขาด ดูนักการเมืองไม่ออก ยังคงหลงกลนักการเมืองซ้ำ ๆ เดิม ๆ ก็ตายหมู่แน่นอน 

ปล่อยไว้แบบนี้ อย่าคิดว่าประเทศไทยจะไม่ล้ม 

ช้าหรือเร็ว เท่านั้นเอง

‘อนุ กมธ. ขับเคลื่อนนโยบายบริหารราชการรูปแบบพิเศษ’ จี้ ‘กทม.’ ทำงานเชิงรุก บังคับใช้กฎหมายเข้มแก้ฝุ่น PM 2.5

(22 ม.ค. 68) คณะอนุกรรมาธิการศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ ในคณะกรรมาธิการการกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่นและการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการ

ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาและรับฟังข้อมูล ความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร การจัดทำแผนลดฝุ่นและแผนบริหารจัดการฝุ่น PM 2.5 ตลอดจนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการได้เสนอกรณีศึกษาการดำเนินการของต่างประเทศเพื่อเป็นต้นแบบให้กรุงเทพมหานครพัฒนาวิธีการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ให้เป็นในเชิงรุกมากขึ้น โดยขอให้กรุงเทพมหานครยึดหลักปฏิบัติเหมือนประเทศเกาหลีใต้ "คุณภาพชีวิตของประชาชนยิ่งใหญ่กว่าเงินตราที่เสียไป (The value of human beings is far greater than that of money)" พร้อมทั้งคณะอนุกรรมาธิการได้มีข้อเสนอแนะให้พิจารณามาตรการ ปิดไซท์ก่อสร้างเพื่อเป็นการกดดันรถบรรทุกที่ปล่อยควันดำในทางอ้อม และติดตั้งป้ายเตือนค่าฝุ่น PM ในบริเวณสถานที่สาธารณะ เช่น ป้ายรถเมล์ และทางเข้าสวนสาธารณะทุกแห่งเพื่อให้เป็นมาตรการระยะสั้น และสำหรับมาตรการระยะยาว จากที่มีการประกาศกำหนดเขตมลพิษต่ำ Low Emission Zone ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 – 24 มกราคม 2568 นั้น อนุกรรมาธิการขอให้ปรับหลักเกณฑ์ ให้มีความเข้มข้นมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาในเชิงรุกมากกว่านี้

สำหรับเรื่องการปิดโรงเรียน คณะอนุกรรมาธิการได้ตั้งคำถามว่าโรงเรียนที่ปิดไปแล้วมีการเรียนออนไลน์หรือไม่หรือไม่มีการเรียนการสอนเลย ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าในบางโรงเรียนมีการเรียนออนไลน์ และในบางโรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนชดเชยได้ ซึ่งกรณีนี้หากกรุงเทพมหานครออกประกาศกำหนดพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ จะสามารถแจ้งผู้ปกครองล่วงหน้าให้เตรียมความพร้อมและแผนรับมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการเรียน

นอกจากการพิจารณาปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพมหานครแล้ว คณะอนุกรรมาธิการยังได้มีการพิจารณาการดำเนินโครงการก่อสร้างทางยกระดับอ่อนนุช – ลาดกระบัง ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้การดำเนินโครงการยังมีความล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด เนื่องจากมีการปรับแบบของโครงการใหม่ และภายหลังเหตุการณ์ทางยกระดับทรุดตัวเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างได้ดำเนินการเยียวยากลุ่มผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว เป็นเงินจำนวน 8,280,886 บาท (แปดล้านสองแสนแปดหมื่นแปดร้อยแปดสิบหกบาท) สำหรับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดำเนินการเยียวยาเสร็จสิ้นแล้ว 356 ราย คงเหลือ 25 ราย ที่อยู่ระหว่างการเจรจา

คณะอนุกรรมาธิการยังได้มีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมกรณีการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรโรยัลปาร์ควิลล์ ซึ่งเมื่อคณะอนุกรรมาธิการรับฟังข้อมูล ข้อเท็จจริงจากผู้เกี่ยวข้องแล้ว ได้แนะนำให้ผู้ร้องประสานงานกับกรมที่ดินเพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารประกอบการยื่นคำขอจัดตั้งนิติบุคคลให้ถูกต้อง ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แล้วจึงยื่นคำขอจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรอีกครั้ง

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งที่คณะอนุกรรมาธิการได้พิจารณาคือปัญหาที่อยู่อาศัยของข้าราชการและลูกจ้างกรุงเทพมหานคร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอาคารสงเคราะห์ไม่เคยได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมทั้งระบบ จึงเป็นเหตุให้โครงสร้างอาคารชำรุดทรุดโทรม ระบบสาธารณูปโภคเสื่อมสภาพ เกิดท่อรั่วท่อแตก ระบบความปลอดภัยใช้การไม่ได้ และมีห้องพักชำรุดไม่สามารถจัดคนเข้าพักอาศัยได้กว่าหนึ่งพันห้อง ทั้งนี้ คณะอนุกรรมาธิการเห็นว่าหากกรุงเทพมหานครได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ เพื่อปรับปรุงอาคารสงเคราะห์ข้าราชการและลูกจ้างประจำของกรุงเทพมหานครให้ครอบคลุมทั้งระบบ จะส่งผลให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงและซ่อมแซมอาคารสงเคราะห์ สามารถนำรายรับไปปรับปรุงและพัฒนาสภาพแวดล้อม และสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้พักอาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว ยังสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านที่พักอาศัยให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ขึ้นบัญชีรอเข้าพักอาศัยกว่าหนึ่งพันครอบครัว ซึ่งจะเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน มีแรงขับเคลื่อน และมุ่งมั่นในการปฏิบัติราชการให้แก่กรุงเทพมหานครอย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไป

‘สกลธี’ ยก ‘ปักกิ่งโมเดล’ เป็นแนวทางแก้ปัญหาฝุ่นพิษ ชี้ ต้องทำทันที พร้อมมีแผนงานชัดเจน – เข้มงวด – ต่อเนื่อง

(27 ม.ค. 68) นายสกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ว่า ปักกิ่งโมเดล 

ช่วงนี้เมื่อสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 รุนแรงมากโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองใหญ่ หลายท่านอาจจะเคยได้ยินการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 แบบ “ปักกิ่งโมเดล” แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ผมจะเล่าคร่าวๆ ให้ฟังครับว่าก่อนหน้านี้กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนเคยประสบปัญหา PM 2.5 อย่างรุนแรงพอๆ กับกรุงเทพฯ ช่วงนี้ แต่ทางเมือง + รัฐบาล ได้มีแผนและเริ่มบังคับใช้อย่างจริงจังประมาณช่วงปี ค.ศ 2013 เชื่อไหมครับว่าใช้เวลา 4-5 ปี พอหลังปี ค.ศ . 2017 ค่าฝุ่น PM 2.5 เริ่มลดลงได้ถึงประมาณ 35 % และยังเข้มงวดกวดขันอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เค้าไม่ได้ทำแค่ 1-2 ปีครับ ช่วงแรกที่เริ่มจะเห็นผลใช้เวลา 4-5 ปี และมีแผนระยะยาวพร้อมกวดขันและเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นเค้าก็รู้เหมือนเราแหละครับว่าสาเหตุของฝุ่น PM 2.5 มาจากอะไรเป็นหลัก คือ การเผา มลพิษอุตสาหกรรม การสันดาปของเครื่องยนต์เมื่อการจราจรติดขัด แต่ที่ต่างคือมีการวางแผนและบังคับใช้อย่างเข้มงวดสไตล์พี่จีนครับ 

หลายท่านที่เคยไปปักกิ่งจะทราบครับว่าปักกิ่งก็คล้ายๆ กรุงเทพฯ คือมีโรงงานอุตสาหกรรมทั้งในเขตกรุงปักกิ่งเองและวงรอบนอก แต่ที่ยิ่งกว่าเราคือเค้ามีโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งหนักกว่าเราอีกครับ เค้าทำยังไงครับ ??? ก็ปิดเลยสิครับ โรงไฟฟ้าถ่านหิน 4 แห่งทยอยปิดใน 4 ปี ปิดโรงงานก่อมลพิษหลายร้อยโรง โรงงานที่ยังเหลืออีกหลายพันโรงต้องปรับปรุงให้ผ่านมาตรฐานไม่ปล่อยมลพิษถึงจะอยู่ได้

ยังไม่พอครับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กรุงปักกิ่งเพิ่มสวนสาธารณะกว่า 30 แห่ง ทำให้ปัจจุบันประชาชนปักกิ่งมีค่าเฉลี่ยพื้นที่สีเขียว 1 คน ประมาณ 17 ตร.ม. (ในขณะที่คนกรุงเทพฯ ประมาณ 7 ตร.ม.) และยังคงมีแผนเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง

รัฐบาลและกรุงปักกิ่งยังได้ทยอยเปลี่ยนรถโดยสารประจำทาง รถแท็กซี่ และรถที่เป็นของหน่วยงานราชการเป็นพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด (EV) และเพิ่มโครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะให้ครอบคลุมทั่วถึงสร้างความสะดวกสบายและเข้าถึงง่ายให้ประชาชน

ส่วนเรื่องเผา สไตล์จีนเรื่องเข้มงวดไม่เป็นสองรอใครอยู่แล้วครับ มีการดำเนินการกวดขันและจับกุมอย่างเข้มงวดจริงจัง มีการตั้งตำรวจสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเพื่อดูแลในเรื่องนี้

ในเรื่องของการจราจร มีการใช้ทั้งการควบคุมมลพิษจากรถยนต์โดยการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า EV และผลักดันสถานีชาร์จใช้ครอบคลุมเมืองอย่างทั่วถึง รวมถึงการเน้นขนส่งทางรางและทางน้ำมากขึ้น (ซึ่งอันนี้ของเราผมงงมากเพราะผู้บริหาร กทม. ชุดปัจจุบันพยายามเลิกและผลักภาระในส่วนนี้ไปให้รัฐบาลทำแทน ) 

หรือเข้มขนาดที่ว่ากำหนดวันใช้รถเลขคู่เลขคี่ ซึ่งอันนี้บ้านเราคัดค้านกันมากแต่ถ้าถึงเวลาจำเป็นก็ต้องทำครับ นี่ยังไม่นับการเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจรเป็นระบบอัจฉริยะใช้ AI ทำให้การปล่อยสัญญาณจราจรลื่นไหลไม่ตามอำเภอใจของมนุษย์ 

จะเห็นได้ว่าเมืองปักกิ่งและรัฐบาลจีนได้ใช้ทุกกระบวนท่า ในการที่จะทำให้ค่าฝุ่น PM 2.5 ลดลงอย่างจริงจัง ที่สำคัญที่สุดคือเค้ามีแผนและเริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง โดยใช้เวลาหลายปีถึงจะดีขึ้น แต่ของเราแค่มาแอคชั่นกันตามฤดูกาลพอฝุ่นหมดก็จบกัน 

เห็นด้วยครับว่าเรื่องฝุ่นต้องเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกหน่วยงานทั้งท้องถิ่นและส่วนกลางต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่น เช่น กทม. กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง…แต่ต้อง “ทำเลย” ครับ อย่ารอให้ถึงปีหน้า แล้วมาบ้ากันอีกที

'นิพิฏฐ์' สะกิด 'อภิสิทธิ์' อย่าเพิ่มกำลังให้ศัตรู หลังเตรียมไปพัทลุงหาเสียง นายกอบจ. ให้คู่แข่งพรรค ปชป.

(28 ม.ค.68) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง โพสต์เฟซบุ๊กข้อความว่า ศึกนี้ผมไม่รบ ทราบว่า พรุ่งนี้ ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมาปราศรัยให้ผู้สมัครนายกฯอบจ.ท่านหนึ่ง ที่จ.พัทลุง

ท่านอภิสิทธิ์ ก็ทราบแล้วว่าผมทราบเรื่องนี้แล้ว และท่านก็ท่านทราบแล้วว่าผมคงจะเสียใจ เพราะผมอยากให้ท่านเป็นกลาง ทุกคนสมัครอิสระ ให้คนพัทลุงเขาแข่งขันกันเองดีกว่า มีคนโทรไปห้ามท่านแล้วแต่ท่านก็จะมา ผมไม่โกรธท่านหรอก ใจผมเลยจุดนั้นไปนานแล้ว ผมเคารพการตัดสินใจของท่าน แต่ท่านคงลืมอะไรไป 3-4 เรื่อง

1.ผู้สมัครนายกอบจ. ที่ท่านจะมาช่วยปราศรัยนั้น เขาลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว และ ไปขอสมัครลงในนามพรรคประชาชน แต่พรรคประชาชนไม่รับ เขาจึงลาออกจากพรรคประชาชน แล้วมาสมัครอิสระ แต่ความจริงไม่อิสระหรอก มีพรรคการเมืองหนึ่งเป็น 'อีแอบ' หนุนหลังอยู่ และประกาศว่าจะทำการเมืองสีขาว ถ้าพรรคนี้ทำการเมืองสีขาว แล้วคนพัทลุงยังเชื่ออีกก็น่าหัวเราะล่ะ

2.ท่านอภิสิทธิ์ ไม่ควรมาหรอก แม้ท่านประกาศว่า บัดนี้ ท่านไม่สังกัดพรรคใด ๆ แล้ว และท่านประกาศจะสังกัดพรรคเดียวเท่านั้น คือ ประชาธิปัตย์ แต่อย่าลืมว่า พัทลุงมีสส.ประชาธิปัตย์ 2 คน ถ้าท่านมาปราศรัยก็เท่ากับท่านเพิ่มกำลังให้กับพรรคหนึ่ง ซึ่งเคยต่อสู้กันมาอย่างหนักหน่วง แล้วน้อง ๆ ที่เขาเป็นสส.ประชาธิปัตย์ เขาจะรู้สึกอย่างไร

3.เชื่อผมเถอะ วันที่ท่านอภิสิทธิ์ มาปรากฏกายที่พัทลุง ท่านจะถูกห้อมล้อมด้วยคนจากพรรคอื่น ซึ่งเคยต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่มีคนประชาธิปัตย์ห้อมล้อมให้กำลังใจท่าน ดอกกุหลาบ หรือดอกไม้ที่ยื่นให้ท่านมาจากมือของคนที่ไม่เคยหยิบยื่นให้ท่านเลย เสียงตะโกนเชียร์มาจากปากของคนที่เคยก่นด่าท่าน คนที่รักท่านต่างหลั่งน้ำตา ด้วยความเสียใจ

4.ผมเข้มแข็งพอที่จะไม่น้อยใจ ผมกรำศึกแบบนี้มายาวนาน ผมเคยเป็นขุนพลข้างกายท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ ณ เวลานี้ สิ่งที่ผมต่างจากอดีตแม่ทัพของผม คือ “ผมไม่เพิ่มกำลังให้ศัตรู” ผมไม่ทรยศอดีตแม่ทัพ แต่ศึกครั้งนี้ ผมไม่ชักกระบี่สู้ตามแม่ทัพ

‘ธนาธร’ รับเสียใจ ‘ก้าวไกล’ อดร่วมรัฐบาลเพื่อไทย เชื่อถ้าได้เป็นรัฐบาล ประเทศไทยดีกว่านี้แน่

เมื่อวันที่ (29 ม.ค. 68) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ 'รายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ' ในหลากหลายประเด็น ช่วงหนึ่งเขาถูกถามถึงพรรคเพื่อไทยและการจับมือจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา

"ดูหลังผมสิครับ มีดปักเต็มเลย ไม่กล้านั่งพิงเลย ยังเจ็บอยู่ทุกวันนี้เลยครับ"

สรยุทธ สุทัศนะจินดา ถามว่า คุณถูกแทงข้างหลังเหรอครับ ?

"ก็ดูมีดสิครับ เต็มเลย"

เมื่อ สรยุทธ ถามถึงเรื่องที่ 'ทักษิณ ชินวัตร' เคยเตือน บอกให้ใจเย็น ๆ ธนาธร ยืนยันเราใจเย็นอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่คิดจะทุบทุกอย่างภายในวันนี้ ค่อย ๆ ทำ พิถีพิถันในกระบวนการไปทีละขั้นตอน แต่เสนอปลายทางข้างหน้า แต่ไม่ใช่ปะผุแบบนี้ไม่ได้

เมื่อถูกถามว่าเป็นดีลฮ่องกง ใช่หรือไม่ 'ธนาธร' ยอมรับว่าใช่ เมื่อถามต่อว่า วันนั้นที่ไปคุยคิดจะร่วมกันไหม เขายืนยันว่า "ตอนนั้นแตกแล้ว"

"พวกเราเสียใจมากจริงๆ วันนั้นที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย" ยืนยันมาตลอดว่า หลังปี 66 ถ้าก้าวไกลได้ร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย ประเทศไทยจะดีกว่านี้

นายธนาธร ย้ำว่ายังยืนยันความคิดเดิม ถ้า 2 พรรคร่วมกัน เราพาประเทศไทยไปได้ไกลกว่านี้

"ผมกล้าพูดเหมือนกันว่าในประเทศไทย ไม่มีใครเสียใจกว่าผมแน่ ๆ เสียใจที่เราไม่มีโอกาสไปพัฒนาประเทศ ผมเชื่อว่า มันมีทั้งพลังของเพื่อไทยและก้าวไกล ณ วันนั้น ที่จะผนวกกันเพื่อพาประเทศไทยไปข้างหน้าได้ ผมเสียดายโอกาสตรงนี้มาก"

เมื่อ สรยุทธ ถามว่า เกิดจุดเปลี่ยนยังไงที่ทำให้ไม่ได้จับมือกัน 'ธนาธร' เผยว่าทุกคนรู้ดีว่า วาระหลัก ๆ มันไม่ใช่เรื่องการพัฒนาประเทศ แต่เป็นวาระเรื่องพาคุณทักษิณกลับบ้าน ย้ำอีกครั้งว่า พอไปเกิดดีลแบบนี้ทำให้การแก้ปัญหาที่โครงสร้างมันเป็นไปไม่ได้เลย

ส่วนเหตุผลที่ไปฮ่องกง แม้จะรู้แล้วว่าการจับมือเป็นไปไม่ได้แล้ว ธนาธร ระบุว่า "บางเรื่องยังพูดไม่ได้" เมื่อเกษียณทางการเมือง พูดคุยกับ 'ปิยบุตร แสงกนกกุล' ว่าจะเขียนหนังสือสักเล่ม

เมื่อถามอีกว่า จากนี้ไปจะสามารถร่วมงานกับ พรรคเพื่อไทยได้หรือไม่

ธนาธร ตอบว่า ต้องถาม ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกอย่างเดินมาถึงจุดนี้ เลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนต้องคว้า สส.ให้ได้มากกว่า 250 ที่นั่ง

"เอาหลังพิงประชาชน ถามว่าเขาจะเดินไปกับเราหรือเปล่า"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top