Tuesday, 10 June 2025
PoliticsQUIZ

‘พิจารณ์’ อัด ทัพเรือ ดิสเครดิตเพจ ‘CSI LA’ แต่กลับไร้เอกสารซ่อมบำรุง ‘เรือหลวงสุโขทัย’

‘พิจารณ์’ อัดทัพเรือ ดิสเครดิต ‘CSI LA’ แต่กลับไม่มีหลักฐานมาโต้ เผย กมธ.ทหารฯ ขอเอกสาร 8 รายการ ตอนนี้ได้มาแค่สอง แง้มข้อมูลใหม่ ‘ครีบกันโคลง’ ตั้งคำถาม ได้ซ่อมตามมาตรฐานหรือไม่ 

(6 ม.ค. 66) พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่โฆษกกองทัพเรือและเจ้ากรมอู่ทหารเรือออกมาตอบโต้เพจเฟซบุ๊ก CSI LA ที่เปิดเผยเอกสารกองทัพเรือเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงเรือหลวงสุโขทัย ตั้งข้อสังเกตการซ่อมบำรุงโดยกองทัพเรือเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ว่า การออกมาตอบโต้ของกองทัพเรือ ในลักษณะที่ด้อยค่า CSI LA ว่าเปิดเอกสารไม่ครบ เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งในตัวเอง เพราะในขณะเดียวกันกองทัพเรือก็ไม่ได้เอาเอกสารอะไรออกมายืนยันข้อกล่าวอ้างของตัวเองเช่นกัน

พิจารณ์กล่าวว่า จากที่ได้ติดตามเรื่องนี้ในคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2565 จนถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2565 และได้ขอเอกสารสำคัญจากกองทัพเรือไปทั้งหมด 8 รายการ ประกอบด้วย 1) เอกสารการตรวจสอบ checklist ก่อนการออกเรือ ว่ามีการตรวจสอบความพร้อมด้านใดบ้าง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ เสื้อชูชีพ แพชูชีพ 2) เอกสารการประเมินสภาพอากาศก่อนการตัดสินใจออกเรือ 3) รายชื่อ กำลังพลที่ประจำการ พร้อมตำแหน่งในปัจจุบันและที่ผลัดเปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2559 4) บันทึกการสื่อสารทางวิทยุนับจากที่ออกเดินเรือจนถึงเวลาที่เกิดเหตุ 5) ประวัติการซ่อมเรือหลวงสุโขทัย ตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบัน 6) ประวัติบันทึกการปฏิบัติภารกิจของเรือหลวงสุโขทัย ตั้งแต่ปี 2559 7) ประวัติบันทึกการเติมเชื้อเพลิงในภารกิจแต่ละครั้ง และ 8) รายชื่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

รู้จัก 'เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล' ส.ส.ป้ายแดง แห่งพลังประชารัฐ

สภาฯ ประกาศ เลื่อน 'เอกสิทธิ์' เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. แทน 'พิชชารัตน์' ที่ลาออกจากพรรค เผยดีกรี 'เลขาฯ รมว.ดีอีเอส' 2 ยุค ''พุทธิพงษ์-ชัยวุฒิ' ร่วมทีม 'มือปราบแก๊งคอลเซนเตอร์' บุกกวาดล้างถึงเขมร เผยแบ็กกราวน์ทายาทธุรกิจเหล็กกล้าหลายพันล้าน ก่อนเข้าสู่ถนนสายการเมือง

(6 ม.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามในประกาศสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 5 ม.ค. 66 เรื่อง ให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง เลื่อนขึ้นมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง กรณี นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ ลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 66 ทำให้สมาชิกภาพ ส.ส.บัญชีรายชื่อ สิ้นสุดลง จึงประกาศให้ นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ผู้มีชื่อในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.แทน

‘หมอวาโย’ ชงมาตรการรองรับ นทท.จีน แนะ เร่งฉีดเข็มกระตุ้น – เปลี่ยนวัคซีน - สุ่มตรวจเชื้อ

‘วาโย’ เสนอมาตรการรับนักท่องเที่ยวจีน แนะรัฐระดมฉีดเข็มกระตุ้น อัปเดตเป็นวัคซีน bivalent สต๊อกยาให้พร้อม เปลี่ยนจาก molnupiravir เป็น Paxlovid และสุ่มตรวจเชื้อนักท่องเที่ยว-น้ำเสียเครื่องบิน ชี้ ยังไร้แหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือยืนยันโควิดระบาดแรงในจีนหรือไม่ แต่เข้าใจความกังวลของประชาชน ไทยควรเตรียมการรองรับ

วันที่ (6 ม.ค. 66) วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอมาตรการป้องกันเพื่อรองรับการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีความกังวลว่าอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิดที่มีเชื้อรุนแรงกว่าปัจจุบัน โดยระบุว่าจากการสืบค้นและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหลายคน พบว่าข้อมูลที่มีการพูดถึงกันว่ามีการติดเชื้อโควิดอยู่ในประเทศจีนสูงมากและยังเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรง เป็นข้อมูลที่ยังไม่มีการยืนยันออกมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือใด ๆ แต่ความกังวลที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากประเทศจีนไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ดังนั้น ประเทศไทยก็ควรจะมีมาตรการป้องกันเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งมาตรการด้านวัคซีน การลดอัตราการเสียชีวิต และมาตรการเกี่ยวกับการเข้าเมือง

วาโยกล่าวว่า สำหรับมาตรการวัคซีน รัฐบาลควรเร่งฉีดวัคซีนบูสเตอร์หรือเข็มกระตุ้นที่ 3 - 4 ให้แก่ประชากรเพิ่มโดยเร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยได้รับวัคซีนเข้มกระตุ้นไม่ถึง 50% หากรู้ว่าจะมีการรับนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา ก็ควรเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว อย่างไรก็ตาม การเร่งฉีดตอนนี้อาจยังทันอยู่ เนื่องจากวัคซีนบูสเตอร์ใช้เวลาเพียง 5 วันเท่านั้นในการกระตุ้นภูมิต้านทาน ต่างจากวัคซีนเข็มหลักสองเข็มแรกที่ใช้เวลา 2 - 4 เดือน โดยควรฉีดให้ได้อย่างน้อย 80% ของประชากรทั่วไป และไม่น้อยกว่า 90% ของกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตจากโควิดสูงกว่าคนทั่วไป

วาโยกล่าวต่อว่า ส่วนประเภทของวัคซีนนั้น อย่างแย่ที่สุดต้องเป็นวัคซีน mRNA แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดควรต้องเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ที่ผสมสายพันธุ์โอไมครอนลงไปด้วย หรือที่เรียกว่าวัคซีนแบบ Bivalent ซึ่งยังไม่มีการนำเข้ามาในประเทศไทยแม้แต่เข็มเดียว แต่หากไม่สามารถจัดหาได้ อย่างน้อยที่สุดก็ยังสามารถเอาวัคซีน Monovalent มาฉีดกระตุ้นก่อนได้ แต่หลังจากนี้ไม่ควรสั่งซื้อวัคซีนแบบ Monovalent มาใช้อีกแล้ว ควรปรับมาใช้วัคซีน Bivalent แทน

วาโย กล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวลสำหรับโควิดในปัจจุบัน ไม่ใช่การติดเชื้อ แต่คือการเสียชีวิต ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตในประเทศไทยอยู่ที่ 0.1 - 0.2% หรือประมาณ 15 คนต่อสัปดาห์ ซึ่งยังเป็นอัตราที่น้อยมาก และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ เราสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ด้วยการใช้ยา ซึ่งปัจจุบันยาที่มีหลักฐานทางการแพทย์ออกมาแล้วว่าลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างดีที่สุด คือยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ที่ประเทศไทยใช้เป็นยาหลักอยู่ตอนนี้ หลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าลดอัตราการตายได้น้อยกว่า ดังนั้น รัฐบาลควรต้องสั่งซื้อ Paxlovid มาใช้เป็นยาหลักหลังจากนี้ และควรจะทำให้บุคลากรสาธารณสุขที่อยู่หน้างานสามารถจ่ายยาให้กับผู้ป่วยได้ง่ายขึ้นกว่าระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันด้วย

รองนายกฯ ผู้ถูกกล่าวหา ‘เป็นชู้’ ยังคงมีชีวิตอยู่ถึง 61 ท่าน!!

สืบเนื่องจากเพจ ‘ทนายตั้ม - ษิทรา เบี้ยบังเกิด’ เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โดยโพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ว่า “...ผัวช็อค เจอภาพเมียเป็นชู้กับอดีตรองนายกรัฐมนตรี คุณ ก. มาปรึกษาผมว่า ช่วงปีที่ผ่านมา ภรรยามีท่าทีเปลี่ยนไป จึงแอบเอาโทรศัพท์มาเช็ค ปรากฎว่าเจอภาพโป๊เปลือยของภรรยา แล้วที่ช็อคยิ่งกว่าคือ คนที่ถ่ายรูปคู่เปลือยด้วยกันนั้นคือ อดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ใครๆ ก็รู้จัก จึงมาปรึกษาจะทำอย่างไรต่อไป?”

โดยหลังจากข้อความนี้แพร่ออกไปในโลกโซเชียลมีเดีย จึงเริ่มมีกระแสคาดเดาจากประชาชนชาวเน็ตจำนวนมากว่า ‘รองนายกฯ คนดังกล่าว’ นั้นคือใคร?

จนกระทั่งล่าสุด ทนายตั้มยังได้โพสต์ภาพข้อความแชทผ่านไลน์ของอดีตรองนายกรัฐมนตรีคนที่ว่า พร้อมข้อความ “...คดีนี้มาปรึกษาผมตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมก็ทำเรื่องฟ้องหย่าภรรยา ฟ้องชู้ที่เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีไปแล้ว แต่ปรากฎว่าได้มีการข่มขู่ คุกคามคุณ ก. มาตลอด คุณ ก. เลยอยากจะให้เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ เพื่อป้องกันตัวหากเป็นอะไร และอยากให้ประชาชนได้รู้พฤติกรรมของนักการเมืองใหญ่คนนี้ จึงขอให้ผมช่วยดำเนินการให้ เรื่องนี้ค่อนข้างจะเสี่ยงกับผม จึงไม่อาจทำอะไรให้ถูกใจทุกคนได้ ผมเลยต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง และพยายามให้กระทบกับพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด แต่ทุกคนจะได้รู้แน่นอนครับ”

ต่อประเด็นนี้ทางสำนักข่าว THE STATES TIMES ได้ตระหนักถึงความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้นแก่ผู้ไม่เกี่ยวข้องหลายชีวิตหลายท่าน จึงได้ทำการตรวจสอบ และสืบค้นข้อมูลจนพบว่า ปัจจุบันมีอดีตรองนายกรัฐมนตรีซึ่งยังมีชีวิตอยู่ถึง 61 ท่าน เรียงตามลำดับอาวุโส ตั้งแต่มากไปหาน้อยดังนี้...

รุ่นใหญ่อายุ 90 ปีขึ้นไป มีเพียงหกท่านด้วยกัน ได้แก่ นายบุญพันธ์ แขวัฒนะ (93 ปี) นายเกษม สุวรรณกุล (92 ปี) หม่อมราชวงศ์เกษมสโมสร เกษมศรี (92 ปี) นายเสนาะ อูนากูล (91 ปี) พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ (90 ปี) และนายอำนวย วีรวรรณ (90 ปี)

รุ่นถัดมาอายุ 80 ถึง 89 ปี มี พลตำรวจเอก วิโรจน์ เปาอินทร์ (89 ปี) พลตรี จำลอง ศรีเมือง (87 ปี) นายสุขวิช รังสิตพล (87 ปี) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล (86 ปี) พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา (85 ปี) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ (84 ปี) พลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (84 ปี) นายชวน หลีกภัย (84 ปี) นายมั่น พัธโนทัย (81 ปี) พลตำรวจเอก สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ (81 ปี) นายปองพล อดิเรกสาร (80 ปี) นายบัญญัติ บรรทัดฐาน (80 ปี) พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก (80 ปี) และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ (80 ปี)

ไทยคงอันดับ 1 อาเซียนประเทศพัฒนายั่งยืน 4 ปีซ้อน ตอกย้ำ ‘รัฐบาลประยุทธ์’ บริหารประเทศมาถูกทาง

‘ทิพานัน’ เผยไทยคงอันดับ 1 อาเซียนประเทศพัฒนายั่งยืน 4 ปีซ้อน ย้ำชัดรัฐบาล ‘พล.อ.ประยุทธ์’ บริหารประเทศมาถูกทาง โชว์สหประชาชาติกำหนดหลักใช้ทุกภารกิจในไทยว่า “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นแก่นสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG)

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืน  Sustainable Development Report 2022 ประเมินจากดัชนีเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ 17 ข้อ ไทยได้คะแนนรวมทั้งหมด 74.13 จาก 100 ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประสิทธิภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นอันดับที่ 44 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ในอาเซียนถึง 4 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2562 โดยที่ดัชนีการประเมินไม่ได้มีเพียงแต่มิติเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 เป้าหมายของสหประชาชาติครอบคลุมมิติการพัฒนามนุษย์ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สันติภาพและความยุติธรรม และความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาของประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีทั้ง 6 ด้านของไทยที่มุ่งพัฒนาประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สะท้อนวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เป็นไปอย่างยั่งยืนสมดุลครบทุกด้าน จนทำให้สหประชาชาติกำหนดหลักการที่ใช้ในทุกภารกิจของสหประชาชาติในประเทศไทยด้วยวลีสั้นๆ ว่า “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นแก่นสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG)

พรรครวมแผ่นดิน ขึ้นเหนือประชุมใหญ่สามัญ ครั้งที่ 1/2566 ชู 10 นโยบาย

(8 ม.ค. 66) เวลา 9:00น. ณ ห้องประชุม ราชพฤกษ์1 ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษาฯ จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน เป็นประธานเปิดการประชุมใหญ่สามัญ พรรครวมแผ่นดิน ครั้งที่ 1/2566 พร้อมแถลงนโยบายพรรค เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และปฐมนิเทศ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. โดยมี น.ส.กชพร เวโรจน์ หัวหน้าสาขาพรรคภาคเหนือ พร้อมกรรมการบริหาร สมาชิกพรรค ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ รวมกว่า 1,300 คน

พลเอก วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2565 เป็นต้นมาที่พรรครวมแผ่นดิน ได้ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดพรรคการเมืองที่รวบรวมผู้ที่มีความรู้ความสามารถมากไปด้วยประสบการณ์ทั่วประเทศ ช่วงอายุอาชีพ ทุกเพศทุกวัย แม้ที่มาจะแตกต่างกัน แต่ก็มีอุดมการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน คือ มุ่งลดความขัดแย้งทางการเมือง ปรองดอง และพร้อมจะประสานทุกฝ่าย เพื่อรวบรวมสรรพกำลังความรู้ ความสามารถเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ พร้อมหารายได้เข้าประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยว พัฒนาการศึกษา พัฒนาคุณภาพชีวิตส่งเสริมสิทธิเด็กและยกระดับบทบาทของสตรี รวมถึงส่งเสริมการส่งออกนำมาตรฐานเกษตรกรของไทยสู่อุตสาหกรรมเกษตรที่สมบูรณ์ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผ่านระบบโลจิสติกส์ที่เพียบพร้อมด้วยมาตรฐานคุณภาพระดับสากล

ซึ่งตลอดเวลา 5 เดือนเต็ม ในการขับเคลื่อนพรรครวมแผ่นดิน เพื่อเป็นตัวแทนของภาคประชาชนในการพัฒนาประเทศไปทุกมิติองคาพยพ ถึง ณ วันนี้ ทางพรรครวมแผ่นดินได้ดำเนินการสร้างรากฐานอันมั่นคงที่พร้อมเต็มเปี่ยมในการที่จะทำงานรับใช้ภาคประชาชนอย่างเต็มที่ ดังคำขวัญของพรรครวมแผ่นดินที่กล่าวไว้ว่า "พัฒนาเศรษฐกิจ ส่งเสริมประชาธิปไตย รับใช้ประชาชน" ด้วยเหตุนี้ ทางพรรครวมแผ่นดินจึงได้ดำเนินการจัดการประชุมใหญ่สามัญพรรครวมแผ่นดิน ครั้งที่ 1/2566 ในวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2566 ที่จังหวัดเชียงใหม่"

‘บิ๊กป้อม’ เปิดกว้างรับฟังทุกความเห็นทุกภาคส่วน มุ่งลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยตามหลักสากล

พล.อ.ประวิตร ประธานเปิดสัมมนา ‘แผน ปภ.ชาติ’ ย้ำ รับฟังทุกความเห็น ทุกมุมมอง ทุกภาคส่วน อย่างเปิดกว้าง เน้น ‘สร้างความเข้าใจ ปิดภาวะเสี่ยงร่วมกัน ปฏิบัติได้จริง’ หวังให้ประชาชนปลอดภัยสูงสุด

(9 ม.ค. 65) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสัมมนาเชิงวิชาการ หัวข้อ ‘ลดความเสี่ยงเดิม ป้องกันความเสี่ยงใหม่ สู่สังคมเท่าทันภัย ด้วยแผน ปภ.ชาติ’ ณ ห้องคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมรามา การ์เด้น กรุงเทพฯ โดยมี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ก.มหาดไทย เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ภายใต้การกำกับของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มท. ในฐานะ ผู้บัญชาการ ปภ. 

ทั้งนี้ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ได้กล่าวรายงานพร้อมวัตถุประสงค์การจัดงานในครั้งนี้ โดยโครงการนี้ จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) เพื่อนำไปสื่อสารสร้างการรับรู้และถ่ายทอดแผนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการและภาคประชาสังคม รวมถึงเป็นการสร้างเครือข่ายในการเชื่อมโยง ภารกิจงาน เพื่อผนึกกำลังการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายรวม 500 คน จากทุกภาคส่วน

‘บิ๊กตู่’ เปิดทำเนียบต้อนรับ ‘เอกอัครราชทูตอินเดียฯ’ พร้อมหารือ ‘ความร่วมมือ-กระชับสัมพันธ์’ ในทุกมิติ

นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตอินเดียฯ กระชับความสัมพันธ์ที่มีมายาวนาน พร้อมผลักดันมูลค่าทางการค้าและการลงทุน ส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และความเชื่อมโยง

(9 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวกับยินดีกับนายนาเคศ สิงห์ ในโอกาสที่รับหน้าที่ในประเทศไทย โดยไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และความร่วมมือทุกมิติ หวังว่าเอกอัครราชทูตอินเดียฯ จะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันในอนาคตให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ ทั้งนี้ ไทยพร้อมให้การสนับสนุนเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ในการปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งการเมือง ความมั่นคง การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความร่วมมือกรอบพหุภาคี พร้อมฝากความปรารถนาดีถึงประธานาธิบดีแห่งอินเดีย นายกรัฐมนตรีอินเดีย และประชาชนชาวอินเดียในโอกาสปีใหม่ด้วย 

ด้านเอกอัครราชทูตอินเดีย กล่าวยินดีที่ได้พบปะกับนายกรัฐมนตรี พร้อมนำคำทักทายและคำอวยพรจากนายกรัฐมนตรีอินเดียมายังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีด้วย เชื่อมั่นว่าการเข้ารับหน้าที่ในไทยจะเป็นโอกาสกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซึ่งประเทศไทยเป็นมิตรประเทศที่สำคัญของอินเดีย มีความใกล้ชิดระหว่างกันอย่างลึกซึ้งทั้งทางวัฒนธรรม ภาษา ประวัติศาสตร์ และศาสนา โดยนโยบายของไทยที่ดำเนินนโยบายมุ่งตะวันตก (Look West Policy) กับนโยบายรุกตะวันออก (Act East Policy) ของอินเดีย มีความสอดคล้อง เป็นประโยชน์กับไทยและอินเดีย จึงยินดีร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทุกมิติ

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายหารือถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ดังนี้ 

- ความร่วมมือด้านการเมือง ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องผลักดันการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันเพิ่มขึ้นในทุกระดับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่านายกรัฐมนตรีอินเดียจะตอบรับการเยือนไทย โดยไทยพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรีอินเดียเยือนไทย และเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BIMSTEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ด้านเอกอัครราชทูตอินเดียฯ พร้อมผลักดันการแลกเปลี่ยนการเยือนทุกระดับ รวมถึงยืนยันสนับสนุนการเป็นประธาน BIMSTEC ของไทย

- ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว เอกอัครราชทูตอินเดียฯ ยินดีที่ชาวอินเดียมาท่องเที่ยวไทยเกือบ 1 ล้านคนในปี 2565 ซึ่งชาวอินเดียจำนวนมากนอกจากจะเดินทางมาท่องเที่ยวแล้ว ยังชื่นชอบเดินทางมาไทยเพื่อจัดงานแต่งงานอีกด้วย เอกอัครราชทูตอินเดียฯ จึงยินดีส่งเสริมการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนของไทยและอินเดียให้มากขึ้น ด้านนายกรัฐมนตรีหวังว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายให้นักท่องเที่ยวจากอินเดียมาไทยปีละ 2 ล้านคน เหมือนช่วงก่อนหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  

- ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายต่างยินดีที่มูลค่าการค้าไทยและอินเดียเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2564 โดยในเดือน ม.ค. - พ.ย. 2565 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ากว่า 16.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 21 ซึ่งเอกอัครราชทูตอินเดียฯ กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มการค้าและการลงทุนในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายเชี่ยวชาญและสนใจระหว่างกัน ด้านนายกรัฐมนตรีหวังว่านักธุรกิจอินเดียจะพิจารณาลงทุนใน EEC โดยเฉพาะในธุรกิจด้านยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ การบิน และโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจร

‘เพื่อไทย’ แจงปม ‘อดีตรองนายกฯ ฉาว’ ไม่กังวล!! เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแล้ว

‘ชลน่าน’ ชี้!! ‘อดีตรองนายกฯ’ เป็นชู้เมียชาวบ้าน โบ้ยสื่อเดาเองเป็นอดีตคนเพื่อไทย ลั่น!! หากไม่ได้เป็นสมาชิก ความรับผิดชอบก็ไม่มี

จากกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ทนายความ ออกมาเปิดเผยเพิ่มเติมกรณีอดีตรองนายกรัฐมนตรี มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับภรรยาของคนอื่น โดยบอกคำใบ้เป็นอดีตรองนายกฯ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ชอบตีกอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์ มีอายุมากแล้ว และเคยเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2551 และพ้นจากสมาชิกไปเมื่อปี 2561

(9 ม.ค. 66) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย ว่า เป็นการคาดเดาของสื่อ และของคนที่เกี่ยวข้องว่า บุคคลดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน แต่เมื่อมีการคาดเดาระบุว่า อดีตเคยเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย หากอดีตเคยเป็นสมาชิกพรรค ก็ต้องดูที่ข้อเท็จจริง ถ้าบุคคลท่านนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรค และปัจจุบันไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในมุมของข้อกฎหมาย ความรับผิดชอบก็ไม่มี หมายความว่า เราเองก็ไม่มีอำนาจ และหน้าที่ที่จะไปตั้งคณะกรรมการสอบเรื่องนี้ตามข้อบังคับพรรค ตรงนี้ทำไม่ได้อยู่แล้ว

‘เพื่อไทย’ บี้!! ‘บิ๊กตู่’ ไขก๊อกตัดขาดพรรคเดิม เหน็บอีเวนต์เปิดตัว ไม่การันตีคะแนนนิยม

‘เพื่อไทย’ ซัดจัดอีเวนต์ใหญ่ เปิดตัว ‘บิ๊กตู่’ เหน็บเหยียบเรือสองแคม เป็นสมาชิก รทสช. แต่นั่งนายกฯ ในนาม พปชร. บี้ไขก๊อกตัดขาดพรรคเดิม

(9 ม.ค. 66) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เย็นวันนี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ว่า การจัดอีเวนต์ใหญ่โตเพียงแค่ต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าพรรค ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะได้คะแนนนิยมดีขึ้น ตรงกันข้ามจะเกิดคำถามตามมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการตามครรลองครองธรรมของการเมืองที่ควรจะเป็นหรือไม่ หรือสร้างสิ่งแปลกประหลาดขึ้นมาใหม่ให้ผู้คนติฉินนินทาเหมือนการแต่งตั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเป็นเลขาธิการนายกฯ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ผ่านขั้นตอนตามปกติคงเข้ามาเป็นเพียงสมาชิกพรรค ที่มีเลขาฯ ตัวเองเป็นหัวหน้าพรรคตัวเอง จนไม่รู้ใครเป็นหัวหน้าใคร มีระบบพรรคการเมืองที่ไหนที่ให้สมาชิกพรรคคนหนึ่งมีบทบาทเหนือกว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารทุกคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top