Wednesday, 2 July 2025
PoliticsQUIZ

“จุรินทร์” สั่งผ่าน คกก.พัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติให้ทุกหน่วยรับฟังข้อเสนอสมัชชาเยาวชน ต้องรายงานความคืบหน้าการช่วยแก้ปัญหาทุก 3 เดือน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (30ก.ค.) มีการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอของสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ และของสมัชชาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ประจำปี 2563 ซึ่งประกอบด้วย การพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้มีความสนใจในการรับราชการ การพัฒนาตลาดสินค้าออนไลน์เพื่อผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ การสร้างโอกาสทางอาชีพให้กลุ่มเปราะบาง การปรับหลักสูตรเพศศึกษา กฎ ระเบียบในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลงของสังคม พิจารณาให้สิทธิเด็กและเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์เข้าถึงการกู้ยืมเงินจากกองทุนเพื่อการศึกษา เปิดโอกาสให้นักเรียนนอกระบบสามารถใช้ประสบการณ์การทำงานเทียบเท่าเป็นหน่วยกิตบางวิชาในสถานศึกษา เป็นต้น

มากไปกว่านั้น ที่ประชุมยังได้รับทราบการรายงานสถานการณ์ด้านเด็กและเยาวชน จากกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งพบแนวโน้มและปัญหา อาทิ เด็กไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อและแม่มากขึ้น เนื่องจากพ่อแม่ทำงานอยู่คนละจังหวัดจึงต้องให้ลูกอยู่กับปู่ย่าตายาย ภาวะโรคอ้วน เด็กรู้ไม่เท่าทันสื่อออนไลน์ ติดเกมส์ ติดพนัน โรคซึมเศร้าในกลุ่มเยาวชนอายุ18-25 ปี และล่าสุดข้อมูลของไตรมาสแรกปีนี้ รายงานว่า เด็กไทยถูกจัดเป็นอันดับสองของโลกรองจากญี่ปุ่น กว่า 91% เคยถูกกลั่นแกล้งรังแก ด้วยการตบหัว ล้อชื่อพ่อแม่ โดนดูถูก พูดจาเหยียบหยาม 

นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มว่า คณะกรรมการได้ติดตามการดำเนินการของหน่วยงานต่างๆในการแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งหลายเรื่องจะสำเร็จได้ต้องสร้างความตระหนักในสังคมและครอบครัวถึงภัยใกล้ตัวและแนวทางที่ถูกต้องในการดูแลเด็กและเยาวชนในยุคปัจจุบัน ขณะเดียวกัน เพื่อให้ให้การขับเคลื่อนงานด้านนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนร่วมและครอบคลุมคนทุกกลุ่ม มุ่งเป้าสร้างคนรุ่นใหม่เป็นคนดีมีคุณภาพ นายจุรินทร์ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของสมัชชาเด็กและเยาวชน  และให้รายงานความคืบหน้าของการดำเนินการและการแก้ปัญหาต่อคณะกรรมการทราบทุกสามเดือน

“บิ๊กบี้” ส่ง “สธน.ทบ.” แจ้งความดำเนินดคี เพจเฟกนิวส์ กุข่าวปฎิวัติ ระบุ เป็นการสร้างเรื่องหวังให้เกิด ความวุ่นวาย ทำปชช.ตื่นตระหนก 

รายงานข่าวว่า จากกรณี ที่ได้มีการปล่อยข่าวเผยแพร่ลงในโซเซียลมีเดีย อ้างว่าผู้บัญชาการทหารบก ได้ทําการรัฐประหาร และนํากําลังทหารเข้าควบคุมบุคคลสําคัญแล้วซึ่งข่าวดังกล่าว “เป็นข่าวเท็จ” เป็นการสร้างเรื่องหวังให้เกิด ความวุ่นวายในสังคม เป็นการกระทําท่ีผิดกฎหมาย ทําลายชื่อเสียงของกองทัพและรัฐบาล ทางพล.อ.ณรงค์พันธุ์ จิตตแก้วแท้  ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้อํานวยการสํานักงานพระธรรมนูญทหารบก (ผอ.สธน.ทบ.) เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข่าวอันเป็นเท็จ

โดยพล.ต.บุรินทร์ ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ /กล่าวโทษ์ กับทางพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) 
ว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 30 ก.ค. 64 กองทัพบก ได้ตรวจสอบ พบว่า
มีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กระบุชื่อ "Nathapong Akkara" ได้กระทำการนำเข้าสู่ระบบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์ สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2 ) และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง กับทางเจ้าของเพจเฟซบุ๊กระบุชื่อ "Nathapong Akkara" และหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิด อาทิ การแชร์ข้อมูลอันเป็นเท็จ เพื่อให้ได้รับโทษตามกฎหมาย ต่อไป

“เสกสกล” ซัด “ณัฐวุฒิ” หยุดพล่ามการเมือง ชี้ รอประเทศพ้นวิกฤตโควิดก่อนค่อยว่ากัน วอน ให้ใจหมอ-ปชช.ย้อน หรืออยากลงถนนได้รางวัลตอบแทนอีกครั้ง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กพาดพิงถึงนายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกทันที หลังจากนั้นให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกฯจากบัญชีว่าที่นายกฯที่มีอยู่ถ้าไม่ได้นายกฯด้วยวิธีแรกให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 วรรคสอง ส.ว.ต้องร่วมโหวตเพื่อเปิดทางให้มีนายกฯจากคนนอกบัญชีเพื่อทำเรื่องเร่งด่วนคือแก้ปัญหาโควิด แก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) และให้ตัดอำนาจส.ว.เลือกนายกฯ ว่า

ฟังแนวคิดของนายณัฐวุฒิ แล้วเศร้าใจ ที่พยายามทำทุกวิถีทางที่จะล้มรัฐบาลนี้ให้ได้  แต่ในที่สุดก็เข้าแบบเดิมคืออยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนนายกฯ ใช้ความเพลี่ยงพล้ำจากวิกฤตโควิดมาซ้ำเติมประเทศแทนที่จะเห็นใจ ช่วยเหลือดูแลประชาชน เหมือนอย่างที่คนอื่น หรือศิลปิน ดารา หลายคนทำ เช่นเอาข้าว เอาน้ำ ยารักษาโรคไปช่วยเหลือ หรือซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ ดีกว่าใช้ปากพูดเพราะจะเป็นประโยชน์กว่า และขอร้องให้พักเรื่องการเมืองไว้ก่อนรอให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด ถึงเวลานั้นอยากจะพูดอะไรก็พูดเลยที่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งนายณัฐวุฒิ น่าจะรู้ดีว่าอะไรจริง อะไรเท็จ พูดจริงเป็นอย่างไร พูดเท็จผลคืออะไร อย่าได้คะนองปากในช่วงที่ประชาชนกำลังลำบาก และบุคคลากรทางการแพทย์กำลังทำงานอย่างหนักในตอนนี้ เพราะฉะนั้นอย่ามาแซะกันเรื่องทางการเมืองในตอนนี้

นายเสกสกล กล่าวว่า ยืนยันว่านายกฯ ไม่ท้อและไม่ทิ้งงานที่บริหารแน่นอน และยังประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะทีมแพทย์ทุกวัน พยายามหาวิธีแก้ปัญหาตลอด ไม่ได้มีเวลามารับฟังเรื่องที่คนที่ไม่ได้ใช้สมองคิดออกมาพ่นน้ำลาย หรือคิดแต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญจนประชาชนเบื่อหน่าย ถ้านายณัฐวุฒิ หยุดคิดริษยาจะเป็นคุณูปการต่อประเทศอย่างมาก หรือคงอยากจะลงถนนให้บ้านเมืองหายนะอีกเพราะลงแล้วแกนนำได้รางวัลต่างตอบแทนเป็นรัฐมนตรีถึงสองกระทรวงฯก้าวข้ามศพประชาชนคนเสื้อแดง ไปเอาตำแหน่งเสนาบดีใหญ่โต ยังหวังจะใช้แผนเดิมเพื่อจะได้กลับมารับรางวัลตอบแทนอีกใช่หรือไม่ 

“อยากบอกว่าประวัติบางครั้งก็ไม่ได้บันทึกซ้ำรอยเสมอไป อย่าคิดว่ามวลชนจะรู้ไม่ทันว่าใครสู้แล้วรวย ใครสู้แล้วได้ดิบได้ดี เอาตัวรอด แต่คนที่เจ็บและชอกช้ำที่สุดคือมวลชน ที่ถูกหลอกมาบาดเจ็บล้มตายบนท้องถนน ทอดทิ้งมวลชนอย่างเจ็บปวดหัวใจ ถ้าอยากรู้อะไรดีๆว่าจริงหรือไม่ให้ไปถามนายสมหวัง อัสราษี อดีตเหรัญญิกนปช.เอาเอง ว่าถูกกรมสรรพกร เรียกเก็บภาษี 572 ล้านจนยอมล้มละลาย สาเหตุเป็นเพราะอะไร”

“รองโฆษกปชป.” คาดมีคนคอยให้ท้าย “กลุ่มทะลุฟ้า” มีคดีที่ไรไปประกันตัวทุกที 

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มทะลุฟ้า เพื่อเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล โดยกลุ่มผู้ชุมนุมมีพฤติกรรมทำลายทรัพย์สิน ป้ายสีตัวอาคาร และก่อความเดือดร้อนรำคาญให้กับประชาชนทั่วไปว่า พฤติกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตนเห็นว่า สวนทางกับสิ่งที่ผู้ชุมนุมพยายามบอกคนทั่วไปว่า เป็นผู้รักประชาธิปไตยและไม่ต้องการการเมืองแบบเดิมๆ แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ตั้งแต่ที่เริ่มจัดกิจกรรมตั้งแต่เดือนสิงหาคม 63 จนถึงตอนนี้ กลับเป็นการสร้างความไม่สบายใจและเอือมระอาต่อผู้คนในสังคม เพราะนอกจากจุดยืนที่ไม่สามารถเป็นไปได้แล้ว ยังมีข่าวเป็นระยะๆ ในเรื่องของความขัดแย้งของมวลชนด้วยกันเอง และการไม่ยอมฟังความคิดเห็นของคนอื่น ซึ่งถ้าคนรุ่นใหม่รักประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว จะต้องเคารพในสิทธิเสรีภาพของตนเองและความแตกต่างของผู้อื่น หาทางประสานประโยชน์ระหว่างกัน ไม่ใช่ไปไล่กดดันให้คนอื่น คิดเหมือนตนเอง ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับคนเอาแต่ใจ ที่เป็นแนวทางไปสู่ความคิดที่เป็นเผด็จการในเวลาต่อมาได้  
      
“เหตุการณ์ที่เกิดกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ผมคาดว่าจะต้องมีคนคอยให้ท้ายแน่นอน ที่ผ่านมาปรากฏว่า พอมีการดำเนินคดีก็จะมีบุคคลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในวงการเมือง ไปประกันตัวออกมา รวมทั้งใช้จุดอ่อนเรื่องสถานภาพการเป็นนักศึกษาหรือเยาวชน มาเป็นเกราะกำบัง ซึ่งทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้ใจ ทำให้มีการกระทำที่ผิดกฎหมายและเกิดเหตุทำลายทรัพย์สินบ่อยครั้งขึ้น ดังนั้นผมอยากให้ผู้ชุมนุมหรือน้องๆเยาวชน ที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณาข่าวสารและพฤติกรรมของนักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองที่สนับสนุนอยู่นั้น ได้ปฏิบัติตนตามหลักประชาธิปไตยหรือช่วยเหลือดูแลประชาชนหรือไม่ เพราะผมเชื่อว่าน้องๆเยาวชนหรือแม้แต่คนในสังคม ต่างก็อยากให้ปัญหาการเมืองไปแก้ไขกันในพื้นที่ที่ถูกที่ควร”นายชัยชนะ กล่าว          นายชัยชนะ กล่าวต่อว่าในเมื่อผู้ชุมนุม กระทำการอันเกินขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมือง มีการละเมิดทรัพย์สินและสวัสดิภาพของประชาชน รวมทั้งฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ทางพรรคฯ  ก็ได้ดำเนินการแจ้งความและจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด เพื่อให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่นๆ ที่คิดจะล้ำเส้นโดยใช้สิทธิเกินเลยตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ยืนยันว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ทางพรรคฯ ไม่ได้คิดเรื่องการเมือง เพราะยังมีปัญหาของประชาชนมากมายรอให้ทางพรรคประชาธิปัตย์แก้ไขอยู่

ปธ.พัฒนาการเมือง เผย คำสั่ง 'ห้ามเผยแพร่ความกลัว' ขัดรัฐธรรมนูญ สั่ง อนุฯ ต่อต้าน fake news ติดตาม กสทช.- DES ใกล้ชิด ชี้ เมื่อท่านตรวจสอบประชาชน ก็ต้องถูกตรวจสอบกลับเช่นกัน

นาย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึงประกาศราชกิจจานุเบกษาข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 29) ซึ่งมีผล 30 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป โดยมีเนื้อหาที่สำคัญก็คือ “ห้ามผู้ใดเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน” โดยกล่าวว่า หากพิจารณาถึงถ้อยความในข้อกำหนดข้างต้น อดตั้งคำถามว่ารัฐบาลของนายประยุทธ์ จันทร์โอชากำลังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 หรือไม่

"ข้อความ "อันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว...ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน..." หมายความได้อย่างกว้างขวาง และหมายรวมถึงกรณีที่แม้ว่าข้อความนั้นเป็นความจริง เช่น การที่สื่อมวลชน พี่น้องประชาชนหรือพรรคการเมืองเสนอข้อมูลข่าวสาร วิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาดในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 การบริหารวัคซีนที่ผิดพลาดของรัฐบาล ข่าวผู้ป่วย-ผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดโควิด- 19 ก็ไม่อาจนำเสนอได้ ใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้ว ข้อกำหนดที่เขียนด้วยเท้าเช่นนั้น จึงมุ่งหมายที่จะปิดปากสื่อมวลชน พี่น้องประชาชน และพรรคการเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวและความโง่เขลาเบาปัญญาในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นการใช้กฎหมายเพื่อปกปิดความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตัวเอง" 

ณัฐชา กล่าวต่อไปว่า ข้อกำหนดข้างต้น ยังเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะรัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เอาไว้ จริงอยู่ที่อาจมีข้อยกเว้นในบางสถานการณ์ แต่การห้ามไม่ให้พูดแม้แต่เรื่องจริง ย่อมไม่อยู่ในข้อยกเว้นนั้นและไม่เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน เพียงแค่ผู้มีอำนาจตีความว่ามีลักษณะเป็น "ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ผิดกฎหมาย และถูกดำเนินคดีได้ จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความกลัวขึ้นในหมู่ประชาชนด้วยการเอากฎหมายมาใช้ข่มขู่เสียมากกว่า พฤติกรรมแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากมาเฟียไม่ใช่เป็นพฤติกรรมของรัฐบาลในสังคมประชาธิปไตยที่ต้องรับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน

"ในข้อกำหนดข้อต่อมา ที่กำหนดให้สำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีอำนาจในการแจ้งผู้รับใบอนุญาตการให้บริการอินเทอร์เน็ต มีหน้าที่ตรวจสอบว่าข้อความหรือข่าวสารดังกล่าวมีที่มาจากที่ใดพร้อมทั้งให้แจ้งรายละเอียดให้สำนักงาน กสทช. ทราบ และให้ระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตนั้นทันที และให้สำนักงาน กสทช. ส่งรายละเอียดแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินคดีต่อไป

"ในฐานะกรรมาธิการ จึงต้องการคำตอบว่าเหตุใด กสทช. ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อกำกับดูแลการบริการการสื่อสารให้เป็นไปได้ด้วยเรียบร้อยเพื่อประโยชน์ของประชาชน จึงต้องไปเป็นแค่ 'มือ-เท้า' ของรัฐบาลนายประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการปิดหู ปิดตา ปิดปาก และสร้างความหวดกลัวให้กับประชาชน ทั้งที่ข้อกำหนดข้างต้นมากคลุมเครือจนถึงขนาดว่า ความจริงก็เสนอไม่ได้ กสทช. ต้องพึงระลึกไว้เสมอ หากยอมดำเนินการตาม องค์กรของท่านก็จะถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของความผิดพลาดและความล้มเหลวในการแก้ไขวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด -19 และส่งผลให้มีผู้ป่วย ผู้สูญเสีย และผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รวมไปถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายในการระงับการให้บริการอินเตอร์เน็ตที่ สำนักงาน กสทช. ทำได้โดยทันที โดยไม่ผ่านการตรวจถ่วงดุลโดยองค์กรตุลาการ เช่นนั้นแล้ว กสทช. ก็จะเป็นหน่วยงานที่ใหญ่คับฟ้า ควบคุมความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนได้โดยชัดเจน ไม่ต่างจากการปกครองของเผด็จการที่คอยควบคุมความคิดและโฆษณาชวนเชื่อเพียงด้านเดียวของรัฐบาล"

ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ยังกล่าวต่อไปว่า ในห้วงเวลาสถานการณ์ฉุกเฉิน การแพร่ระบาดของโควิด–19 ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน มีผู้คนล้มป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน มีคนที่สูญเสียครอบครัวที่รัก มีคนที่สูญเสียโอกาสหรืออนาคตในชีวิต หรือแม้แต่สูญเสียชีวิตของตนเอง การปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชนและผู้คนในสังคม ไม่ใช่การแก้ปัญหา เช่นนั้นแล้วนานาอารยประเทศที่ผ่านวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด–19 มาได้ คงเลือกใช้หนทางเช่นนี้หมด แต่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องคือการที่รัฐบาลและผู้มีอำนาจ ใช้สติปัญญาและอำนาจที่ตนมี แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยคำนึงถึงทุกชีวิตของประชาชน เพราะทุกชีวิตของประชาชนที่สูญเสียไป ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนกระดานนำเสนอข้อมูล แต่คือเลือดเนื้อ คือชีวิต คือความผูกพันธ์ของประชาชนครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง 

"แทนที่จะปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน แต่สิ่งที่ผู้มีอำนาจจะต้องรีบดำเนินการคือ การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ประชาชนว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร รัฐบาลกำลังดำเนินการอะไร และประชาชนต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ประชาชนมีสิทธิรับรู้ข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงที่เกิดชึ้นในบ้านเมือง ไม่ใช่รับรู้ได้แต่เพียงสิ่งที่ผู้มีอำนาจนำเสนอ เพราะประชาชนย่อมมีวิจารณญาณและใช้ความคิดในการทำความเข้าใจและตัดสินใจว่าจะเชื่อสิ่งเหล่านั้นหรือไม่

"การมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลมีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดจะทำอะไรก็ได้ หากแต่การใช้อำนาจเด็ดขาดนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเท่านั้น และต้องไม่ก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญเกินสมควร"

ณัฐชา ย้ำว่า หากรัฐบาลและผู้มีอำนาจไม่มีสติปัญญามากพอในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แม้จะมีตัวอย่างให้ศึกษาและปฏิบัติตามจากนานาอารยะประเทศที่กำลังผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยด้วยดีแล้ว การเปลี่ยนม้ากลางศึก ที่ปัจจุบันนี้ ประชาชนก็ไม่มีความแน่ใจว่าเป็นม้าจริงหรือไม่นั้น ก็เป็นทางออกที่สำคัญยิ่งของประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ความจริงใจ และความเข้าอกเข้าใจถึงพี่น้องประชาชนเข้ามาแก้ไขปัญหา

ทั้งนี้ ตนได้มีการมอบหมายให้อนุกรรมาธิการ ต่อต้าน fake news ในคณะกรรมาธิการสื่อสารมวลชน ติดตามการทำงานของกระทรวง DES ใกล้ชิด เพื่อติดตามการทำงานคณะกรรมการเฉพาะกิจที่คาดว่าตั้งขึ้นเพื่อการนี้ ในเมื่อท่านกล้าจะตรวจสอบผู้อื่น ในฐานะตัวแทนประชาชนขอตรวจสอบพวกท่านบ้าง จะได้กระจ่างว่า ฝ่ายใดกันแน่คือกระบวนการผลิตข้อมูล ข่าวสารเท็จออกมาสร้างความหวาดกลัวให้พี่น้องประชาชน

โฆษกกห. ขอ ทุกกลุ่มหยุดสร้าง เฟกนิวส์ ชี้การทำปว. ไม่ง่าย เป็นการซ้ำเติมประเทศในวิกฤตสงครามเชื้อโรค วอนทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน 

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการที่มีกลุ่มคนที่ปล่อยข่าวเผยแพร่ลงในโซเซียลมีเดียอ้างว่าทหารได้ทําการรัฐประหารแล้ว ว่า เรื่องดังกล่าวมันไม่ใช้ง่ายที่จะทำ และเป็นการซ้ำเติมประเทศชาติ ในภาวะวิกฤตชาติเวลานี้เราควรที่จะร่วมมือกันร่วมใจกัน ทุกกลุ่มทุกฝ่าย เพราะช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นภาวะสงคราม โรคติดต่อ ซึ่งมันสามารถระบาดได้กับทุกคน

“ขอร้องให้หยุดเถอะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม ขอให้หยุดการกระทำเช่นนี้ การสร้างข่าวปลอม หรือการสร้างข่าวลือ ในปัจจุบันนี้ ก่อให้เกิดความหวาดกลัวตื่นตระหนกตกใจ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมประเทศชาติ ให้หมดความหน้าเชื่อถือ เป็นการสร้างความหวาดระแวง ซึ่งกันและกัน มันไม่เป็นผลดีกับประเทศชาติ ในยามสถานการณ์ ยากลำบากเช่นนี้ เราต้องการความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวที่สูงสุดให้ผ่านพ่นวิกฤตนี้ไปด้วยกันทั้งประเทศ” พล.ท.คงชีพ กล่าว

“องอาจ” ชี้ รัฐควรแยกให้ชัด“ข่าวปลอม-ข่าวจริง” จี้ต้องทบทวนไม่เปิดช่องใช้อำนาจเกินขอบเขต ระวังย้อนกลับเป็นมุมเมอแรง

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงข้อกำหนดฉบับที่ 27 และ 29 ที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อาจปิดกั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน  ว่า  เมื่อพิจารณาเนื้อหาสาระของข้อกำหนดดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ระบุไม่ให้เผยแพร่ “ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว” พบว่าเป็นการให้อำนาจหน้าที่รัฐกว้างขวางมากจนอาจนำไปสู่การใช้อำนาจเกินขอบเขต และอาจใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้น การที่องค์กรสื่อเรียกร้องให้ทบทวนข้อกำหนดเหล่านี้จึงไม่ใช่การเคลื่อนไหวเกินกว่าเหตุหรือตีตนไปก่อนไข้ แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลที่อาจเกิดขึ้นได้ และอาจส่งผลกระทบกับสิทธิเสรีภาพของการทำงานของสื่อมวลชนและสิทธิ เสรีภาพของประชาชน แม้ภาครัฐอธิบายว่าข้อกำหนดมีจุดประสงค์จะจัดการกับข่าวปลอมเป็นหลัก ไม่ได้ปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชน แต่การออกข้อกำหนดที่ทำให้ตีความเพื่อใช้อำนาจได้กว้างขวาง อาจส่งผลต่อคนทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน  ภาครัฐจึงต้องแยกแยะระหว่างข่าวปลอมกับข่าวจริงให้ได้ ว่าคนทำข่าวปลอมมักมุ่งทำลายล้าง เพื่อผลประโยชน์มิชอบ ขณะที่คนทำข่าวจริงคือสื่อมวลชนอาชีพส่วนมากที่ทำงานตามจรรยาบรรณวิชาชีพ เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และความคิดเห็นบนพื้นฐานของความเป็นจริง ภายใต้กรอบของกฎหมาย
             

“ผมจึงขอเสนอให้ภาครัฐรีบทบทวนข้อกำหนดนี้อย่างจริงจัง พร้อมกับแยกให้ออกระหว่างข่าวปลอมกับข่าวจริงว่าควรดำเนินการอย่างไรให้เกิดความพอดีที่จะไม่กระทบกับการทำงานของสื่อมวลชนโดยสุจริต และไม่ปิดกั้นการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญ ภาครัฐต้องพึงระมัดระวังอย่าให้เกิดการใช้อำนาจเกินขอบเขตจากข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของผู้มีอำนาจรัฐ เพราะอำนาจที่ใช้โดยไม่ถูกต้องจะเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมาทำลาย และสร้างความเสียหายจนยากที่จะแก้ไขได้โดยไม่จำเป็น”นายองอาจ กล่าว 

'ราเมศ' เผย เก็บหลักฐานเรียบร้อย  พร้อมซ่อมแซม ทำความสะอาดพรรค

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมกลุ่มทะลุฟ้า ว่าตนได้เก็บพยานหลักฐานอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว เพื่อมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป คดีนี้อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการเพื่อให้ได้ตัวคนทำผิดมาเร็วที่สุด เพราะไม่เช่นนั่นกลุ่มดังกล่าวก็จะกระทำความผิดเช่นนี้ซ้ำซากไม่มีวันจบสิ้น เพราะคิดว่าสิ่งที่กลุ่มตนทำนั้นถูกต้อง เรียกร้องสิทธิแต่กลับไม่เคารพสิทธิผู้อื่นกระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่การกระทำตามสิทธิแต่เป็นการกระทำความผิด ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมและจะติดตามอย่างใกล้ชิด

นายราเมศ กล่าวต่อว่า จะมีการทำความสะอาดพรรค โดยจะมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมซ่อมแซมและทำความสะอาดพรรค โดยทุกคน จะร่วมกันซ่อมและทำความ ร่วมซ่อม ร่วมล้าง “บ้านเรา เราก็รัก” พวกคุณทำให้เสียหายเราจะซ่อมและทำความสะอาด 

“ก้าวหน้า” จับมือ “ก้าวไกล” เปิดรับอาสาสมัครแพทย์ทางไกล ดูแลผู้ป่วยโควิด

น.ส.วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจถึงกรณีการเปิดรับอาสาสมัครแพทย์ทางไกล ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังรอความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขจากภาครัฐ โดยระบุว่า เปิดรับอาสาสมัครแพทย์ทางไกล (TeleMed) ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังรอความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขจากรัฐ 

คณะก้าวหน้าแรงงาน ร่วมกับ ส.ส. ปีกแรงงาน พรรคก้าวไกล จัดโครงการช่วยเหลือดูแลแรงงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่อยู่ระหว่างการหาเตียง หรือรอเข้าระบบของรัฐ เพื่อลดช่องว่างของประชาชนในระหว่างการรอคอย ซึ่งช่วงนี้ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง มีผู้ป่วยโควิด-19 ไม่น้อยที่เปลี่ยนจากสถานะผู้ป่วยสีเขียวสู่ระดับสีเหลืองหรือสีแดง เนื่องจากระยะเวลาการรอคอยที่ยาวนาน ทำให้ไวรัสเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วในร่างกายจนทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้น ดังนั้นเพื่อรักษาและประคับประคองอาการของผู้ป่วยก่อนที่จะเข้าถึงระบบสาธารณสุขจึงเป็นกลไกสำคัญซึ่งสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ เราจึงขอเปิดรับอาสาสมัครแพทย์ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขในเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อ

หน้าที่อาสาสมัครแพทย์ มีดังนี้ (สามารถเลือกได้ในใบสมัคร)
1.ติดตามและวินิจฉัยอาการผู้ติดเชื้อ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ ทางโทรศัพท์หรือช่องทางออนไลน์
2.ตรวจสอบอาการผู้ติดเชื้อ ว่าขณะนี้เป็นผู้ป่วยสีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง หรือมีอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่ต้องเร่งดูแลรักษาหรือไม่
3.สั่งยา เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย
4.ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยในการจัดทำ Home Isolation

การสนับสนุนจากทีมงาน
1.ค่าโทรศัพท์ตลอดการร่วมโครงการในการติดต่อผู้ป่วย
2.ค่าเดินทางในการลงพื้นที่ (หากอาสาสมัครแพทย์ประสงค์ลงพื้นที่)
3.มีทีมงานลงพื้นที่ เพื่อช่วยประสานงานด้านต่าง ๆ ให้แก่แพทย์ตลอดเวลา

เงื่อนไขและข้อตกลงการร่วมเป็นอาสาสมัคร
ทางทีมงานจะให้อาสาสมัครแพทย์เป็นผู้กำหนดเองว่าสามารถรับดูแลผู้ป่วยได้กี่คน ซึ่งทีมงานจะส่งรายชื่อผู้ป่วยให้ทีหลังตามจำนวนที่ได้แจ้งไว้ และอาสาสมัครแพทย์ต้องดูแลผู้ป่วยตามหน้าที่ที่กำหนดไว้จนกว่าผู้ป่วยจะเข้าสู่ระบบสาธารณสุขหรือไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอีกต่อไปแล้ว เป็นอันเสร็จสิ้นหน้าที่อาสาสมัคร

สมัครได้ที่ลิงก์
https://forms.gle/Jpp26EC5C658NQfE6

“ศรีสุวรรณ” ร้อง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน ไต่สวน“สรรพากร” ข้องใจรีดเลือดพ่อค้ายาเส้น เก็บภาษียาเส้นย้อนหลัง 

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบรับซื้อยาเส้นจากชาวไร่ยาสูบในพื้นที่ อ.หล่มสัก อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ได้รับความเดือดร้อนจากการที่สรรพากร กำลังดำเนินการเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อนจากผู้ประกอบการ ทั้งที่ชำระภาษีสรรพสามิตในรูปแบบของอากรแสตมป์ไปแล้ว การกระทำเช่นนั้นถือว่าเป็นการรีดเลือดจากปูในยามที่ทุกคนเดือดร้อนจากโควิด-19 หรือไม่ โดยสืบเนื่องจากกรมสรรพากร สั่งการสรรพากรพื้นที่จังหวัดทั่วประเทศที่มีเกษตรปลูกยาเส้นหรือยาสูบ ให้เร่งรัดผู้ประกอบการรับซื้อยาเส้น ชำระภาษี ภงด.90 ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2561-2563 จนมาถึงช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ภายในวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงนโยบายที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชนหรือสังคม อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 ม.62 ม.73 ประกอบ ม.40 โดยชัดแจ้ง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า พ่อค้ายาเส้นส่วนใหญ่เป็นคนกลางในการรับซื้อยาเส้นมาจากเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ ได้ทำการชำระภาษีสรรพสามิตในรูปแบบของอากรแสตมป์อัตรากิโลกรัมละ 100 บาทและชำระภาษีให้กองทุนอื่นรวมเป็นกิโลกรัมละ 117.50 บาทอยู่แล้ว จากอัตราเดิมที่เคยเสียในอัตรา 5 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า การที่สรรพากรมาเรียกเก็บภาษีเงินได้หรือ ภงด.90 เพิ่มโดยที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีตและเป็นการเรียกเก็บย้อนหลังอีกด้วย ชี้ให้เห็นว่าเป็นการเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการรับซื้อยาเส้น และการประเมินฐานภาษีจากผู้ค้าคนกลาง

โดยคิดจากมูลค่าสินค้าที่รับซื้อมาจากเกษตรกรว่าเป็นการซื้อมาขายไป เป็นวิธีคิดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากพ่อค้าคนกลางเป็นเพียงผู้รับจ้างจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาเส้น ทำหน้าที่รวบรวมยาเส้นจากเกษตรกรผู้ปลูกไปให้โรงงานผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ได้รับค่าจ้างหรือกำไรที่ถือเป็นรายได้สุทธิเพียงถุงละ 20-60 บาทเท่านั้น การประเมินฐานภาษีโดยคิดเอาจากยอดราคายาเส้นสุทธิเป็นรายได้พึงประเมินนั้น เป็นการประเมินที่ไม่ถูกต้อง ซ้ำซ้อน และไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการเรียกย้อนหลัง3 ปี เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นการซ้ำเติมประชาชน เป็นการรีดเลือดจากปู และชี้ให้เห็นถึงฐานะทางการเงินการคลังของรัฐบาลที่อาจถึงขั้นถังแตก จึงเสาะหาวิธีการทุกรูปแบบเพื่อไล่เก็บภาษีจากประชาชน เพื่อนำไปจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ซื้อเรือดำน้ำให้กับกองทัพหรือไม่ ดังนั้นทางสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะส่งเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยเพื่อยับยั้งกระบวนการรีดเลือดจากปูของกรรมสรรพากรต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top