Monday, 30 June 2025
PoliticsQUIZ

"ธัญวัจน์" อัด รัฐบาลล้วงกระเป๋าประกันสังคมรับภาระเยียวยาแทน จี้ วางแผนเยียวยาระยะยาว เพราะรอบนี้ยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

นายธัญวัจน์​ กมลวงศ์วัฒน์​ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการประกาศล็อกดาวน์อย่างเป็นทางการอีกครั้งว่า ตนมีความห่วงใยต่อพี่น้องผู้ประกอบการรายเล็กทุกท่าน รวมไปถึงกลุ่มอาชีพอิสระ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริการ ศิลปิน นักดนตรี นักเต้น นางโชว์ ที่เคยร่วมยื่นหนังสือเรียกร้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมให้ออกมาตราการเยียวยา เนื่องจากอาชีพดังกล่าวได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะโดนปิดก่อนและเปิดทีหลัง โดยตามมติคณะรัฐมตรีเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 64 ได้ออกมาตรการเยียวยาล็อกดาวน์ ใน 10 จังหวัดที่ประกาศล็อคดาวน์ ให้อาชีพอิสระลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท แต่ขอให้สมัครเข้าผู้ประกันตน มาตรา 40 ภายในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งตนมีความเห็นด้วยอย่างมากที่อาชีพอิสระจะได้รับเงินเยียวยา แต่มีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินของรัฐบาล ว่าการเยียวยาครั้งนี้คงไม่ใช่การทำงานลูบหน้าปะจมูกที่ช่วยแค่ครั้งนี้​ และครั้งต่อๆ ไปจะทำอย่างไร จะบริหารจัดการอย่างไร เพราะเมื่อปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลได้ชี้แจงแล้วว่ารัฐบาลล้วงลูกกองทุนประกันสังคมไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท คำถามคือมาตราการครั้งนี้ คือ การช่วยเหลือหรือเป็นการผลักภาระให้กับประกันสังคมหรือไม่ และท่านจะชดเชยหรือมีเงินคืนกลับมาให้จากพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านหรือไม่ เพราะนี่ไม่ใช่การเยียวยาครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน

นายธัญวัจน์ กล่าวต่อว่า ตนจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเยียวยาด้วยการวางแผนระยะยาว และพร้อมจัดสรรงบประมาณแบ่งคืนให้กับกองทุนประกันสังคม เพื่อให้การเยียวยาครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการผลักภาระและได้หน้าอยู่คนเดียว ท่านต้องไม่ลืมว่าท่านมีเงินกู้ 1 ล้านล้าน และ 5 แสนล้าน รวมถึงงบประมาณประจำปี 2565 ประกันสังคมยังถูกตัดงบลงอีก และตนคิดว่าการบริหารจัดการงบประมาณของท่านดูจะไม่ตอบโจทย์หรือมีความพร้อมระยะยาวที่จะต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ประกอบกับในขณะนี้อยู่ในช่วงพิจารณางบประมาณแผ่นดิน 2565 ตนเข้าใจว่าท่านได้ตั้งงบประมาณมาก่อนเกิดวิกฤตและอาจจะเป็นสถานการณ์ที่ท่านอาจไม่คำนึงถึง แต่คำถามที่เกิดขึ้นและต้องตอบกับประชาชนคือ ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้จะปรับแผนในงบประมาณอย่างไร​ อย่าทำให้การเยียวยานั้นไม่จบสั้น ห้วน และสุดท้ายทิ้งทวนว่า "ช่วยแล้วนะอย่ามาขออีก" ตนหวังว่าจะไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้

รพ.ทบ. สนับสนุนรัฐบาลดูแลผู้ติดเชื้อสีเขียวแบบ Home isolation เฉพาะรพ.พระมงกุฎเกล้า ดูแลกว่า 176 ราย ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

พ.ท.หญิง พัชรินทร์ บุศยกุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากขึ้น ทำให้การเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาลเป็นไปอย่างจำกัด รัฐบาลจึงมีนโยบายให้ผู้ป่วยติดเชื้อสีเขียว ใช้มาตรการแยกกักตัวที่บ้าน (Home isolation) ซึ่งพลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 โรงพยาบาลสังกัดกองทัพบก” ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.64 ที่ผ่านมา โดยให้ 37 โรงพยาบาลสังกัดกองทัพบกทั่วประเทศ ดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อสีเขียว(ไม่แสดงอาการ) สามารถกักตัวรักษาได้ที่บ้านภายใต้การดูแลติดตามอาการอย่างใกล้ชิด จากโรงพยาบาลสังกัดกองทัพบก โดยกรมแพทย์ทหารบกรับผิดชอบบริหารจัดการในภาพรวมและกำหนดแนวทางการปฏิบัติ เพื่อสอดรับนโยบายให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกระทรวงสาธารณสุขและเกิดประสิทธิภาพในการรักษาอย่างดีที่สุด

โดย 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนตั้งแต่จัดรถรับผู้ติดเชื้อจากบ้าน เพื่อให้ทีมแพทย์ตรวจประเมินอาการ แยกประเภทผู้ป่วย หากเป็นผู้ป่วยติดเชื้อสีเขียวและมีความประสงค์จะรักษาที่บ้าน จะให้ยาต้านไวรัส และมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการตรวจเบื้องต้น เช่น ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด เครื่องวัดความดัน พร้อมส่งอาหาร 
3 มื้อ และติดตามอาการอย่างต่อเนื่องผ่านระบบสื่อสารต่างๆ หากมีอาการรุนแรงขึ้น จะรับผู้ป่วย
มารักษาต่อในโรงพยาบาลโดยทันที ซึ่ง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยแยกกักตัวในความดูแล จำนวน 176 ราย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐ ที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างทั่วถึง และสามารถช่วยให้การบริหารจัดการเตียง มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารบกได้ส่งมอบของเยี่ยมและสิ่งของจำเป็นในการกักรักษาตัวที่บ้านของผู้ป่วยติดเชื้อในความดูแลของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นการส่งผ่านความห่วงใยและกำลังใจให้กับผู้ป่วยสามารถดูรักษาตัวเองให้ปลอดภัยและกลับมาดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขต่อไป

ไอติม พริษฐ์ โพสต์ข้อความ 10 ข้อที่รัฐบาลต้องยอมรับต่อประชาชน ย้ำ ต้องลาออกและแก้รัฐธรรมนูญ

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือไอติม อดีตผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ ปัจจุบันเป็นแกนนำกลุ่ม Re-Solution ที่เคลื่อนไหวด้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ถึงการทำงานของรัฐบาล ว่า

หมดเวลาของรัฐบาลที่ไร้ความรับผิดชอบทางการเมือง : “ขอโทษ” ไม่พอ / ต้อง “ลาออก” และ “แก้รัฐธรรมนูญ” เท่านั้น

คงไม่มีใครคาดหวัง ว่ารัฐบาลใด ๆ ก็ตาม จะสามารถการแก้ไขทุกปัญหาได้อย่างไร้ข้อผิดพลาด

แต่สิ่งที่เราควรจะคาดหวังได้จากทุกรัฐบาลคือ “ความรับผิดชอบ” ทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน และรัฐบาลชุดปัจจุบัน ขาดมาโดยตลอด

“ความรับผิดชอบ” ขั้นพื้นฐานที่สุดที่รัฐบาลควรจะมี คือการสำรวจตัวเองว่าทำอะไรลงไปบ้าง หากผิดพลาดก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองทำอะไรพลาดไป และปรับแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น

ในขณะที่รัฐบาลมัก “สั่งสอน” ประชาชนอยู่เสมอ ว่าการแก้ปัญหาต่าง ๆ ต้องให้ประชาชน “เริ่มต้นที่ตัวเอง” แต่รัฐบาลนี้ไม่เคย “เริ่มต้นที่ตัวเอง” เลยสักครั้ง ในการบริหารทั้งวิกฤตสาธารณสุข วิกฤตเศรษฐกิจ และวิกฤตการเมือง ที่ประเทศเรากำลังเผชิญอยู่

1.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ข้อเสนอจากหลายฝ่ายในช่วงแรก ๆ ของการระบาด ให้สรรหาวัคซีนหลากหลายยี่ห้อตั้งแต่ต้นเพื่อกระจายความเสี่ยง...

...รัฐบาลก็มัวแต่ไปไล่ฟ้องคนที่ออกมาทักท้วงเพียงเพราะเขามาจากขั้วตรงข้ามทางการเมือง และไม่เอาเวลาไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงข้อดีของการเข้าร่วมโครงการ COVAX

2.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าตัวเองดำเนินการล่าช้าและบริหารอย่างผิดพลาดมหาศาลในการตกลงสัญญากับ AstraZeneca เพื่อให้สามารถฉีดวัคซีนได้ตามแผนที่ประกาศกับประชาชน...

...รัฐบาลกลับเลือกปกปิดข้อมูลและ “โกหก” ต่อหน้าประชาชนกลางสภา จนกระทั่งความจริงถูกเปิดโปงจากจดหมายระหว่าง AstraZeneca กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

3.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าวัคซีน Sinovac ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าวัคซีนชนิด mRNA และรีบทำทุกวิถีทางให้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ถูกฉีดเข้าร่างกายบุคลาการทางการแพทย์ด่านหน้าได้เร็วที่สุด...

...รัฐบาลกลับดึงดันที่จะสั่ง Sinovac เข้ามาเพิ่ม แถมใช้เวลาไปมากมายกับการงัดสารพัดเหตุผล เพื่อพูดถึงข้อดีของวัคซีนที่แม้กระทั่งประเทศเจ้าของอย่างจีน ยังไม่เลือกที่จะใช้เพิ่ม

4.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ความจริง ว่าการล็อกดาวน์อาจมีความจำเป็น แต่ต้องมาควบคู่กับแผนการเยียวยาที่เพียงพอ ครอบคลุม และทันท่วงที เพื่อชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนจำนวนมาก...

...รัฐบาลกลับขาดความชัดเจนในการประกาศมาตรการ ขาดความรวดเร็วในการวางแผนการเยียวยา และขาดความเข้าใจในความยากลำบากของประชาชน ยังไม่รับการจงใจเลี่ยงบาลีไม่ใช้คำว่า “ล็อกดาวน์” เพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบของรัฐบาลในการเยียวยาประชาชน

5.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าระบบสาธารณสุขของเรากำลังขาดแคลนทรัพยากรอย่างสาหัส ทั้งจำนวนเตียง ปริมาณยา และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งทำให้งบประมาณสาธารณสุขต้องได้รับความสำคัญที่สุดในการักษาความมั่นคงของประเทศ...

...รัฐบาลกลับยังคงใช้ข้ออ้างเรื่องความมั่นคงรูปแบบเดิม ๆ เพื่อจัดสรรงบประมาณมาให้กับ “ของเล่น” ต่าง ๆ ของกองทัพที่ไม่จำเป็น หรือ “โครงการเชิงวัฒนธรรม” ต่าง ๆ ที่อยู่รอดมาได้จากความเคยชิน แต่ไม่ได้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชน

6.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าการตนเองดำเนินการอย่างไร้ความโปร่งใส คัดเลือกบุคลากรมาดำรงตำแหน่งสำคัญที่ขาดความสามารถและเต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน และเผชิญข้อครหาเรื่องการทุจริตที่ไม่น้อยไปกว่ารัฐบาลก่อน ๆ ที่ตนเองชอบต่อว่า...

...รัฐบาลกลับมัวแต่ไปป่าวประกาศอย่างไร้ประโยชน์ ให้การกำจัดการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ แถมใช้เวลาในสภาไปกับการกระแนะกระแหนรัฐบาลก่อน ๆ มากกว่าการชี้แจงคำถามต่อการทำงานของตนเอง

7.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าอำนาจที่ตนเองมีอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ได้มาจากการแข่งขันที่เป็นธรรมในการครองใจประชาชน แต่มาจากรัฐธรรมนูญที่ตนเองเขียนขึ้นมาเองเพื่อสืบทอดอำนาจตนเอง ผ่านองค์กรที่ไร้ศักดิ์ศรีอย่างวุฒิสภา ที่มีทั้งอำนาจทั้งเลือกนายกฯ และอำนาจแต่งตั้ง กกต. ให้เข้ามาบิดสูตรคำนวน ส.ส. เพื่อพลิกผลเลือกตั้ง...

...รัฐบาลกลับอ้างอยู่เสมอว่าตนเองมาจากการเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญเรายังเขียนให้ ส.ว. 250 คน มีอำนาจมากกว่าประชาชน 19 ล้านคน

8.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าตนเองมีส่วนสำคัญในการตั้งใจลากหรือปล่อยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไหลเข้ามาในความขัดแย้งทางการเมือง ผ่านการกล่าวอ้างและผูกขาดความจงรักภักดี หรือผ่านความไม่กล้าหาญของนายกรัฐมนตรีที่จะถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ เมื่อมีการกระทำใดที่สุ่มเสี่ยงจะขัดกับหลักระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข…

...รัฐบาลกลับเลือกปราบประชาชนด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112 และผลักไสไล่ส่งหลายคนที่ออกมาเรียกร้องการปฏิรูป ว่ามีเจตนาล้มลางสถาบันฯ

9.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าตนเองตัดสินใจพลาดในหลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับการบริหารจัดการโควิด จนทำให้ชีวิตประชาชนจำนวนมากยังต้องอยู่บนเส้นดาย ที่ล้อมรอบไปด้วยทั้งโรคระบาดและพิษเศรษฐกิจ และทำให้สถานการณ์ของประเทศไทยทรุดโทรมกว่าอีกหลายประเทศทั่วโลก…

...แต่รัฐบาลกลับชอบอ้างว่าประเทศอื่นก็เผชิญวิกฤต และชอบหาสารพัดสถิติมาใช้ในแถลงการณ์ ศบค. เพื่อทำให้สถานการณ์ในประเทศไทยดูดีกว่าที่เป็นจริง โดยไม่เคยเอ่ยปากขอโทษประชาชน เหมือนกับผู้นำในอีกหลายประเทศทั่วโลก ที่อาจเคยตัดสินพลาดบ้างในบางครั้ง

10.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าตนเองกำลังทำลายความฝันของประชาชนจำนวนมากที่ต้องการเห็นบ้านเมืองที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้าง และใช้เวลานั่งคิดกับตัวเองบ้าง ว่าทำไมประชาชนจำนวนมาก จึงยอมเสี่ยงชีวิตตนเอง เพื่อออกมาต่อสู้บนท้องถนน…

...รัฐบาลกลับเลือกที่จะตอบโต้ด้วยวิธีการอำมหิต ที่ขัดหลักสากล ขาดความเป็นมนุษย์ และขาดความจริงใจในการรับฟังหรือแก้ไขปัญหาร่วมไปกับประชาชนจำนวนมากที่เป็นเจ้าของประเทศนี้เช่นกัน

ถ้าหากนายกฯ และรัฐบาล เคยแสดงให้เห็นมาก่อนถึง “ความรับผิดชอบทางการเมือง” ขั้นพื้นฐาน ที่พร้อมจะยอมรับข้อผิดพลาด ปรับปรุงตนเอง และเดินหน้าแก้ไขปัญหาด้วยความเห็นอกเห็นใจ คำว่า “ขอโทษ” อาจพอซื้อเวลาพวกท่านได้ ก่อนที่พวกท่านจะต้องถูกตัดสินโดยประชาชนในสนามเลือกตั้ง ที่ต้องเสรีและเป็นธรรม และต้องปราศจากกลไกการสืบทอดอำนาจอย่าง ส.ว. 250 คน หรือ กกต. ที่พวกท่านแต่งตั้งเอง

จนมาถึงวันนี้ คำว่า “ขอโทษ” ไม่เคยออกจากปากพวกท่าน

ถึงคำขอโทษ ยังจำเป็นอยู่ต่อการรักษาเกียรติของตัวท่านเอง แต่มันไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วต่อการรักษาบาดแผลที่ท่านได้สร้างให้กับประเทศและประชาชน

การลาออกของพวกท่าน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น ถึงจะเพียงพอ ต่อการที่ประเทศเดินไปข้างหน้า ด้วยการเมืองที่ช่วยชีวิตประชาชน

 

ที่มา : https://www.facebook.com/254171817929906/posts/6359189010761459/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อดีตรองโฆษกปชป.” เสนอรัฐ เจรจาร้านสะดวกซื้อ แปลงเป็นคลังอาหารชุมชน กระจายอาหาร-ยา ช่วงล็อกดาวน์  ชี้ ถึงเวลาคืนกำไรให้ ปชช. ช่วยชาติยามวิกฤต เผยชุมชนโรงปูน ห้วยขวาง ติดเชื้อหนัรอเตียง 58 คน

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊กว่า ให้ใช้ร้านสะดวกซื้อ เป็นคลังอาหารให้ชุมชน ทั้งนี้ตนเห็นด้วยว่ารัฐบาลต้องกำหนดมาตรการที่เข้มข้นขึ้น หลังจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งทะลุหลักหมื่น ยอดผู้เสียชีวิตทะลุหลักร้อย และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงแบบนี้ต่อไปไม่น้อยกว่าสองเดือน สิ่งที่ต้องเร่งทำให้เกิดขึ้นเพื่อให้นโยบายรัฐบาลสัมฤทธิ์ผลคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจภาครัฐ พร้อมร่วมมือทำตามทุกนโยบายที่กำหนดออกมา ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นได้ ภาครัฐต้องมีความชัดเจนในเรื่องการดูแลปากท้องของประชาชน นอกเหนือไปจากการเยียวยาที่ออกมาด้วย โดยเฉพาะชาวชุมชนที่กลายเป็นพื้นที่ระบาดในวงกว้าง และยากต่อการควบคุม เมื่อห้ามทุกกิจกรรม ก็ต้องดูแลปากท้องคนเหล่านี้ด้วย  
         
“การลงพื้นที่ชุมชนย่านห้วยขวางพบความจริงที่น่าตกใจ เช่น ชุมชนโรงปูน เมื่อวานนี้ (18 ก.ค.)มีผู้ป่วยรอเตียงมากถึง 58 คน ยังไม่รวมกลุ่มเสี่ยงสูงต้องกักตัวหลายร้อยคนที่รอความช่วยเหลือตามยถากรรม ต้องรับปัญหา 2 เด้งทั้งต้องหายารักษาตัวเองและหาข้าวกินในแต่ละมื้อเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ ซึ่งก็หนี ไม่พ้นที่เขาต้องดิ้นรนออกนอกบ้าน ในที่สุดก็จะแพร่เชื้อติดต่อกันไปเป็นเท่าทวีคูณ นี่คือความจริงของคนจนเมืองที่ภาครัฐต้องเร่งเข้ามาดูแล ผมเรียกร้องมาหลายครั้งให้จัดถุงยังชีพ ข้าวกล่อง และยาเวชภัณฑ์ที่เพียงพอ ในการดูแลทุกชีวิตที่ขาดรายได้ของคนกลุ่มนี้ แบบมีหน่วยบริการดูแลเฉพาะในการส่งข้าว ส่งน้ำให้ทุกวัน ซึ่งทำได้หลายช่องทาง เช่นให้ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ตามจุดใกล้เคียงตามชุมชน ซึ่งมีข้าวกล่องสำเร็จรูปแช่แข็ง รวมทั้งยาเวชภัณฑ์จำเป็น และมีพนักงานรับส่งอยู่ในมือแล้วด้วย ผมคิดว่าแค่รัฐสั่งการลงมาก็สามารถทำได้ทันที่”นายเชาว์ กล่าว
           
อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่าขณะนี้การตั้งโรงครัวก็ทำไม่ได้เนื่องจากเป็นการรวมกลุ่มกันเกิน 5 คน ขัดต่อกฎหมายและสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด จะรอข้าวกล่องจากกลุ่มจิตอาสาต่างๆก็มีน้อยเต็มที เพราะนาทีนี้ทุกคนก็ต่างระวังตัว ตนจึงขอเสนอให้รัฐเร่งเจรจากับร้านสะดวกซื้อที่มีสาขากระจายอยู่ทุกที่ ให้เป็นคลังอาหารของชาวชุมชน โดยนำอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปพร้อมรับประทานที่จำหน่ายในร้าน มาขายให้รัฐในราคาย่อมเยา ช่วยลดภาระงบประมาณภาครัฐ ช่วยประชาชนอิ่มท้อง นอกเหนือจากข้าวกล่องล้านกล่องที่รองนายกฯประวิตร เตรียมดำเนินการ เพราะประชากรในกทม.มีมากกว่า 10 ล้านคน อย่างไรก็ไม่พอ ที่สำคัญต้องเลิกระบบลงทะเบียน เนื่องจากสำนักงานเขตมีข้อมูลประชาชนในแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว และให้มอเตอร์ไซด์รับจ้าง หรือไลน์แมนส่งของในพื้นที่นั้น ๆ เป็นผู้ขนส่งกระจายอาหารให้กับชุมชน ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนเหล่านี้ด้วย 
         
“ในอดีตเราจ่ายเงินซื้อของในร้านโซห่วยข้างบ้าน อาจจะขายแพงกว่า แต่ในยามทุกข์สุขเจ้าของร้านยังไปร่วมดูใจให้ความช่วยเหลือ เพราะถือเป็นเพื่อนบ้าน แต่ปัจจุบันเราจ่ายเงินซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ที่ไม่เคยเอาเงินใส่ซองคืนกลับมาให้เรา ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานบวช หรืองานบุญใด ๆ เมื่อบ้านเมืองพัฒนาหลายอย่างเปลี่ยนไป ก็ควรใช้พัฒนาการนั้นมาร่วมคลี่คลายวิกฤตในบ้านเมืองด้วย สโลแกน สะดวกครบ จบที่เดียว ขอให้เกิดในการช่วยเหลือประประชาชนยุคโควิด-19 ด้วยจะได้หรือไม่ เมื่อถึงวันที่ประชาชนแข็งแรง ท้องหิวเมื่อไหร่จะได้แวะไปได้” นายเชาว์ระบุ

พท.อัดรัฐอาการหนัก ล้มเหลวทำวิกฤตโควิดลามหนัก  เย้ยจะอยู่เป็น รบ.เพื่ออะไร

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีการล็อกดาวน์หลังผ่านการบังคับใช้มาครึ่งทางว่า ประชาชนประเมินการล็อกดาวน์ครั้งนี้ มีแนวโน้มเจ็บแต่ไม่จบ  และอาจต้องเจ็บหนักขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ สถานการณ์ที่ต้องปิดเมืองก่อนเปิดประเทศ  เศรษฐกิจพังลามวิกฤตหนักไปอย่างรวดเร็ว แต่รัฐบาลแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก กดตัวเลขผู้เสียชีวิต ผู้ติดเชื้อไม่ลง ก็ยกระดับไปเรื่อยๆ ไม่เห็นแผนงานที่เป็นขั้นเป็นตอนทั้งก่อนและหลังการล็อกดาวน์ จุดเปลี่ยนสำคัญของโควิดระลอกนี้ คือการสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างโดยไม่มีแผนรองรับ กลายเป็นการส่งเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วประเทศอย่างเป็นทางการด้วยคำสั่งของรัฐบาลเอง หลักฐานฟ้องความล้มเหลวชัด คือการประกาศขยายล็อกดาวน์ไปยังจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็น 13 จังหวัด และมีแนวโน้มว่าอาจจะต้องประกาศเพิ่มจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้ สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำในภาวะวิกฤตและเวลาเหลือน้อยมากแล้ว คือ 1.สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้เร็วขึ้น เพื่อแยกคน แยกโรค ลดขั้นตอนและลดภาระของประชาชน ชุดตรวจหาเชื้อด้วยตัวเอง  Rapid Antigen Test ต้องเข้าถึงง่าย ไม่เป็นภาระของประชาชน

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า 2.ต้องเร่งจัดหาวัคซีนคุณภาพ mRNA มาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าและประชาชน เปิดเผยไทม์ไลน์ที่ชัดเจนถูกต้อง เปิดเผยสัญญาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ภาคประชาชนได้ร่วมตรวจตรวจสอบ ลดไอโอ เพิ่มไอคิว หยุดกล่าวโทษและด้อยค่าประชาชน ยุติการนำเข้าวัคซีนประสิทธิภาพต่ำแล้วเพิ่มวัคซีน mRNA 3.เร่งสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิดให้เพียงพอ เพราะแม้ต้องดูแลตัวเองที่บ้าน ถ้ามียาเพียงพอ ผู้ติดเชื้อก็สามารถดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง 4.การเยียวยาต้องถ้วนหน้า เข้าถึงง่าย ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ทั้งนี้ อาการหนักของรัฐบาล คือไม่รู้สภาพตัวเองว่ากำลังป่วยหนัก ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหา ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ แล้วไม่ยอมปรับปรุงการทำงาน จะอยู่เป็นรัฐบาลไปเพื่ออะไร

พท.พ้อ ปชช.อยู่กับรบ.ทิพย์ เหน็บมีแต่กลาโหมขยันจะซื้อแต่เรือดำน้ำ

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า นอกจากการล็อกดาวน์ประเทศ จะล็อกดาวน์ประชาชน ล็อกดาวน์พื้นที่ ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลกำลังล็อกดาวน์บทบาทหน้าที่การทำงานของตัวเองด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผอ.ศบค.รับผิดชอบภาพรวมการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประเทศ และตั้งตัวเองเป็นผอ.ศูนย์แก้โควิด-19 กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็ล้มเหลว ผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพแทบทุกตำแหน่ง สะท้อนผ่านการประกาศยกระดับ 13 จังหวัดเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม และมีแนวโน้มอาจต้องประกาศยกระดับจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก ทั้งหมดล้วนเป็นความรับผิดชอบของพล.อ.ประยุทธ์ แทนที่จะเพิ่มไอคิว ดันเพิ่มไอโอ จนต้องปั่นไอโอสู้กันเองระหว่างทหารกับพรรคร่วมรัฐบาล เหมือนทหารเหยียบตาปลาหมอ อุตส่าห์ยึดอำนาจมารวมศูนย์ไว้ที่ตัวเอง แต่กลับล็อกดาวน์บทบาทหน้าที่ตัวเอง ไม่ทำงาน ไม่ตั้งสติ ตรวจสอบ แทนที่จะยอมรับผิดแล้วเดินหน้าปรับปรุงแก้ไข แต่ก็ละทิ้งโอกาสและไม่ทำ แทบทุกกระทรวงหายไปจากสารบบของการดูแลเยียวยาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ปล่อยให้ประชาชนต้องดูแลเยียวยาตัวเอง 

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า มีรัฐบาลก็เหมือนมีรัฐบาลทิพย์ ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ กระทรวงดีอีเอส แทนที่จะบริหารจัดการเชื่อมโยงข้อมูลในระบบบิ๊กดาต้า เพื่อให้สามารถเข้าถึงการเยียวยาประชาชนที่เดือดร้อน แต่กลับไปเน้นหนักในการทำหน้าที่ไล่ฟ้องประชาชน ปกป้องอำนาจรัฐกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ควรจะมีบทบาทหลักในการดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง กลับล็อคดาวน์ตัวเอง กระทรวงศึกษาธิการที่ควรเป็นเจ้าภาพในการงดหรือลดค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในช่วงที่นักเรียนต้องเรียนออนไลน์ให้ผู้ปกครอง ก็ไม่สามารถทำได้ ที่ขยันผิดกระทรวงอื่น คือกระทรวงกลาโหมที่ยังคงดำรงความมุ่งหมายในการจ้องจะซื้อเรือดำน้ำอันเป็นความปรารถนาอย่างสูงสุดของกองทัพ

“รัฐบาลทิพย์ รัฐมนตรีล็อกดาวน์บทบาทตัวเอง คนเปราะบาง ประชาชนเดือดร้อนทั่วทุกหย่อมหญ้า เยียวยาไม่พอยาไส้ แต่ให้ประชาชนดูแลกันเอง จิตใจทำด้วยอะไร” นายอนุสรณ์ กล่าว 

ศบค. ย้ำ ข้อกำหนดเข้ม ลดการเดินทาง “ให้ลดผดส.-ขนส่งสาธารณะ ทั่วประเทศไม่เกิน 50เปอร์เซ็นต์” แนะ รอฟังประกาศแต่ละจ.กำหนดเพิ่มเติม

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค.กล่าวว่า สำหรับข้อกำหนดเรื่องการเดินทางของประชาชนใน 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด(สีแดงเข้ม) ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่21 ก.ค.นี้ ให้กระทรวงคมนาคม กทม.จังหวัด หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลการให้บริการขนส่งสาธารณะทุกประเภทในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และการขนส่งสาธารณะทุกประเภทระหว่างจังหวัดทั่วราชอาณาจักร
ให้จำกัดจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการไม่เกินร้อยละ 50 ของความจุผู้โดยสาร คือให้ลดการเดินทางทั้งประเทศ ไม่เฉพาะ 13 จังหวัด โดยเดินทางได้ แต่ต้องลดพื้นที่ขนส่งลง 50 เปอร์เซ็น ให้เว้นระยะห่าง และให้บริการเพียงพอต่อความจำเป็นในเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะอำนวยความสะดวกรับส่งผู้โดยสารไปฉีดวัคซีน  ขณะที่สำนักงานการบินพลเรือนขอความร่วมมือสายการบิน จากดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ได้งดเที่ยวบินที่ออกจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดสีแดงเข้มให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค.เป็นต้นไป ดังนั้นเพื่อลดความแออัดขอความร่วมมืออย่าเดินทางในเวลานี้

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า นอกจากนั้นยังคงมาตรการเคอร์ฟิว ตั้งแต่เวลา 21.00 น.-04.00ของวันรุ่งขึ้นเป็นเวลา 14 วัน และยังควบคุมการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มให้ซื้อกลับที่บ้านได้จนถึงเวลา 20.00 น. และห้ามขายแอลกอฮอล์ ส่วนการเปิดห้างจะเข้มข้นขึ้น โดยให้เปิดบริการได้เฉพาะซุปเปอร์มาร์เก็ต แผนกยาและเวชภัณฑ์เท่านั้น และพื้นที่จัดให้บริการฉีดวัคซีน เปิดได้จนถึงเวลา 20.00 น. และปิดกิจการร้านขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง ธนาคาร สื่อสารฯ ในห้างใหญ่ ด้านร้านสะดวกซื้อ ตลาดสด ให้เปิดได้จนถึงเวลา 20.00 น. และให้เแต่ละจังหวัดพิจารณาสั่งปิดได้ตามความจำเป็น หากมีผู้ติดเชื้อสูงขึ้น ส่วนโรงแรมให้งดจัดกิจกรรมประชุม สัมมนาหรือจัดเลี้ยง และห้ามรวมกลุ่มเกิน 5 คน หากเป็นการรวมกลุ่มของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับอนุญาตไปก่อนหน้านั้น ให้มาขออนุญาตอีกครั้งเพื่อตรวจสอบและทบทวนให้เป็นไปตามมาตรการ นอกจากนั้นให้ภาครัฐสั่งการให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรปฎิบัติงานนอกสถานที่หรือเวิร์กฟรอมโฮมขั้นสูงสุด โดยใช้วิธีประชุมทางอิเล็กทรอนิกส์ และขอความร่วมมือเอกชนปฎิบัติงานนอกสถานที่ตั้งให้มากที่สุดเช่นกัน

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมและกิจการอื่น เช่น สถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง สวนสาธารณะ สามารถทำได้หรือไม่ทางศบค.ให้แต่ละจังหวัดออกประกาศข้อกำหนดของตัวเองให้สอดคล้องกับมาตรการหรือเข้มข้นมากขึ้น ขอให้ประชาชนรอฟังประกาศของจังหวัดนั้นๆอีกครั้ง

นอกจากนั้นสถานที่อนุญาตให้เปิดได้ตามความจำเป็น ได้แก่  โรงพยาบาล สถานพยาบาล คลินิกแพทย์รักษาโรค ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ร้านค้าทั่วไป โรงงาน ธุรกิจหลักทรัพย์ ทุรกรรมการเงิน ธนาคารเอทีเอ็ม การสื่อสารคมนาคมไปรษณีย์และพัสดุ ร้านจำหน่ายอาหารสัตว์ ร้านจำหน่ายเครื่องมือช่างและอุปกรณ์ก่อสร้าง ร้านจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ด ที่อยู่นอกห้าง รวมถึงสถานที่จำหน่ายแก๊สหุงต้ม เชื้อเพลิง ปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส รวมทั้งบริการสินค้าและอาหารตามสั่งสามารถเปิดได้ตามความจำเป็น 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เมื่อปีที่แล้วมีการคาดการณ์ว่าจะติดเชื้อ 16.9ล้านคน ถ้าไม่ทำอะไรก็จะมีจะมีการคาดการณ์อาจจะติด9แสนคนหรือ9ล้านคน หรือ4แสนคน วันนี้เห็นเป็นรายวันที่บอกวันละ1 หมื่น2หมื่น 3หมื่นคน แต่เราไม่อยากให้เป็น วันนี้แตะหมื่นหลายวัน จึงอยากให้ลดลงไปโดยทุกคนต้องช่วยกันช่วยกันได้ ความสามัคคีที่จะช่วยกันได้ ข้อกำหนดออกมาเหมือนกติกาที่จะอยู่ร่วมกันเพื่อดึงกราฟตัวเลขลงมาได้ เพื่อให้เห็นพลังและจิตใจของคนไทยนอกจากช่วยตัวเองและญาติพี่น้องก็ยังช่วยชาวไทยทุกคนด้วยจึงขอกราบขอความร่วมมือประชาชนทุกคนแล้วเราจะผ่านความทุกข์ยากไปด้วยกัน

“โฆษกพปชร.” แนะ “ศุภชัย”  อย่าติดกับคนผู้ไม่หวังดี ชี้ ภาวะวิกฤตต้องมีสติ-หนักแน่น จับมือแก้ปัญหา

น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส. กทม.ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวกรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ตัดพ้อถึงการทำงานของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ว่า การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทุ่มเทแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 เต็มที่ การบริหารจัดการสถานการณ์ปัจจุบันในภาวะวิกฤต ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก มีทั้งข้อจำกัดและแรงกดดันมากเป็นทวีคูณ การตัดสินใจดำเนินการสิ่งใด ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อเกิดประโยชน์แก่ประเทศและประชาชนอย่างสูงสุด แต่สิ่งที่ยากก็คือข้อจำกัดที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น การกลายพันธุ์ของโควิด-19 ทำให้อาจจะไม่สามารถทำอย่างที่เราต้องการได้ทั้งหมด

น.ส.พัชรินทร์ กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดีและบิดเบือนความจริงจำนวนมาก ยิ่งต้องรับแรงกดดันด้วยสติ และแก้ปัญหาต่อไปโดยไม่กล่าวโทษไปมา เพราะทุกการตัดสินใจผ่านคณะที่ปรึกษา และคณะรัฐมนตรี ร่วมตัดสินใจด้วย จึงอยากให้มีความหนักแน่น เพื่อพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตนี้โดยเร็วที่สุด และนำความปกติสุขคืนสู่ประชาชน ไม่หวั่นไหวไปกับการกระพือข่าวสร้างความแตกแยกของผู้ไม่หวังดีต่อชาติ แต่หากเสียงสะท้อนนั้นสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ก็นำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

‘นายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม’ หรือ ‘หมอวรงค์’ รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Click on Clear THE TOPIC เปิดใจถึงการเป็น ‘ทัพหน้าต้านล้มเจ้าเป้าหมายที่ไม่เปลี่ยน’ และเป้าหมายต่อไปของพรรคไทยภักดี

ไม่นานมานี้ ‘นายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม’ หรือ ‘หมอวรงค์’ รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Click on Clear THE TOPIC เปิดใจถึงการเป็น ‘ทัพหน้าต้านล้มเจ้าเป้าหมายที่ไม่เปลี่ยน’ และเป้าหมายต่อไปของพรรคไทยภักดีว่า...

‘พรรคไทยภักดี’ เป็นอีกพรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนในการก่อตั้งขึ้น เพื่อต่อต้านคนสามกลุ่ม ได้แก่ พรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า และม็อบสามนิ้ว โดยปัจจุบัน พรรคไทยภักดี ใช้ระยะเวลาเดินทางมากว่า 7 เดือนในการดำเนินการเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองของไทยอย่างสมบูรณ์

ทว่าก่อนจะไปถึงจุดนั้น หมอวรงค์ เผยถึงเหตุผลที่พรรคไทยภักดี มีการดำเนินการที่ช้ากว่าพรรคอื่น ๆ นั่นก็เพราะต้องการก่อตั้งพรรคจากรากฐานอย่างแท้จริง โดยไม่อาศัยหัวพรรคคนอื่น สิ่งนี้เองทำให้ไทยภักดีเป็นศูนย์รวมของผู้ร่วมอุดมการณ์ที่เข้ามามีส่วนร่วมและนำมาสู่การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในการตอบสนองความต้องการของประชาชน

อีกทั้งภายใต้กติกาทางการเมืองและยุธศาสตร์ที่เปลี่ยนไป จากกติกาในอดีตที่ใช้ ‘ระบบการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ’ ที่แม้ว่าประชาชนจะเป็นผู้เลือก ส.ส. แต่แท้จริงแล้ว นายทุนคือผู้ที่ครอบงำพรรคการเมืองใหญ่เหล่านี้ และคือผู้ที่เลือก นายกฯ ให้ ส.ส. เข้าไปโหวตในสภาเสียมากกว่า

และด้วยระบบแบบบัตรสองใบนี้เอง ทำให้เกิดการแข่งขันในเชิงบุคคลเพราะประชาชนจะเลือกที่ตัว ส.ส. ไม่ใช่จากพรรคการเมือง อันนำมาสู่การซื้อสิทธิขายเสียง ซึ่งหมอวรงค์มองว่าระบบดังกล่าว ‘ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน’

ในขณะที่ปัจจุบันที่ได้เปลี่ยนกติกาไปใช้ ‘ระบบบัตรใบเดียว’ โดยระบบนี้เองประชาชนจะมองที่พรรคและตัวของนายกฯ มากกว่า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปของกติกาทางการเมืองนี้ จะก่อให้เกิดการต่อสู้ โดยการก่อตั้งพรรคการเมืองในเชิงอุดมการณ์ ที่จะนำประโยชน์มาสู่ประชาชนได้อย่างแท้จริง

หมอวรงค์ เล่าย้อนกลับไปถึงจุดยืนของพรรคที่ก่อตั้งขึ้นด้วยว่า พรรคไทยภักดีชัดเจนในการต่อต้านคนสามกลุ่มที่เรียกว่า ‘ขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์’ ใฝ่ฝันอยากให้ประเทศไทยกลายเป็น ‘สาธารณรัฐ’ ซึ่งระบบดังกล่าว ไม่สามารถทำให้ประเทศไทยอยู่รอดได้

>> แต่ระบบการปกครองของไทยในปัจจุบันต่างหาก ถึงจะเป็นทางรอดของประเทศไทยที่แท้จริง เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเสมือนจุดหลอมรวมความรู้สึกของความเป็นคนไทย และถ้าหากขาดสถาบันที่สำคัญนี้ไป ประเทศไทยจะถึงคราวแตกแยกอย่างแน่นอน!!

จากตัวแปรที่กล่าวมา จึงส่งผลให้เกิดเป็น ‘อุดมการณ์ 5 ข้อ’ และ ‘5 DNA’ ที่สะท้อนตัวตนของพรรคไทยภักดี ดังนี้

>> ‘อุดมการณ์ 5 ข้อ’

1.) ปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คือ การยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

2.) สืบสานความเป็นไทย เชื่อมั่นในวัฒนธรรม จารีต ประเพณี

3.) ต่อต้านทุนผูกขาด เพราะสิ่งนี้จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นในสังคม

4.) สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร

5.) เชื่อมั่นว่าประเทศต้องพึ่งพาตนเองถึงจะอยู่รอด

>> ‘ความเป็นตัวตน หรือ DNA 5 ข้อ’

1.) ต้องการทำเพื่อการเปลี่ยนแปลง

2.) โปร่งใส

3.) สร้างคนใหม่

4.) นักการเมืองที่ไว้วางใจได้

5.) ภักดีประชา ศรัทธาสถาบัน

อย่างไรก็ตาม อุดมการณ์ และ DNA ของพรรคไทยภักดี ดูเหมือนจะขัดกับกลุ่มคนที่หมอวรงค์เรียกว่า ‘ขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ แนวคิด มุมมอง หรือแม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์

สังเกตได้จากเหตุการณ์ที่มีคนจำนวนไม่น้อยถูกแจ้งความด้วยข้อหามาตรา 112 กันมากมายในปัจจุบัน ซึ่ง ‘หมอวรงค์’ ได้ให้เหตุผลว่า การวิพากษ์ วิจารณ์ สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย วิพากษ์ วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์และมีเจตนาที่บริสุทธิ์

ในส่วนของแนวคิดของกลุ่มพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า และม็อบสามนิ้ว หมอวรงค์ให้เหตุผลว่า การกระทำหรือแนวคิดต่าง ๆ จาก คน 3 กลุ่ม ‘ไม่ใช่ของจริง’ เพราะไม่ได้อยู่ในเส้นทางหลักที่จะทำเพื่อประชาชน และของจริงต้องมีเจตนาที่สร้างสรรค์ต้องการปฏิรูปประเทศไปในทางที่ดีขึ้น มิใช่การทำลาย

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงบทบาทของพรรคไทยภักดี หากก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองในเมืองไทยอย่างสมบูรณ์แล้ว เรื่องแรกที่จะปฏิรูปคืออะไร? หมอวรงค์ได้ให้คำตอบว่า...

1.) เรื่องแรกที่จะปฏิรูป คือ ‘การแก้ปัญหาเรื่องโกง’ ทั้งนักการเมืองและในระบบราชการ โดยการแก้ไขกฎหมายที่เอื้อต่อการนำไปสู่การทุจริต และการแก้ไขปัญหาจากตัวผู้นำ โดยการใช้ระบบแบบ Digital Government ซึ่งระบบนี้จะเป็นการยื่นแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเจอหน้ากัน ทำให้สามารถกำหนดระยะเวลาได้อย่างชัดเจนว่าจะต้องอนุมัติภายในกี่วัน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการทุจริตที่เอื้อต่อการรับสินบน

2.) หมอวรงค์ยังกล่าวอีกว่า พรรคไทยภักดี จะเป็นพรรคแรกที่กล้า ‘ปฏิรูปตำรวจ’ เพื่อตอบสนองประชาชน เพราะที่ผ่านมาตำรวจใช้โครงสร้างแบบทหาร รอคำสั่งจากทหาร ทั้งที่ตำรวจควรมีหน้าที่อยู่ดูแลประชาชนทั่วไปได้อย่างเต็มที่

3.) นอกจากนี้ คือเรื่องการ ‘ปฏิรูปผูกขาดของระบบต่าง ๆ’ แนวคิดของไทยภักดีมองว่า สาธารณูปโภคพื้นฐาน และเรื่องปากท้อง ราคาต้องไม่แพงจนเกินไป หรือแม้กระทั่งน้ำมันที่ยังเป็นระบบผูดขาด ทำให้เป็นปัญหาของน้ำมันราคาแพงในปัจจุบัน

4.) อีกหนึ่งหัวใจสำคัญคือเรื่อง ‘ระบบการศึกษา’ ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง หากมองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระบบการศึกษายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นระบบแบบเดิม ในขณะที่สังคมเดินหน้าไปมากแล้ว และเมื่อพูดถึงการปฏิรูประบบการศึกษา คงหนีไม่พ้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของผู้บริหาร ครู หรือผู้บริหารกระทรวงศึกษา เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักเรียน เราจะต้องเพิ่มเงินเดือนให้ครู เพื่อได้ครูที่เก่ง และมีความสามารถที่จะนำพาการศึกษาให้เดินหน้าต่อไปทันยุคดิจิทัลได้

5.) และสุดท้ายคือการ ‘ให้ความสำคัญกับพี่น้องเกษตกร’ เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นกลุ่มที่ถูกเอาเปรียบเยอะมาก รัฐบาลควรเป็นตัวตั้งของแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้กลุ่มเกษตรเข้าสู่ระบบในการซื้อขายผ่านออนไลน์ ตรงนี้เกษตรจะได้ประโยชน์ โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้ากลาง

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนพรรคการเมืองต้องใช้ทุนทรัพย์มาก และหมอวรงค์ ก็มองว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะต้องรอดูว่าอุดมการณ์พรรคจะสื่อไปถึงประชาชนที่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคแค่ไหน โดยผู้ที่จะร่วมอยู่ในร่มไม้เดียวกันกับพรรคไทยภักดีนั้น ไม่ได้จำกัดกลุ่มคน ขอแค่มีอุดมการณ์ และ DNA เดียวกัน คือ “นำการเปลี่ยงแปลง โปร่งใส สร้างคนใหม่ ไว้ใจได้ ไทยภักดี” ที่สำคัญคือธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นเสมือนจุดหลอมรวมความรู้สึกของความเป็นคนไทยมาอย่างยาวนาน

สุดท้าย ‘หมอวรงค์’ ยังกล่าวอีกว่า “พร้อมที่จะรับไม้ต่อจากพลเอกประยุทธ์ ในการจัดการปัญหาของแผ่นดินนี้!! ผมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี”

รับชมคลิปเต็ม >> ทัพหน้าต้านล้มเจ้าเป้าหมายที่ไม่เปลี่ยน กับ 'หมอวรงค์ แห่งไทยภักดี’ ได้ในรายการ Click on Clear THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้ : ตามลิงก์นี้ >> https://fb.watch/6QS6Va-5Rm/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โฆษกทร.แจง ทร.ชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2-3 

ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 โดยไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการฯ ซึ่งปรากฏรายการอยู่ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ว่า ตามที่พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน ได้ทราบข่าวการขอชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2   และ 3 โดยไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการฯ ซึ่งปรากฏรายการอยู่ในร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ซึ่ง พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้แถลงต่อ คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565/สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ ไปแล้วนั้น ตนขอชี้แจงเป็นประเด็นดังต่อไปนี้ 
 
กองทัพเรือได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และลำที่ 3 ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ และเป็นหน้าที่ที่กองทัพเรือจะต้องเตรียมกำลังรบที่มีความจำเป็น สำหรับการปกป้องอธิปไตยทางทะเล การดำรงเส้นทางคมนาคมทางทะเลให้ได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลกว่า 22.89 ล้านล้านบาทนั้น ทั้งนี้การเตรียมกำลังรบในยามปกติ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเตรียมความพร้อมทั้งองค์บุคคล องค์วัตถุ และองค์ยุทธวิธี ให้มีความพร้อมสูงสุดอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้กองทัพเรือยังมีภารกิจสำคัญอื่นๆ อีกมากมายในการสนับสนุนรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศ ซึ่งกองทัพเรือมีความตระหนักและให้ความสำคัญในทุกภารกิจหน้าที่ที่กองทัพเรือรับผิดชอบ และต้องเตรียมการให้มีความพร้อมสูงสุดที่จะเผชิญภัยคุกคามในทุกรูปแบบ โดยไม่ย่อท้อ และพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติทางทะเลตราบชีวิตจะหาไม่ ซึ่งกองทัพเรือได้พิจารณาไตร่ตรองโดยถี่ถ้วนแล้ว เห็นว่ามีความจำเป็นต้องจัดหาเรือดำน้ำไว้ประจำการจำนวน 3 ลำ จะสามารถปฏิบัติการได้ครอบคลุมทั้ง 2 ฝั่งทะเล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับต่อภารกิจและหน้าที่ที่กองทัพเรือรับผิดชอบ และยังเป็นการเพิ่มศักยภาพทางทะเลของกองทัพเรือไทยให้มีมากยิ่งขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นการจัดหาเรือดำน้ำ จึงเป็นหนทางที่มีความเหมาะสมและเกิดความคุ้มค่าสูงสุดกับการใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชน 
      
พล.ร.อ.เชษฐา กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์วิกฤตของการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 กองทัพเรือได้ให้ความสำคัญในการระดมสรรพกำลังทุกรูปแบบเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถเท่าที่จะกระทำได้ อาทิเช่น การจัดตั้งสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้แห่งแรก  การจัดตั้ง รพ.สนาม การจัดกำลังพลสนับสนุน ศปค.ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดฯ  การดูแลและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น  

ทั้งนี้กลาโหมและกองทัพเรือไปพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ประกอบกับกองทัพเรือได้ประเมินสถานการณ์ในภาพรวมร่วมกับทรวงกลาโหมแล้ว เห็นว่ารัฐบาลมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการช่วยเหลือประชาชนในยามทุกข์ยากเช่นนี้ เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาและทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีความวิกฤต กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด  อีกทั้งในส่วนของการดำเนินการด้านงบประมาณนั้น กองทัพเรือได้ส่งคืนงบประมาณในปี 2563 จำนวน 3,375 ล้านบาท ปี 2564 จำนวน 3,925 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้รัฐบาล สามารถบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวม ตามความจำเป็นเร่งด่วนต่อไป โดยการดำเนินการเสนอของบประมาณจัดหาเรือดำน้ำเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ลำ ในปี 2565 กองทัพเรือได้พิจารณาถึงความเหมาะสมด้านงบประมาณที่ไม่เป็นการใช้งบประมาณแต่ละปีมากจนเกินไป โดยได้มีการเจรจากับทางฝ่ายจีนให้สามารถแบ่งจ่ายเงินสำหรับโครงการจัดหาเรือดำน้ำอีก 2 ลำที่เหลือ เป็นเวลาถึง 6 ปี ซึ่งสามารถจ่ายเงินงวดแรกในปีงบประมาณ 65 ที่กำลังพิจารณานี้ เพียง 900 ล้าน จาก ยอดรวม จำนวน 22,500 ล้านบาท ของมูลค่าเรือดำน้ำทั้ง 2 ลำ ทั้งนี้เงินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณปกติของกองทัพเรืออยู่แล้ว มิได้เป็นงบประมาณที่ขอใหม่แต่อย่างใด 

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์วิกฤตดังกล่าวที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามลำดับและส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นอย่างมาก จึงทำให้กองทัพเรือได้พิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม เพื่อหาหนทางปฏิบัติที่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤตในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง จึงขอชะลอโครงการจัดหา ด. ลำที่ 2 และ 3 ไปก่อน โดยไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และลำที่ 3 ซึ่งปรากฏรายการอยู่ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565  ทั้งนี้การชะลอการจัดหาเรือดำน้ำออกไปในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการจัดหาในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล  ที่รัฐบาลจีนให้ความช่วยเหลือทางทหารหลายรายการ จึงอาจส่งผลกระทบบางประการที่กองทัพเรือจะต้องไปดำเนินการเจรจากับรัฐบาลจีน เพื่อสร้างความเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นของการชะลอโครงการดังกล่าว และไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยังคงความพร้อมที่จะให้การสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหารกับกองทัพเรือต่อไป
 
“กองทัพเรือหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การพิจารณาของกองทัพเรือในครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนคนไทยในสถานการณ์ที่เหมาะสม ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยแก้ไขปัญหาของชาติอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ตลอดจนลดความขัดแย้งทางความคิด อันจะนำไปสู่การมีความสมัครสมาน สามัคคี ที่จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้รอดพ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อ” พล.ร.อ.เชรษฐา กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top