Monday, 30 June 2025
PoliticsQUIZ

รัฐบาล เผย ไทย วิจัยยาฟาวิพิราเวียร์ สำเร็จ อย.จ่อขึ้นทะเบียนตำรับยา หวัง ลดนำเข้า-ส่งขายตปท.

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามความคืบหน้าการวิจัยและพัฒนาการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในประเทศ สำหรับต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ BCG (Bio-Circula-Green Economy) ของรัฐบาล โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รายงานว่า ได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่าง สวทช. องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และ บริษัท ปตท. เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์สารตั้งต้น (Active Pharmaceutical Ingredients : API) ของการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ความเป็นไปได้ในการผลิตเชิงพาณิชย์ เพี่อสร้างความมั่นคงทางยาให้แก่ประเทศไทย โดยความร่วมมือดังกล่าว มีความคืบหน้าอย่างมาก สามารถสังเคราะห์สารตั้งต้นที่มีความบริสุทธิผ่านเกณฑ์มาตรฐาน และยังเป็นการสังเคราะห์จากสารตั้งต้นที่มีราคาถูกโดยไม่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันต้องมีการนำเข้ามากถึงร้อยละ 95 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ ทางองค์การเภสัชกรรมคาดว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ที่ได้วิจัยและพัฒนาขึ้นนั้น จะได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และจากนั้นจะเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด-19 เข้าถึงยาอย่างเพียงพอ เมื่อทุกอย่างสำเร็จลุล่วง ประเทศไทยจะสามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในราคาที่ถูกกว่านำเข้าอย่างมาก 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สวทช. อภ. และ บริษัท ปตท. ด้วยว่า ครอบคลุมตั้งแต่การทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการ (Laboratory scale) การถ่ายทอดเทคโนโลยีจนถึงระดับอุตสาหกรรม (Industrial scale) ตลอดจนการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Feasibility Study) ที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ จึงถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลความร่วมมือรัฐ-เอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมยา ขณะเดียวกันการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยนักวิจัยไทยก็มีความก้าวหน้าไปมากเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ระยะยาวนำไปสู่การลดการนำเข้า และยังเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งบุคคลากรมีทั้งความรู้และนำไปต่อยอดเพื่อการผลิตขายต่อไปด้วย

“ณัฏฐ์ชนน” เผย "ภูมิใจไทย" พร้อมสู้ศึกซักฟอก ไม่สนกระแสจี้ถอนตัวพรรคร่วมรบ.  ลั่น ไม่คิดหนีปัญหาวิกฤตโควิด แต่หากทำแบบนั้นปชช.ไม่ให้โอกาสกลับมารอบหน้า วอนนักการเมืองอย่าซ้ำเติมสถานการณ์

ที่รัฐสภา นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส. สงขลา และรองโฆษกพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติ เป็นการอภิปรายซักฟอกรัฐบาล ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล สิ่งสำคัญของเราคือการทำงาน โดยในพรรคเองได้กำชับส.ส.ให้ลงพื้นที่ไปช่วยชาวบ้าน สิ่งไหนที่ไปซ้ำเติมสถานการณ์เราก็หยุด ดังนั้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันนั้น ทางพรรคภูมิใจไทยก็จะอภิปรายปัญหาในพื้นที่ เช่น ตนก็จะพูดเรื่องการจัดสรรวัคซีน และการเยียวยาประชาชนในเขตพื้นที่ที่ศบค.ยังไม่อนุมัติงบประมาณ ซึ่งท่าทีของพรรคภูมิใจไทยชัดเจนว่าจะอภิปรายปัญหาในพื้นที่เพื่อให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา แต่สิ่งที่เราต้องตระหนักมากที่สุดตอนนี้ คือ ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมพยายามแก้ไขปัญหา  เราอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่หลายคนถามว่าทำไมพรรคภูมิใจไทยไม่ถอนตัวและทำไมไม่ลาออก ถ้าวันนี้หากพรรคภูมิไจไทยถอนตัวจากรัฐบาลก็จะทำให้รัฐบาลยุติการบริหารงาน แต่วันนี้มีสถานการณ์โควิด หากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวแล้วรอบหน้าประชาชนคงไม่ให้โอกาสกลับมา เพราะเวลาที่มีปัญหากลับหนีปัญหาหรือตัดช่องน้อยแต่พอตัว ตนคิดว่านายกฯก็เช่นกัน ท่านก็คงอึดอัดใจคิดจะตัดสินใจหลายอย่าง แต่หากกลับมารอบหน้าจะยากมาก และแทบไม่มีโอกาสได้กลับมา แต่ถ้านายกฯแก้ปัญหาให้หมดโควิด ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ตนคิดว่าประชาชนจะตัดสินใจอีกรอบหนึ่ง

เมื่อถามว่าการที่จี้ให้ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลตอนนี้ ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาใช่หรือไม่ นายณัฏฐ์ชนน กล่าวว่า เป็นความสะใจของหลายคนที่ถามว่าทำไมไม่ลาออก แต่วันนี้เกิดปัญหา พวกเราเข้ามาแก้ไขปัญหา เมื่อเกิดปัญหาแล้วจะให้พวกตนลาออกเพื่อให้รัฐบาลล้ม แล้วถามว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการรณรงค์หาเสียงออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งตอนนี้เป็นไปได้ยาก และเป็นการซ้ำเติมปัญหา ดังนั้นหลังสถานการณ์โควิดค่อยมาประเมินกันใหม่  และพวกตนก็จะประเมินตนเอง

เมื่อถามว่าตอนนี้มีหลายพรรคการเมือง เช่น พรรคไทยสร้างไทย  และพรรคเสรีรวมไทย รวมถึงภาคประชาชนล่ารายชื่อฟ้องนายกฯบริหารจัดการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ผิดพลาด และเป็นรัฐบาลฆาตกร นายณัฏฐ์ชนน กล่าวว่า เป็นประเด็นทางการเมืองที่เมื่อพรรคเหล่านั้นจะลงสนามเลือกตั้งก็ต้องเปิดประเด็นสิ่งที่เห็นต่างและคิดว่าประชาชนได้ประโยชน์ แต่กระบวนการทั้งหมดในการดำเนินคดี ถ้าทำได้ก็ต้องไปว่ากันตามช่องทางกฎหมาย แต่จะผิดหรือถูก พวกเราเป็นนักการเมืองก็รู้ ซึ่งสิ่งสำคัญไม่อยากให้นักการเมืองไปซ้ำเติมสถานการณ์ วันนี้ทุกคนสับสนหมด ทั้งเรื่องการแก้ไขปัญหา เรื่องวัคซีน กระบวนการโรงพยาบาลสนามที่ไม่มีความชัดเจน ดังนั้นเราต้องตั้งสติดีๆ และแก้ไขปัญหาไปทีละอย่าง

พท.แนะใช้หอประชุม รร.เป็นที่กักตัวแทนเถียงนา รับช่วย ปชช.จนเงินเดือน ส.ส.หมดทุกเดือน 

นายภาควัต ศรีสุรพล ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แนวคิดเถียงนาโมเดลของ ศบค.ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น สถานการณ์จริงหลายพื้นที่ในจ.ขอนแก่น ได้มีประชาชนใช้เถียงนาอยู่อาศัยชั่วคราวหลังพบว่าตนเองติดโควิดอยู่แล้ว โดยเฉพาะในอ.สีชมพู ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดคลัสเตอร์ฟันน้ำนม เด็กและครูในสถานรับเลี้ยงเด็กติดเชื้อจำนวนมาก ส่งผลให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องกักตัว แต่ด้วยศักยภาพของเถียงนานั้นไม่สามารถที่จะใช้เป็นสถานที่กักตัวได้ เป็นได้เพียงสถานที่แยกตัวเท่านั้น เนื่องจากเถียงนาไม่มีระบบสาธารณูปโภคเพียงพอต่อการใช้ชีวิต เช่น ห้องน้ำ ไฟฟ้าซึ่งจำเป็นมาก จึงได้ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในเบื้องต้น โดยได้ร่วมกับผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันจัดทำถุงกำลังใจ ซึ่งมีอาหารแห้งพร้อมรับประทาน รวมถึงของใช้จำเป็นเบื้องต้น ประสานไปยังอำเภอนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ที่กักตัวและแยกตัวในอ.ภูเวียง อ.เวียงเก่า อ.หนองนาคำ และอ.สีชมพูแล้ว 

นายภาควัต กล่าวต่อว่า เหตุที่จำเป็นต้องเปิดรับบริจาค เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมายอมรับว่าได้ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว ที่เป็นเงินเดือนและค่าตอบแทน ส.ส. ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ติดต่อกันหลายเดือนจนหมดแล้ว แม้เงินเดือน ส.ส.อาจจะน้อยเมื่อเทียบกับเงินเดือนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ ผอ.ศบค.และรัฐมนตรีอีกหลายคนที่สละเงินเดือน 3 เดือน แต่ยืนยันว่าจะทำงานให้คุ้มค่ากับเงินเดือนที่มาจากเงินภาษีของพี่น้องประชาชนที่จ้างมาทำงานให้คุ้มค่าครบทุกบาททุกสตางค์ ทั้งนี้ ประชาชนที่อยู่เถียงนาหลายอำเภอในขอนแก่นค่อนข้างลำบาก ถ้าเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลโดย ศบค.จัดโซนนิ่งสถานที่กักตัว โดยใช้สถานที่หอประชุมโรงเรียนที่ปิดการเรียนการสอนมาเป็นสถานที่กักตัว เพราะมีห้องน้ำและเหมาะกับการอยู่อาศัยมากกว่าเถียงนา

ศปฉ.ปชป. ช่วยคนแก่ติดเตียงอายุ 104 ปี ติดโควิด ส่งตัวไปรักษาเร่งด่วน ญาติปลื้มหลังช่วยเหลือทันท่วงที 

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้รับผิดชอบประสานข้อมูลผู้ติดเชื้อเพื่อการส่งต่อ ศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.ปชป.) เปิดเผยว่าทีมอาสาของศูนย์ฯ ได้ทำงานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยหาเตียงให้กับผู้ป่วย ล่าสุดได้รับแจ้งจากนายชนินทร์ รุ่งแสง อดีต ส.ส. ของพรรค ว่าได้ให้การช่วยเหลือหาเตียงให้กับผู้ป่วยโควิด-19 อายุ 104 ปี เพื่อส่งตัวต่อไปเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลหลังจากทราบผลการตรวจว่าติดเชื้อ และถือเป็นกลุ่มเสี่ยงหากปล่อยให้รอเตียงหลายวันเนื่องจากเป็นผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อคือนางทองหล่อ อินทร์อ่ำ ข้อมูลจากเพจ CWN News Thailand ระบุว่าน่าจะเป็นคนไทยที่มีอายุเกือบมากสุดที่ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากมีอายุตามบัตรประจำตัวประชาชน 99 ปี เกิดเมื่อวันที่ 2 ม.ค.  2465 แต่หลานชายซึ่งพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันระบุว่าคุณยายทองหล่อมีอายุที่แท้จริงคือ 104 ปีแล้ว แต่ตอนทำบัตรประชาชนไม่ได้แก้ไขให้ถูกต้อง โดยนางทองหล่อเป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่บ้าน ซ.สวนผัก 25 ถ.สวนผัก เขตตลิ่งชัน กทม. พร้อมลูกสาว ลูกเขย และหลาน ๆ  ติดรับเชื้อจากลูกเขยที่มาดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ ได้ไปตรวจเชื้อครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ก.ค. และตรวจครั้งที่ 2 ที่โรงพยาบาลกลาง เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ผลการตรวจออกมาเมื่อวันที่ 11 ก.ค. พบว่าติดเชื้อโควิด  และเนื่องจากคุณยายทองหล่อ อายุมากถึง 104 ปีแล้ว หลานชายจึงได้ขอความช่วยเหลือเร่งด่วนในวันเดียวกันไปยังนายชนินทร์ รุ่งแสง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ช่วยดูแลในพื้นที่ นายชนินทร์จึงได้มีการเร่งประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำผู้ป่วยส่งไปยังสนามที่ดูแลโดยโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมืองเป็นผลสำเร็จวานนี้ (12 ก.ค. 64) 

ภายหลังจากนั้นเฟซบุ๊กของ Sirichai Singhajaru ซึ่งเป็นหลานชายของนางทองหล่อ โพสต์ข้อความขอบคุณนายชนินทร์ รุ่งแสงและผู้เกี่ยวข้องที่ช่วยประสานเตียงให้คุณยายด้วยความรวดเร็ว จนถึงมือสถานพยาบาลด้วยความปลอดภัย 

โดยนายชนินทร์ เป็นหนึ่งในทีมอาสาช่วยประสานหาเตียงของพรรคประชาธิปัตย์ มาตั้งแต่การระบาดระลอกใหม่ที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง ที่ผ่านมาได้ช่วยประสานเตียงให้ผู้ป่วยไปแล้วหลายราย รวมถึงการแจกจ่ายข้าวกล่อง และการแจกถุงยังชีพให้กับผู้ที่เดือดร้อนต้องกักตัว 

“การประสานเตียงในช่วงนี้จะทำงานได้ยากจากสถานการณ์วิกฤตเตียงผู้ป่วยโควิด-19 ที่ตัวเลขพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับจำนวนเตียงที่จะรองรับ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้มีผู้ป่วยรอเตียงตกค้างอยู่ที่บ้านจำนวนมาก ทั้งสีเขียวและสีเหลือง บางรายเข้าข่ายสีแดงที่ต้องเร่งหาเตียงให้อย่างรวดเร็ว แต่ทีมอาสาของพรรคฯ ยังมุ่งมั่นทำงานที่จะให้ความช่วยเหลือ ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่เปิดศูนย์มา มีผู้ร้องขอความช่วยเหลือมามากกว่า 1,000 ราย และช่วยเหลือได้เกิน 80% ถึงแม้ในช่วงนี้บางวันทีมจะหาเตียงให้ได้เพียง 4-5 ราย ก็นับว่าช่วยต่อลมหายใจให้ได้อีกหลายครอบครัว ดีกว่าการอยู่เฉยๆ และไม่ลงมือทำอะไร” นางดรุณวรรณ กล่าว

'ราเมศ' ย้ำ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นไปตามหลัก ปชต ประชาธิปัตย์ ลุย ช่วย ปชช ก่อน 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า หลักการในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือหนึ่งในกระบวนการที่สำคัญในการตรวจสอบรัฐบาล เป็นหน้าที่ที่สำคัญของฝ่ายค้าน ตามระบบประชาธิปไตย เชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลก็พร้อมชี้แจง รัฐมนตรีคนใดที่ถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก็มีหน้าที่ต้องชี้แจง ส่วนรัฐมนตรีของพรรค ไม่มีความกังวล เพราะยึดหลักซื่อสัตย์ สุจริต ในการทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งสถานการณ์ขณะนี้ต้องทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ให้สุดความสามารถ มุ่งประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้ง การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางจะมีรัฐมนตรีคนใดบ้างและยื่นช่วงเวลาใดก็เป็นดุลพินิจของฝ่ายค้าน ไม่สามารถไปก้าวล่วงได้

'ดร.พิมพ์รพี' วอนรัฐ บอกให้ชัด ทำอย่างไรกับ ปชช.ที่ฉีดซิโนแวคแล้วสองเข็ม เติมเข็มที่สามให้ หรือให้ดิ้นรนเอาเอง แนะ รัฐคิดไปข้างหน้าแทนตามแก้ปัญหา เร่งสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยว วอน หาเจ้าภาพประสานรับตัวส่งต่อผู้ป่วยกลับบ้านเกิด แนะเสนอหล

ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่า แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาตรการหลายอย่าง แต่ต้องยอมรับความจริงว่ามักจะช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ เช่น โฮมควอรันทีน โลคอลควอรันทีน ซึ่งที่จังหวัดกระบี่ เดินหน้าเรื่อง โลคอลควอรันทีนมานานแล้ว นโยบายที่รัฐออกมาจึงช้ากว่าการจัดการของโลก จึงขอถามไปข้างหน้าถึงจังหวัดท่องเที่ยวที่มีโรงแรมมาก ๆ รวมถึงภูเก็ต ในเรื่องความปลอดภัย เพราะแม้จะมีการฉีดซิโนแวคไปสองเข็มแล้ว แต่ล่าสุดภาครัฐยอมรับการฉีดสองเข็มภูมิยังไม่ขึ้น ต้องมีบูทเข็มสาม และยังจะให้มีการฉีดเอสตร้าเซนนิกาด้วย คำถามคือการสร้างความเชื่อมั่นต่อจากนี้จะทำอย่างไร คนที่ฉีดวัคซีนไปสองเข็มแล้วจะได้รับเข็มสามจากภาครัฐจัดหาหรือไม่ หรือต้องเข้าสู่โหมดพึ่งตัวเอง  รัฐบาลต้องคิดไปข้างหน้าและให้คำตอบกับประชาชน ก่อนที่ประชาชนจะให้คำถาม ทุกนโยบายที่ออกมาจึงต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน ไม่ใช่ตามแก้ในภายหลัง ซึ่งจะยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลลง

“ยังมีปัญหานำผู้ป่วยจากกทม.กลับบ้านในต่างจังหวัด ในส่วนกลางยังไม่มีมาตรการเชื่อมโยงกับจังหวัดต่าง ๆ เลย มีแต่แต่ละจังหวัดต้องดิ้นรนกันเอาเองทั้งสิ้น ถ้ามีการดำเนินการอย่างเป็นระบบประสานจากส่วนกลางสู่จังหวัด จะทำให้การเข้าถึงระบบสาธารณสุขของผู้ป่วยทำได้ง่ายขึ้น และยังช่วยกระจายผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาในพื้นที่ที่ยังไม่เกิดวิกฤตสาธารณสุข ผ่อนคลายสถานการณ์ภายในกทม.ได้ด้วย เรื่องเหล่านี้ท่านต้องทำอย่างเป็นระบบ แต่ตอนนี้เรายังไม่เห็น ปัญหาใหญ่อีกประเด็นหนึ่งคือการส่งผู้ป่วยกลับบ้านเกิดถ้าระยะทางใกล้ความยุ่งยากน้อย แต่ถ้าระยะทางไกลจะเป็นปัญหามาก เนื่องจากรถที่ใช้รับส่งยังไม่มีการกั้นระว่างคนขับกับผู้โดยสารอย่างเป็นมาตรฐาน ใช้แอร์ร่วมกัน ไม่เพียงคนขับเสี่ยง กู้ภัยที่นั่งไปด้วยเป็นเวลากว่าสิบชั่วโมงก็หนีไม่พ้นความเสี่ยงด้วยเช่นเดียวกัน ตอนนี้ส.ส.ช่วยประสานกันเต็มที่ แต่รัฐควรมีมาตรการที่เป็นระบบและมีหน่วยงานเจ้าภาพในเรื่องนี้ด้วย” ดร.พิมพ์รพี กล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า หลายเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการขณะนี้เป็นเรื่องดี แต่ช้าไป ไม่ว่าจะเป็นฟ้าทะลายโจร หรือระบบการรักษาทางไกล ให้ผู้ป่วยสีเขียวรักษาตัวที่บ้าน ซึ่งก็ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บว่าเกิดจากปัญหาอะไร แต่อยากให้เป็นบทเรียนที่ต้องตระหนักว่า การออกนโยบายต้องคิดไปข้างหน้า ไม่ใช่ตามแก้หลังเกิดปัญหา จังหวัดกระบี่ตอนนี้พบการติดเชื้อในโรงเรียนปอเนาะถึงหนึ่งพันคน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนักมาก กรมการแพทย์ควรประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งหลักเกณฑ์ปิดโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยงเพราะเมื่อเกิดปัญหาแล้วตามแก้ไขยาก เนื่องจากการระบาดไปไกลและยังเป็นภาระงบประมาณด้วย

อย่าเยียวยาแบบทรราชย์ ‘วิโรจน์’ กระตุกรัฐบาลเร่งออก 6 มาตรการเยียวยา ชี้ ต้องนั่งในใจประชาชน ไม่ใช่แค่โยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ ย้ำ เมื่อล็อกดาวน์การหารายได้แล้ว ก็ต้องล็อกดาวน์รายจ่ายให้สอดคล้องกันด้วย

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการบริหารสถานการณ์ของรัฐบาลเกี่ยวกับจัดการการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา2019 ว่า รัฐบาลต้องยอมรับได้แล้วว่า การที่บ้านเมืองที่เข้าสู่ภาวะวิกฤติ ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทั้งหมดมาจากการละเลยต่อหน้าที่และมาจากความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล โดย TDRI ก็ได้สรุปและยืนยันไปในทำนองเดียวกัน ทั้งการไม่กระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน การจัดฉีดวัคซีนล่าช้า ประชาชนจำนวนไม่น้อยถูกเลื่อนฉีดลอยแพ การตรวจเชิงรุกที่จำกัด ไม่ยอมเปิดให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจได้อย่างทั่วถึงกว้างขวาง มีประชาชนต้องนอนริมถนนเพื่อรอตรวจ การจัดสรรเตียงให้กับผู้ป่วยที่ตกค้างจนเกิดปัญหา ประชาชนต้องรอคิวตรวจ รอผลตรวจ รอเตียง รอยา

มีประชาชนหลายคน หลายครอบครัว เสียชีวิตคาบ้านระหว่างที่รอเตียง มีเด็กจำนวนไม่น้อยต้องกำพร้า หลายครอบครัวติดเชื้อยกบ้าน กว่าจะถึงมือหมออาการก็หนัก ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ วันละ 70-90 คน เทียบเท่ากับเหตุเครื่องบินตกที่เกิดขึ้นทุก ๆ 3 วัน

จนในที่สุดรัฐบาล ต้องถูกสถานการณ์ที่ล้มเหลวที่ตนเองสร้างขึ้น บีบให้ตัวเองต้องใช้มาตรการกึ่งล็อกดาวน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นซึ่งไม่ได้เป็นมาตรการตามยุทธศาสตร์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และคนที่เดือดร้อน ทุกข์ร้อนที่สุด ที่หนีไม่พ้น ก็คือ ประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย ทั้งที่หาเช้ากินค่ำ และหาค่ำกินเช้า ตลอดผู้ประกอบการ คนทำมาค้าขายรายเล็กรายน้อย ไม่ใช่แค่วันนี้เท่านั้น ผู้ประกอบการหลายราย ต้องหยุดกิจการไปก่อนหน้านี้นานแล้ว นี่คือความเสียหาย 2.5 แสนล้านบาทต่อเดือน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้ดีจากรายงานที่นายอนุทินทำแล้วส่งมาให้ แต่ไม่เคยนำพา ไม่เคยใส่ใจ

“วันนี้จึงต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเยียวยาประชาชนอย่างเป็นธรรม เยียวยาแบบที่เข้าไปนั่งในหัวใจของประชาชน ไม่ใช่เยียวยาแบบผู้ปกครองทรราชย์ ที่ทำแค่โยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ แล้วก็พูดว่า "ก็ช่วยไปหมดแล้วจะเอาอะไรอีก" ” วิโรจน์ กล่าว

วิโรจน์ย้ำว่า การเยียวยาประชาชนที่จำเป็นต้องสั่งการ ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด ณ ขณะนี้ มีทั้งสิ้น 6 ข้อ ด้วยกัน คือ

1.) การเยียวยาที่สมเหตุสมผล การระบาดในครั้งนี้ รุนแรงกว่าการระบาดระลอกแรก ดังนั้น การเยียวยา จึงไม่ควรต่ำกว่า กรณี "เราไม่ทิ้งกัน" โดยขอสั่งการให้รัฐบาลเยียวยาให้กับประชาชนทั้งที่เป็นแรงงานในระบบ และแรงงานนอกระบบ ที่เป็นเงินสดแบบถ้วนหน้า ผ่านระบบพร้อมเพย์ เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ในยามที่ประชาชนต้องเผชิญกับมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ของรัฐบาล

2.) มีจุดแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชน เพื่อเก็บตกประชาชนกลุ่มเปราะบาง อย่าให้เกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนต้องนำเอาข้าวกล่องไปดูแลกันเอง แล้วยังถูกตำรวจจับดำเนินคดีเกิดขึ้นอีก

3.) พิจารณาจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดย่อม โดยพิจารณาจ่ายเป็นร้อยละของรายได้ในเดือนก่อนที่จะมีการระบาดระลอกที่ 3 เพื่อชดเชยภาระในการแบกรับค่าใช้จ่ายคงที่ อาทิ ค่าเช่า และค่าแรงพนักงาน และต้องพิจารณาจ่ายชดเชยย้อนหลังให้กับผู้ประกอบการ ที่ต้องหยุดการประกอบกิจการ จากคำสั่งของรัฐบาลไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย

4.) รัฐบาลต้องออกมาตรการช่วยเหลือ ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ แก่ประชาชน และผู้ประกอบการรายย่อย

5.) รัฐบาลต้องออกมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องจ่ายชำระหนี้แก่ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน โดยพิจารณาการยกเว้นการจ่ายดอกเบี้ย และพักการชำระหนี้ ในช่วงมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ ที่กระทบกับการทำมาหากินของประชาชน เพราะในเมื่อรัฐบาลล็อกดาวน์การทำมาหากิน การหารายได้ของประชาชน รัฐบาลก็ต้องออกมาตรการในการล็อกดาวน์ค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ที่สอดคล้องกันด้วย

6.) ให้ประชาชน มีสิทธิ์ในการเบิกชุดตรวจ Rapid Antigen Test มาตรวจตัวเอง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในจำนวนหนึ่ง ต่อสัปดาห์ เช่น 1 ชุดต่อสัปดาห์ โดยกำหนดให้ประชาชน ต้องรายงานผลตรวจ ให้กลับ สาธารณสุขทราบ หากพบผู้ติดเชื้อ ก็ให้เข้ารับการรักษาตามมาตรการของรัฐต่อไป สำหรับประชาชนที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ให้สามารถ ซื้อได้ในราคาถูก ราคาชุดละ 300-400 บาท ถือเป็นการซ้ำเติมประชาชนในยามยาก จึงต้องสั่งการให้รัฐบาล แก้ไขในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน

“ผมขอให้รัฐบาล เข้าไปนั่งในหัวใจของประชาชนบ้าง ไม่ใช่กดหัวประชาชนไม่ยอมเลิก” วิโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ประชุม ครม.ถกยาวมาตรการเยียวยา “บิ๊กตู่” ขอสวมบทเตมีย์ใบ้ ปัดตอบคำถามสื่อประเด็นสังคมเรียกร้องลาออก “โยน” โฆษกฯตอบแทน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีใช้เวลายาวนาน โดยส่วนใหญ่เป็นการหารือถึงมาตรการเยียวยาผลกระทบต่อจาก โควิด-19 ซึ่งสื่อมวลชนยังคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปปฎิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ ได้รับการแจ้งจากที่สำนักโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าการแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีวันเดียวกันนี้ทางทีมโฆษกฯประจำสำนักนายกฯ จะมีการแถลงผลการประชุมผ่านทางเอกสาร

ในส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยังไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ได้ส่งคำถามผ่านคณะทำงานไปเช่นเดิม แต่ได้มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบแทน ซึ่งประเด็นคำถาม แยกเป็น 2 ประเด็น คือ ประเด็นทางการเมือง ซึ่งผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงความเห็นต่อกระแสเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจาก ล้มเหลวในการบริหารงานบริษัทเพราะการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด โควิด-19 รวมทั้งถามว่ามีความหวั่นไหวกับกระแสดังกล่าวหรือไม่ รวมทั้ง การตั้งคำถามว่า จะให้เหตุผลอย่างไร รวมทั้งมีวิธีรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร หากยังคงเดินหน้าทำหน้าที่ต่อไป อีกทั้งจะเรียกความเชื่อมั่นของคนไทยกลับคืนมาอย่างไร

นอกจากนี้ยังได้ตั้งคำถามนายกรัฐมนตรี ในประเด็นการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทั้งแผนการส่งมอบวัคซีน ว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดหรือไม่ แผนการกระจายวัคซีน การปรับสูตร ยกเลิกซิโนแวค 2 เข็ม การสะท้อนภาพซิโนแวคขาดประสิทธิภาพ
รวมทั้งมาตรการเยียวยาของรัฐบาล จากผลกระทบล็อกดาวน์ล่าสุด

ครม.เว้นค่าธรรมเนียม “สปา-นวด-เสริมงาม”อีก 1ปี ส่วนสถานดูแลผู้สูงอายุ เว้นให้ 2 ปี ลดภาระปชช.ช่วงโควิด

น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปี  แก่ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการสปา กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงาม ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี  

ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. 2564- 17 มี.ค. 2565 และยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการแก่การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงแก่ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้มีภาวะพึ่งพิงเป็นระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลบังคับใช้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาลดภาระและบรรเทาผลกระทบให้ผู้ประกอบการกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)และจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจต่อไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับค่าธรรมเนียมกิจการสปาอยู่ที่ปีละ 1,000 บาท กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเสริมความงามปีละ 500 บาท และกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงโดยมีการพักค้างคืนปีละ 1,000 บาท โดยมีกิจการสปาจำนวน 905 แห่ง กิจการนวดเพื่อสุขภาพและเพื่อเสริมความงาม จำวน  10,934 แห่ง และกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 138 แห่ง ทั้งนี้การเว้นค่าธรรมเนียมในครั้งนี้ รัฐจะเสียรายได้ 6,640,000 บาท 

กสม. ส่งหนังสือถึงนายกฯ ให้รัฐบาลชะลอเสนอขึ้นทะเบียนป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกก่อน จนกว่าแก้ปมสิทธิกลุ่มชาติพันธุ์กระเหรี่ยงบางกลอยคลี่คลาย

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) เผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า ตามที่รัฐบาลจะนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อรับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 44 ระหว่างวันที่ 16 – 31 ก.ค. 2564 นั้น กสม. โดย น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกสม.ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ลงวันที่ 12 ก.ค.64 เสนอให้รัฐบาลชะลอการเสนอขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติออกไปก่อน จนกว่าปัญหาสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยจะคลี่คลาย

โดยระบุว่า กสม. เห็นถึงคุณค่าของการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์สิทธิมนุษยชนกรณีกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน รวมทั้งที่ได้เคยตรวจสอบกรณีดังกล่าว กสม. มีข้อเสนอเพื่อพิจารณาในประเด็นดังนี้ 1. คณะกรรมการมรดกโลกขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้มีข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ซึ่งในปัจจุบัน ยังปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหากรณีดังกล่าว อาทิ การโต้แย้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิในพื้นที่ดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอย

2. แม้ภาครัฐได้พยายามแก้ไขปัญหาโดยการจัดสรรพื้นที่ให้กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยที่ถูกย้ายออกจากพื้นที่ดั้งเดิมแล้ว แต่ในทางปฏิบัติกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยยังประสบปัญหาในการใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ได้รับการจัดสรรอย่างจำกัด ไม่ครบถ้วน และสภาพดินไม่สามารถทำกินได้อย่างเพียงพอ ต่อมา เมื่อประมาณต้นปี 64 กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยบางส่วนได้กลับเข้าไปทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ดั้งเดิม ทำให้ถูกจับกุม และเกิดข้อขัดแย้ง กระทั่งได้มีการแก้ไขปัญหาตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 67/2564 ลงวันที่ 16 มี.ค.64 และมีการตั้งคณะอนุกรรมการ 5 ด้านขึ้นมา เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีผลการดำเนินการและข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม ในขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ซึ่งถูกจับกุมกำลังถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย

3. กสม. ขอเสนอให้รัฐบาลชะลอการเสนอขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติออกไปก่อน จนกว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายและได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ เมื่อปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมแล้ว กสม. พร้อมที่จะสนับสนุนการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติต่อไป

โดยกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยมีลักษณะเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ซึ่งควรได้รับการคุ้มครองสิทธิในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของตน รวมทั้งมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตามที่รัฐธรรมนูญ60 และหนังสือสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามได้ให้การรับรองไว้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top