Saturday, 28 June 2025
PoliticsQUIZ

ศาลอาญาอนุญาต “สมยศ” กับพวกรีเด็มรวม 6 คน ถอดกำไล EM ได้เเล้ว

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กับพวก รวม 6 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องหากลุ่มรีเด็มที่ศาลกำหนดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวโดยให้ใส่กำไล EM เดินทางมาพร้อมทนายความ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอถอดกำไล EM 

นายสมยศ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาในช่วงที่ติดกำไล อีเอ็ม ยังไม่มีการกระทำความผิดใดๆ เกิดขึ้น และอยู่ในเงื่อนไขของศาล ทั้งนี้การติดกำไลอีเอ็ม นั้น เป็นการจำกัดเสรีภาพเราเกินควร เนื่องจากมีการวางเงินประกันแล้ว และปฎิบัติตามเงื่อนไขของศาลมาโดยตลอด ซึ่งให้ไม่สามารถดำรงชีวิตตามปกติได้และไม่ได้รับความสะดวก

โดยนายสมยศกล่าวอีกว่า ตนเองได้รับผลกระทบจากการใส่กำไล EM เพราะมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกพื้นกทม. พร้อมยกตัวอย่าง เช่น ตนเองมีแฟนสาวอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อต้องใส่กำไล ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปหาได้ รวมถึงกรณีที่บางครั้ง ตนเองขับรถใกล้กับแนวเขตปริมณฑล เวลาที่ต้องกลับรถ อาจมีปัญหาเรื่องการข้ามเขตพื้นที่ 

อีกทั้งยังมีกรณีของ นายสุรภักดิ์ ภูไชยแสง หรือ ตุ้ม อายุ 50 ปี ชาว จ.บึงกาฬ อดีตแกนนำกลุ่มเสรี ปัญญาชน ที่ประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตไปไม่นานมานี้ ซึ่งตนเองรู้ข่าวเป็นคนแรกแต่ก็ไม่สามารถเดินทางไปพบได้เพราะสวมกำไลข้อเท้าอยู่ 

เบื้องต้น ตนเองคาดว่าศาลจะพิจารณาอนุญาตให้ถอดกำไลชั่วคราว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศาลได้อนุญาตให้ไปนั่งร้อนภายในห้องสำหรับการถอดกำไลรวมถึงได้มีการเรียกคืนอุปกรณ์กำไลด้วย 

ต่อมา 14.50 น.เศษมีรายงานว่าศาลอนุญาตให้นายสมยศกับพวกถอดกำไล EM เเล้ว

กองทัพเรือปล่อยคลิปลง เพจ เรือดำน้ำไทย Thai Submarines แจงเหตุผลความจำเป็นมีเรือดำน้ำต่อเนื่อง หวังสร้างความเข้าใจประชาชน ระหว่าง กมธ.วิสามัญงบฯ ปี 65 พิจารณางบฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเรือดำน้ำไทย Thai Submarines ได้เผยแพร่คลิปภาพบรรยายเหตุผล และความจำเป็นการมีเรือดำน้ำ ในหัวข้อ “มูลค่าทางทะเลที่กองทัพเรือต้องปกป้อง” และ “ความพร้อมของกองทัพเรือ ภายใต้กำลังทางเรือที่ไม่สมบูรณ์” โดยพล.ร.ต.นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหารเรือ กล่าวตอนหนึ่งว่า มีการใช้ทะเลในการขนส่งถึงร้อยละ 90 ของการขนส่งระหว่างประเทศทั้งหมด มีการใช้ทะเลแสวงหาผลประโยชน์ทั้งแหล่งปิโตรเลียมใต้น้ำ การประมง และการท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งการมีอุตสาหกรรมต่างๆเกิดขึ้นต่อเนื่องแต่ละปีมูลค่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากทะเลมีมูลค่ากว่า 24 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มมากขึ้นในอนาคต กองทัพเรือถือเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการปกป้อง รักษา สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากทะเลให้เป็นไปตามความต้องการของชาติ จำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถต่างๆ เพื่อให้มีความพร้อมในการปกป้อง สร้างความมั่นคงการใช้พื้นที่ในทะเลเพื่อรักษาผลประโยชน์ การแสวงประโยชน์ต่างๆ ทางทะเลให้เป็นไปได้อย่างเต็มที่อย่างมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน

พล.ร.ต.นเรศ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการปฏิบัติงานของกองทัพเรือนั้น ถึงแม้ว่าต้องร่วมแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่สิ่งที่เป็นภารกิจหลักที่กองทัพเรือต้องมีการเตรียมความพร้อมในการปกป้องรักษาอธิปไตยผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงทางทะเลให้ได้ตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย  สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำได้จำเป็นต้องมีเครื่องมือเป็นอุปการณ์สำคัญในการปฏิบัติการ เครื่องมือของกองทัพเรือคือกำลังทางเรือที่ประกอบด้วยกำลังรบหลายๆส่วน ทั้งเรือคือเรือผิวน้ำและเรือดำน้ำ อากาศยานคือเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินประเภทต่างๆ ส่วนหน่วยกำลังบนบกคือกำลังนาวิกโยธิน และกำลังต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ถูกประกอบกันกำลังเรียกว่ากำลังทางเรือ ที่ผ่านมาในส่วนของกองกำลังอื่นๆ ยกเว้นเรือดำน้ำได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับ โดยเรือผิวน้ำ กองทัพเรือได้มีการจัดหาเรือประเภทต่างๆมาประจำการอย่างต่อเนื่อง จนถือว่ามีความพร้อมในการปฏิบัติการได้ในระดับหนึ่ง แต่ในส่วนของเรือดำน้ำนั้น เราเคยมีเมื่อ 80 กว่าปีที่ผ่านมา แต่หลังจากปลดประจำการเรือดำน้ำชุดแรกไปแล้ว เราได้มีคามต้องการและกำหนดไว้ในความต้องการมีเรือดำน้ำมาอย่างต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมากองทัพเรือได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุและและความจำเป็นการมีเรือดำน้ำในเพจ เรือดำน้ำไทย Thai Submarines อย่างต่อเนื่อง โดยคลิปดังกล่าวได้เริ่มต้นตั้งแต่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 พิจารณาร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565

“ปริญญ์” นำธุรกิจบันเทิง-กลุ่มอาชีพอิสระร้อง “ศปก.ศบค.” เร่งปลดล็อกเปิดบริการได้ภายใน 1 ก.ค. อนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั่งดริ๊งก์ในร้านได้ 

ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ได้นำตัวแทนผู้ประกอบการสถานบันเทิง ธุรกิจภาคกลางคืน และธุรกิจอิสระ อาทิ ฟิตเนส ธุรกิจรับจัดคอนเสิร์ตและอีเวนท์ ผับ บาร์ เข้าพบ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ที่อาคารสภาความมั่นคงแห่งชาติ ภายในทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล หลังได้รับผลกระทบหนักจากโควิด-19 ทั้ง 3 ระลอก นานกว่า 200 วัน ซึ่งกังวลว่าธุรกิจไปต่อไม่ไหว 

โดยนายปริญญ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เราได้เห็นกลุ่มอาชีพธุรกิจกลางคืน สถานบันเทิง และอาชีพอิสระ ได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการของภาครัฐในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และออกมาเรียกร้องเรื่องนี้กันมาระยะหนึ่งแล้ว ทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ จึงประสานงานในการพาตัวแทนผู้ประกอบการดังกล่าว เข้าพบผู้อำนวยการ ศปก.ศบค. เพื่อแบ่งปันมุมมองและเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา และถ้าเป็นไปได้ อยากเสนอแนะให้ ศบค.เปิดโอกาสให้ประชาชนหรือตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจประเภทต่างๆ เข้าไปร่วมการประชุมก่อนออกมาตรการใหม่ทุกครั้งด้วย เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และร่วมกันทำให้มาตรการของภาครัฐเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากขึ้น  

ขณะที่ นายนนทเดช บูรณะสิทธิพร เจ้าของร้าน The Rock Pub กล่าวว่า  กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน สถานบันเทิงและธุรกิจอิสระ ได้เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ดังนี้

1.) ขอให้ยกเลิกคำสั่งปิดสถานบันเทิงแบบเหมารวม โดยให้ปิดเฉพาะสถานบันเทิงที่พบผู้ติดเชื้อหรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยง เป็นเวลา 14 วัน เพื่อทำความสะอาดร้านตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรคและกระทรวงสาธารณสุข และให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้กักตัว  

2.) ขอให้มีคำสั่งปลดล็อกให้ธุรกิจกลางคืนและสถานบันเทิงได้กลับมาเปิดบริการ และจัดกิจกรรมต่างๆ ได้ภายในวันที่ 1 ก.ค.นี้ โดยให้ปฏิบัติตามคำสั่งของ ศบค.และกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด  

3.) ขอให้ผ่อนปรนให้สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อบริโภคในร้านได้ เพราะปัจจุบันยังไม่มีข้อบ่งชี้ที่ยืนยันว่าแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุของการแพร่เชื้อ  

4.) ขอให้ผ่อนปรนให้สามารถจัดมหรสพในพื้นที่ปิดได้ โดยต้องจัดที่นั่งแบบ 2 เว้น 1 และรักษาระยะห่างตามความเหมาะสม
 นายนนทเดช กล่าวอีกว่า  

5.) ขอให้พิจารณาการจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจกลางคืน ธุรกิจบันเทิง และธุรกิจอิสระเร็วที่สุด โดยให้มีสิทธิ์เข้าถึงวัคซีนอย่างทั่วถึงไปพร้อมกับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว  

6.) ขอให้พิจารณาให้มีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องการเยียวยา การพักชำระหนี้ และการกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางธุรกิจและการจ้างพนักงานจากการปิดธุรกิจชั่วคราว โดยพิจารณาการงดเว้นเก็บภาษาบางประเภท เช่น ภาษีสรรพสามิตร ภาษาใบอนุญาตจำหน่ายสุรา ภาษีป้าย เป็นต้น  

7.) ขอให้เปิดช่องทางการสื่อสาร เพื่อรับฟังความคิดเห็นและความต้องการประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อให้ทราบถึงมุมมอง ผลกระทบ ความยากลำบากของผู้ประกอบอาชีพแต่ละกลุ่ม ก่อนที่ภาครัฐจะออกมาตรการต่างๆ  

8.) ขอให้ศบค.หารือกับกระทรวงแรงงานให้ผ่อนปรนเรื่องการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน กรณีที่นายจ้างต้องลดเงินเดือนพนักงานลงเป็นการชั่วคราว เพื่อรักษาสภาพคล่องของธุรกิจ แทนการปลดพนักงานออก 

ด้าน พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า  ศบค.ทราบดีถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ แต่มาตรการของภาครัฐที่ออกมา เกิดจากความเห็นชอบร่วมกันของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพราะการฟื้นฟูสถานการณ์ในวิกฤตโควิด-19 ไม่ได้มีแค่ในแง่ของสาธารณสุข  อย่างไรก็ตาม ศบค.พร้อมรับฟังปัญหาของทุกคน และหลังจากนี้จะพยายามหารือมาตรการช่วยเหลือ ให้ความเป็นธรรมที่ทำให้แต่ละฝ่ายได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

โฆษกกห. เผย ผลการประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ รมว.กห.ประเทศคู่เจรจา (ADMM-Plus) ครั้งที่ 8

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทน รมว.กลาโหม เข้าร่วมประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน กับ รมว.กลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 8 (ADMM-Plus) ผ่านระบบ VTC ณ ศาลาว่าการกลาโหม โดย กระทรวงกลาโหมบรูไนเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น

ที่ประชุมโดย รมว.กลาโหม ทั้ง 18 ประเทศ รับทราบพัฒนาการความร่วมมือของอาเซียนที่ผ่านมา และได้แลกเปลี่ยนมุมมองด้านความมั่นคงของภูมิภาคและระหว่างประเทศร่วมกัน ซึ่งภาพรวมที่ประชุมให้ความสำคัญกับการรับมือกับความท้าทายที่เป็นปัญหาร่วมกันและส่งผลกระทบกับภูมิภาค โดยเฉพาะภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ทั้งภัยธรรมชาติ ภัยจากไซเบอร์ การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งภัยคุกคามจากโรคระบาด COVID-19 ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ซึ่งทุกประเทศจำเป็นต้องร่วมกันรับมือกับความท้าทายที่เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อเนื่องไปถึงการสนับสนุนฟื้นฟูประเทศร่วมกัน

นอกจากนั้น ยังมีความกังวลร่วมกันถึงปัญหาความมั่นคงทางทะเล ทั้งคาบสมุทรเกาหลีและทะเลจีนใต้ ที่ทุกประเทศจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานความไว้เนื้อเชื่อใจและเคารพกันและกัน ยึดถือปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช้กำลังทหารแก้ปัญหา ร่วมกันหาทางออกด้วยสันติวิธี โดยใช้ทุกกลไกที่มีอยู่ร่วมแก้ปัญหา เพื่อให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดจากนิวเคลียร์ และให้ทะเลจีนใต้ เป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างและเสรีในการคมนาคม สำหรับปัญหาในเมียนมา ที่ประชุมได้เรียกร้องไม่ให้มีการใช้ความรุนแรง ร่วมแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีและคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม โดยให้เป็นไปตามฉันทามติ 5 ข้อ ของการประชุมผู้นำอาเซียน

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำความสำคัญของการร่วมมือและช่วยเหลือกันและกันรับมือกับ COVID-19 อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดตั้งกองทุนอาเซียนและแผนการฟื้นฟูอาเซียน ภายหลัง COVID-19 ร่วมกับการขับเคลื่อนความร่วมมือของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนและเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ ด้านเคมี ชีวภาพและรังสี  พร้อมทั้งให้ความสำคัญร่วมรับมือกับภัยคุกคามจากไซเบอร์ จากกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติและกลุ่มก่อการร้าย ที่มีการใช้ไซเบอร์มากขึ้นภายใต้สถานการณ์ COVID-19 พร้อมทั้งยืนยัน ไทยสนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งตั้งผู้แทนพิเศษของประธานอาเซียน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ระหว่างทุกฝ่ายและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมถึงสนับสนุนเมียนมาในการรับมือกับ COVID-19 ในฐานะครอบครัวอาเซียนด้วยกัน

จากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมกันรับรองปฏิญญาบันดาร์ เสรี เบกาวัน ของการประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน กับรมว.กลาโหมประเทศคู่เจรจา ว่าด้วยการส่งเสริมและการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต สันติภาพและความมั่นคงของอาเซียน ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ ในการขับเคลื่อนและส่งเสริมความร่วมมือตอบสนองสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 การเตรียมความพร้อมและรับมือกับภัยคุกคามในภูมิภาคถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามด้านเคมี ชีวภาพและรังสี การส่งเสริมความร่วมมือในบทบาทและการมีส่วนร่วมของสตรีในการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคง รวมทั้งบทบาทของความเป็นแกนกลางและเอกภาพของอาเซียน เพื่อร่วมเสริมความมั่นคงของภูมิภาคให้มีความยั่งยืนร่วมกัน

‘จตุพร’ แจงผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ เผยปิดพีซ ทีวี 30 มิ.ย. ยุติออกอากาศอำลาสถานีประชาธิปไตยเพื่อปชช. ชี้ไปต่อไม่ไหวไร้ทุนสนับสนุนจากฝ่ายการเมือง ยันยืนหยัดเคียงข้างฝ่ายปชต. ปรับตัวใช้ช่องทางโซเชียลสู้ระบอบประยุทธ์

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. จัดรายการ PEACE TALK ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ในหัวข้อ “ชะตากรรม พีซ ทีวี” ระบุสถานีโทรทัศน์ พีซ ทีวี เป็นสถานีที่อยู่ท่ามกลางความยากลำบาก เป็นสถานีที่ถูกกสทช. ใช้อำนาจปิดมากที่สุด เคยถูกถอนใบอนุญาตและได้รับการคุ้มครองจากศาลปกครองกลาง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด 

“ในโลกของความเป็นจริง กว่าจะได้รับการคุ้มครองจากศาลก็ใช้เวลากว่า 3 เดือน ซึ่งสถานีฯ ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากมายและกว่าที่สื่อโฆษณาจะกลับมาสนับสนุนก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน และก็โดนคำสั่งปิดตามมาอีกสองถึงสามครั้ง ซึ่งยืนหยัดอยู่ได้มาถึงทุกวันนี้ก็นับว่าเป็นปาฎิหาริย์ เพราะฉะนั้นเมื่อมาเจอวิกฤติจากการเป็นทีวีที่ไม่มีการสนับสนุนใดใด จากฟากฝ่ายใดของฝ่ายการเมืองเลย เป็นสถานีประชาธิปไตยที่ยืนหยัดแม้ว่าจะเจอคำครหามากมาย แต่พีซ ทีวี ก็ยังก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่รายงานข่าวประชาธิปไตยอย่างซื่อสัตย์ และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้มีอำนาจตลอดมา จึงไม่มีสปอนเซอร์ที่จะกล้ามาเสี่ยงตายกับพีซ ทีวี”

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้พยายามหาทางออก เช่น ปรับลดเงินเดือนพนักงานควบคู่การปรับลดเวลาการทำงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ก็ยังไปไม่ไหวจนค้องตัดสินใจปิดกิจการ และไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานได้อย่างเต็มที่ และถ้าไม่มีปาฎิหาริย์ใด วันที่ 30 มิ.ย. นี้ก็ต้องปิดสถานีพักการออกอากาศ ซึ่งการใช้ช่องทางโซเชียลมิเดียก็เป็นเรื่องที่ยากลำบาก เพราะยังต้องใช้บุคลากรจำนวนมากพอสมควร

“ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ยากลำบากนี้ ผมเองพยายามคิดหาหนทางในโซเชียลมิเดียทั้งยูทูป เฟสบุ๊คทั้งของผม และพีซ ทีวี มีผู้ติดตามประมาน 1.5 ล้านคน หากพนักงานคนใดมีสินค้าก็สามารถมาฝากขายผ่านเพจนี้ได้โดยไม่หักค่าใช้จ่าย เพื่อที่จะหารายได้ในช่วงที่ยากลำบาก วันนี้เราได้ยืนหยัดและไม่มีหลังพิงใดใดทางการเมือง ในอนาคตผมเองก็รอดูสถานการณ์ ประวัติศาสตร์ของ พีซ ทีวี มีทั้งความภาคภูมิใจ และความเลวร้ายที่เจ็บปวด อย่างไรก็ตามก็พยายามหาหนทางแสงสว่างแม้ในยามมืดมนก็ตาม ”

นายจตุพร กล่าวยืนยันถึงการต่อสู้กับระบอบประยุทธ์ ว่า อย่างไรก็ยังดำรงอยู่แม้ว่าจะต้องล้มลุกคลุกคลานในฐานะประชาชน ถึงแม้พีซ ทีวี จะไม่มีปาฎิหาริย์ก็ต้องใช้ช่องทางสงครามโซเชียลมิเดีย ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องชะตากรรมของ พีซ ทีวี ส่วนภาระหน้าที่ของคณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ซึ่งเป็นคนละส่วนกับพีซทีวี ก็ต้องยืนหยัดและยังดำเนินกิจกรรมตามปกติ วันที่ 24 มิ.ย. ก็จะไปทำเนียบรัฐบาลส่วนรูปแบบจะเป็นอย่างไรก็จะได้มีการพูดคุยและแถลงกันต่อไป

"เสรีพิศุทธ์" จ่อยื่น "รมว.ยุติธรรม" สอบข้อเท็จจริง ปม "แกนนำราษฎร" ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรือนจำ เหน็บ "สิระ" ต้องรีบมาทำคดีนี้

ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. กมธ.ได้เชิญ 4 แกนนำกลุ่มราษฎร ได้แก่ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ และน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงปัญหาการควบคุมตัวในเรือนจำ หลังมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ว่า ทางแกนนำราษฎร ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำได้มีการละเมิดสิทธิ์ เช่น เมื่อเข้าในเรือนจำแล้วควรจะมีสิทธิและเสรีภาพ ทั้งที่ยังไม่ได้ถูกคำพิพากษา ว่ากระทำความผิดก็นำตัวไปขังรวมกัน และนอนในพื้นที่แออัด รวมถึงการพบทนายความก็มีการดักฟัง และจะซื้ออะไรรับประทานก็ไม่ได้ อาหารภายในเรือนจำก็มีแต่ข้าวกับผัก เหมือนอาหารที่หมูรับประทาน จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ควรจะลงไปดำเนินการในเรื่องนี้ โดยเฉพาะกรณีที่ศาลไม่ให้ประกันตัวแกนนำทั้งหลาย ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ซึ่งตนจะสรุปรายละเอียดเรื่องร้องเรียนทั้งหมดให้กับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว. ยุติธรรม ดำเนินการต่อไป

เสรีพิศุทธ์" ซัด "สิระ" ไม่ฉลาด ชอบโหนคดีดัง หลังรู้ตัวไม่มีหน้าที่สอบคดีลุงพล พร้อมรับเผือกร้อนสอบต่อ

ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธาน มีมติส่งเรื่องที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ และนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ผู้ต้องหาคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ยื่นหนังสือร้องเรียนขอให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจปฎิบัติหน้าที่มิชอบในการออกหมายจับนายไชย์พล ว่า ตนบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ใช่งานของนายสิระ เพราะคนที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการ เมื่อได้รับฟังเรื่องตั้งแต่ต้นก็ควรจะรู้ว่าเรื่องนั้นอยู่ในหน้าที่ของตนเองหรือไม่ ความจริงถ้านายสิระฉลาด เมื่อประชุมแล้วรู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ก็ทำหนังสือส่งมาให้ตนก็จบแล้ว ดีกว่าไปแถลงข่าวจนทำให้ประชาชนรู้ว่านายสิระไม่รู้เรื่อง เพราะอยากเป็นข่าว อยากออกทีวีทุกวันเพื่อหาเสียง เอาเรื่องการเมืองเป็นหลัก โดยไม่ได้ใส่ใจหน้าที่ตัวเอง อย่างไรก็ตาม หากมีการส่งเรื่องมาให้ตนพิจารณาก็จะรับไว้และดำเนินการตามหน้าที่ต่อไป

เมื่อถามว่าเป็นการโยนเรื่องร้อนให้พิจารณาหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ตนมองว่าไม่ได้เป็นการโยนงานมาให้ เพราะตอนนี้นายสิระคงสำนึกแล้วว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง ก่อนหน้านี้ก็เที่ยวสอบเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกรณีที่เป็นเรื่องดังๆ เช่น คดีบอส อยู่วิทยา ซึ่งทุกคนก็ทราบดีว่า มีการทุจริตปฎิบัติหน้าที่มิชอบ และเป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการของตน ซึ่งตนดำเนินการอยู่ใกล้จะแล้วเสร็จ แต่นายสิระก็เอาบ้างทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ตัวเอง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐกลับส่งคนที่ไม่มีความรู้มาทำหน้าที่ เพื่อเป็นการตอบแทนกัน จึงทำให้เกิดปัญหาเดือดร้อนไปถึงประชาชน

“เสรีพิศุทธ์” ลั่น ส.ว.มีไว้ทำไม หลัง “ประยุทธ์” ถามใครสนับสนุนผมบ้าง เงียบเป็นสากกะเบือ ชี้ บัตรเลือกตั้งกี่ใบก็รับได้ ขึ้นอยู่กับปชช.

ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงกรณีร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้าน ว่า เมื่อวานนี้ที่ตนไม่ได้มาร่วมยื่นด้วยเนื่องจากตนทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป.ป.ช.) อยู่ ประชุมทั้งวัน ไม่ค่อยได้เข้าห้องประชุมใหญ่อยู่แล้ว แต่ได้ให้นายวิรัตน์ วรศสิริน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เป็นตัวแทนมายื่นร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งญัตติต่างๆ ที่พรรคฝ่ายค้านยื่นนั้น ไม่เหมือนกันทีเดียว ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลก็มีความแตกต่างกันเช่นกัน เพียงแต่ตนอยากจะเรียนทุกพรรคที่ยื่น ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่แค่เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่จะต้องคิดถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก อย่าคิดถึงผลประโยชน์ของตนเอง ประเทศไทยใครจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้ได้คนที่ดีมีความสามารถมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า แต่จะคิดแก้รัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ของตนเองมันไม่ใช่ อย่างร่างที่พรรคพลังประชารัฐยื่น ถามว่าจะยื่นมาทำไม ตอนนั้นก็ขัดขวางไม่ยอมให้รัฐธรรมนูญผ่าน ต่อมามีการพิจารณาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การออกเสียงประชามติ ซึ่งตอนนี้ยังพิจารณาไม่เสร็จ ก็ควรจะให้เป็นไปตามขั้นตอน ต้องพิจารณาพ.ร.บ.ประชามติให้เสร็จและให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นไปร่างรัฐธรรมนูญให้ถูกต้องเป็นธรรม ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อคนคนเดียวเท่านั้น เมื่อ 2 วันก่อนที่มีการประชุมวุฒิสภา พล.อ.ประยุทธ์​ถามวุฒิสภาทำนองว่า “ใครสนับสนุนผมบ้าง” เงียบเป็นสากกะเบือ ไม่รู้จะมีไว้ทำไม พรรคพลังประชารัฐไม่แก้เอาไว้เอื้อประโยชน์ของตนเองรวมทั้งเรื่องบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แบบแบ่งเขต 400 กับแบบบัญชีรายชื่อ เพราะหากใช้แบบเดิม ผู้ใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐก็จะไม่ได้เข้าสภา ตนสงสารประชาชนที่มีผู้นำประเทศคิดแต่เอารัดเอาเปรียบประชาชนอยู่ตลอดเวลา 

เมื่อถามว่าพรรคเสรีรวมไทยพร้อมจะสนับสนุนกลับไปเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เราเป็นพรรคเล็ก เราต้องรู้ว่าเราไม่มีอำนาจที่จะไปต่อสู้กับเขา ประชาชนให้ความไว้วางใจเราเท่านี้ แต่ความจริงให้ความไว้วางใจมากกว่านี้แต่เราถูกโกงเหมือนพรรคอนาคตใหม่ พรรคที่ได้คะแนน 30,000 กว่าคะแนนก็เลยถูกปัดเศษขึ้นมาเพื่อให้ร่วมรัฐบาล ฉะนั้นถึงแม้ว่าพรรคเราจะเป็นพรรคเล็กเราก็มีจุดยืนที่เข้มแข็งและมั่นคง การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ไม่ว่าจะมีกี่ร่างก็ตาม เราก็ต้องมาตัดสินกันว่าเมื่ออภิปรายแล้ว เราควรจะสนับสนุนร่างของฝ่ายไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด พรรคเสรีรวมไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรก็ไม่เป็นไร

เมื่อถามว่าเรื่องระบบการเลือกตั้ง เช่น พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ก็เห็นตรงกันว่าควรจะกลับไปเป็นบัตร 2 ใบ พรรคเสรีรวมไทยมองประเด็นนี้อย่างไร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา อย่างที่บอกว่าขึ้นอยู่กับประชาชนจะ 2 ใบหรือใบเดียวคิดได้อย่างไรว่าอะไรจะเป็นประโยชน์ เราไม่รู้ว่าประชาชนจะเลือกใคร อย่างไรก็ตามพรรคพลังประชารัฐมีฐานข้อมูลว่าตอนเลือกตั้งซ่อมทีไร ส่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไปที่ไหนก็ชนะการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคพลังประชารัฐก็มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีส.ส.เขตมากขึ้น เราไม่มีฐานข้อมูลอย่างเขา รู้แค่เพียงว่าที่ผ่านมา 2 ปี คนรู้จักพรรคเสรีรวมไทยมากขึ้น ฉะนั้นในการเลือกตั้งครังหน้า หากยังเป็นบัตรใบเดียวเราก็เชื่อมั่นว่าเราจะมีส.ส.มากขึ้น แต่หากเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเราก็ชั่งน้ำหนักไม่ได้ว่าจะมีส.ส.มากขึ้นหรือน้อยลง ซึ่งการที่ทำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่างๆ เหล่านี้มาเพื่อจะตัดพรรคเล็ก อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับประชาชน 

‘บิ๊กป้อม’ นั่งหัวโต๊ะ ประชุมคณะกรรมการกีฬาโอลิมปิกแห่งประเทศไทย เคาะค่าตั๋วเครื่องบิน ส่งทีมชาติไปโอลิมปิกญี่ปุ่น

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมกรรมการบริหาร คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบประชุมทางไกล Zoom Video Conference โดยที่ประชุมมีการรายงานความคืบหน้าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกโตเกียว 2020 ครั้งที่ 32 ณกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 23 กรกฎาคม-8 สิงหาคม 2564 การแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ยูธเกมส์ ครั้งที่ 3 ณ เมืองซัวเถา สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 25-28 พฤศจิกายน 2564 การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 31 ณสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม 2564

นอกจากนี้ นายธนาไชย ประสิทธิ์ เหรัญญิกคณะกรรมการโอลิมปิกฯ เสนอเพื่อพิจารณาและขออนุมัติส่งคณะนักกีฬาทีมชาติไทยไปร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก พร้อมกับขออนุมัติเบิกเงินยืมทดรองเป็นค่าบัตรโดยสารเครื่องบินสำหรับคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก

"กรณ์" ผนึกคนสายเทค กระตุก ก.ล.ต.ควบคุมคริปโต ชี้ ! ราชการควรส่งเสริม และกำกับดูแลอย่างเหมาะสม 

สืบเนื่องจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติเห็นชอบแนวทางการกำกับดูแลศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยห้ามให้บริการโทเคนดิจิทัลพร้อมใช้ และคริปโทเคอร์เรนซีตามที่กำหนด พร้อมทั้งกำหนดให้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องจัดให้มีข้อกำหนดว่า ในกรณีของโทเคนดิจิทัลที่ออกโดยศูนย์ซื้อขายหรือเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขาย หากผู้ออกโทเคนดิจิทัลนั้นไม่ทำตาม white paper และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในสาระสำคัญ จะเป็นเหตุให้ถูกเพิกถอนออกจากศูนย์ซื้อขายได้ โดยระบุว่าเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า ได้เห็นประกาศของ กลต. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากรณีห้ามศูนย์ซื้อขาย นำเหรียญ Utility Tokens พร้อมใช้ 4 ประเภท (Meme, FAN, NFT, Native coins) ขึ้นกระดานซื้อขาย ซึ่งพออ่านดูแล้วก็รู้สึกประหลาดใจว่าทำไม ก.ล.ต. ถึงมีแนวคิดปิดกั้นในเรื่องเหล่านี้ เลยพูดคุยกับทีม Tech ในพรรคกล้า และสอบถามความเห็นของพี่ๆ น้องๆ ในวงการ Fintech พอสรุปได้ว่าประกาศของ ก.ล.ต. มีความไม่ชัดเจน ปิดกั้นโอกาสของคนไทยในการใช้เทคโนโลยีบล็อคเชนในการสร้างนวัตกรรม 

“กฎที่ออกมาอย่างเร่งรีบไม่ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์จากผู้ประกอบการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และข้อห้ามที่ออกมานั้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับนานาชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่ประเทศกำลังมองหาธุรกิจ S-curve ใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ภาครัฐกลับปิดกั้นการเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อคเชน รวมถึงคริปโต แล้วอนาคตการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศจะเป็นอย่างไร” นายกรณ์ กล่าว 

อดีต รมว.คลัง กล่าวด้วยว่า ในมุมของ ก.ล.ต. เอง เข้าใจว่าต้องการป้องกันความเสี่ยงให้ผู้บริโภค แต่เชื่อหรือไม่ว่ากฏเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ความเสี่ยงหมดไป เพราะธุรกรรมคริปโตเป็นธุรกรรมที่ไร้พรมแดน ซ้ำร้ายกลับทำให้ประเทศสูญเสียโอกาส คือ ลดโอกาสของการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆในประเทศ ลดโอกาสของคนในการพัฒนาตนเองสู่ทักษะและเครื่องมือที่สำคัญ สำหรับยุคดิจิตอล ซึ่งเป็นตัวชี้วัดขีดความสามารถทางการแข่งขันกับต่างประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต กฏข้อบังคับในครั้งนี้เป็นการผลักไสทรัพยากรคนที่มีความสามารถและนวัตกรรมออกนอกประเทศ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถดึงดูดนวัตกรรมและการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศได้ ซึ่งถือเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อประเทศไทยเอง 

นอกจากนี้ ยังมีความไม่ชัดเจนของกฎบางข้อเช่น  

1.การนิยาม Meme และ FAN tokens ยังขาดรายละเอียดตัวชี้วัดว่า เหรียญแบบไหนถือว่ามีสาระที่สมควรอนุญาตให้ซื้อขายในกระดานซื้อขายไทย

2.การกีดกัน NFT ซึ่งถือเป็น Softpower อีกหนึ่งเครื่องมือเศรษฐกิจยุคดิจิตอล  โดยถือว่าเป็นของเฉพาะกลุ่ม ถือเป็นการกีดกันการค้าของอุตสาหกรรมศิลปะ บันเทิง และเกมส์ ไม่ให้เกิดการพัฒนาและรับรู้อย่างแพร่หลาย

3.ห้ามศูนย์ซื้อขาย ทำ Native Coins ในระบบ Blockchain ด้วยความกลัวด้านข้อมูลภายใน (Inside Information) ถือเป็นการตระหนกเกินกว่าเหตุ เพราะเมื่อเทียบกับหลักปฏิบัติของตลาดหุ้นสากล ผมยังคงเห็นหุ้นของ NASDAQ, London Stock Exchange และ Singapore Stock Exchange (SGX) ซึ่งถือเป็นกระดานซื้อขายทำ self listing หุ้นตนเอง เมื่อเทียบกับผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน คือ Binance (BNB) ผมจึงเสนอว่าสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่การห้ามให้มีหรือไม่มีการทำ self listing แต่อยู่ที่การควบคุมไม่ให้กระดานซื้อขายนำข้อมูลภายในมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของตน

4. ข้อบังคับเหล่านี้ไม่มีผลย้อนหลังสำหรับเหรียญในจำนวนที่ถูกซื้อขายบนกระดานแล้วในปัจจุบัน แต่ห้ามการนำจำนวนเหรียญที่ยังไม่เข้าสู่ระบบมาทำการซื้อขายเพิ่ม ซึ่งเป็นเรื่องยากในการกำกับและติดตาม Exchange อื่นๆจะไม่สามารถทำ Self listing เหรียญของตัวเองที่ใช้ในระบบ Blockchain ได้อีกต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการแข่งขัน เป็นต้น 

นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า หลักคิดของระบบราชการไทยไม่ควรเป็นเพียงแค่การกำกับควบคุม แต่ต้องเป็นการส่งเสริมและพัฒนา ผมจึงไม่เห็นด้วยกับ ก.ล.ต. ที่ออกกฏในลักษณะปิดกั้น แต่ควรส่งเสริมและมีบทบาทในการตรวจสอบ มีกติกาชัดเจน เช่น การกำหนดความละเอียดและความสมบูรณ์ของ Whitepaper โดยยังมีพื้นที่ให้กลไกตลาดทำงานได้ โดยไม่เป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบ 

นอกจากความคิดเห็นของนายกรณ์แล้ว ทีม Tech ในพรรคกล้า อย่างนางสาวภรณี วัฒนโชติ CEO FinGas นักลงทุนคลิปโต ตั้งแต่ปี 2016 และรองโฆษกพรรคกล้า บอกว่า ไม่เห็นด้วย ด้วยเหตุผล 3 ข้อหลัก คือ

1.ทีมนักพัฒนาเหรียญคนไทย จะหนีไป ICO และซื้อขายเหรียญในต่างประเทศ ประเทศไทยสูญเสียนวัตกรรม และการได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรม

2.เป็นการกีดกันและลดความสามารถในการแข่งขันของศูนย์ซื้อขายสัญชาติไทย ให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เพราะ ศูนย์ซื้อขายสัญชาติไทยจะ ‘เป็นศูนย์ ที่ไม่เป็น ศูนย์’ คือไม่สามารถเป็นศูนย์รวมของเหรียญที่หลากหลายให้คนได้ซื้อขายอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการชนะคู่แข่งในตลาดโลก และ

3.เมื่อผู้พัฒนาไม่สามารถขึ้นกระดานซื้อขายที่ถูกกฏหมายได้ สุดท้ายจะเข้าซื้อขายในตลาด Defi ซึ่งอยู่นอกเหนือความสามารถในการกำกับของรัฐ และก.ล.ต.จะไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงให้ผู้บริโภคคนไทยได้อยู่ดี เพราะจะไม่สามารถติดตามเหรียญจาการ scam คืนได้จากกระดานซื้อขายนอกการกำกับ เช่น กรณี FBI ตามเหรียญคืนได้จาก Coinbase กระดานซื้อขายภายใต้การกำกับ เป็นต้น การออกกติกาของ ก.ล.ต.ในครั้งนี้จึงมี ผลร้าย กับประเทศมากกว่า ผลดี 

นายยศ เลิศภิญโญภาพ IT Solution Architect และกรรมการนโยบายพรรคกล้า กล่าวว่า NFT คือโอกาสและช่องทางสำหรับการโปรโมตผลงานหรือสร้างรายได้ให้กับกลุ่มคนจำนวนมาก ทัศนคติในการกีดกัน NFT จะไม่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ออกมา เทคโนโลยีที่หมุนไปเร็ว กลไกตลาด Crypto currency  มันทำงานเร็วขึ้น ดังนั้นภาครัฐยุคใหม่ควรมีบทบาทในการส่งเสริมหาแนวทางป้องกันที่เหมาะสม มากกว่าการปิดกั้นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆของคนไทย 

เช่นเดียวกับ คณิต ศาตะมาน นักเทคโนโลยี ผู้อยู่ในวงการ Blockchain และ Digital Asset  ที่มองว่า ตั้งแต่ยุค ICO จนถึงปัจจุบัน Crypto Currency และ Digital Tokens นั้นทำให้เกิดระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจดิจิทัลใหม่ๆ ที่สามารถสร้างโอกาสให้กับคนไทยได้หากสามารถสร้างนวัตกรรมที่มีประโยชน์จนคนเห็นคุณค่า แน่นอนว่าการเก็งกำไรย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย แต่รัฐก็ไม่ควรจะใช้วิธีขังทุกคนเอาไว้ในห้องด้วยเชื่อว่าพวกเขาจะปลอดภัยหากไม่ได้ออกไปไหน ดังนั้นจึงไม่ควรจะไปตั้งกำแพงกีดกัน Utility Token เหล่านั้นจาก Exchange และที่จริงแล้วควรจะสนับสนุนให้ทำธุรกรรมผ่าน Exchange ด้วยซ้ำ เพราะพวกเขามีกระบวนการยืนยันตัวตนที่ชัดเจนสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดการหลอกลวงได้เป็นอย่างดี แตกต่างกับการสร้าง Market Place และ DeFi ที่ไม่มีกระบวนการตรวจสอบและควบคุมใด ๆ ได้เลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top