Friday, 27 June 2025
PoliticsQUIZ

“เพจ เรือดำน้ำไทย” โพสต์คลิป ขนขุนพลลูกประดู่แจงเหตุจำเป็นต้องมีเรือดำน้ำ เสริมมิติปฏิบัติการใต้น้ำ ชี้อาจดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่อยากให้เข้าใจว่ามีความจำเป็น ไม่อยากกลายเป็นจำเลยอีกต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “เพจ เรือดำน้ำไทย Thai Submarines” ของกองทัพเรือ ได้เผยแพร่สารคดีกองทัพเรือ โดยโพสต์ข้อความระบุว่า “ความคิด ความเข้าใจ และความจริงใจในการบอกเล่าครั้งใหม่ถึงเรื่องราวของ "เรือดำน้ำ" ...อย่าให้การทำหน้าที่เป็นจำเลยอีกต่อไป” พร้อมคลิปวิดีโอ ซึ่งมีตอนหนึ่งชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นการมีเรือดำน้ำ โดยพล.ร.ต.นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหารเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ แต่สิ่งสำคัญภารกิจหลักกองทัพเรือต้องเตรียมความพร้อมในการปกป้อง รักษา อธิปไตยของชาติและความมั่นคงทางทะเลตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย กองทัพเรือจำเป็นต้องมีเครื่องมือเหล่านี้ปฏิบัติการในลักษณะผสมผสานร่วมกัน ทั้งบนอากาศ ผิวน้ำ และใต้น้ำ ซึ่งเรือดำน้ำของกองทัพเรือถูกปลดประจำการไปแล้ว และไม่ได้รับการจัดหาอีกเลย  ทำให้เราขาดการปฏิบัติการมิติใต้น้ำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และกองทัพเรือพยายามปรับลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นด้วยการใช้เครื่องมืออื่นๆ แต่ก็ยังเกิดความเสี่ยงที่สูงอยู่ 

ด้านพล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า เรื่องราวระหว่างหลักประกันความมั่นคงของชาติทางทะเลกับการช่วยเหลือประชาชนในเวลาที่ชาติประสบภาวะวิกฤต กองทัพเรือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ตั้งใจทำทุกอย่างอย่างสุดกำลัง โดยเฉพาะวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ เราได้ทุ่มเทกำลังพล ยุทโธปกรณ์ ตลอดจนการปรับงบประมาณทุกภาคส่วนมารองรับ สำหรับการสร้างการรับรู้เรื่องกำลังรบอันเป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติทางทะเล อาจดูเป็นเรื่องไกลตัว ในภาวะการณ์เช่นนี้ แต่อยากให้เข้าใจว่ามีความจำเป็นที่จะต้องสร้างการรับรู้ร่วมกัน เพียงแต่อยากบอกถึงการทำหน้าที่ของเราโดยตระหนักถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน อย่าให้การทำหน้าที่นี้ของเรากลายเป็นจำเลยอีกต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงาน ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าการเผยแพร่คลิปดังกล่าวนั้น คาดว่าเพื่อต้องการสร้างความรับรู้และความเข้าใจกับประชาชน เพราะในช่วงนี้ทางสภาฯ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2565 กำลังมีการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีพ.ศ.2565 อยู่ในขณะนี้

ปลัด สปน. แจ้ง ขยายเวลา เวิร์ก ฟรอม โฮม ถึง 30 มิ.ย. มั่นใจ งานมีประสิทธิภาพ-ช่วยลดการแพร่ระบาด โควิด-19

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรี ประกาศของศบค.และสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในขณะนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วให้มีการขยายเวลาการ เวิร์ก ฟรอมโฮม ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้ 

นายธีรภัทร กล่าวว่า โดยยึดแนวทางปฎิบัติที่ประกาศไว้เดิม แต่มีประเด็นเพิ่มเติมคือ เร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ของสปน. ได้รับการฉีดวัคซีนให้ครบถ้วนโดยเร็ว ซึ่งขณะนี้ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 74% อย่างไรก็ตามการดำเนินงานในขณะนี้ยังเป็นการประชุมหารือผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งทุกการประชุมคณะกรรมการตามกฏหมาย และคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องต่างๆยังเป็นไปด้วยดี นอกจากนี้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีปกติจะต้องติดตามงานภาคต่างๆในต่างจังหวัด ก็ปรับมาใช้ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อติดตามงานในพื้นที่ โดยในบางภารกิจในพื้นที่ เช่น การตรวจมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก 300 กว่าหน่วย สปน.ได้ติดตามสถานะภาพในพื้นที่จริงผ่านระบบวิดีโอเคลื่อนที่ เพื่อดูพื้นที่จริงอย่างใกล้ชิด ได้เห็นในพื้นที่นั้นๆมีสภาพเป็นอย่างไรในเวลาที่ติดตามด้วย

นายธีรภัทร กล่าวว่า ในส่วนงานศูนย์บริการประชาชน สำนักนายกรัฐมนตรี ในการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ยังคงใช้ 4 ช่องทางเดิม คือ

1.) สายด่วนของรัฐบาล1111

2.) ตู้ปณ.1111 และ

3.) เว็บไซต์ www.1111.go.th

4.) แอพพลิเคชั่น PSC1111

เนื่องจากสถานการณ์ โควิด-19 ยังต้องคงเฝ้าระวัง การรับเรื่องราวร้องทุกข์ ยังดำเนินการไปได้ด้วยดี โดยมากกว่า 90% เรื่องได้ยุติส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาเป็นรายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สปน.ได้รายงานข้อเสนอแนะและเรื่องร้องทุกข์ให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ และนายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดทุกเรื่องในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รวมหลายเรื่องนำไปสู่นโยบายการช่วยเหลือประชาชนในภาพรวม การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมาเมื่อเจ้าหน้าที่เวิร์กฟอรมโฮม มีปัญหาอุปสรรคอย่างไรหรือไม่ นายธีรภัทร กล่าวว่า หากทุกคนมาทำงานในที่ทำงานพร้อมกัน ประสิทธิภาพย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่การทำงานชีวิตวิถีใหม่ เวิร์กฟอรมโฮม บางเรื่องที่ต้องการความรวดเร็วเร่งด่วน เราก็ใช้การพูดคุยและส่งผ่านข้อมูลผ่านอีเมล และไลน์ โดยที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน แต่ในบางครั้งการได้ทำงานแบบพบเห็นหน้ากันก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่า อย่างไรก็ตาม จากการประเมินในเวลานี้โดยติดตามการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นๆด้วย ถือว่าประสิทธิภาพของการทำงานเป็นไปด้วยดี สามารถขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี

นายธีรภัทร กล่าวว่า ขณะนี้ทุกหน่วยงานใน สปน. ได้ปรับแผนการรายงาน ผลการทำงานต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งทุกหน่วยงานจะได้รายงานความคืบหน้าการทำงานมาที่ตน ว่ามีผลการทำงานอย่างไรบ้าง ในทุกสัปดาห์ โดยให้ระดับรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจราชการฯ ผู้อำนวยการสำนัก และผู้อำนวยการกอง ประชุมคอนฟอร์เรนพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของตนอยู่ตลอด โดยเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมาตนได้ประชุมระดับผู้บริหารของสำนักนายกฯ สรุปงานผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ 2-3 ชั่วโมง 

นอกจากงานปกติแล้วยังต้องทำงานช่วยศบค.ในเรื่องการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ด้วย เช่น การบริหารจัดการหน้ากากอนามัย การสนับสนุนถุงยังชีพรายครอบครัวให้กับชาวบ้านในหมู่บ้าน 14 จังหวัดที่ต้องปิดเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 

ทั้งนี้ขอย้ำว่าปัจจุบันถึงแม้หน่วยราชการจะเวิร์กฟอรมโฮม แต่คุณภาพงานยังมีประสิทธิภาพอยู่ เป็นการช่วยลดการเดินทางและช่วยลดการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงนี้ 

จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนลดกิจกรรมที่ต้องพบปะกัน และดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดอีกระยะหนึ่ง รวมทั้งร่วมกันฉีดวัคซีน แล้วการดำรงชีวิตตามปกติจะได้คืนกลับมาโดยเร็ว

รมว.เฮ้ง ย้ำ วัคซีนไม่ขาด ผู้ประกันตนได้ฉีดแอสตร้าเซนเนก้า เหมือนเดิม จะเริ่มเปิดใหม่วันจันทร์ที่ 14 มิ.ย.นี้ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานประกันสังคมได้ประกาศเลื่อนการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 45 ศูนย์ออกไป ซึ่งในเรื่องนี้ท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีความเป็นห่วงผู้ประกันตนและเข้าใจดีว่าผู้ประกันตนประสงค์อยากจะฉีดวัคซีนโดยเร็ว จึงได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานปรับปรุงจุดบกพร่องทั้ง 2 ประการอย่างเร่งด่วน ทั้งกรณีสถานที่บางแห่งที่ไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากไม่มีแอร์ อากาศร้อน จะยกเลิกสถานที่ดังกล่าวโดยจะยุบรวมมาอยู่ในสถานที่ที่มีความพร้อมและมีแอร์คอนดิชั่น ส่วนกรณีเรื่องข้อมูลของผู้ประกันตนที่ฝ่ายบุคคลของสถานประกอบการส่งมาให้เกิดความสับสนไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงจากเหตุผลหลายประการ อาทิ ลงทะเบียนซ้ำซ้อนหลายแห่ง การไปฉีดวัคซีนจากที่อื่นมาก่อนแล้ว ผู้ประกันตนไม่พร้อมมาฉีดตามวัน เวลา ที่กำหนด แต่ฝ่ายบุคคลไม่ได้แจ้งกลับมา หรือกรณีที่ผู้ประกันตนมีสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมจะฉีด เป็นต้น ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมได้ประสานไปยังสถานประกอบการต่าง ๆ เพื่อเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ได้ข้อมูลของผู้ประกันตนที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนอย่างแท้จริง หากว่าสถานประกอบการใดยังไม่พร้อมก็จะให้รอไปก่อน เราจะดำเนินการฉีดให้สถานประกอบการที่มีความพร้อมไปก่อน โดยจะเริ่มดำเนินการฉีดอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายนนี้ 

"ผมขอย้ำว่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า สำหรับผู้ประกันตนไม่ขาด ผมกับท่านรองนายกฯ อนุทิน ทำงานกันอย่างใกล้ชิดและปรึกษาหารือกันมาโดยตลอด เพื่อให้การฉีดวัคซีนซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ สามารถควบคุมการแพร่ระบาด เกิดประโยชน์สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า โดยกระทรวงแรงงานจะเร่งดำเนินการเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้เร็วที่สุด ซึ่งคาดว่าจะสามารถกลับมาเปิดบริการฉีดได้ใหม่ในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายนที่จะถึงนี้" นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด

รมว.แรงงาน สั่งเดินหน้า โครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม

รมว.แรงงาน มอบหมาย 2 กรมฯ ใต้สังกัด จูงมือโน้มน้าวสถานประกอบการ เปลี่ยนไปใช้การจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ประเภทการจ้างเหมาบริการ แทนการส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป้าหมายช่วยคนพิการมีงานทำ มีรายได้ บรรเทาความเดือดร้อนได้ทันที

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ประชาชน และให้ความช่วยเหลือแรงงานกลุ่มเปราะบาง ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการที่ยังมีทั้งศักยภาพ และความต้องการในการทำงาน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างโอกาสการมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ อย่างเหมาะสมและยั่งยืน 

“ตามพ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม  กำหนดให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จ้างคนพิการเข้าทำงานในอัตราส่วน 100 : 1 หากไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในอัตรา 114,245 บาทต่อปี ตามจำนวนคนพิการที่ไม่ได้จ้าง ซึ่งกองทุนฯจะนำเงินดังกล่าว ไปส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการต่อไป อย่างไรก็ดีในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย รวมทั้งกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มคนพิการ ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือให้คนพิการมีงานทำ มีรายได้สามารถดูแลตนเองและครอบครัว โดยได้รับการจ้างงานจากสถานประกอบการในรูปแบบอื่น ที่เป็นทางเลือกตามกฎหมายและสามารถดำเนินการได้ จึงมอบหมายกรมการจัดหางาน ให้ประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้สถานประกอบการเลือกใช้วิธีการจ้างเหมาบริการคนพิการปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐในจังหวัดที่คนพิการอาศัยอยู่ ซึ่งเป็น 1 ในกิจกรรมการดำเนินการตามมาตรา 35 ที่จะทำให้คนพิการเกิดรายได้ทันที สามารถมีงานทำและได้รับการจ้างงานโดยตรง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ล่าสุดได้สั่งการสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการ โดยมีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานร่วมบูรณาการภารกิจ ตามนโยบายท่านรัฐมนตรี เพื่อสำรวจความต้องการจ้างงานของสถานประกอบการ รวมทั้งสร้างการรับรู้แนวทางการดำเนินการตามมาตรา 35 และโน้มน้าวให้นายจ้าง/สถานประกอบการหันมาใช้การส่งเสริมการจ้างงงานคนพิการเชิงสังคม ประเภทการจ้างเหมาบริการ โดยจ้างงานคนพิการเป็นพนักงานเพื่อปฏิบัติงานสนับสนุนองค์กรในท้องถิ่นที่มีภารกิจสาธารณะประโยชน์ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการ ศูนย์บริการคนพิการของท้องถิ่น/เทศบาล เป็นต้น  ซึ่งช่วยให้คนพิการในพื้นที่ห่างไกล ได้รับโอกาสมีอาชีพ มีงานทำอย่างทั่วถึง สามารถพึ่งพาตนเองได้ทัดเทียมคนทั่วไป

“สำหรับสถานประกอบการที่สนใจร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม มาตรา 35 สามารถสอบถามได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว

ศ.ดร.กนก แนะ ถอดบทเรียน ประกันสังคม เลื่อนฉีดวัคซีนเป็น 28 มิ.ย. หลังเปิดบริการเพียง 5 วัน ชี้เจตนาดีไม่พอ ต้องมีความพร้อม บริหารอย่างมีประสิทธิภาพด้วย หวัง กลับมาให้บริการได้ตามแผน แจ้งข่าวดี เด็กไทย ได้ฉีดวัคซีน พ.ย.-ธ.ค.

ศ.ดร.กนก แนะ ถอดบทเรียน ประกันสังคม เลื่อนฉีดวัคซีนเป็น 28 มิ.ย. หลังเปิดบริการเพียง 5 วัน ชี้เจตนาดีไม่พอ ต้องมีความพร้อม บริหารอย่างมีประสิทธิภาพด้วย หวัง กลับมาให้บริการได้ตามแผน แจ้งข่าวดี เด็กไทย ได้ฉีดวัคซีน พ.ย.-ธ.ค. เตือน บริหารความเสี่ยง วัคซีนไม่มาตามนัด อย่า เอาการเมืองนำการแพทย์ หาประโยชน์จากความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน เชื่อคนไทยรับไม่ได้ 

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว ถึงการกระจาย วัคซีนเพื่อให้บริการกับประชาชนว่า ยังมีปัญหาการเลื่อนฉีดวัคซีน ในหลายพื้นที่ แม้กระทั่งล่าสุด กระทรวงแรงงานยังเลื่อนฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 ใน 45 จุดทั่วกรุงเทพฯ ออกไปเป็นวันที่ 28 มิถุนายน หลังเปิดให้บริการ ได้เพียงแค่ 5 วัน สะท้อนปัญหา ทั้งจำนวนวัคซีนไม่พอและการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น ต่อการบริหารจัดการวัคซีน ของรัฐบาล เพราะขนาดจุดใหญ่ ของผู้ประกันตน ที่วางเป้าหมายจะฉีดให้ครบ 1 ล้านโดส ภายใน 20 วันนับจากวันที่ 7 มิถุนายนเป็นต้นไป มาถึงวันนี้ก็พลาดเป้าอย่างน้อย 5 วันแน่นอนแล้ว และยังไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร แม้จะมีการออกมาชี้แจงว่าไม่ได้เกิดจากวัคซีนไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะสถานที่ไม่เหมาะสม อากาศร้อนเกินไป และข้อมูลผู้เข้ารับบริการยังมีปัญหา ตนเอาใจช่วยให้แก้ปัญหาปรับปรุงให้กลับมาให้บริการประชาชนให้ได้เร็วๆ แต่ก็อยากให้ถอดบทเรียน เรื่องนี้ด้วยว่าก่อนวางแผน ควรต้องประเมินทุกปัจจัย เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าสามารถปฏิบัติได้ เพราะ หากต้องมาหยุดกลางคันหรือเลื่อนออกไป จะไม่เป็นผลดี ต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล เรื่องนี้สอนเราว่าเจตนาดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องพร้อมในการบริหารจัดการด้วย 

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า การจัดหาวัคซีนที่ผ่านมาถูกตั้งคำถามมากมาย ทำไมจึงช้า ทำไมจึงได้น้อย ทำไมจึงไม่ได้ยี่ห้ออื่นบ้าง คณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีวิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร จึงเชิญ นายแพทย์นคร เปรมศรีผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติมาให้คำตอบ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 แนวทางการจัดหาวัคซีนมี 3 วิธีด้วยกัน คือ 1) ประเทศร่วมสนับสนุนเงินทุนวิจัยการผลิตวัคซีน แก่บริษัทผลิตวัคซีน ด้วยข้อตกลงว่าเมื่อบริษัทผลิตวัคซีนสำเร็จจะต้องจัดสรรวัคซีนให้กับประเทศของตนก่อน ซึ่งประเทศไทยไม่ได้ทำ 2) การจองซื้อล่วงหน้า พร้อมจ่ายเงินมัดจำ ก่อนที่การพัฒนาวัคซีนจะสำเร็จ ถ้าการพัฒนาวัคซีนของบริษัทไม่สำเร็จ จะเกิดความเสี่ยงต่อการเรียกเงินมัดจำคืนได้ประเทศไทยไม่ได้ทำ 3) การเจรจาซื้อวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิตที่พัฒนาวัคซีนสำเร็จแล้วและพร้อมขาย ประเทศไทยดำเนินการสั่งซื้อตามแนวทางนี้ ผลของการเจรจาสั่งซื้อวัคซีนของไทยได้ผลสำเร็จคือระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม 2564 จะได้รับวัคซีนรวม 100 ล้านโดสดังนี้ 1) ซิโนแวค 6 ล้าน, 2) แอสตาเซนเนกา 60 ล้าน, 3) ไฟเซอร์ 20 ล้าน, 4) จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 5 ล้าน ซึ่งน่าจะเพียงพอกับจำนวนประชากรในประเทศไทยทุกคน 

ศ.ดร.กนก กล่าวด้วยว่า บทเรียนจากการจัดหาวัคซีนรอบแรก 3 แนวทางนี้สถาบันวัคซีนแห่งชาติประเมินการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด 19 ทั้งสายพันธุ์อังกฤษ, อัฟริกา, และอินเดีย ที่คาดว่าบริษัทผู้ผลิตวัคซีนจะสามารถพัฒนาวัคซีนรุ่น 2 (Generation 2) ที่สามารถป้องกันการกลายพันธุ์ได้สำเร็จในเดือนธันวาคม 2564 

ดังนั้นประเทศไทยจึงได้เริ่มต้นเจรจากับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนเพื่อจองซื้อวัคซีนรุ่นที่ 2 สำหรับปี 2565 แล้วสำหรับวัคซีนเด็กขณะนี้ได้ข้อมูลว่าวัคซีนของไฟเซอร์สามารถใช้กับเด็กอายุ 12-16 ปีได้ และซิโนแวคใช้ได้กับเด็ก 3-18 ปีปัจจุบันองค์การอาหารและยาพร้อมกับคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเด็ก กำลังศึกษาและตรวจสอบความปลอดภัยของวัคซีนสำหรับเด็กดังกล่าว คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในเดือนกันยายนหรือตุลาคมนี้ นั่นหมายความว่าราวพฤศจิกายน 2564 ประเทศไทยน่าจะสามารถเริ่มฉีดวัคซีนให้เด็กได้

ถ้าประเมินจากคำชี้แจงของผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติการจัดฉีดวัคซีนให้คนไทยทั้งประเทศ ทุกคน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นอกจากความเสี่ยง 2 ประการที่อาจจะเกิดขึ้นคือ 1) ความเสี่ยงต่อการได้รับวัคซีนไม้ครบตามกำหนดจากบริษัทผู้ผลิต เพราะกระบวนการผลิตวัคซีนของบริษัทอาจขัดข้องหรือ มีข้อผิดพลาดได้ ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของไทยในฐานะผู้ซื้อ 2) ความเสี่ยงจากการเกิดคลัสเตอร์ในวงกว้าง ที่คาดไม่ถึง จึงทำให้ต้องฉีดวัคซีนให้ประชากรในพื้นที่คลัสเตอร์ที่เสี่ยงสูงก่อนเพื่อหยุดการแพร่กระจายของโรค ส่งผลให้ต้องหมุนจำนวนวัคซีนจากพื้นที่ปกติตามแผนการฉีดเดิม ไปยังพื้นที่คลัสเตอร์ใหม่ จึงทำให้ประชาชนทั่วไปอาจได้รับการฉีดวัคซีนล่าช้าไปกว่ากำหนดเดิมได้ๅ 

"ผมขอฝากเตือนว่าความเสี่ยง 2 ประการนี้เป็นเหตุสุดวิสัยที่อยู่เหนือการควบคุมได้จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนสามารถเข้าใจและยอมรับได้แต่ประเด็นที่ประชาชนยอมรับไม้ได้ คือการจัดสรรวัคซีนให้พื้นที่จังหวัดหรือกลุ่มคนที่มีลักษณะเป็นการหาเสียง ใช้การเมืองนำการแพทย์ ใช้ชีวิตประชาชน มาต่อรองทางการเมือง เรื่องแบบนี้อย่าทำ เพราะคนไทยยอมรับไม่ได้" ศ.ดร.กนก กล่าว

“บิ๊กช้าง” ย้ำเสริมกำลังพลเข้าช่วย กทม.คุมเข้มแค้มป์คนงาน และให้เตรียมวัคซีนรับทหารใหม่เข้าหน่วย

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. หน่วยขึ้นตรงหระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ และ ตร. เพื่อติดตามการสนับสนุนรัฐบาลในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาโควิด-19 และการช่วยเหลือประชาชน

ทั้งนี้ภาพรวม ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพ ยังคงทำงานร่วมกับ กระทรวงสาธารณะสุข และหน่วยงานต่างๆอย่างใกล้ชิด สนับสนุนการแก้ปัญหาเร่งด่วนและขับเคลื่อนบริหารจัดการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคอย่างต่อเนื่อง 

พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า การจัดกำลังพล บุคลากรทางการแพทย์ ยานพาหนะและสิ่งอุปกรณ์ เสริมเพิ่มเข้าไปช่วยจัดตั้งและบริหารจัดการโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกว่า 6,500 รายเข้ารับการรักษา การตรวจคัดกรองเชิงรุกและเก็บเชื้อในพื้นที่กลุ่มเสี่ยง การสนับสนุนจัดตั้ง บก.ควบคุมพื้นที่แพร่ระบาด เช่น แค้มป์คนงาน โรงงานและตลาดชุมชน การสนับสนุนจัดกำลังพลคัดกรองโรค ณ สนามบิน รวมทั้งกรมราชทัณฑ์แก้ปัญหาเรือนจำที่พบการติดเชื้อ การบริหารจัดการสถานกักควบคุมโรคแห่งรัฐ (15 SQ และ 142 ASQ) การจัดรถครัวสนามประกอบอาหารช่วยเหลือประชาชนกว่า 300 ชุมชนในพื้นที่ที่พบติดเชื้อจำนวนมาก  รวมทั้งการเข้าไปช่วยสนับสนุนพ่นยาฆ่าเชื้อในโรงเรียนก่อนเปิดเทอมกว่า 350 แห่งและสนับสนุนฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปพร้อมๆกันทั่วประเทศแล้วกว่า 24,000 คน 

ทั้งนี้ รมช.กลาโหม ได้ย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ขอบคุณกำลังพลทุกเหล่าทัพที่สนับสนุนส่วนราชการต่างๆ รับมือกับวิกฤตโควิด-19 และเข้าไปดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยขอให้ดำรงความต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์จะปกติ พร้อมแสดงความห่วงใยทหารที่จะเข้าประจำการพร้อมกันทุกเหล่าทัพใน 1 ก.ค.64 โดยขอให้มีมาตรการควบคุมโรคในการฝึกและประสาน สธ.จัดหาวัคซีนรองรับทหารที่เข้าใหม่และครูฝึก ให้เพียงพอสำหรับเกิดภูมิคุ้มกันเป็นส่วนรวมในการปฏิบัติงานร่วมกัน

นอกจากนี้ พล.อ.ชัยชาญ ยังได้กำชับ ขอให้ทุกเหล่าทัพและตำรวจ เสริมกำลังเข้าไปสนับสนุน กรุงเทพมหานคร ตามที่ร้องขอ ในการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นพื้นที่ทั้งใน กทม.และปริมณฑล ที่ยังพบกระจายในหลายคลัสเตอร์ โดยเฉพาะแคมป์คนงานที่มีกว่า 400 แห่ง ที่จำเป็นต้องจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน (EOC) ควบคุมการปฏิบัติเข้มในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด เพื่อจำกัดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้า-ออก และนำเข้าสู่การรักษาในระบบ  พร้อมทั้งขอให้ดำรงความต่อเนื่องสนับสนุนการบริจาคโลหิตให้กับโรงพยาบาลต่างๆที่ยังพบการขาดแคลน เพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยรอการรักษาอีกจำนวนมาก

“ชัยชนะ” ยัน “ปชป.” หนุนประสานประโยชน์ทุกฝ่ายในสภา เพื่อประโยชน์ของ ปชช. ในการแก้ รธน. - ย้ำบัตร 2 ใบ สะท้อนเจตนารมณ์ที่แท้จริงมากกว่า - ชี้คนให้ ส.ส. มากหรือน้อยไม่ใช่กติกา แต่เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตัดสินใจเลือก

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช ในฐานะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้กระบวนการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความคืบหน้าไปมาก โดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รองประธานวิปรัฐบาล ระบุว่า จะนำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรายมาตรา ที่มีพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมกันเสนอ จำนวน 7 ฉบับ ซึ่งได้เพิ่มเติมจากร่างของพรรคภูมิใจไทย ที่ต้องการเพิ่มเรื่องอำนาจสิทธิและการคุ้มครองประชาชนในการรับบริการของรัฐ มาประกอบด้วย และจะมีการพิจารณาร่วมกัน เพื่อให้ทันกับการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในปลายเดือนมิถุนายนนี้ 

“ทางพรรคฯ ยืนยันมาตลอดว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีข้อบกพร่องที่สำคัญหลายประการ ที่ไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์แบบได้ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ และอีก 2 พรรคการเมือง จึงได้เสนอร่างแก้ไข ที่มีเนื้อหาที่สามารถประสานประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายในสภา โดยยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักใหญ่ใจความ เพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้ในที่สุด” รองโฆษกปชป. กล่าว

นายชัยชนะ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นเรื่องกระบวนการเลือกตั้งนั้น ตนเห็นว่า ทิศทางที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ให้มี ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน โดยใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เหมือนกับในรัฐธรรมนูญ 2540 เพราะนอกจากประชาชนมีความคุ้นเคยในการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ เหมือนกับที่ผ่านๆมาแล้ว การใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ จะสะท้อนเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชนได้มากกว่า เพราะการที่ประชาชนมีความลำบากใจในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วจากบัตรใบเดียว แต่มีเพียงไม่กี่หน่วยงานที่ได้ประโยชน์เนื่องจากเป็นการประหยัดงบประมาณ แต่กลับสร้างปัญหาในการทราบความต้องการที่แท้จริงของประชาชนนั้น ถือเป็นการบิดเบือนพื้นฐานของประชาธิปไตย ที่จำเป็นจะต้องมีการแก้ไขให้ถูกต้องจากตัวแทนของประชาชน 

นายชัยชนะ กล่าวว่า ส่วนที่มีข้อวิจารณ์ว่า พรรคการเมืองหลายพรรคอาจจะได้ประโยชน์ภายหลังจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็นเรื่องของการเลือกตั้ง ว่าจะได้ ส.ส. เพิ่มขึ้นหรือเป็นการสกัดกั้นไม่ให้บางพรรคการเมือง กลับมามี ส.ส.ได้อีกนั้น ตนว่า คนที่จะให้พรรคการเมือง มี ส.ส. มากหรือน้อยนั้น ไม่ใช่กฎกติกาตามที่ระบุในรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ตนกลับมองว่า ประชาชนคนไทยที่มีสิทธิ์เลือกตั้งทุกคน เป็นผู้ให้คำตอบว่า พรรคใดจะมี ส.ส. มากหรือน้อย 

ดังนั้นแทนที่จะวิจารณ์เรื่องตัวระบบ ตนคิดว่า ควรกลับไปคิดหาบุคคลที่ประชาชนให้การยอมรับในพื้นที่นั้นๆ และคิดหานโยบายที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน โดยไม่สร้างภาระงบประมาณในภายหลัง รวมทั้ง ต้องมีแนวคิดและทัศนคติทางการเมืองที่เหมาะที่ควร ไม่สร้างความลำบากใจให้กับคนส่วนรวม เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจเลือกในวันเลือกตั้งจะดีกว่า

“จุรินทร์” นำคณะ เยี่ยมชาวสวนปาล์ม ชูบริหารเชิงรุกดึงราคาปาล์มพุ่ง เปิดโครงการผลิตน้ำประปาช่วยคนบ้านคลองหวายเล็กหลายร้อยครัวเรือนมีน้ำสะอาดบริโภค ทริปต่อไปทัวร์อีสาน

ที่เทศบาลตําบลคลองพนพัฒนา อ.คลองท่อม จ.กระบี่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์  รวมถึง น.ส.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ และนายณธรรมรักษ์ จงรักษ์ นายกเทศมนตรีตำบลคลองพนพัฒนา ได้ร่วมกันลงพื้นที่พบปะกลุ่มเกษตรกรใน อ.คลองท่อม และมอบถุงยังชีพ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 

นายจุรินทร์ กล่าวแสดงความยินดีกับชาวสวนปาล์มที่วันนี้ปาล์มราคาดีอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 6.80 บาท และ 7 บาทในบางช่วง ซึ่งเป็นผลจากมาตรการบริหารจัดการเชิงรุกที่กระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะกรรมการนโยบายปาล์มแห่งชาติในการกำหนดมาตรการหลายเรื่อง อาทิ การสกัดการลักลอบนำเข้าปาล์มจากต่างประเทศ การสนับสนุนผู้ส่งออกน้ำมันปาล์ม กก.ละ 2 บาทเพื่อส่งเสริมให้การส่งออกและรับซื้อผลปาล์มในประเทศ แต่มีเงื่อนไข คือสต๊อกปาล์มในประเทศต้องเกิน 300,000 ตัน และราคาปาล์มต่างประเทศต้องต่ำกว่าในประเทศ แต่ถ้าราคาตก ยังมีนโยบายประกันรายได้เกษตรกรมาช่วยชาวสวนปาล์มให้ได้รับเงินส่วนต่าง  

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ส่วนข้อกังวลของเกษตรกรเรื่องปุ๋ยราคาแพงนั้น มีสาเหตุมาจากบริษัทผลิตแม่ปุ๋ยใหญ่คือประเทศจีน มีประเทศอินเดียมาประมูลแม่ปุ๋ยจากจีนไปล็อตใหญ่เพื่อใช้ในการเกษตร และจีนเริ่มฤดูไถหว่านฤดูใหม่ ทำให้เขาต้องสต๊อกปุ๋ยเอาไว้ใช้ในประเทศ ทำให้ปุ๋ยในตลาดโลกขาดแคลน ทั้งนี้ ตนได้มอบหมายให้เชิญผู้นำเข้าปุ๋ยมาพูดคุยเพื่อหาจุดสมดุล ด้วยการกดราคาปุ๋ยลงมา แต่ให้พอมีกำไรบ้าง ไม่ให้กระทบกับเกษตรกรเกินไป และมีมาตรการเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกัน เพื่อที่จะสามารถซื้อปุ๋ยราคาพิเศษได้ โดยกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรฯ จับมือการช่วยแก้ปัญหาด้วยการประสานงานกับพาณิชย์จังหวัดและเกษตรจังหวัดให้รวมตัวกันซื้อปุ๋ยราคาพิเศษในนามกลุ่มจะช่วยลดราคาลงไปได้ 

จากนั้น นายจุรินทร์และคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการระบบผลิตน้ำประปา หมู่ที่ 6 บ้านคลองหวายเล็ก ต.คลองขนาน อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ โดนนายจุรินทร์ กล่าวว่า ระบบผลิตน้ำประปาแห่งนี้เป็นระบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีซึ่งได้ขึ้นทะเบียนนวัตกรรมที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถดูดน้ำจากแหล่งน้ำที่มีอยู่ผ่านขั้นตอนกระบวนการถังกรองฆ่าเชื้อและสูบไปหอสูงประมาณ 20 เมตร และมีระบบกระจายน้ำลงมายังครัวเรือนได้ 200-500 ครัวเรือน จะช่วยให้ประชาชนในชุมชนสามารถมีน้ำอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพ ถึงขั้นบริโภคได้โดยปลอดภัย และเรื่องค่าใช้จ่ายรายปีในการดำเนินการเรื่องต้องซื้อสารฆ่าเชื้อและเปลี่ยนวัสดุกรอง รวมถึงการดูแลระบบบริหารจัดการบำรุงรักษา เมื่อติดตั้งระบบเสร็จแล้วเปิดให้บริการตั้งแต่วันนี้ ชุมชนสามารถใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีองค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อบริหารน้ำ คือสหกรณ์กลุ่มผู้ใช้น้ำบ้านคลองหวายเล็ก ต้นทุนประมาณคิวละ 4 บาท ที่เหลือเป็นระบบบริหารจัดการและกำไรเข้าสหกรณ์ใช้ช่วยเหลือดูแลหมู่บ้านต่อไป  
 
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ ตนจะทำกิจกรรม “จุรินทร์ ออนทัวร์” ในพื้นที่ภาคอีสาน โดยจะเดินทางไปยัง จ.อุดรธานีในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ จากนั้นจะไปที่ จ.ขอนแก่นในวันที่ 18 มิ.ย. ตามด้วยวันที่ 19 มิ.ย. จะลงพื้นที่จ.นครราชสีมา

“เสี่ยโจ้” อัดนายกฯ สอบตก ถามม้าตอบช้าง ไม่มีรายละเอียดใช้เงินกู้ ซัดกองทัพเรือยังจะซื้อเรือดำน้ำทั้งที่ประเทศต้องกู้เงิน จี้ทำโพลถาม ปชช.ควรซื้อไหม

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พร้อมด้วยนายจิรพงษ์ ทรงวัชรภารณ์ ส.ส.นนทบุรี พรรค พท.ร่วมแถลงข่าว โดยนายยุทธพงศ์ ในฐานะโฆษกรรมาธิการงบประมาณฯ กล่าวถึงความคืบหน้าของกรรมาธิการงบประมาณ 65 ว่า เราเริ่มประชุมเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา เริ่มจากภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยสภาพัฒน์ฯ ยืนยันว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเติบโตร้อยละ 4-5 ส่วนงบประมาณ 65 จำนวน 3.10 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการจัดเก็บ 2.60 ล้านบาท เงินกู้ 7 แสนล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังระบุว่าจะจัดเก็บตามเป้าได้ ส่วนงบประมาณปี 64 ที่กำลังใช้อยู่ประมาณ 3.30 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ 2.67 ล้านบาท ซึ่งปีนี้กระทรวงการคลังคาดว่าจัดเก็บต่ำกว่าเป้าประมาณ 2 แสนล้านบาท ทั้งนี้ จะพิจารณาตั้งอนุกรรมาธิการรวม 8 คณะโดยจะตั้งอนุกรรมาธิการชุดต่างๆ ในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ และในสัปดาห์นี้จะพิจารณากระทรวงการคลังต่อ กระทรวงพาณิชย์ และกระทวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้กองทัพเรือได้เปิดเพจเรือดำน้ำทางเฟซบุ๊ก "เรือดำน้ำไทย Thai Submarine" โดยยอมรับว่าตั้งงบซื้อเรือดำน้ำใหม่ 2 ลำ จำนวน 22,500 ล้านบาทอยู่ในงบประมาณปี 65 โดยอ้างว่ามีความจำเป็น เพราะเคยมีเรือดำน้ำประจำการมาก่อนตั้งแต่ปี 2481 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาถึงตอนนี้มีความจำเป็นเพราะเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ทางทะเล แต่ตอนนี้มีวิกฤตเศรษฐกิจ คนอดอยาก และการแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้เราไม่มีเงินจะซื้อ ต้องไปกู้เงินมา โดยปี 65 กู้ 7 แสนล้านบาท และสัปดาห์ที่ผ่านมาก็กู้อีก 5 แสนล้านบาท ถามว่าเรือดำน้ำสำคัญอย่างไรกว่าปากท้องและวัคซีนประชาชน หากกองทัพเรือมั่นใจว่าเรือดำน้ำเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน ขอท้าให้กองทัพเรือทำโพลสอบถามประชาชน ว่าในภาวะเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ที่จะซื้อเรือดำน้ำใหม่อีก 2 ลำ ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ จะได้ไม่ต้องมีปัญหาว่ากรรมาธิการฯ คัดค้านหรือมีอคติกับกองทัพเรือ แต่วันนี้ประเทศไม่มีงบประมาณ เป็นความเดือดร้อนของประชาชน อีสานบ้านตนตอนนี้วัวยังติดเชื้อ ไม่มีเงินช่วยเขาเลย ดังนั้นกู้เงินมาแล้วก็ต้องเอามาช่วยประชาชนก่อน

นายยุทธพงศ์ กล่าวถึงการอภิปราย พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาทที่การพิจารณาของรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า นายกฯ ตอบไม่ตรงคำถาม ใช้เทคนิคถามม้า ตอบช้าง ไม่ตอบสาระสำคัญ พรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายว่าเหมือนตีเช็คเปล่าให้นายกฯ 5 แสนล้าน โดยไม่มีรายละเอียดการใช้เงิน มีเนื้อหาเพียง 3 บรรทัดว่า เพื่อแก้ไขเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากไวรัสโควิด-19 ใช้ในการแพทย์และสาธารณสุข 3 หมื่นล้านบาท ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและเกษตรกร 3 แสนล้านบาท และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 1.7 แสนล้านบาท ขณะที่เงินกู้เก่า 1.0 ล้านล้านบาท ก็ยังเหลืออยู่ 2.9 แสนล้านบาท ดังนั้นที่ฝ่ายค้านเสนอให้ออก พ.ร.บ.งบประมาณกลางปีเพื่อให้ตรวจสอบการใช้งบได้ ก็ไม่ยอมทำ ตอนนายกฯ มาถึงสภาฯ ก็ไม่ตอบคำถาม แถมมาก็ยังมาพูดข่มขู่ว่าพวกพูดข้างนอกให้ระวัง ตนถือว่าสอบตกเพราะชี้เแจงไม่ได้เลย ส่วนที่บอกว่าไม่โง่หรอกที่จะกู้ถึง 60% ก็ไม่อธิบาย ไปพูดสำนวนโวหาร แล้วก็พูดเลยไปพูดถึง ส.ส.พปชร.ที่ไปพาใครมาแถลงข่าวแทน สรุปไม่ตอบคำถามเรื่องวัคซีนเลย ไม่ตอบว่าจะเอาเงินกู้ไปทำอะไร ที่สำคัญที่ฝ่ายค้านถามเรื่องวัคซีนแอสตร้าฯ ว่าซื้อเท่าไร กำหนดส่งมอบเมื่อไร ที่บอกจะฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา สุดท้ายก็ฉีดได้ 4.1 แสนคน ฉีดไม่ถึงวันละ 5 แสนคนตามที่ตั้งเป้าไว้

ด้านนายจิรพงษ์ กล่าวว่า คนที่มีฐานะสามารถไปฉีดวัคซีนในต่างประเทศได้ ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ท่านทำได้ แต่ชนชั้นกลางและชนชั้นล่างของประเทศกลับไม่มีสิทธิเลือกวัคซีนได้เลย คนที่ป่วยยังต้องไปนอนโรงพยาบาลสนาม สะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยได้อย่างชัดเจน รัฐบาลพยายามฉีดวัคซีนให้ประชาชน แต่จำนวนการฉีดวัคซีนให้ประชาชนกลับลดลงเรื่อยๆ จนหมอชนบทออกมาแนะนำให้กระทรวงสาธารณสุข ออกมาพูดความจริงว่าวัคซีนไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่ก็เครียดเพราะกังวลเรื่องการถูกเพ่งโทษ ขณัที่บุคลากรทางการแพทย์ไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยง ไม่สามารถเบิกเบี้ยเลี้ยงได้ ให้ใช้งบฯจากโรงพยาบาลไปก่อน ตนจึงขอเรียกร้องให้นำเงินจากการกู้เงินนำมาจัดสรรให้บุคลากรเหล่านี้ด้วย

อนุทิน โพสต์ ชี้ ปมวัคซีน มีบางคนพยายามทำให้ปัญหามันใหญ่ขึ้น

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟสบุ๊ก ในเพจ Like Anutin ระบุข้อความว่า อย่าให้คนทำงาน กลายเป็น "แพะ" เรื่องการบริหารจัดการวัคซีนนั้น ต่างฝ่าย ต่างมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบตามตัวบทกฎหมายที่กำหนด กระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่ในการจัดหา และกระจายไปตามแผนที่ ศบค.กำหนด เมื่อวัคซีนถึงพื้นที่ ก็เป็นบทบาทของหน่วยงานในพื้นที่นั้นๆ ต้องบริหารจัดการวัคซีนตามที่แสดงเจตจำนงค์ไป ทุกอย่างชัดเจน 

ทว่ายามมีปัญหา ทั้งใน กทม.และจังหวัดอื่นๆ กลับกลายเป็น สธ.ต้องถูกวิจารณ์อย่างสาหัส ทั้งที่ได้ทำหน้าที่อย่างครบถ้วนสุดความสามารถแล้ว อย่าแปลกใจ หากเราจะเห็น คน สธ.ออกมาชี้แจงรัวๆ เรื่องการเลื่อนฉีดวัคซีนในพื้นที่ต่างๆ โดยเน้นย้ำว่า ทางหน่วยงาน ไม่ได้มีอำนาจรับผิดชอบตรงนั้น หากเข้าไปแทรกแซงจะกลายเป็นก้าวก่าย เพราะมาจุดนี้ ดูเหมือนคนทำงาน ที่มีสภาพไม่ต่างจากแพะ ก็ทนแบกรับปัญหาของคนอื่นต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน 

เรามักจะพูดเสมอว่าเรื่องโควิด เราต้องช่วยกัน แต่ในความเป็นจริง บางคนก็พยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา แต่บางคนกลับพยายามจะทำให้ปัญหามันใหญ่ขึ้นไปอีก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top