Saturday, 7 June 2025
Politics

คปท. จี้ ‘ภูมิธรรม’ ใช้กลไกสมช. แก้ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ลั่น!! อย่าเกรงใจความสัมพันธ์ส่วนตัว ‘ทักษิณ - ฮุนเซน’

กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย จี้ ‘ภูมิธรรม’ ใช้กลไก สมช. แก้ปมชายแดนไทย-กัมพูชา แนะให้อำนาจทหารตัดสินใจในพื้นที่ หวั่นฝ่ายการเมืองเกรงใจ ‘ทักษิณ-ฮุนเซ็น’ กดดันกองทัพ ชี้พร้อมจับตา JBC 14 มิ.ย. ห่วงชายแดนระอุซ้ำอีกครั้ง

(5 มิ.ย.68) - กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. ได้เดินทางไปที่กระทรวงกลาโหม เพื่อแสดงจุดยืนและยื่นข้อเรียกร้องต่อนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เร่งแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังตึงเครียดให้เกิดความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว

คปท. เสนอให้รัฐบาลใช้กลไกของ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลด้านความมั่นคงโดยตรง ให้เข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้มากกว่านี้

นายพิชิต ตั้งข้อสังเกตว่า นายภูมิธรรม อาจจะเกรงใจความสัมพันธ์ส่วนตัว ระหว่างสองครอบครัว และระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซ็นอยู่หรือไม่ โดยย้ำว่าสถานการณ์ชายแดนวันนี้ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่เป็นความขัดแย้งที่อาจจะบานปลาย จึงมองว่าไทยต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนมากกว่านี้

แกนนำ คปท. ยืนยันว่า กลุ่มไม่ได้ออกมากดดันกองทัพ แต่ต้องการสื่อสารไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพลเรือน ซึ่งขณะนี้มีท่าทีตกเป็นรองทางการเมืองฝ่ายกัมพูชา รวมถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยแสดงท่าทีตอบโต้อย่างชัดเจนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาปลุกระดมและอ้างสิทธิ์ในพื้นที่เขตแดนที่ยังตกลงกันไม่ได้ คปท. มองว่าแม้ทิศทางทางการเมืองตอนนี้จะตกเป็นรองกัมพูชา แต่ทิศทางด้านความมั่นคงต้องไม่ตกเป็นรอง

คปท. ย้ำว่าจะจับตาการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชาที่กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี และเห็นว่าไทยต้องมีจุดยืนชัดเจนก่อนที่จะไปเจรจากับกัมพูชา

นอกจากนี้ คปท. ยังเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้อำนาจกองทัพตัดสินใจในพื้นที่ชายแดนมากกว่านี้ ซึ่งที่ผ่านมากองทัพได้เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาชายแดนจากเบาไปหาหนัก เช่น ข้อเสนอการปิดชายแดน แต่ไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร

นายพิชิต เชื่อว่ากองทัพมีท่าทีที่ดีแล้ว แม้จะดูนิ่ง แต่ก็พร้อมรบ และไทยเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางกองทัพมากกว่ากัมพูชา แต่ที่ผ่านมาฝ่ายการเมืองเป็นผู้ชักนำ และกองทัพก็ให้เกียรติฝ่ายการเมือง ดังนั้นวันนี้ถึงเวลาที่ฝ่ายการเมืองต้องให้เกียรติกองทัพตัดสินใจ โดยเชื่อว่าแผนที่กองทัพเสนอรัฐบาลมีหลายข้อแต่ถูกปฏิเสธไป และมองว่าหลังการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ อาจจะเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นได้ จึงต้องเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใช้กลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้มากที่สุด

หลังจากนั้น คปท.ได้เคลื่อนไปแสดงจุดยืนที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก ราชดำเนิน เพื่อให้กำลังใจพลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในการดูแลสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

ทบ. ออกแถลงการณ์โต้ ซัดทหารกัมพูชาเปิดก่อน ยัน เหตุปะทะช่องบกเป็นการป้องกันตัวของทหารไทย

ทบ.โต้ กัมพูชา เหตุปะทะช่องบก ทหารกัมพูชายิงก่อน เพราะหน่วยระดับบริหาร-ปฏิบัติ ไร้ความชัดเจน ทั้งนี้ทางกัมพูชา ยังคงเตรียมความพร้อมทางทหารเข้มข้น

เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.68) เวลา 19.30 ที่กองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้กล่าวถึงกรณีที่ทางรัฐบาลกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์วันนี้ พบมีบางประเด็นที่พาดพิงถึงทหารฝ่ายไทย โดยอ้างถึงเหตุการณ์ปะทะที่ช่องบกว่า ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อนนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมา กองทัพบกโดย ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เน้นย้ำหน่วยและกำลังพลให้เคร่งครัดในเรื่องของ กฎการปะทะ ยืนยันว่าการปะทะในครั้งนั้นเป็นไปในลักษณะของการป้องกันตัวระดับบุคคล

เนื่องจากขณะนั้น หน่วยได้รับข่าวสารว่ามีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธได้รุกล้ำเข้ามาวางกำลังในพื้นที่ของประเทศไทย ฝ่ายไทยจัดกำลังขนาดเล็ก เข้าไปเพื่อลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธตอบโต้ จึงเกิดการปะทะกัน ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการชี้แจงไปก่อนหน้านี้แล้ว

“ขอยืนยันว่า กรณีเกิดเหตุข้อพิพาทในพื้นที่ ฝ่ายไทยได้พยายามดำเนินการผ่านกลไกการเจรจาระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่ ตามที่ทั้งสองประเทศเคยตกลงกันไว้ แต่กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่ไม่มีท่าทีให้ความร่วมมืออย่างจริงจังในระยะหลัง” พล.ต.วินธัย กล่าว

โฆษกกองทัพบก กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน กองทัพบกมีความพร้อมต่อปฏิบัติการทางทหารในระดับสูง เพื่อรองรับกรณีที่จำเป็นต้องใช้มาตรการทางทหารตอบโต้ปัญหาการรุกล้ำอธิปไตย

ที่ผ่านมา กองทัพบก และกองกำลังป้องกันชายแดน ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ได้ติดตามและรวบรวมข่าวสารของทางฝั่งกัมพูชา ตั้งแต่หน่วยระดับปฏิบัติ จนถึงหน่วยงานในระดับบริหาร พบว่ามีลักษณะท่าทีในการร่วมกันแก้ปัญหาที่ขาดความชัดเจน อีกทั้งปรากฏสิ่งบอกเหตุว่าฝ่ายกัมพูชา ยังคงดำเนินการเตรียมความพร้อมทางทหารอย่างเข้มข้น ควบคู่กับมาตรการด้านการต่างประเทศมาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นความน่ากังวลในแง่มุมทางทหาร

ทำให้ตลอดห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้บัญชาการทหารบก จึงมีคำสั่งให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมให้อยู่ในระดับที่สูงเพียงพอ ในการตอบสนองต่อภารกิจในขั้นของการใช้กำลังทางทหาร ตามแผนป้องกันประเทศ เพื่อตอบโต้กรณีการรุกล้ำอธิปไตยในขอบเขตพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อใช้ความพยายามแก้ไขปัญหาตามแนวทางแห่งสันติที่ทุกฝ่ายปรารถนาแล้ว แต่ไม่บรรลุผล

“กองทัพบกขอยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังในพื้นที่ชายแดน ดำเนินการด้วยความรอบคอบ สุขุม และตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในสถานการณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียกับทุกฝ่าย ขณะเดียวกันก็พร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเต็มขีดความสามารถ หากสถานการณ์จำเป็น” พล.ต.วินธัย กล่าว

'รังสิมันต์' เสนอไทยใช้สันติ-เศรษฐกิจ แทนอาวุธ แก้ปมชายแดนกัมพูชาอย่างยั่งยืน

(6 มิ.ย. 68) จากประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังร้อนระอุในขณะนี้ รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ 'กรรมกรข่าว คุยนอกจอ' ของนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ถึงแนวทางที่รัฐบาลไทยควรใช้เพื่อตอบโต้กดดันทางการกัมพูชา ให้ยอมหันหน้าเข้าโต๊ะเจรจาอย่างสันติ โดยที่ไม่ให้ไทยต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

โดยนายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า ประเทศไทยไม่ควรเลือกใช้เส้นทางสงครามทางทหาร ในการแก้ไขปัญหาชายแดน เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างทราบดีว่าการบุกรุกยึดครองกันนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง และหากเกิดการปะทะด้วยอาวุธ ก็จะนำมาซึ่งความสูญเสียและสร้างบาดแผลที่ยากจะเยียวยาในอนาคต ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่บริเวณชายแดน

ในฐานะที่ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่ากัมพูชาอย่างมาก และมีประวัติศาสตร์ที่มีชั้นเชิงในการเจรจา จึงไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นการรบ แต่ควรเอาชนะความขัดแย้งนี้ด้วยวิธีการทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการบีบคั้นทางเศรษฐกิจ มุ่งเป้าไปที่ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย และมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มฐานอำนาจของกัมพูชา โดยเฉพาะ 'ออกญา' ซึ่งเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ต่างๆ โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์มักจะไปตั้งฐานในพื้นที่เหล่านี้ และเชื่อว่าออกญามีรายได้จากกิจกรรมผิดกฎหมายนี้

นายรังสิมันต์ ชี้ว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมากใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทย และ ไฟฟ้าในพื้นที่ปอยเปตก็มาจากฝั่งไทย หากประเทศไทยสามารถตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าในพื้นที่ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ได้ จะเป็นการ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว” เพราะเป็นการหยุดรายได้มหาศาลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา และเป็นการแก้ปัญหาภายในประเทศของเราเองด้วย

นอกจากนี้นายรังสิมันต์ยังได้ระบุด้วยว่าไม่ทราบว่ามี 'ออกญา' คนใดที่เกี่ยวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์บ้าง แต่ทราบว่าบางคนมีสัญชาติไทย ดังนั้นทางการไทยสามารถใช้กลไกกฎหมายในประเทศเข้าจัดการได้เลย

ทั้งนี้นายรังสิมันต์มองว่าจะยังไม่ควรไปถึงข้อเสนอเรื่องปิดด่าน เพราะพื้นที่ซื้อขายในด่านชายแดนเป็นฝั่งไทยที่ได้ดุลการค้า แต่ก็ควรมีมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยข้ามไปเล่นคาสิโนในกัมพูชา เนื่องจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ไปเล่นคาสิโนมาจากฝั่งไทย ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของกัมพูชา

นายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า กัมพูชากำลังพยายามสร้างแต้มต่อให้มากที่สุด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การทูต และการทหาร เพื่อให้ตนเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบในการเจรจา ดังนั้น ประเทศไทยก็ต้องแก้โจทย์นี้ โดยต้องสร้างความชอบธรรมในเวทีนานาประเทศ ทำให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายรังแกกัมพูชาก่อน เพื่อให้ทุกประเทศเห็นว่าการเจรจาทวิภาคีเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ทั้งนี้นายรังสิมันต์ ตั้งข้อสังเกตว่า หลายประเทศรอบบ้านไม่ได้ 'เห็นหัว' ประเทศไทยเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 2557 ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องทบทวนตัวเองในระยะยาว 

‘บิ๊กป้อม’ ลั่น อย่าอ่อนข้อบนเวทีอธิปไตย เกมการเมืองต้องเดินอย่างรู้ทัน พร้อมย้ำ แผ่นดินไทยต้องเป็นของคนไทยเท่านั้น

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การรุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชา พร้อมสะท้อนประสบการณ์ตลอดหลายทศวรรษที่เคยปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดน โดยย้ำว่าความมั่นคงของประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในเชิงยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง

พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและเด็ดขาด ไม่ยอมให้การรุกล้ำอธิปไตยถูกมองข้าม และให้ความสำคัญกับมาตรการตอบโต้ที่สมเหตุสมผล ทั้งด้านการทูต เศรษฐกิจ กฎหมาย และศักยภาพทางทหาร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย

พล.อ.ประวิตรกล่าวอย่างชัดเจนว่า ไทยยึดหลักสันติวิธี ไม่ต้องการเผชิญหน้า แต่หากอีกฝ่ายไม่มีความจริงใจ ไม่ยอมใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ กลับปลุกปั่น ป้ายสี และยกระดับปัญหาไปสู่เวทีโลก ไทยก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือในทุกมิติ เพราะการประนีประนอมแบบไม่ลึกซึ้งจะยิ่งทำให้คู่เจรจาไม่เกรงใจและไม่เกรงกลัว

ทั้งนี้ กติกาสากลมีไว้ใช้กับ 'สุภาพบุรุษ' และเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเจรจาด้วยความจริงใจ ก็ต้องเตรียมมาตรการเชิงรุกที่สร้างแต้มต่อให้ฝ่ายไทยได้เปรียบ ไม่หลงกล ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พร้อมเรียกร้องให้มีการสื่อสารกับประชาชนและมิตรประเทศอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดในเวทีระหว่างประเทศ

พล.อ.ประวิตรฯ ขอส่งสารไปถึงกำลังพลในพื้นที่ชายแดน โดยขอชื่นชมกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 2 และกำลังพลทุกนายที่เสียสละเฝ้าระวังภัยคุกคามต่อผืนแผ่นดิน ด้วยความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว พร้อมให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่

ท้ายที่สุด พล.อ.ประวิตรเน้นย้ำว่า ประเทศไทยยึดมั่นในสันติภาพ แต่หากมีการรุกล้ำอธิปไตยแม้แต่น้อย ต้องพร้อมปกป้องด้วยชีวิต เพราะแผ่นดินไทยต้องเป็นของคนไทยเท่านั้นพร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่นโยบายระดับสูงจนถึงทหารด่านหน้า เพื่อปกป้องแผ่นดินด้วยหัวใจแห่งความรักชาติ

‘ดร.เก่งกิจ’ โพสต์ข้อความ ชี้ความคลั่งชาติ เป็นช่องเพิ่มพลังให้กองทัพที่เป็นปรปักษ์กับประชาชน -ประชาธิปไตย

‘ดร.เก่งกิจ’ โพสต์ข้อความ ชี้ความคลั่งชาติ เป็นช่องเพิ่มพลังให้กองทัพที่เป็นปรปักษ์กับประชาชน -ประชาธิปไตย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top