Monday, 23 June 2025
Politics

จับตา!! ‘คปท.’ ปักหลักชุมนุม 12-14 ม.ค.นี้ ไล่ล่าความยุติธรรม-หยุดระบอบทักษิณภาค 2

ในที่สุด ก็ต้องลงท้องถนนจนได้ ส่วนเมื่อลงแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป ชวนให้ติดตามเป็นอย่างยิ่ง...

ครับ ‘เล็ก เลียบด่วน’ กำลังหมายถึงการลงถนนชุมนุม กรณีนักโทษเทวดา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ของเครือข่ายประชาชนเพื่อการปฏิรูป (คปท.) ซึ่งนึกถึง คปท. นาทีนี้ใบหน้าของสามหนุ่มก็ผุดลอยขึ้นมา ได้แก่ ทนายนกเขา นิติธร ล้ำเหลือ ดาราหน้าจอคู่กับจตุพร พรหมพันธ์ แห่งคณะหลอมรวม, ตั้ม พิชิต ไชยมงคล อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) 2546 และเคยเป็น ‘เพื่อนเอก (ธนาธร)’ และ น้านัส นัสเซอร์ ยี่หมะ คนสงขลา อดีตหัวหน้าการ์ดคปท. ที่ผ่านคุกผ่านตะรางคดีพันธมิตรฯ มาแล้ว

วันก่อนเห็นภาพพิชิต-นัสเซอร์ ไปวัดพื้นที่ตั้งเวทีชุมนุมเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ แถว ๆ ทำเนียบรัฐบาลแล้วได้แต่บอกตัวเองว่า…ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย…จะเข้ากฎอทิปปัจจยตาหรือเปล่าก็มิอาจวิสัชชนาได้..

ก่อนตั้งเวทีชุมนุม 12-14 ม.ค.นี้ ดูเหมือนว่าคปท.ได้เดินสายทำเอ็มโอยู หาพันธมิตรการชุมนุมหลายกลุ่ม วันก่อนโน้นไปพบ ‘นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม’ แห่งพรรคไทยภักดี วันอังคารที่ 9 ม.ค. กินเข้าแถลงข่าวกับ ‘นิพิษฏ์ อินทรสมบัติ’ อดีตสส.หลายสมัย และวันพุธที่ 10 ม.ค. นัดแถลงข่าวตอนบ่ายโมง เชิญใครต่อใครที่ไปร่วมแถลงรวมทั้ง ‘เดอะแจ๊ค’ วัชระ เพชรทอง อดีต สส. 2 สมัยที่วันนี้เล่นบทนักร้อง (เรียน) ที่สู้ไม่ถอย..

อ่านกันไม่ยาก เหตุที่ คปท. เลือกเอาวันที่ 12 ม.ค. เป็นวันแรกของการชุมนุมแบบ ‘ปักหลักพักค้าง’ ก็เพราะวันที่ 12 ม.ค. เป็นวันเดียวกับที่คณะกรรมาธิการการตำรวจ ของสภาฯ ที่มีชัยชนะ เดชเดโช เป็นประธานกมธ. ประกาศว่าจะนำทีมไปตรวจรพ.ตำรวจชั้น 14 เพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนช.ทักษิณว่าเป็นนักโทษเทวดา ตามที่เขากล่าวหากันจริงหรือไม่…

งานนี้ สส.แทนชัยชนะ มีเดิมพันติดปลายนวมสูง...ถูกจับตามองว่าทำจริงหรือทำเล่น ถ้าทำเล่นคนเมืองคอน (นครศรีฯ) คงไม่ให้อภัยและเสื่อมเสียถึงพรรคปชป.ที่พระแม่ธรณีกำลังร่ำไห้อยู่ในเพลานี้...แน่นอน

ประสาเหยี่ยวชราอย่าง ‘เล็ก เลียบด่วน’ ก็ต้องวิเคราะห์ว่า การชุมนุมของ คปท. หนนี้ค่อนข้างถูกที่ถูกเวลาอยู่พอสมควร แต่ถ้าจะให้บอกว่าเงื่อนไขสุกงอมหรือยังต้องบอกว่า ‘ยัง’ แกนนำ คปท. ก็คงรู้ แต่ก็นั่นแหละการจะนั่งรอให้เงื่อนไขสุกงอม ก็อาจต้องรอจนถึงวันทักษิณพักโทษไปนอนตีพุงอยู่ที่บ้านแล้วก็เป็นได้…

สรุปว่า..อย่างน้อย ๆ การชุมนุมโดยสันติ เป็นไปตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2560 หนนี้น่าจะทำให้ความจริงอันชั่วร้ายหลายอย่างถูกเปิดเผย ซึ่งเป็นไปได้ว่าข้อเท็จจริงเหล่านั้นจะยิ่งทำให้ทั้งคนที่เคยขับไล่ระบอบทักษิณและคนที่เคยเป็นองครักษ์พิทักษ์ทักษิณเจ็บปวดรวดร้าว…

‘เล็ก เลียบด่วน’ เลาะเลียบไปตามสภากาแฟวันนี้…ได้ยินเสียงซุบซิบสนทนาของบางโต๊ะว่า...ที่สุดของที่สุดใช่หรือไม่ว่า...บ้านนี้เมืองนี้ระบอบทักษิณกำลังกลับจะกินรวบอีกครั้ง…ทั้งเหลืองทั้งแดงที่หวังบ้านเมืองสมานฉันท์ล้างไพ่มาปรองดองกันใหม่ถึงขั้นนิรโทษกรรมดูท่าจะถูกต้มอีกรอบ…

เหตุผลหลักเพราะวันนี้ ‘แม้วถึงฝั่งแล้ว’
ข้ามขั้ว-ปรองดองทั้งที ทั้งทักษิณกินคนเดียว…

ซึ่งประเด็นนี้อาจจะเพิ่มจุดเดือดให้กับการชุมนุม!!??

‘หนุ่ม’ โพสต์ชื่นชม!! ‘พรรคก้าวไกล’ ทำงานอย่างมีคุณภาพ อ่านงบฯ 67 กว่า 2 หมื่นหน้าใน 7 วัน สอดไส้อะไรไว้ รู้หมด!!

เมื่อไม่นานมานี้ จากติ๊กต็อกช่อง ‘buskung’ ได้โพสต์คลิปแสดงความคิดเห็นและชื่นชมในการทำงานของพรรคก้าวไกลในสภา โดยระบุว่า…

การอภิปรายถือว่าทําได้ดีเกินคาดมาก ๆ และยังมาเจอกล่าวจบ ถือว่าปิดได้แบบทําคนอึ้งกันทั้งสภา โดยเฉพาะ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือ สส.เท้ง จากพรรคก้าวไกล เพราะพูดได้ดีมากขณะที่ผมนั่งฟังยังรู้สึกว่ามันเปี่ยมด้วยคุณภาพจริง ๆ ซึ่งเขาบอกว่า…“เวทีพิจารณางบ 3 วันที่ผ่านมามันไม่ใช่เวทีที่พวกผมจะมาทําลายล้างพวกท่าน…แต่มันคือเวทีที่พวกผมจะมาซ้อมมือเพื่อเอาชนะพวกท่าน โจทย์การเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคก้าวไกลไม่ใช่คําถามว่าเราจะชนะการเลือกตั้งไหม?...แต่มันคือคําถามว่าเราพร้อมจะบริหารประเทศหรือเปล่า…พวกเราจะเอาชนะท่านด้วยการทํางานที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ” ซึ่งทุกวันคุณภาพจนไม่รู้จะคุณภาพยังไงแล้ว…

พวกคุณลองคิดดูนะว่าเขาเป็นฝ่ายค้านมา 4 ปี และถ้าอยู่ครบไปอีก 4 ปี แปลว่าเขาจะมีประสบการณ์ด้านการทํางานเป็นฝ่ายค้านรวมเป็น 8 ปี หากคิดดูว่าสำหรับคนที่เคยเป็นฝ่ายค้านมา 8 ปีเต็ม สมมติวันหนึ่งได้เป็นรัฐบาลขึ้นมามันจะมีคุณภาพมากขนาดไหน? เพราะขนาดแค่งบประมาณที่ฝั่งรัฐบาลฟาดมาให้อ่าน 20,000 กว่าหน้า และมีเวลาแค่ 7 วัน เขายังทําออกมาได้ดีขนาดนี้ ดูงบว่ามีอะไรสอดแทรกมาบ้าง แล้วอภิปรายที่มันหมกเม็ดอยู่ได้เกือบทั้งหมด มันก็ไม่รู้ว่าจะคุณภาพยังไงแล้ว

โดย สส.ก้าวไกล ยังกล่าวต่อไปอีกว่า…”พวกเราจะเอาชนะท่านด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ทํางานอย่างเข้าใจปัญหาและรู้วิธีการแก้ปัญหาไม่แพ้กับท่าน” 

ซึ่งบอกได้เลยว่าก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยจะชอบชูโรงว่าเคยทํามาก่อนสามารถทําได้ และรอบนี้ถ้าเลือกตนเป็นรัฐบาล เขาก็จะทําได้อย่างแน่นอน ซึ่งคนก็เลยเชื่อ เพราะมีดีกรีของทักษิณ มีดีกรีของยิ่งลักษณ์ เป็นแบบภาพชูโรงทําให้คนจดจํา แต่บอกเลยว่าหลังจากนี้ยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ ยุคนั้นจะยิ่งถูกคนลืมลงไปมากเท่านั้น ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการทํางาน คุณแพ้แน่ ๆ…

สุดท้าย สส.ก้าวไกล บอกต่อว่า “พวกเรามาแข่งกันเอาชนะใจประชาชนกันดีกว่า วันนี้อํานาจอยู่ในมือพวกท่านรักษามันไว้ให้ดีอีก 4 ปีข้างหน้าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองผ่านการเลือกตั้ง”

'สรรเพชญ' ชี้!! รัฐบาลควรยึดโยง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังรัฐ แนะ!! นโยบาย Digital Wallet ถ้าทำต้องถูกต้องตามกฎหมาย

(10 ม.ค.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา ได้ให้ความเห็น กรณีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาส่ง ความเห็นกรณี การออก พ.ร.บ. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อจัดทำนโยบาย Digital Wallet กลับมายังกระทรวงการคลัง ว่าตามที่ตนได้รับทราบข่าวกฤษฎีกาไม่ได้ฟันธงว่ารัฐบาลสามารถจัดทำนโยบาย Digital Wallet ได้หรือไม่ แต่กฤษฎีกาทำหน้าที่ส่งความเห็นในเชิงกฎหมายเพียงเท่านั้น โดยตนเห็นว่ากฤษฎีกากำลังบอกรัฐบาลว่าหากจะจัดทำนโยบาย Digital Wallet ต้องพิจารณาภายใต้กฎหมายใดเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ตนเห็นว่านโยบายรัฐบาล คือฉันทามติของสังคมที่ไม่สามารถหักล้างได้ ขณะเดียวกัน หากสุดท้ายมันผิดกฎหมายจริงๆ รัฐบาลจำเป็นรับผิดชอบทั้งทางกฎหมายและการเมืองเป็นอย่างน้อย เพราะมันคือนโยบายหาเสียงที่จำเป็นตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ก่อนจะประกาศหาเสียงเลือกตั้ง

กรณีตัวนโยบาย Digital Wallet 10,000 บาท เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศโดยนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก แต่ภายใต้ความฮือฮาก็มีข้อกังขาถึงความเป็นไปได้ของนโยบาย มาจนถึงวันนี้ ความชัดเจนของนโยบายก็ยังไม่คืบหน้า เพราะรัฐบาลไม่มีเงินที่จะมาทำนโยบาย อีกทั้งรัฐบาลเองก็มีความสับสนในช่วงแรกว่าจะกู้หรือไม่กู้ จะใช้เงินผ่าน Platform หรือ Application ซึ่งรัฐบาลเองก็ยังไม่มีความ โดยนโยบาย Digital wallet ที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นไว้กับ กกต. ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เรื่องของการกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ต้องให้จ่ายเงิน พบว่าเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล วงเงิน 560,000 ล้านบาท ซึ่งที่น่าสังเกตคือที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการโดยจะมาจาก 4 แหล่ง คือ...

1) รายได้ที่รัฐจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นในปี 2567 จำนวน 260,000 ล้านบาท
2) ภาษีที่ได้มาจากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย 100,000 ล้านบาท
3) การบริหารจัดการงบประมาณ 110,000 ล้านบาท
4) การบริหารงบประมาณที่ซ้ำซ้อน 90,000 ล้านบาท

ซึ่งไม่มีเรื่องของการกู้ จึงหมายความว่า นโยบายนี้จะสามารถดำเนินการได้โดยใช้เงินที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องสร้างภาระให้กับประเทศเพิ่ม

นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าการทำนโยบาย Digital Wallet หากรัฐบาลจะดึงดันให้สามารถดำเนินการภายในปี 2567 เท่ากับรัฐบาลนายเศรษฐาจะต้องกู้เงินถึง 1.1 ล้านล้านบาท เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งในรายละเอียดไม่ปรากฎนโยบาย Digital Wallet และร่าง พ.ร.บ. งบ 67 มีการกู้เงินเพื่อชดใช้เงินคงคลังกว่า 600,000 แสนล้านบาท และหากจะดำเนินการ นโยบาย Digital Wallet รัฐบาลจะต้องกู้อีก 560,000 ล้านบาท รวมแล้วรัฐบาลนายเศรษฐา จะสร้างหนี้กว่า 1.1 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ การกู้เงินของรัฐบาลจะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรา 53 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 9 ที่ระบุไว้ว่า “คณะรัฐมนตรีต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว”

อีกทั้งหากพิจารณาเรื่องของหนี้สาธารณะคงค้าง ณ เดือน พฤศจิกายน 2566 รัฐบาลมีหนี้สาธารณะคงค้างอยู่ที่ 11 ล้านล้านบาท ซึ่งหากต้องกู้เพื่อทำนโยบาย Digital Wallet ตนไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว การกระตุ้นและพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวมันมีอยู่หลากหลายแนวทาง หลายแนวทางมันนำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ การฝึกทักษะใหม่ๆ ในการประกอบอาชีพ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ 

นายสรรเพชญ กล่าวในตอนท้ายว่า “ความท้าทายของรัฐบาล หรือพรรคเพื่อไทย คือมาตรฐานนโยบายการเมืองกับความถูกต้องทางกฎหมาย และจำเป็นต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของนโยบายที่ให้ไว้เป็นสัญญาประชาคมว่า Digital Wallet จะเป็นนโยบายที่ไม่ต้องกู้เงิน ซึ่งรัฐบาลจะต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง”

‘สส.กาย-ก้าวไกล’ โพสต์ขอโทษ ปมแจกน้ำดื่มไม่มี อย. ยัน!! งดแจกแล้ว และกำลังเร่งแก้ไขสั่งผลิตชุดใหม่อยู่

(10 ม.ค.67) เพจ วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร ได้โพสต์ข้อความประเด็นที่ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ หรือ สส.กาย จากพรรคก้าวไกล แจกน้ำดื่มไม่มี อย. โดยระบุว่า…

“#ทุกคนคะ พี่กายโพสต์ขอโทษ กรณีแจกน้ำดื่มไม่มี อย. กำลังดำเนินการแก้ไขอยู่ค่ะ” หลังได้มีการคอมเมนต์สอบถามผ่านทางเฟซบุ๊ก Nattacha Boonchaiinsawat - ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เกี่ยวกับประเด็นนี้ โดย สส.กาย ได้เข้ามาตอบกลับคอมเมนต์ดังกล่าวว่า…

“ประเด็นน้ำดื่ม เป็นน้ำที่ผมสั่งมาเพื่อใช้แจกช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา แต่ก่อนปีใหม่หลังจากมีประเด็นเรื่องข้อมูลผลิตภัณฑ์ ผมได้ตรวจสอบและพบว่า ข้อมูลสลากของผมไม่ครบถ้วน และงดแจกน้ำไปตั้งแต่ก่อนปีใหม่ให้พื้นที่ต่างๆ แล้วแต่ยังมีใช้เองส่วนตัวที่สำนักงาน

จากที่เห็นฉลาดขวดน้ำดังกล่าวจากในโซเชียลมีเดีย เป็นไปได้ว่าผู้รับจะได้มาจาก 2 ส่วน

1. รับจากงานกิจกรรมที่แจกก่อนปีใหม่ งานบุญต่างๆ ประมาณ 10 กว่าแห่ง แห่งละ 10-20 แพ็ก
2. จากที่สำนักงาน ที่ใช้กันเองภายในอยู่

ส่วนแนวทางการแก้ไข - ผมได้สั่งผลิตชุดใหม่แล้ว และชุดใหม่ยังไม่ส่งมายังสำนักงาน
ช่วงปีใหม่และวันเด็กนี้เลย ได้ #งดแจกน้ำดังกล่าวแล้ว หลังจากได้รับชุดใหม่มาจะดำเนินการช่วยสนับสนุนน้ำดื่มไปยังงานกิจกรรมพื้นที่ต่างๆ ดังเดิมครับ

ขอโทษในความผิดพลาดครั้งนี้ด้วยครับ และหลังทราบได้เร่งดำเนินการแก้ไขอยู่นะครับ”

'ดร.อานนท์' ซัด!! 'สส.ก้าวไกล' วิจารณ์ผังเมือง กทม.แบบรู้ไม่จริง คิดจะอวดภูมิทำผังเมืองใหม่ แต่เป้ามุ่งแซะลามสถาบันเบื้องสูง

(11 ม.ค.67) จากกรณีที่ สส.แบงค์-ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ เขตจตุจักร บางเขน หลักสี่ กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล กล่าวถึงคณะกรรมการผังเมือง และคนร่างผังเมืองว่า มีประชาชนหลายล้านคนในกรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบจากผังเมืองของท่าน ไม่ว่าจะแง่บวกหรือลบ และพวกเขาควรมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ผังเมืองที่ท่านร่างชัดเจน

สำหรับผมในฐานะประชาชนกรุงเทพฯ คนหนึ่ง เป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของผังเมืองที่ผมต้องการเห็น คือต้องไม่เอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และต้องไม่กดทับสิทธิประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง โดยไม่มีมาตรการรองรับ แต่ผังเมืองที่บังคับใช้อยู่ สำหรับผมมันเอื้อประโยชน์อย่างชัดเจน

ด้วยความรู้ของผู้ร่างผังเมือง ท่านต้องทราบดีครับว่าอนาคตของเมืองจะโตไปในทิศทางไหน คุณภาพชีวิตของประชาชนในแต่ละพื้นที่อยู่บนปลายปากกาของท่าน ท่านจะทำให้คนบางคนได้รับประโยชน์มากขึ้น หรือเสียประโยชน์ ก็อยู่ที่ผังที่ท่านร่าง นี่คืออำนาจที่มหาศาล และมีมูลค่ามาก เพราะงั้นท่านมีหน้าที่ต้องระมัดระวัง และรักษาผลประโยชน์ให้คนทุกกลุ่ม แต่สิ่งที่ผมผิดหวังคือ ท่านไม่เคยสื่อสารให้ประชาชนทราบเลย ตรงไหนจะเจริญมากหรือเจริญน้อย

เมื่อผมพูดว่าผังเมืองเอื้อนายทุน หลายท่านออกมาโวยวาย รับไม่ได้กับคำพูดนี้ แต่ในทางกลับกัน การให้ผังแดงของท่านไม่ว่าจะทางทฤษฎีหรือปฏิบัติ ใครก็รู้ครับว่า เป็นเครื่องมือในการเพิ่มมูลค่าที่ดินของเจ้าของที่แปลงนั้น ๆ เอื้อประโยชน์ให้ผู้ได้รับผังสีแดงทันที แต่ท่านพูดเหมือนว่าการให้ผังแดงเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นการเอื้อกลุ่มทุน

ท่านไม่เรียกร้องมาตรการว่า คนได้ผังแดง หรือผัง FAR สูง ไม่เรียกร้องเรื่อง ‘การเก็บภาษีลาภลอย (windfall tax)’ จากการได้ FAR สูงกว่าคนอื่น หรือเรียกร้องให้มีมาตรการต้องทำอะไรเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งต่างประเทศเขาเก็บภาษีตัวนี้กันเป็นเรื่องปกติ แต่ในไทยไม่มีมาตรการเหล่านี้ ผู้ร่างผังเมืองทราบดีว่าครับว่า กลไกเหล่านี้ ใช้ลดการเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนได้ แต่ที่แปลกคือ คณะกรรมการผังเมือง และคนร่างผังเมืองที่มีผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงาน หลากหลายมิติ ไม่เรียกร้องเรื่องนี้เลย

อีกด้านหนึ่ง การยัดผังสีเขียว และเขียวลาย ซึ่งรอนสิทธิการพัฒนาพื้นที่ของคนตะวันตก และตะวันออกเป็นล้านคน ต้องเป็นพื้นที่รับน้ำ พื้นที่เกษตรห้ามพัฒนาท่านกลับไม่ออกมาเรียกร้อง ‘เงินชดเชย เงินเยียวยา หรือการยกเว้นภาษีที่ดินให้คนผังเขียว’ และท่านได้บอกประชาชนไหมครับว่า ผงที่ท่านวางมือคือต้องการให้ตะวันออกและตะวันตก เจริญช้ากว่าใจกลางเมือง เพราะผังที่ท่านวางจะกดการเจริญเติบโต ไม่เกิดการลงทุนในบริเวณดังกล่าว ทำให้คนเหล่านี้ต้องเข้าไปทำงานในเมืองแทน หลายคนหวังว่าความเจริญจะขยายมาถึงพวกเขา จะได้มีงานทำใกล้บ้าน จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่มันช้ามากเพราะผังเมืองแทบไม่สนับสนุนให้ความเจริญไปถึงพวกเขา

ซึ่งผมไม่เห็นว่าท่านจะสื่อสารผลกระทบนี้ให้กับพวกเขา และไม่เรียกร้องสิทธิให้พวกเขาเลย ท่านนิ่งเฉยเสียด้วยซ้ำ ไม่ Action ไม่โวยวายเหมือนที่ท่านโวยวายเรื่องผังเอื้อนายทุน นี่คือสิ่งที่ผมผิดหวังมาก ๆ

ผมย้ำท่านนะครับ ในฐานะผู้ที่อยู่เบื้องหลังผังเมือง ซึ่งเป็น ‘สารตั้งต้น’ ของปัญหาเพิ่มมูลค่าที่ดินของนายทุนที่ดินไข่แดง ท่านได้พยายามลดการเอื้อประโยชน์เหล่านี้หรือไม่ ท่านคงโยนว่าเป็นเรื่องของหน่วยงานอื่นในการไปออกมาตรการ แต่ผมต้องย้ำท่านอีกครั้งนะครับว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของท่านโดยตรงที่ต้องรักษาผลประโยชน์จากผังสีที่ท่านระบายด้วยมือท่านเอง และท่านควรต้องเรียกร้อง และป้องกันอย่างเต็มความสามารถ เพราะ ‘ไม่มีใครเข้าใจผังเมืองที่ท่านร่างและอนุมัติได้ดีเท่าตัวท่านเอง’

ปล. ผมคิดว่าเราไม่ควรไปว่า อ.ชัชชาติ เกี่ยวกับตัวร่างนะครับ เพราะว่าท่านไม่ได้เป็นคนร่าง และไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการผังเมือง แต่ในฐานะที่ท่านเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เก่า ผมหวังว่าท่านจะช่วยออกมาตรการ ลดการเอื้อนายทุน และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบครับ ส่วนถ้าจะวิจารณ์เรื่องการประชาสัมพันธ์ และกระบวนการรับฟังความเห็นของกทม. อันนี้เข้าใจได้ครับ ผมก็ไม่ happy ครับ

ต่อมาทางด้าน ‘เบญจมินทร์ ปันสน สส.พรรคก้าวไกล’ ว่าด้วยเรื่องประวัติศาสตร์ ‘ผังเมืองเอื้อกลุ่มทุน’

“ทำไมชนชั้นนำสยาม (สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ขุนนาง และคณบดี) มีที่ดินมากมาย ใจกลางเมือง กรณีศึกษา: ตึกแถวในย่าน เจริญกรุง”

ล่าสุดทางด้าน ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า อันนี้ผมว่าวิจารณ์แบบรู้ไม่จริง กรุงเทพฯ ในอดีตไม่ได้มีการวางผังเมืองแต่อย่างใด กรุงเทพฯ เติบโตแบบไร้การวางแผน ไร้ทิศทางมาก แล้วที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในปัจจุบันนั้นได้มามากในสมัยรัชกาลที่ห้า ก่อนที่จะมีการวางผังเมืองเสียอีก สมัยนั้นกรุงเทพฯ ยังเป็นเวนิสตะวันออกไม่ค่อยมีถนนเสียด้วยซ้ำ

ที่พระคลังข้างที่ได้ที่ดินมาเยอะก็เพราะรับจำนองที่ดิน ไม่ได้ไปกว้านซื้อเองเสียหน่อย แต่แน่นอนว่านายทุนพ่อค้าจะซื้อที่ก็ต้องเก็งกำไรหาทำเลดีไว้อยู่แล้ว แต่พอจะใช้เงินก็เอามาจำนองพระคลังข้างที่แล้วต่อมาใช้หนี้ไม่ไหวเลยหลุดจำนอง พระคลังข้างที่เลยได้ที่ดินแปลงงาม ๆ ในปัจจุบันมามาก

เรื่องนี้จะเอาไปโยงกับการผังเมือง แล้วจะลากไปลามปามสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ไม่สมเหตุสมผล แสดงว่าไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์เสียก่อนเลย อยากให้ สส.ก้าวไกล คนนี้ไปศึกษาประวัติศาสตร์เสียก่อนว่า

หนึ่ง ที่ดินของพระคลังข้างที่และของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้นำไปพระราชทานให้คนยากจนในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรที่ยากจนมากมายมาตั้งสมัยรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้สืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยการพระราชทานที่ดินให้หน่วยราชการ สถานศึกษา รวมมูลค่านับแสนล้านบาท

สอง ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จำนวนมากเก็บค่าเช่าถูกมาก และให้คนจนเช่าอยู่ในราคาที่ถูกแสนถูก และทำมานานแล้ว

สาม รศ.ดร. มรว. อคิน รพีพัฒน์ นักวิชาการด้านมานุษยวิทยาชาวไทย ได้ทำงานถวายที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ศึกษาและดำเนินการช่วยเหลือคนจนและช่วยเหลือคนจนให้มีที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 จน อาจารย์อคินก็กราบบังคมทูลลาถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว แต่งานของอาจารย์อคินก็ยังมีการดำเนินการต่อมา

เรื่องช่วยเหลือคนยากจน คนด้อยโอกาสให้มีอาชีพและมีที่ทำกินนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานด้านนี้มาอย่างหนักตลอดพระชนม์ชีพ ทรงปรารถนาให้เกษตรกรมีที่ทำกิน ไม่ขายที่นา และในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็ทรงสืบสานสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำมาโดยตลอด ตัดกลับมาที่พรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าบ้าง

หนึ่ง ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ ครอบครองที่ดินไว้มากมายในบริเวณสมุทรปราการและกรุงเทพฯ ได้เคยจัดสรรที่ดินเพื่อคนยากจนหรือเกษตรกรมาก่อนบ้างหรือไม่

สอง นายธนาธร นางสมพร นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ครอบครองที่ดินป่าสงวนที่ราชบุรี จนโดนกรมที่ดินเพิกถอนกว่าพันไร่ ทำไมก่อนหน้านั้นไม่นำมาจัดสรรให้เกษตรกรที่ยากจนได้มีที่ทำกิน แล้วตอนนี้คดีดังกล่าวไปถึงไหนแล้ว

สาม น้องชายนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พยายามจ่ายสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์กว่า 20 ล้านบาทเพื่อให้ได้เช่าที่ดินแปลงงาม 12 ไร่ของสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ บนถนนเพลินจิต อันนี้ทำเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือทำเพื่อคนยากไร้ยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัย คดีดำเนินการไปถึงไหนแล้ว

ตกลงไปแก้ปัญหาที่ดินที่ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจครอบครองมากมายและยังไม่ได้จัดสรรที่ดินให้คนยากจนได้อยู่อาศัยหรือทำกินเสียก่อน จะดีกว่าไหม

แง้มแผนลด ‘นายพล’ ยุค ‘บิ๊กทิน’ แรงจูงใจชวนเออรี่ก่อนเกษียณเพียบ

(11 ม.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ฝ่ายการเมือง เปิดเผยกรณีนโยบายการปรับลดจำนวนนายพลทุกเหล่าทัพ ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ของ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ว่า รัฐมนตรีได้กำชับให้แต่ละเหล่าทัพเร่งทำความเข้าใจกับกำลังพลในโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนนายพลในตำแหน่งดังกล่าวเกินความจำเป็น ลงกว่า 50% ภายใน 3 ปี หรือเหลือน้อยกว่า 300 คน ในปี 2570 ซึ่งที่ผ่านมามีชั้นนายพลประมาณ 2,000 นาย โดยเป็นกำลังหลักประมาณ 1,300 นาย ซึ่งกำลังหลักจำเป็นต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ความมั่นคงของโลกและในภูมิภาค รวมทั้งรูปแบบในยุทธวิธีต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีสงครามไซเบอร์หรือ Cyber warfare และเรื่องอวกาศเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนจำนวนนายพลกว่า 700 นาย ในตำแหน่งประจำ ได้เริ่มดำเนินการมาก่อนแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลสัมฤทธิ์เป็นไปตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ รมว.กลาโหม ได้กำหนดนโยบายเร่งรัดให้มีผลสัมฤทธิ์ในช่วงรัฐบาลท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในปี 2568 - 2570 โดยนายพลในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ จะต้องลดลงให้เหลือน้อยที่สุดตามความจำเป็นของกองทัพ อีกทั้งยังให้นโยบายสร้างแรงจูงใจในการลดจำนวนชั้นยศ พันเอก (พิเศษ) ที่จะขึ้นไปเป็นนายพลในอนาคต ให้ลดลงอีกกว่า 570 อัตรา เพื่อให้สอดรับกับตำแหน่งนายพลที่จะลดลงไปด้วย

"เป็นวิสัยทัศน์ของ รมว.กลาโหม ที่ให้นโยบายในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แก้ปัญหาการลดนายพล แต่ฐานพันเอก (พิเศษ) ยังมีมาก ก็จะไปสร้างปัญหาใหม่ในอนาคต ซึ่งนโยบายนี้ กองทัพยังสามารถปฏิบัติงาน และอาชีพทหาร ยังมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้กองทัพอีกด้วย มั่นใจโครงการเออร์รี่นายพลผู้รับใช้ชาติต้องอยู่ดีมีเกียรติ คาด ก.พ.นี้ นำเข้าสภากลาโหมก่อนชงเข้า ครม.ทันในงบปีนี้"

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า รมว.กลาโหม ได้กำชับให้จัดทำนโยบายสร้างแรงจูงใจให้นายทหารเกษียณก่อนกำหนด Early Retire เช่น การจ่ายเงินชดเชย หรือ ‘เงินก้อน’ ประมาณ 7 แสนบาท ขึ้นอยู่กับชั้นยศ และเวลารับราชการ ซึ่งจะมีสูตรคำนวณชัดเจน รวมทั้งสิทธิบำเหน็จ/บำนาญก็จะได้รับตามปกติ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ และกำลังใจต่อกำลังพลของกองทัพ เมื่อตัดสินใจในช่วงนี้ ถือว่าได้สิทธิประโยชน์มากที่สุดเมื่อเทียบกับโครงการที่ผ่าน ๆ มา และในการบริหารของรัฐบาลจะสามารถลดภาระงบประมาณประเทศในระยะยาวอีกด้วย

ส่วนความคืบหน้าถือว่าเป็นนโยบายสำคัญของรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันได้จัดทำรูปแบบข้อเสนอแรงจูงใจต่าง ๆ แล้ว อยู่ในขั้นตอนรับฟังความเห็นจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะนำเข้าที่ประชุมสภากลาโหม จากนั้นจะนำเข้า ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติแผนและกรอบงบประมาณ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ทันปีนี้ ดังนั้น ในช่วงการเกษียณอายุราชการของข้าราชการในเดือนตุลาคม 2567 นี้ สำหรับโครงการนี้จะใช้เงินงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ประมาณ 600 ล้านบาท ภายใน 3 ปี (2568 - 2670) หรือเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า แม้ที่ผ่านมากองทัพจะมีแผนปรับลดจำนวนนายพลระยะยาว ปี 2551 - 2571 แต่นโยบายครั้งนี้ จะผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย รวดเร็วขึ้นภายใน 3 ปี โดยเน้นกลุ่มพลตรี, พลโท, พลเอก ในตำแหน่ง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ, ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทุกเหล่าทัพ 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาพบว่าในช่วงรัฐบาล คสช. ปี 2557 - 2561 เคยทำโครงการเกษียณก่อนกำหนดทุกชั้นยศทุกตำแหน่ง โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการมากกว่า 26,000 ตำแหน่ง จึงเชื่อว่าโครงการลดนายพลครั้งนี้จะได้รับการตอบรับดีอย่างแน่นอน

'อธิบดีราชทัณฑ์' ไฟเขียว!! 'ทักษิณ' นอนโรงพยาบาลต่อ อ้าง!! ความเห็นแพทย์ อาการป่วยยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

(11 ม.ค. 67) นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีนายทักษิณ ชินวัตร ออกไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ เกิน 120 วัน ว่า นายทักษิณ มีโรคประจำตัวหลายโรคที่อยู่ระหว่างการรักษาติดตามอาการ โดยโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ

แพทย์จึงมีความเห็นว่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อชีวิตเห็นควรส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่าโดยแนวปฏิบัติกรณีมีผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวัง และยังคงรักษาตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้

แพทย์ได้รายงานอาการเจ็บป่วยในหลายประการที่ต้องเฝ้าระวัง โดยแจ้งความเห็นว่า ผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษาของแพทย์เฉพาะทางและต้องดูแลอย่างใกล้ชิดถึงอาการป่วย เพื่อให้พ้นจากสภาวะอันตรายแก่ชีวิต เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จึงได้รายงานมายังกรมราชทัณฑ์เพื่อดำเนินการพิจารณา ตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563
ที่ระบุไว้ว่า

กรณีผู้ต้องขังต้องพักรักษาตัวที่สถานที่รักษาเป็นเวลานาน ให้ผู้บัญชาเรือนจำดำเนินการ ดังนี้ กรณีการพักรักษาตัวเกินกว่า 120 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบต่อไป

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้พิจารณาจากความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาที่พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่ายังต้องดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด ประกอบกับเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความครบถ้วนตามกฎหมาย จึงพิจารณาเห็นชอบ เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2567 ให้นายทักษิณอยู่รักษาตัวต่อยังโรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากยังคงมีอาการเจ็บป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้ทำการรักษาเฉพาะทาง และหากเกิดภาวะแทรกซ้อน หรืออาการที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตจะได้ดำเนินการรักษาอย่างทันท่วงที

นายสหการณ์ กล่าวว่า ตั้งแต่กรมราชทัณฑ์ส่งนายทักษิณเข้ารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ตนเองยังไม่เคยพบและเข้าเยี่ยมนายทักษิณแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนจำนวนผู้ต้องขังที่เข้ารักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 วัน ไม่ได้มีเพียง 3 ราย แต่ยังมีอีกนับหมื่นรายที่ต้องพิจารณาว่าจะให้นอนพักรักษาตัวเกิน 60 วัน หรือ 120 วัน ส่วนโครงการพักการลงโทษกรณีเหตุพิเศษเนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรืออายุ 70 ปีขึ้นไป ถือเป็นคุณสมบัติของผู้ต้องขังอยู่แล้ว ซึ่งต้องรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 โดยราชทัณฑ์ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะผู้ต้องขังทั่วประเทศมีมากกว่า 1 แสนราย

สำหรับผู้ต้องขังที่จะได้รับประโยชน์จากเงื่อนไขดังกล่าว มีทั้งการลดวันต้องโทษ ได้รับการพักโทษ หรือกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการพระราชทานอภัยโทษ โดยรายชื่อผู้ต้องขังที่จะผ่านเกณฑ์นี้ ผู้บัญชาการเรือนจำแต่ละแห่งจะต้องรวบรวมรายชื่อและพิจารณาคุณสมบัติของผู้ต้องขังก่อน ก่อนนำเสนอมายังตนเอง ในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์

กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ จึงรายงานให้รัฐมนตรีทราบต่อไป ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 โดยกรมราชทัณฑ์ ยังคงยึดหลักการสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้ต้องขังพึงได้รับตามมาตรฐานสากลรวมถึงเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยและตามจรรยาบรรณของแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลหรือการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล จำเป็นต้องได้รับคำยินยอมจากเจ้าของข้อมูลด้วย กรมราชทัณฑ์จึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยออกสู่สาธารณชนได้ ตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ตลอดจนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 323 และข้อบังคับแพทย์สภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกร พ.ศ.2549 ข้อ 27 ซึ่งแพทย์ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

‘ภูมิธรรม’ โวย! ‘สส. ก้าวไกล’ ใส่ความเท็จ ปมไม่เซ็นรับรอง พ.ร.บ. อากาศสะอาด

‘ภูมิธรรม’ ฉุน!! ‘สส.ก้าวไกล’ พูดจาใส่ร้ายเพื่อไทย ชี้!! เป็นปัญหาจริยธรรม เตือนหัวหน้าพรรคก้าวไกล ดูแลคนของตัวเองอย่างจริงจัง อย่าปากว่า ตาขยิบ 

(11 ม.ค.67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพผ่าน X ระบุถึงกรณี สส.พรรคก้าวไกล ออกมาตำหนินายกฯ ไม่ยอมเซ็นรับรอง พ.ร.บ.อากาศสะอาดของพรรคก้าวไกลเพราะกลัวจะเป็นผลงานของก้าวไกล โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ เป็นการเล่นการเมืองทุกอย่างว่า...

“ผมไม่สบายใจ การพูดใส่ร้ายพรรคเพื่อไทยโดยพูดความจริงไม่หมด หรือพูดแค่ครึ่งเดียว เราทำงานให้ประชาชน ไม่ใช่ทำให้พรรคตัวเอง แบบเอาข้อเท็จมาใส่ร้ายพรรคอื่น เพื่อชัยชนะของพรรคตน”

นายภูมิธรรม ฝากถึงหัวหน้าพรรคอีกด้วยว่า “ขอให้ดูแลคนของตนอย่างจริงจังด้วย..นี่เป็นปัญหาจริยธรรมเลยครับ เตือน ‘อย่าปากว่า ตาขยิบ’”

‘ลอรี่ รทสช.’ ไล่ ‘สส.ก้าวไกล’ กลับไปทำการบ้านให้ดีกว่านี้ หลังอธิบายเรื่องผังเมือง แต่กลับพาดพิง ‘สำนักทรัพย์สินฯ’

(11 ม.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หลังจาก สส.ก้าวไกล ได้อภิปรายในสภาฯ ในวันพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เกี่ยวกับเรื่องผังเมือง โดย นายพงศ์พล ระบุว่า “ผังเมือง...อย่าโหนเรื่องเจ้า

ถกเรื่องผังเมืองกรุงเทพฯ อยู่ ๆ ตัวแทนก้าวไกล โพร่งออกมาพาดพิงสำนักทรัพย์สินฯ

ฟังนะครับ…ที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีจำนวนทั้งสิ้น 41,000 ไร่ ส่วนใหญ่จัดสรรให้ราชการเช่าใน ‘ราคาต่ำ’ เพื่อประโยชน์ของปชช. ถึง 93% มีพื้นที่เชิงพาณิชย์เพียง 7% เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านี้ สถาบันกษัตริย์ยังมีการพระราชทานโฉนดที่ดิน เพื่องานราชการ และสร้างโรงเรียนเนือง ๆ อยู่ตลอด

มิใช่ตามที่ต้นทางโจมตีผิด ๆ ว่าเอาที่ดินมาหากินแต่อย่างใด...โปรดจำไว้ใส่กระหม่อม

หากต้องการ ถกเรื่องการพัฒนาผังเมืองกรุงเทพ ฉบับใหม่แบบจริง ๆ จัง ช่วยทำการบ้านมากกว่านี้ เพราะผังเมืองปฏิเสธไม่ได้หรอกมันคือ การถ่วงดุลย์ระหว่าง คุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัย-สิ่งแวดล้อม ให้บาล๊านซ์กับ ความเจริญ (เติบโตจากภาคเอกชน)

ปราศจากทุนเมืองก็ไม่โตครับ เอกชนสร้างตึกทุกที่ไม่มีข้อจำกัด สภาพคนกรุงก็ร่อแร่ครับ...นี่คือความเป็นจริง ถ้าเรายังยืนอยู่บนโลกใบเดียวกัน ไม่มีตรรกะอุดมคติเพ้อฝันนัก

ฉะนั้นต้องเจาะดูเป็นโซนครับ ตรงไหนไม่ยอมให้เอกชนขยายแล้วอย่าง สุขุมวิท-พร้อมพงษ์ ขีดปากกาล้อมไว้ ลงรายละเอียดลึก

เพราะโหนด่าแต่กลุ่มทุน ด่าแต่สำนักทรัพย์สินฯ ให้คนเย้ว ๆ ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เป็นแค่การหาเรื่อง ของพวกไม่ทำการบ้านเท่านั้น

‘นายกฯ’ ให้คำมั่น!! จะสร้างสังคมที่ดีให้เด็กไทยทุกคนได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

(12 ม.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสินนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน X ให้คำมั่นกับเด็กไทยในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศว่า อนาคตของประเทศจะไปในทิศทางที่ดีแน่นอน

“เด็ก ๆ นำการ์ดน่ารักที่ทำเองมาให้ถึงห้องทำงานครับ เห็นเด็ก ๆ ยิ้มแย้มและคุยกันอย่างสนุกสนานทำให้ผมอยากให้ความมั่นใจกับเด็กทุกคนในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศว่า อนาคตของประเทศจะไปในทิศทางที่ดีแน่นอน อยากให้เด็ก ๆ เติบโตขึ้นในสังคมที่ดี ผมจะพยายามสร้างสังคมนั้นให้กับทุกคนครับ”
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top