Monday, 23 June 2025
Politics

‘สว.อุปกิต’ เผย ศาลฯ ให้ประกันตัว ‘โรม’ คดีฟ้องหมิ่นฯ นัดใหม่ปีหน้า โต้!! ‘ด้อมส้ม’ ฟ้องเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี ไม่ใช่ปิดปาก ลั่น!! เอาผิดถึงที่สุด

(5 ธ.ค. 66) นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญา รัชดาฯ นัดตนและนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีซึ่งตนฟ้องนายรังสิมันต์ ข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท โดยคดีนี้นายรังสิมันต์ เคยใช้เอกสิทธิ์ สส.เลื่อนนัดสอบคำให้การ จากวันที่ 21 ส.ค. 2566 มาเป็นวันที่ 4 ธ.ค. แทน โดยนายรังสิมันต์ ใช้ตำแหน่ง สส.ประกันตัวเองสู้คดี ขณะที่ศาลกำหนดวันสืบพยานโจทก์วันที่ 10 ต.ค.2567 และสืบพยานจำเลย วันที่ 11 ต.ค.2567

“นายรังสิมันต์ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้หมิ่นประมาท อ้างเป็นการทำหน้าที่ สส.โดยเป็นการอภิปรายในสภาฯ ซึ่งผมก็ไม่ได้ฟ้องนายรังสิมันต์ในกรณีนี้ แต่ฟ้องในประเด็นที่นายรังสิมันต์นำข้อมูลมาหมิ่นประมาท ทั้งผ่านการไลฟ์ตามสื่อโซเชียล และใช้เป็นประเด็นหาเสียงตามเวทีต่างๆ ซึ่งยืนยันจะเอาผิดถึงที่สุดให้เป็นคดีตัวอย่าง” นายอุปกิตระบุ

นายอุปกิต กล่าวยืนยันว่า การฟ้องคดีหมิ่นประมาทไม่ใช่เป็นการฟ้องปิดปากเหมือนที่บรรดาด้อมส้มพยายามสร้างกระแส แต่เป็นการปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรี และเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม ที่ใครก็ตามที่ใส่ร้ายใส่ความคนอื่นก็ต้องได้รับผลกรรมที่ตนเองก่อขึ้น ดังนั้น การที่ศาลรับฟ้องไม่ว่าจะเป็นกรณีนายรังสิมันต์ หรือกรณีตนฟ้องนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ หมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท แสดงว่า ‘คดีเหล่านี้มีมูล’

“ฝากไปถึงคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้ามาเป็นนักการเมือง ย้อนไปพิจารณาดูสิ่งที่ผมเคยพูดถึงทฤษฎีสมคบคิด การป้ายสีทางการเมืองเพื่อหวังคะแนนนิยมให้ได้ชนะการเลือกตั้ง วันนี้อาจจะมีอาชีพใหม่ที่มีการสมคบระหว่างเจ้าหน้าที่กับบรรดานักการเมือง บรรดานักร้อง นักแฉ ที่ออกมาเคลื่อนไหวเปิดโปงเรื่องต่างๆ แต่จริงๆ แล้วหวังจะได้เงินส่วนแบ่ง 25% จากกฎหมายใหม่คดียาเสพติดหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องเลวร้ายมาก” นายอุปกิต กล่าว

‘นายกฯ’ ถก ‘ผบ.ทสส.’ เร่งแก้ปัญหาชายแดนใต้-ปราบยาเสพติด หนุนลดช่องว่างทหารและประชาชน เป็นที่พึ่งพิงได้ทุกสถานการณ์

(5 ธ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล โดยได้เรียก พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เข้าหารือที่ตึกไทยคู่ฟ้า โดยใช้เวลาหารือประมาณ 20 นาที

นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือว่า โดยปกติตนจะพบปะกับ ผบ.ทสส.เป็นประจำอยู่แล้ว โดยวันนี้เป็นเรื่องรับทราบข้อมูลแนวทางการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ แนวทางการทำงานกับรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงของมาเลเซีย รวมถึงปัญหายาเสพติดที่จะทะลักเข้ามาจากพม่า ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง โดยทางทหารจะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อปราบปรามยาเสพติดและสกัดการนำเข้าอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการเผาป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ต้องพึ่งฝ่ายความมั่นคงค่อนข้างมาก

“อีกเรื่องที่คุยกันในภาพรวม คือผมอยากให้ทหารมาช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหายาเสพติด ปัญหาสิ่งแวดล้อม เรื่องที่ดินทำกิน ช่วยดูแลปัญหาน้ำไม่ให้ท่วม ไม่ให้แล้ง รวมทั้งดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน นอกเหนือจากเรื่องความมั่นคงที่ท่านดูแลอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างระหว่างทหารกับประชาชนได้อีกทางหนึ่งด้วย” นายเศรษฐา กล่าว

จากนั้นนายกฯ ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อไปเป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เขตดุสิต กรุงเทพฯ

เปิดจดหมาย ‘ลูกสาวทนายอานนท์’ เขียนถึงพ่อ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ พร้อมถาม “พ่อทำไมถึงอยู่ในคุก?” ขณะเจ้าตัวต้องโทษมาแล้ว 70 วัน

(5 ธ.ค. 66) นายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ‘ลูกเขียนจดหมายถึงพ่อ’

โดยภายในภาพเป็นรูปเด็กกำลังกอด นายอานนท์ พร้อมมีข้อความที่เขียนด้วยมือว่า…

“พ่อทำไมถึงอยู่ในคุก แล้วพ่ออยู่ที่ห้องไหนของเรือนจำ แล้วหนูต้องรออีก 10 ปีใช่ไหม?”

สำหรับ นายอานนท์ อยู่ระหว่างถูกจับคุกในเรือนจำเป็นเวลา 4 ปี หลังจากศาลอาญาพิพากษา ในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 ขณะนี้ต้องโทษอยู่ในเรือนจำมา 70 วัน

‘อนุทิน’ เข้ม!! สั่งทุกจังหวัดบังคับใช้ กม.คุมแหล่งก่อมลพิษ หนุนเร่งพีอาร์เชิงรุกสร้างความร่วมมือ ปชช.แก้ปัญหา PM 2.5 

(6 ธ.ค. 66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ มอบนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดำเนินการสำหรับป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 66-67

ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงฤดูหนาวจนถึงฤดูแล้งของทุกปี ประเทศไทยจะเกิดสถานการณ์ฝุ่นละอองเกินเกณฑ์มาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีสาเหตุทั้งจากโดยธรรมชาติ สภาพอากาศและภูมิประเทศที่เอื้อต่อการเกิดสถานการณ์และกิจกรรมของมนุษย์ จนเกิดการสะสมของฝุ่นละอองในปริมาณสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน

ทั้งนี้ ตามข้อสั่งการ รมว.มหาดไทย ได้ให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ที่ส่งผลต่อการเกิดปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการสนับสนุนการสั่งดำเนินการ ตลอดจนแจ้งเตือนแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยให้ฝ่ายปฏิบัติการให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่แหล่งกำเนิด กำชับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ให้บังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการเผาในที่โล่ง การคมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรม และการก่อสร้าง ส่วนกรณีการเผาในพื้นที่การเกษตร ให้อำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่ ตลอดจนใช้กลไกอาสาสมัครร่วมรณรงค์งดการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ให้กับเกษตรกรเกี่ยวกับการกำจัดหรือใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ไปสู่การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มแทน เช่น การไถกลบตอ ซัง การใช้จุลินทรีย์ในการย่อยสลาย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า นายอนุทินได้กำชับให้กองอำนวยการ ปภ.จังหวัด ทบทวนและจัดทำแผนเผชิญเหตุในกรณีต่างๆ ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน อาทิ พื้นที่เสี่ยง เช่น พื้นที่ป่า พื้นที่การเกษตร พื้นที่ริมทาง และพื้นที่ชุมชน/เมือง ตลอดจนข้อมูลประชากรกลุ่มเสี่ยง ข้อมูลทรัพยากร เครื่องจักรกลสาธารณภัย พร้อมกับมีแนวทางปฏิบัติแต่การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แต่ละระดับอย่างชัดเจน ตลอดจนประสานการปฏิบัติร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งชุดเฝ้าระวังระดับพื้นที่ สนับสนุนการลาดตระเวนเฝ้าระวัง ป้องปรามการลักลอบเผาในเขตพื้นที่ป่า เขตพื้นที่การเกษตร

ทั้งนี้ เมื่อเกิดสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นไฟป่า หมอกควัน หรือระดับปริมาณฝุ่น PM2.5 แนวโน้มสูงเกินค่ามาตรฐาน ให้ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด อำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินท้องถิ่น บูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับการปฏิบัติตามมาตรการ บังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นอย่างเข้มงวด กรณีที่เกิดไฟป่าให้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ที่มีทักษะชำนาญ ประกอบกำลังเป็นชุดปฏิบัติการพร้อมอุปกรณ์เข้าระงับเหตุการณ์โดยเร็ว

“ท่าน มท.1 ห่วงใยผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงอันตราย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครที่เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐ จัดอุปกรณ์ส่วนบุคคลที่มีความเหมาะสม กรณีการเกิดไฟป่าที่กำลังภาคพื้นที่เข้าถึงยาก ให้ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่มีอากาศยานเข้าสนับสนุน และให้ดูแลด้านสวัสดิการและค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามระเบียบด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายอนุทินยังได้เน้นย้ำให้มีการสื่อสารเชิงรุกผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงสาเหตุการเกิดฝุ่นละออง ที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการลดปัญหา ได้เข้าใจต่อสถานการณ์ มาตรการข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบทลงโทษหากมีการฝ่าฝืน ส่วนการดูแลสุขภาพประชาชนให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข ให้ดำเนินการให้ข้อมูลการดูแลสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นการมีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้ข้อมูล หรือการให้ความรู้ผ่านช่องต่างๆ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดพื้นที่และระบบบริการประชาชนในพื้นที่ปลอดภัย (Safety Zone) หรือห้องปลอดฝุ่น เพื่อดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพในกรณีจำเป็นต่อไป

‘อุ๊งอิ๊ง’ แจง!! จัดกิจกรรมสงกรานต์ 77 จว.ทั่วประเทศ หวังให้ทั้งเดือนเมษายนมีงานต่อเนื่อง เพื่อดึงดูด นทท.

(6 ธ.ค. 66) ที่ เดอะกรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาโครงการเสริมสร้างศักยภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และบุคลากรทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ว่า อยากให้สมาชิกทุกคนมาร่วมกิจกรรมที่ทีมงานได้เตรียมไว้ ซึ่งทุกคนได้ร่วมกิจกรรมอย่างสนุกสนานมาก และมีการระดมสมองกัน มีการละลายพฤติกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น

เมื่อถามว่ามีการใช้งบประมาณเกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์เป็นจำนวนมาก น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ที่ตนเป็นประธานอยู่ ได้ประชุมเรื่องงบประมาณที่ใช้จบไปแล้ว ก็เหลือการนำเข้าที่ประชุมที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อเคาะและนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งงบดังกล่าวนี้กว่าจะเสร็จก็น่าจะเดือน พ.ค.2567 ซึ่งจะเป็นงบทั้งปี ตั้งแต่ปี 2567-2568 เพราะฉะนั้นจะเป็นไปตามกระบวนการแน่นอนตามที่นายกรัฐมนตรีได้พูดไว้

“เราตั้งงบประมาณไว้ประมาณ 5,100 ล้านบาท มาจากภาคเอกชนทุก ๆ สาขาที่คุยกันไว้ 11 สาขา ซึ่งเราไม่ได้ของบเพิ่ม เป็นงบที่มีอยู่ในกระทรวง แล้วในแต่ละกระทรวงก็จะนำมารวมกัน เพื่อทำเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ และตัวเลขนี้รัฐบาลไม่ได้คิดขึ้นมา เป็นการร่วมมือทำงานกันระหว่างผู้รู้จริงคือภาคเอกชน ซึ่งรัฐบาลคอยอำนวยความสะดวกให้กับสิ่งที่เอกชนรู้อยู่แล้วในแต่ละสาขา ซึ่งเอกชนมีความระมัดระวังอยู่แล้วในการใช้งบประมาณ และมีตัวเลขออกไปแล้วว่าแต่ละสาขาใช้งบประมาณเท่าไร” น.ส.แพทองธาร กล่าว

เมื่อถามว่าจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในการใช้งบจะทำให้คณะกรรมการมีโอกาสมาดูว่าจะปรับลดอะไรบ้างหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือคอมเมนต์ต่าง ๆ เรารับฟังแน่นอน และดีใจที่ทุกคนให้ความสนใจกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์เพราะมีความหลากหลายมาก ๆ ถ้ามีคนสนใจเยอะ ๆ ตนเชื่อว่าอุตสาหกรรมต้องดีและแข็งแรงขึ้นแน่นอน 

เมื่อถามว่าดึงงบมาจากกระทรวงไหนบ้าง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ดึงงบมาจากหลายกระทรวง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นงบที่อยู่ในกระทรวงนั้นอยู่แล้ว แต่เรานำมาจัดแจงให้เห็นภาพว่าทำอะไรบ้าง

เมื่อถามว่าหลังจากที่ประกาศกิจกรรมสงกรานต์ออกมาแล้วหลายคนได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนได้สื่อเรื่องสงกรานต์ไปในเฟซบุ๊กของตนเอง และเห็นการตีความกลับมา ว่า จะให้สาดน้ำกันทั้งเดือน “อันนี้ก็หนาวเหมือนกันนะคะถ้าสาดน้ำกันทั้งเดือน” ซึ่งตนไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่จะเป็นเรื่องของการจัดกิจกรรม 77 จังหวัดทั่วประเทศ แน่นอนวันที่ 13-15 เม.ย. เรามีอีเวนต์ทุกปีอยู่แล้ว แต่เราจะพยายามให้ทั้งเดือนเมษายน มีงานทั่วประเทศ เพื่อรอนักท่องเที่ยวเข้ามาให้มีจุดเที่ยวในประเทศไทยยาวนานขึ้น อยู่นานขึ้น นั่นคือจุดมุ่งหมาย แต่ถ้าจะให้สาดน้ำ 30 วันก็คงจะไม่ได้

“อิ๊งอยากให้ทุกคนมูฟออนจากการนิยามซอฟต์พาวเวอร์ได้แล้ว เรากำลังจะทำเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เพื่อพัฒนาประเทศให้ไปถึงจุดที่ยิ่งใหญ่อลังการ อันนี้เรามองไปถึงจุดข้างหน้า แล้วเราจะปักหมุดว่าเราจะเป็นประเทศที่ดันซอฟต์พาวเวอร์ออกจากประเทศ ทำให้คนทั่วโลกรู้จักเรา เข้าใจเรา ชอบวัฒนธรรมของเรา นี่คือสิ่งที่เราพยายามทำอยู่ เราไม่ได้พยายามนิยามคำว่าซอฟต์พาวเวอร์แล้ว” น.ส.แพทองธาร กล่าว

เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นผู้นำหญิงคนหนึ่ง ขณะนี้มีมาดามแป้ง มาดามเดียร์ ขึ้นมาชิงตำแหน่งใหญ่ ๆ สำคัญ ๆ ในประเทศ มองว่าจะทำให้ผู้หญิงขึ้นมามีบทบาทอย่างไรได้บ้าง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนมองว่าการที่ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทเป็นเรื่องที่ดี ความคิดหรือว่าภาพจำในอดีตที่ผ่านมา อาชีพนั้น อาชีพนี้เหมาะกับผู้ชายเท่านั้น ซึ่งตนมองว่าคำนั้นไม่สามารถใช้ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว ตนคิดว่าทั้งผู้หญิงผู้ชายมีสิทธิ์ทุก ๆ อาชีพเมื่อมีใจรัก เมื่อมีความสามารถ และได้รับโอกาส เพราะฉะนั้นจะผู้หญิงผู้ชายได้หมดและตนยินดีในด้านของการเมือง หรือด้านของตำแหน่งสำคัญ ๆ ที่มีผู้หญิงจะเข้ามามีบทบาทเยอะขึ้น เป็นเครื่องหมายว่าเปิดโอกาสให้ผู้หญิงและผู้ชายทำได้ทั้งนั้น เปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิ์เท่ากัน 

‘ชูวิทย์’ รอด!! กกต.ยกคำร้อง ปมรณรงค์ ‘ไม่เลือกพรรคกัญชา’  ชี้!! เป็นการวิจารณ์นโยบาย - แจกของไม่ได้เจาะจงผู้มีสิทธิ

(7 ธ.ค.66) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.สั่งยกคำร้องในคดีที่พรรคภูมิใจไทย ร้องว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 (1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้หรือจะเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด จากกรณีเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. 2566 แล้ววันที่ 21 มี.ค.66 ที่ซอยละลายทรัพย์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ นายชูวิทย์ได้จัดกิจกรรมรณรงค์และมีการแถลงข่าว พร้อมแจกเสื้อ เข็มกลัด สติ๊กเกอร์ ‘ไม่เลือกพรรคบ้ากัญชา’ ‘ยกเลิกกัญชาเสรี’ แก่ประชาชน

โดย กกต.เห็นว่า การที่นายชูวิทย์จัดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อแสดงความคิดเห็นของตนและวิพากษ์วิจารณ์นโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทย ประกอบกับจากการตรวจสอบวิดีโอคลิป เอกสารการถอดข้อความการแถลงข่าวประกอบคำร้อง ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในขณะที่นายชูวิทย์ดำเนินกิจกรรมรณรงค์ได้แจกเสื้อยืดคอกลม เข็มกลัด และสติ๊กเกอร์ ให้กับบุคคลที่เข้าร่วมกิจกรรมโดยพูดจูงใจให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดแต่อย่างใด

โดยนายชูวิทย์แจกสิ่งของดังกล่าวให้กับประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องแจกสิ่งของให้กับเฉพาะประชาชนที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น การกระทำดังกล่าวของนายชูวิทย์จึงไม่เข้าข่าย หรือมีลักษณะเป็นการจัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด ประกอบกับไม่ปรากฏว่า นายชูวิทย์เป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือผู้ช่วยหาเสียงให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือพรรคการเมืองใด รวมทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่น ที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่านายชูวิทย์กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 (1)

จับตา!! ศึกชิงหัวหน้าพรรคปชป. ดัน ‘เฉลิมชัย’ ชน ‘มาดามเดียร์’ การตัดสินใจที่น่าห่วง หาก ‘แรงยุ-แรงเชียร์’ เหนือเหตุและผล

“เสียง สส.ส่วนใหญ่ของเรายังผนึกกำลังกันแน่นเหมือนเดิม” เป็นคำยืนยันจาก ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ สส.นครศรีฯ พรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นการตอกย้ำว่า ขั้วของ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน-เดชอิศม์ ขาวทอง’ ยังคงเดินหน้าสู้เพื่อยึดพรรคประชาธิปัตย์มาบริหาร

ภาพปรากฏชัดเมื่อ สส. 21 คนมาตั้งวงคุยกัน วิเคราะห์อนาคตกับการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนที่ 9 ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ อันเป็นการตั้งวงวิเคราะห์หลังจาก ‘มาดามเดียร์’ วทันยา บุนนาค หรือ วงษ์โอภาสี ตัดสินใจเปิดตัวลงชิงหัวหน้าพรรค พร้อมประกาศเจตนารมณ์ ‘ฟื้นฟูพรรค เรียกศรัทธาคืน’ ตามด้วยการออกคลิปส่งสัญญาณเจตนารมณ์ไปยังสมาชิกพรรคทั่วประเทศถึงความมุ่งมั่น

เอาเป็นว่ากระแสตอบรับดีเกินคาด ‘นิด้าโพล’ เป็นเครื่องยืนยันว่า มาดามเดียร์มาเต็งหนึ่ง แต่มีคะแนนไม่ตัดสินใจมากถึง 28% เลือกมาดามเดียร์ 27% ส่วน ‘นราพัฒน์’ และ ‘อภิสิทธิ์’ ยังตามหลังมาดามเดียร์

ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูก กลุ่ม สส.สาย ‘เฉลิมชัย-เดชอิศม์’ ประเมินว่า นราพัฒน์ แก้วทอง ต้องแพ้ ‘มาดามเดียร์’ จึงลงมติเปลี่ยนม้ากลางศึก ส่งเทียบเชิญ ‘เฉลิมชัย’ มาลงชิงหัวหน้าพรรคเอง แต่เฉลิมชัยยังไม่ตัดสินใจ ขอเวลา 1-2 วัน ในการตัดสินใจ ส่วนตัว #นายหัวไทร อยากให้เฉลิมชัยตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุและผล ไม่ใช่เกิดจากแรงยุ แรงเชียร์ 

เหตุและผลที่ว่า คือภารกิจหนักในการนำพาพรรค ฟื้นฟูพรรค เรียกศรัทธาพรรคจากประชาชนกลับคืนมา อุดมการณ์ของพรรคต้องกลับมาพิจารณาทบทวน ตรงไหนสึกหรอ กร่อนไป จะเสริมเข้ามาอย่างไร เพื่อให้พรรคมีความเป็นพรรคที่ทันสมัย เขาผลักให้ไปอยู่ฝ่ายอนุรักษ์ก็ยอม ไม่ดันตัวเองไปอยู่ฝ่ายก้าวหน้า เสรีนิยมประชาธิปไตย ตามอุดมการณ์ของพรรค

เหตุอีกประการที่ไม่ควรลืม คือการที่เฉลิมชัย ประกาศกร้าวบนเวทีว่า “ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ สส.น้อยกว่าเดิม จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต จะกลับไปประจวบคีรีขันธ์” ถ้าเฉลิมชัยกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เท่ากับ ‘เฉลิมชัย’ ตระบัดสัตย์ครั้งสำคัญ นักการเมืองจำนวนไม่น้อยเสียผู้เสียคนกับการตระบัดสัตย์ นักการเมืองต้องพูดจริงทำจริง ไม่ทิ้งประชาชน

เมื่อประกาศวางมือทางการเมืองแล้ว ก็ไม่ควรมาจุ้นจ้านอะไรอีก ควรผันตัวเองไปทำอย่างอื่น ไม่ควรอยู่แม้กระทั่งเบื้องหลัง รักษาการหัวหน้าพรรคก็ไม่ควรรับแล้ว ถ้ายังมีใจรักประเทศชาติ ประชาชน ก็ยังมีบทบาทอื่นรองรับได้ ทำงานได้ เช่น มูลนิธิ สมาคม หรืออะไรก็ได้ที่สามารถช่วยเหลือชาติและประชาชนได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมือง หรือพรรคการเมือง

การเมืองไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันเพื่อชัยชนะเพียงด้านเดียว การเมืองมีหลากหลายมิติ แต่นักการเมืองที่ก้าวเข้ามาคิดแค่ว่าทำอย่างไรให้ชนะ ทำอย่างไรในการช่วงชิง ‘อำนาจรัฐฯ’ มาอยู่ในมือ เข้าใจได้ว่า การแก้ไขปัญหาบางอย่างต้องใช้งบประมาณของรัฐฯ ต้องใช้อำนาจรัฐฯ ต้องใช้กลไกของรัฐฯ เป็นเครื่องมือ

แต่สถานการณ์ปัจจุบันของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการช่วงชิงอำนาจบริหารพรรค เพื่อนำพาพรรคไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ชาติ ประชาชน แต่เป้าหมายคือ ‘พวกพ้อง’ และ ‘ผลประโยชน์’ บรรดาโหวตเตอร์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง ยังมีเวลาในการนั่งสมาธิ ให้เปิดปัญญา ตั้งสติ คิดให้รอบคอบ เดินเข้าสู่ห้องประชุมโดยไม่มีแรงจูงใจอื่น นอกจากสติที่คิดได้ ปัญญาที่มุ่งหวังดีต่อชาติบ้านเมือง

อุดมการณ์ประชาธิปัตย์จะยังไม่ตายหรอก ถ้าพลพรรคทั้งหลาย มีสติ มีปัญญา และมุ่งมั่นต่อชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งตามเจตนารมณ์ของ ‘ควง อภัยวงศ์’ ผู้ก่อตั้งพรรค เมื่อ 77 ปีก่อน

‘ปิยบุตร’ ชี้!! ‘แซะ กัด จิก’ ได้แค่สะใจ แต่ไม่ใช่หนทางชนะ แนะ ‘พวกส้ม’ เปิดแนวรบรอบใหม่ ต้องนำเสนอ ‘สังคมในฝัน’

(8 ธ.ค. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุว่า…

นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบัน พลังของฝ่ายก้าวหน้า ก้าวรุดหน้ามากขึ้นทั้งในทางปริมาณและในทางคุณภาพ

จนอาจกล่าวได้ว่า ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษนี้ พลังฝ่ายก้าวหน้า ทำ ‘สงครามทางความคิด’ (War of Position) รุกคืบ เอาชนะ ฝ่ายอนุรักษ์/ฝ่ายชนชั้นปกครองมากขึ้นตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ ‘สิ่งเก่าใกล้ตาย แต่ยังไม่ตาย สิ่งใหม่จะเกิด แต่ยังเกิดไม่ได้’ แบบที่กรัมชี่ว่าไว้เช่นนี้ ทำให้ยังไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะโดยเด็ดขาด

พลังใหม่ฝ่ายก้าวหน้ายังไม่สามารถขึ้นครองอำนาจรัฐได้ ในขณะเดียวกัน พลังฝ่ายชนชั้นปกครอง ยังครองอำนาจอยู่ แต่สูญเสีย ‘อำนาจนำ’ ไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถได้ความยินยอมพร้อมใจได้ดังเดิม ต้องใช้อำนาจบังคับกดปราบเป็นหลักแทน

ผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 และเหตุการณ์การแสดงออกทางการเมืองในช่วงปี 63-64 คือ ผลรูปธรรมที่แสดงให้เห็นถึงการรุกคืบของพลังฝ่ายก้าวหน้า

นี่จึงเป็นที่มาของการสนธิกำลังกัน 3 ฝ่าย ระหว่าง ‘ชนชั้นนำดั้งเดิม + ชนชั้นนำทางการเมือง + ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ’ เพื่อรักษาอำนาจและสถานะให้คงอยู่ดังเดิมต่อไป

แต่พวกเขาก็ทราบดีว่า การครองอำนาจเพื่อรักษาอำนาจสถานะให้คงอยู่ต่อไป โดยไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นคือ การรอวันล่มสลาย ดังนั้น พวกเขาต้องปฏิบัติการรุกคืบเอาคืนฐานที่มั่นทางความคิด

War of Position โต้กลับ กำลังดำเนินไป

เมื่อพลังฝ่ายก้าวหน้า ต้องการการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

พวกเขา พลังฝ่ายอนุรักษ์และชนชั้นปกครอง ก็ต้องทำความคิดสะกดคนให้เชื่อว่า มันเป็นไปไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากอยากเปลี่ยนแปลง ก็ต้องใช้การประนีประนอม ยอมถอยแบบทุกกระบวนท่า ถอยแบบไม่มีเงื่อนไข เพื่อแลกกลับการเข้าไปมีอำนาจ

เรื่องทางเศรษฐกิจก็สำคัญ ต้องทำให้คนมั่นใจว่า ชีวิตเรา เอาเท่านี้ไปก่อน อย่างน้อยก็ดีกว่าเดิม

พวกเขาต้องอธิบายว่า ความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 20 ปี กำลังหมดไป

คนรุ่นใหม่ เมื่อเติบโตขึ้น ก็ต้องการชีวิตที่ดี หันหน้ามาทำชีวิตให้มีความสุขในแต่ละวันดีกว่า

ฯลฯ

นี่คือ การทำสงครามทางความคิด โดยฝ่ายชนชั้นปกครอง เพื่อโต้กลับฝ่ายก้าวหน้า

ดังนั้น พลังฝ่ายก้าวหน้า ต้องเข้าสมรภูมิการทำสงครามทางความคิดนี้

มวลชน สมาชิก ผู้ปวารณาตัวสังกัดฝ่ายก้าวหน้า คือ ปัญญาชน ในความหมายแบบที่กรัมชี่บอก

ทุกคนสามารถรับบทบาทในการทำงานทางความคิดได้

แต่การต่อสู้ทางความคิดกับพวกเขา ด้วยการตอบโต้รายวัน รายชั่วโมง ในโลกโซเชียล จับผิดเรื่องเล็กน้อย โต้เถียงกันไปมาในโลก X แบบที่ทำกันอยู่ดาษดื่น ณ เวลานี้ อาจช่วยทำให้สบายใจ สะใจ หรือปรามการโจมตีของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่ยุทธวิธีที่จะเอาชนะทางความคิดได้

การรบทางความคิดรอบใหม่ (หลังจากพวกเขาสนธิกำลังกันสามฝ่าย) ต้องนำเสนอสังคมแบบใหม่ในฝัน ทำให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ต้องนำเสนอความเป็นไปได้ ต้องสู้กับความเชื่อที่ว่าเป็นไปไม่ได้ มิใช่ เฝ้ามองว่านายกรัฐมนตรีหลุดอะไร มีประเด็นอะไรให้เอาไปแซะต่อได้บ้าง

พรรคการเมืองและนักการเมือง ต้องรับบทบาทชี้นำ

มวลชนเอาการเอางานของพรรคทั้งออนกราวนด์และออนไลน์ ต้องช่วยกันชี้นำ

ยิ่งปล่อยให้สังคมสิ้นหวังเท่าไร

ยิ่งปล่อยให้คนจำนวนมากรำคาญกับการซัดกันไปมาในเรื่องไม่เป็นเรื่องระหว่างสองฝ่ายเท่าไร

ก็ยิ่งทำให้พวกเขาชนะในสงครามความคิดรอบใหม่นี้

‘มาดามเดียร์’ ขอโอกาสสมาชิก ปชป.นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค วอน!! ขอเลือกคนที่ความสามารถ ไม่ใช่เพราะระบบอุปถัมภ์

(8 ธ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. พรรคปชป. ในฐานะผู้สมัครชิงหัวหน้าพรรคปชป. แถลงว่า จุดยืนที่ตั้งใจเสนอตัวเองเป็นทางเลือก เพราะเชื่อมั่นและศรัทธาในพรรคปชป. ทางเดียวที่จะทำให้พรรคกลับมาเป็นที่ไว้วางใจและเป็นที่พึ่งของประชาชน คือการทำจุดยืนและอุดมการณ์ให้กลับมาชัดเจน ดังนั้น พรรคต้องเสนอทางออก เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชน ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงเพื่อตัวเอง ตนตั้งใจและศรัทธาในวิถีอุดมการณ์ ไม่เปลี่ยนแปลงคำพูดใด ๆ ไม่เปลี่ยนจุดยืน แต่จะขอสู้ให้ถึงที่สุด

เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่ 21 สส. ปชป. มีมติสนับสนุนให้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรค ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป ทั้งที่นายเฉลิมชัยเคยประกาศว่าจะเลิกเล่นการเมือง น.ส.วทันยา กล่าวว่า ไม่รู้สึกอย่างไร ยิ่งมีจำนวนผู้สมัครมากเท่าใดสมาชิกจะมีโอกาสที่ดี 

เมื่อถามอีกว่า การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคครั้งนี้ ยังมีความหวังหรือไม่ เพราะดูแล้วผลโหวตจะเทไปในทางนายเฉลิมชัย น.ส.วทันยา กล่าวว่า วันที่ตนตัดสินใจ เพราะศรัทธาวิถีของพรรคเช่นนี้ ดังนั้นจึงตัดสินใจลงมือทำ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น จะขอทำตามความฝันและสู้ถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า กรณีที่มีการระบุว่านายเฉลิมชัยดูแลสส.พรรคมาตลอด 4 ปี คิดเห็นอย่างไร น.ส.วทันยา กล่าวว่า คงต้องเป็นการตัดสินใจของสมาชิกพรรค ตนเคารพความเห็นที่แตกต่าง ไม่สามารถตอบแทนสมาชิกอื่น ๆ ได้ 

ส่วนหากผลการเลือกตั้งออกมาว่า ตนแพ้แล้ว ยังจะอยู่กับพรรค ปชป. ต่อหรือไม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า ขอกลับมาประเมินอีกครั้งว่าทิศทางจะยังเป็นเหมือนเดิมกับวันแรกที่ตนเดินเข้ามาสมัคร และเหมือนวันแรกที่เราศรัทธาหรือไม่ ตนศรัทธาพรรคในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ ประชาชนเป็นเจ้าของ สมาชิกทุกคนมีเสรีภาพทางความคิด ไม่มีเจ้าของมาชี้นิ้วสั่ง 

ถามย้ำว่าหากไม่เป็นไปตามที่หวังจะออกจากพรรคใช่หรือไม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจ ต้องขอประเมินก่อน ไม่ได้เป็นความผิดใคร พรรคเป็นเรื่องของพรรค สมาชิกก็เป็นเรื่องของสมาชิก แต่แนวอุดมการณ์ของตนเป็นเรื่องของตน ถ้าเราไม่เหมาะสมกับองค์กรใด ก็เป็นเรื่องของตัวเองที่ต้องพิจารณา

ถามอีกว่าการสมัครหัวหน้าพรรคครั้งนี้ เป็นการเทหมดหน้าตักหรือไม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า ไม่คิดว่าเป็นการเทหมดหน้าตัก แต่มีความฝันในการเมืองแบบนี้ และเห็นว่าสิ่งที่พรรคต้องแพ้พ่ายในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะเราไม่มีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้ประชาชนได้ ไม่ใช่เฉพาะปัญหาภายใน แต่เกิดจากการทำหน้าที่ของพรรคและนักการเมืองที่ต้องยึดโยงกับประชาชน ไม่ใช่ทำงานเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 

ถามด้วยว่าก่อนเลือกตั้งที่จะถึงนี้ อยากฝากบอกไปยังเพื่อนสมาชิกอย่างไร น.ส.วทันยา กล่าวว่า หลายคนบอกตนเป็นเลือดใหม่ประชาธิปัตย์ แต่วันนี้ในฐานะคนคนหนึ่งเชื่อวิถีอุดมการณ์ ฉะนั้น การให้โอกาสครั้งนี้ไม่ใช่ให้โอกาสตนได้เลือกตั้งหัวหน้าพรรคเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการให้โอกาสพรรคเติบโตเปลี่ยนแปลง 

ถามถึงความชัดเจนเรื่องกก.บห.ชุดใหม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า ยังไม่มี และที่ทราบกันอยู่แล้วคือมาด้วยตัวเอง หากวันนี้ต้องการฟื้นฟูต้องเลิกที่จะเลือกจากความสัมพันธ์ และจากระบบอุปถัมภ์ ต้องก้าวข้าม เลือกคนที่คุณสมบัติและความสามารถ หากเลือกเพราะความสัมพันธ์และระบบอุปถัมภ์จะนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งของคนในพรรค ท้ายที่สุดประชาชนและพรรคจะต้องสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถออกไป

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ‘รทสช.’ ยึดมั่น 3 สถาบันหลัก ‘ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์’ ลั่น!! พร้อมเดินหน้าต่อแม้ไร้ ‘ลุงตู่’ ปัดตอบ ปม ‘ปชป.’ บางส่วนจ่อย้ายซบอก

(8 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการทำงานของพรรค รทสช. ที่จะยึดเหนี่ยวฐานเสียงเดิมของพรรคเป็นอย่างไรต่อไป หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นองคมนตรี ว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นพรรคก็ไม่ได้มีท่านอยู่ และท่านได้ลาออกจากสมาชิกพรรคเป็นเวลาพอสมควรแล้ว แต่พรรคยังเดินหน้าไปตามปกติ ทุกคนทำงานทางการเมือง ส่วนตนในฐานะหัวหน้าพรรค พยายามทำหน้าที่ให้ดีทั้งการดูแลพรรคและ ดูแลประชาชนในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากจะต้องเปลี่ยนจุดขายจะเปลี่ยนอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวยืนยันว่า “ไม่ครับ จุดขายของเราคือเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่คือจุดขายหลัก”

เมื่อถามถึงการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ถูกจับตามองว่า อาจจะมีสมาชิกบางส่วนไหลมาอยู่กับพรรค รทสช. นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ไม่ทราบ อันนี้ไม่ทราบ ไม่มีความเห็น”

เมื่อถามย้ำว่า พรรค รทสช.พร้อมที่จะเปิดรับหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ยังไม่มีความเห็นใดๆ อะไรยังไม่เกิด ก็ไม่พูด”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top