Monday, 9 June 2025
Politics

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (5 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 527 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 8,966 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 65 ราย รักษาหายเพิ่ม 45 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,397 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 4,504 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 527 ราย เป็น ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากอินเดีย 2 ราย ,ตุรกี 1 ราย ,ปากีสถาน 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 1 ราย ,เดนมาร์ก 1 ราย

ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 82 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 439 ราย.

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 172 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 382 ราย รักษาหายแล้ว 362 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7.72 แสน ราย รักษาหายแล้ว 6.39 แสน เสียชีวิต 22,991 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 40 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.21 แสน ราย รักษาหายแล้ว 98,228 ราย เสียชีวิต 501 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.27 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.1 แสน ราย เสียชีวิต 2,744 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.79 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.48 แสน ราย เสียชีวิต 9,263 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,721 ราย รักษาหายแล้ว 58,497ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,497 ราย รักษาหายแล้ว1,339 ราย เสียชีวิต 35 ราย

โฆษกพรรคก้าวไกล ‘ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์’ ย้อนถาม ‘หมอสุกิจ อัถโถปกรณ์’ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ เปิดสภาไม่ได้หรือยังพยายามไม่มากพอ ระบุกฎหมายเกี่ยวกับปากท้องประชาชนรอพิจารณาอยู่ บรรดาส.ส.จะอ้างกลัวและละเลยไม่ได้

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ นายแพทย์สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลเสนอให้มีการประชุมสภาฯ ว่า หากมีการประชุมสภาในช่วงนี้แล้วมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19ใครจะรับผิดชอบ โดยระบุว่า สิ่งที่คุณหมอสุกิจกังวล เป็นความกังวลเดียวกันของทุกคนขณะนี้ แต่เราจะละเลยการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประชาชนในยามที่ประชาชนต้องการที่พึ่งเช่นนี้ไม่ได้

การเปิดประชุมสภาในสถานการณ์การของโรคระบาดรวมไปถึงสถานการณ์ใดก็ตามที่ไม่สามารถรวมตัวกันได้ เราจะต้องทำให้มีการเปิดประชุมออนไลน์อย่างมีศักยภาพ ซึ่งเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลได้พยายามเสนอแก้ไขข้อบังคับการประชุมสภาให้สามารถประชุมออนไลน์ได้ตั้งแต่ปีก่อน แต่จากหนังสือด่วนที่สุดเลขที่ "สผ ๐๐๑๔/๔๘๑๒" ลงวันที่ 1 มิ.ย. 63 ตอบกลับจากสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนฯ รับแจ้งว่า คุณชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ใช้อำนาจของประธานสภาตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการวินิจฉัย ว่าญัตติที่พวกเราได้เสนอให้เป็นเรื่องด่วน “เรื่อง ขอให้สภาฯ ตั้งกมธ.วิสามัญเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขข้อบังคับฯ เพื่อการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์” ให้กลายเป็น เรื่องไม่ด่วนนั้น

นี่คือผลของการที่พรรคก้าวไกลพยายามผลักดันและเสนอวิธีการรับมือเพื่อให้การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสามารถดำเนินการได้ไม่ว่าต้องเจอกับวิกฤติใด แต่เมื่อประธานมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เรื่อง ด่วน ก็ไม่ควรนำมาเป็นข้ออ้างว่าการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ยังทำไม่ได้ในเวลานี้ เพราะไม่งั้นต้องถามต่อว่าใครกันที่ทำให้เรื่องนี้ยังทำไม่ได้ หรือใครกันแน่ที่ยังพยายามไม่พอ และอย่าอ้างว่าคาดไม่ถึงว่าจะมีโรคระบาดอีกระลอก เพราะเรื่องนี้ผู้เชียวชาญทางการแพทย์ก็เตือนมาตลอด ตราบใดที่ทั่วโลกยังไม่หยุดการระบาดประเทศไทยคงเลี่ยงระลอกสองไม่ได้ และในขณะที่อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการยังคงทำงานได้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่พวกเราในฐานะตัวแทนอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องพยายามหาข้ออ้างต่าง ๆ นานาเพื่อหยุดการทำงานของตัวเอง

“เราเป็นตัวแทนของประชาชนต้องพยายามหาทางทำงานให้ประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้เสียเวลาไปด้วยการนั่งมองปัญหาอยู่ที่บ้าน ส่วนกรณีที่หมอสุกิจยกตัวอย่างที่ประชุมอนุกรรมาธิการ การพนันออนไลน์ที่ส.ส.ก้าวไกลเป็นประธานแล้วมีผู้ติดเชื้อโควิคเข้ามาประชุม ประเด็นนี้ผมอยากฝากไปยังประธานสภา ทดสอบเครื่องตรวจด่านหน้าของสภาดูอีกทีว่าเพียงพอหรือไม่มีประสิทธิภาพแค่ไหน อย่างไรก็ตาม เหตุเกิดตอนนั้น อยู่ในช่วงต้นของสถานการณ์

ยังไม่รู้แน่ชัดว่าการระบาดไหนจุดไหน ร้ายแรงอย่างไร แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็พิสูจน์ให้เห็นว่า การรู้เหตุเร็ว พวกเราและผู้เกี่ยวข้องก็สามารถนำมาตรการที่วางเอาไว้มาใช้อย่างทันท่วงที ไม่มีใครติดเชื้อเพิ่ม ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้คือ เมื่อรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ก็แก้ไขตรงนั้น ไปพยายามมองหามาตราการมารองรับและแก้ไขอย่างที่ทั่วโลกทำกัน ไม่ใช่อ้างกลัวว่าจะมีใครติดหรือเชื้อ เวลานี้ ส.ส.กลัวไม่ได้ เพราะประชาชนคงกลัวยิ่งกว่าเรามาก พวกเขากลัวอดตาย อยากให้มองกันด้วยความเป็นจริง เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้มีร่างกฎหมายหลายตัวที่เกี่ยวกับปากท้องของเขากำลังรอการแก้ไขอย่างเร่งด่วนอยู่ ” นายณัฐชา กล่าว

"แรมโบ้" ซัด "พิธา ก้าวไกล" หยุดนั่งเทียน - ตีกินทางการเมือง ระบุการปิดประชุมเป็นเรื่องของสภาพิจารณาไม่ใช่เรื่องนายกฯ ยืนยัน นายกฯไม่เคยปัดความรับผิดชอบ และที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างหนัก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่นายกฯไม่เคยมองเห็นความผิดพลาดตัวเอง รัฐบาลต้องการมีอำนาจแต่ไม่ต้องการรับผิดชอบ แก้ปัญหาผิดทิศผิดทาง ผิดซ้ำซาก และค้านปิดสภาฯ

โดยยืนยันว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 มาถูกทางแล้ว ไม่เช่นนั้นการระบาดครั้งที่ผ่านมาจะไม่สามารถคลี่คลายลงได้ และการระบาดครั้งนี้ นายกฯ ได้ใช้ประสบการณ์จากครั้งที่แล้วในการออกมาตรการต่าง ๆ และเข้าใจสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นอย่างดีเพื่อให้ไม่กระทบกับผู้ประกอบการ ด้วยการที่ยังไม่ล็อกดาวน์ประเทศ

พร้อมยืนยันว่านายกฯและรัฐบาลไม่เคยปัดความรับผิดชอบ โดยนายกฯยังได้สั่งตรวจสอบขบวนการลักลอบแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองแล้ว พร้อมให้ดำเนินการปราบปรามบ่อนการพนันอย่างเข้มงวด และให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ นอกจากนี้ยังยืนยันว่านายกฯมีความเป็นห่วงและให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคน และผู้ประกอบการต่าง ๆ ไม่เคยทอดทิ้ง

และการที่ยังต่อ พ.ร.ก. ฉุกเฉินนั้น เพราะเห็นว่าเป็นกฎหมายที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้ในช่วงที่รอให้มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโรคติดต่อ ฉบับปรับปรุงแก้ไข ซึ่งเชื่อว่าประชาชนก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ หรือเว้นแต่ผู้ที่อยากจะทำผิด พ.ร.ก. ฉุกเฉิน อยากให้มีการชุมนุมเท่านั้น ที่อยากให้ยกเลิกในช่วงที่ประเทศเกิดวิกฤตโควิดเช่นนี้

ส่วนที่ นายพิธา ไม่เห็นด้วยกับการปิดประชุมสภาฯนั้น การปิดสภา ไม่เกี่ยวข้องกับนายกฯ เพราะทางสภาฯหารือกันเอง นายกฯไม่ได้ไปสั่งการอะไร ตนเองมองว่านายพิธา คงยังไม่เข้าใจสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในขณะนี้ สถานการณ์เช่นนี้ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคให้มากที่สุด อยากให้นายพิธามองเห็นถึงสุขภาพของเพื่อนสมาชิกสภาฯด้วยกัน มากกว่าจะมาคิดเรื่องของการเมือง

"ความเป็นฝ่ายค้าน ต้องค้านอย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานตรรกะความเป็นจริง มิใช่นั่งเทียนแล้วพูดเดาอย่างไร้เหตุผล เพียงหวังการตีกินทางการเมืองโดยเอาความเดือดร้อนของประชาชนมาหากินทางการเมือง นักการเมืองสไตล์นี้จบเส้นทางการเมืองมาหลายรายแล้ว ตนจึงอยากเห็นนายพิธา จะเป็นตัวอย่างที่ดีในสายตาประชาชน แต่ถ้าเล่นการเมืองแบบเดิม โจมตีกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสี ในที่สุดความเสื่อมศรัทธาจะตามมา พรรคก้าวไกล จะกลายเป็นพรรคก้าวถอยหลังลงคลองในสายตาประชาชนอย่างแน่นอน" นายสุภรณ์ กล่าว

รัฐบาลรับเป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปี วันประสูติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในวันที่ 6 พ.ค. 2566 พร้อมเสนอพระนามให้ยูเนสโกประกาศยกย่องพระเกียรติคุณ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบให้รัฐบาลรับเป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปี วันประสูติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ วันที่ 6 พ.ค.2566 และเสนอพระนามให้องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(องค์การยูเนสโก) ประกาศยกย่องและร่วมเฉลิมฉลองพระเกียรติคุณเป็นบุคคลสำคัญของโลก ในปี 2566

โดยให้มีแผนการดำเนินงานและกิจกรรมการเฉลิมฉลอง 3 ระยะ ได้แก่ แผนการดำเนินงานระยะสั้น กลาง และยาว แบ่งกิจกรรมการเฉลิมฉลองออกเป็นระดับกระทรวงต่าง ๆ และระดับภาคประชาชน ภาคเอกชน และมูลนิธิต่าง ๆ ในพระอุปถัมภ์ โดยไม่ขอผูกพันงบประมาณ

ทั้งนี้ในวันที่ 6 พ.ค.2566 จะเป็นวาระครบรอบ 100 ปี วันประสูติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯซึ่งพระองค์ทรงประกอบพระกรณียกิจนานัปการด้วยพระปณิธานอันแน่วแน่ที่จะทำอะไรให้เมืองไทย ทรงยึดมั่นในคุณค่าของมนุษย์และศักยภาพของการพัฒนา จึงทรงงานและทรงอุปถัมภ์กิจการทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับด้านการศึกษา ด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ การแพทย์และการสาธารณสุข ด้านสังคมสงเคราะห์ ด้านสัมพันธไมตรี การสื่อสารและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ด้านการศาสนาและศิลปวัฒนธรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนและพสกนิกรชาวไทย และทรงเป็นเจ้านายฝ่ายในพระองค์แรกที่ทรงงานในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นเวลา 13 ปี 10 เดือน ในฐานะสมเด็จพระอาจารย์

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า "สำหรับกิจกรรมสำคัญที่จะดำเนินการ เช่น การจัดประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ในด้านภาษาฝรั่งเศสศึกษาในบริบทของสังคมพหุวัฒนธรรม การประชุมวิชาการระดับนานาชาติเรื่อง กัลยาณิวัฒนาวิวิธ การผลิตสื่อและวีดิทัศน์เผยแพร่พระกรณียกิจสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ กับงานด้านพัฒนาสังคมและสังคมสงเคราะห์ นิทรรศการเผยแพร่พระกรณียกิจด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก เป็นต้น"

นายเเพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงรายเขต 1 พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 เเละการจัดหาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในอนาคต

นายแพทย์เอกภพ กล่าวว่า "ตนมีความรู้สึกหงุดหงิดมากกับการจัดการการระบาดของโควิดโดยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดได้สรุปให้เห็นหลักคิดหลักการทำงานของเขาชัดเจนว่าไม่เคยให้ค่าประชาชนและไม่เคยแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตัวเองและพวกพ้อง ในเรื่องของกระบวนการที่สับสนอลหม่านนี้ผมได้เขียนถึงมาหลายรอบแล้ว วันนี้ผมจะเขียนถึงความมั่วซั่วในเรื่องวัคซีนกันครับ"

"จากที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่ารัฐบาลมีความล่าช้าเรื่องวัคซีนกว่าประเทศเพื่อนบ้านจนกระทั่งอยู่ดี ๆ ก็มีการเสนอข่าวว่าในเดือนกุมภาพันธ์ประเทศเราจะมีวัคซีนนำเข้าจากจีนของบริษัท Sinovac ซึ่งเหมือนเป็นข่าวดีนะครับ แต่เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน คณะกรรมาธิการสาธารณสุขได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเรื่องความคืบหน้าของการได้วัคซีนมาฉีดให้ประชาชนไทย ในวันนั้นตลอดการชี้แจงไม่มีการพูดถึงการจะซื้อวัคซีนจากจีนเลย

และยิ่งกว่านั้นเมื่อพยายามหาข้อมูลทางวิชาการของวัคซีนตัวนี้พบว่าเจอแค่ผลการทดลองในเฟส 1 และ 2 แต่ยังไม่มีผลการทดลองในเฟส 3 ซึ่งเป็นการทดลองในประชากรกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า Randomized Controlled Trial ออกมาในฐานข้อมูลของวารสารทางการแพทย์เลย มีแต่การนำเสนอวิธีการศึกษาที่ไม่มีผลการศึกษาเท่านั้น การนำวัคซีนที่ยังไม่มีผลการวิจัยเข้ามาแบบนี้ต้องไปดูขั้นตอนการอนุมัติของ องค์การอาหารเเละยา (อย.) ครับว่ามีการอนุมัติอย่างไร จนมีเสียงลือมาถึงหูผมว่าบางทีวัคซีนตัวนี้อาจมาจากบริษัททุนใหญ่บางบริษัทก็ได้"

นพ.เอกภพ ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า ตามการเสนอข่าวของหลายสำนักข่าวจะพบว่าเราจะมีการได้รับวัคซีนมาฉีดทีละชุด ๆ ในเวลาห่างกันพอสมควรและทีร้ายไปกว่านั้นคือจำนวนประชากรที่จะได้รับวัคซีนมีรวมแล้วก็แค่ประมาณ 20% กว่าของประชากรทั้งประเทศเท่านั้น โดยทั้งที่ตามหลักการแล้ว หากจะหยุดการระบาดของโคโรน่าไวรัสตัวนี้ได้ ต้องให้ประชากรมีภูมิต้านทานประมาณถึง 80% ของประชากร ดังนั้นการได้วัคซีนมาเพียง 20% อาจไม่เพียงพอต่อการหยุดการระบาดได้

โดยข้อมูลในปัจจุบันเรายังไม่รู้ว่าหลังฉีดวัคซีนไปแล้วร่างกายจะคงมีภูมิต้านทานต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่และวัคซีนของแต่ละยี่ห้อให้ระยะเวลาคุ้มกันได้นานต่างกันมั้ย

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดของการจัดหาวัคซีนมาก็ควรจะจัดหา วัคซีนเพื่อทุกคน และกระจายไปหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายเทคโนโลยี รวมทั้งควรมีการระดมฉีดในคราวเดียวกันทั่วประเทศ และเราต้องมาดูว่าหากไม่สามารถจัดหาวัคซีนมาฉีดพร้อมๆ กันได้จะฉีดให้กลุ่มไหนก่อน

แน่นอนว่ากลุ่มเสี่ยงที่สุดคือบุคลากรสาธารณสุขควรเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการป้องกันเพื่อให้เขายังคงทำงานต่อได้อย่างปลอดภัย แล้วต่อไปเราจะเลือกกลุ่มไหนในสัดส่วนอย่างไรระหว่างกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนัก หรือ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อคือคนวัยทำงาน

"ดังนั้นนอกจากการที่ต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอสำหรับทุกคนแล้ว รัฐบาลยังต้องวางแผนการฉีดวัคซีนที่ใช้หลักการทางวิชาการมาสนับสนุนด้วย"

ทั้งนี้ เอกภพ กล่าวทิ้งท้ายว่า "หากเรารอให้ประเทศอื่นฉีดวัคซีนให้ประชากรจนเขาจัดการการระบาดได้แล้ว ประเทศเหล่านั้นจะเริ่มเดินทางไปมาหาสู่กันได้ เพราะประเทศเขาถือว่าสิ้นสุดการระบาดแล้ว ประเทศเราที่ฉีดวัคซีนให้ประชากรจนประกาศสิ้นสุดการระบาดได้ช้าก็จะเสียโอกาสในการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่อัดอั้นมานานได้ช้าด้วย โอกาสฟื้นเศรษฐกิจจากเงินต่างประเทศของเราก็ช้าไป"

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งคุมเข้มทุกโรงงานอุตสาหกรรมและกลุ่มเหมืองแร่ใน 28 จังหวัด พื้นที่เสี่ยงสูงสุด เฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการภาคเอกชนที่อยู่ในความรับผิดชอบกระทรวงอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะผู้ประกอบการเหมืองแร่ทั้ง 28 จังหวัด ที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด มีสถานประกอบการรวมกว่า 49,391 โรงงาน จำนวนคนงานกว่า 3.02 ล้านราย

รวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการวัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย ผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนเครื่องจักร และผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมด้วย

ทั้งนี้ให้ป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคดังกล่าวในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าว ไม่ให้ติดต่อไปยังบุคคลอื่นที่อยู่ในหรือนอกโรงงาน

โดยขอความร่วมมือผู้ประกอบการในพื้นที่เสี่ยงสูงสุดพิจารณาดำเนินการ เช่น ปรับเวลาการปฏิบัติงานของคนงาน เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 , คัดกรองพนักงานทุกคน ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจสอบประวัติการเดินทาง , สุ่มตรวจหาเชื้อโควิดในพนักงาน , เตรียมสถานที่กักตัวผู้ที่ติดเชื้อ , ใช้แอปพลิเคชัน หมอชนะในการมอนิเตอร์ ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานติดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือติดการแถลงข่าวของรัฐบาลเพื่อปฏิบัติตามอย่างใกล้ชิด

ในส่วนของบุคลากรข้าราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงาน ดังนี้

1.) ปรับเวลาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โดยการเหลื่อมเวลาเข้าปฏิบัติการ เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

2.) Work From Home ร้อยละ 50 ของบุคลากร โดยพิจารณาให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนงานขยับเวลาการทำงาน เพื่อลดจำนวนผู้ปฏิบัติงานและปริมาณการเดินทาง ลดความแออัดในการใช้สถานที่ด้วยการปฏิบัติงานที่บ้าน เพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้กับการทำงาน อาทิ การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ วิดีโอคอล แอปพลิเคชันไลน์ หรืออีเมล์มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้มีข้อติดขัด หรือเกิดปัญหากับการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน ทั้งนี้ แม้ว่าจะปรับมาตรการในการทำงาน แต่ภารกิจในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงฯ ก็ยังจะสามารถรักษาประสิทธิภาพการทำงานให้มีความต่อเนื่อง และมุ่งหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด – 19 อย่างได้ผล

3.) คัดกรองเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานในกระทรวงอุตสาหกรรม (ตรวจวัดอุณหภูมิ)

4.) ประชาสัมพันธ์แนวทางป้องกันโควิด DMHTT (Distancing / Mask Wearing / Hand Washing / Testing / Thai Cha Na)

5.) รณรงค์ให้ใช้ Application หมอชนะในการ Monitor ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ

"ตอนนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการออกประกาศ และออกหนังสือขอความร่วมมือสถานประกอบการในพื้นที่เสี่ยงสูงสุด และบุคลากรของกระทรวงอุตสาหกรรมทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามแนวป้องกันและควบคุมการระบาดของโควิด-19 พร้อมเน้นย้ำการปรับมาตรการในการทำงานจะไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้"

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ เผย แพทย์และพยาบาลเป็นด่านหน้าในการจัดการโรคระบาดโควิด-19 มีความเสี่ยงสูง จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก แต่ต้องมั่นใจเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงแนวทางการจัดหาวัคซีน covid-19 โดยระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทย จะได้วัคซีนอย่างเร็วที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จะรับเข้ามาก่อน 2 แสนโดส และจะครบตามจำนวน 2 ล้านโดส ในเดือนเมษายน ปีเดียวกัน ในอนาคต อาจจะได้วัคซีนเร็วกว่านี้ เพราะกำลังเจรจากับผู้ผลิตอีกหลายราย

การเร่งนำวัคซีนเข้ามาก่อนนั้น ส่วนสำคัญมาจากพบการระบาดรอบใหม่ จึงจำเป็นต้องปกป้องดูแลประชาชนก่อน จำเป็นต้องมีการปรับแผน เพื่อให้ได้วัคซีนเร็วขึ้น ทั้งนี้ การพิจารณานำเข้ามานั้น วัคซีนต้องผ่านการรับรองโดยประเทศต้นทางว่ามีประสิทธิภาพและความปลอดภัย เมื่อมาถึงประเทศไทยจะมีกระบวนการตรวจสอบอีกหลายชั้น เพื่อให้คนไทยได้ฉีดวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด

การตกลงซื้อมาคราวละ 2 ล้านโดส เป็นแผนการจัดซื้อ ซึ่งต้องเร่งหามาให้แพทย์ พยาบาล นักรบด่านหน้าก่อน เพราะกลุ่มนี้ มีบทบาทสำคัญในการจัดการโรคระบาด ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงมาก ซึ่งเราจะสูญเสียบุคลากรการแพทย์ไม่ได้ จึงจัดหาวัคซีนมาปกป้อง

จากนั้น เราจะมีวัคซีนของแอสตราเซนนิกา สำหรับฉีดให้ประชาชนที่เหลือต่อไป ระหว่างนั้น จะมีวัคซีนโควิด-19 เข้ามาให้พิจารณาเพิ่มเติม ภาครัฐ จะจัดหาเข้ามาใช้แน่นอน และยืนยันว่าการฉีดเข้าร่างกายคนไทย จะเกิดขึ้นเมื่อวัคซีนนั้น ได้รับการตรวจสอบยืนยันแล้วว่าปลอดภัย มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค

ส่วนเรื่องการล็อกดาวน์ ไม่มีใครอยากให้ไปถึงจุดนั้น ซึ่งในการระบาดรอบแรก ประเทศไทยควบคุมการระบาดได้ เพราะคนไทยช่วยกัน รอบนี้ หากคนไทยยังคงความสามัคคี ร่วมแรง ร่วมใจ ทุกคนจะก้าวผ่านไปได้อย่างแน่นอน ที่สำคัญคือกรุณาปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด เกิดจากการลักลอบเข้าเมืองใช่หรือไม่ เกิดจากการไปเที่ยวบ่อนใช่หรือไม่ ล้วนเป็นกิจกรรมผิดกฎหมาย ประชาชน ต้องช่วยกัน ส่วนภาครัฐต้องใช้มาตรการที่เด็ดขาด

ระหว่างที่รอวัคซีนอยู่นี้ จำเป็นต้องบริหารจัดการอุปกรณ์ป้องกัน และเวชภัณฑ์ ให้เพียงพอ ทั้งในเรื่องของการใช้ และการหามาเพิ่มในสต็อก รวมไปถึงความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ อาทิ การตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งสามารถตั้งได้อย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหน่วยงานในการควบคุม และรักษาโรค มีแผนการตลอดว่า ถ้าเจอผู้ติดเชื้อ ใน 24 ชั่วโมงต้องทำอย่างไร ใน 48 ชั่วโมง ต้องทำอย่างไร ซึ่งปัจจุบันนี้ ปฏิบัติได้ตามแผน

ตอนนี้ ถ้านั่งดูหัวตารางพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เขาเล่นกัน โดยเฉพาะกับทีมดัง ๆ ที่คุ้นตา เริ่มปรับฟอร์มการเล่นให้แฟน ๆ กลับมาชมได้สนุกขึ้น (มั้ง)

จริง ๆ มันก็ไม่ได้สนุกอะไรมากหรอก แค่ ‘ทีมดัง’ ที่เคยอวดโอ้โม้ถ้วยและความสำเร็จสมัยอดีต (หลาย ๆ ทีม) กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ร้อนแรงขึ้น (ทีมไรน้า?) เท่านั้นแหละ

แต่รู้ไหมว่า เวลาเห็นทีมดังๆ กลับมาเล่นได้ดี สิ่งหนึ่งที่คิดแว่บมาในหัวได้แบบไวๆ เลย คือ พวกเมิงก็เล่น ‘ฟอร์มแชมป์’ เป็นเหมือนกันนิหว่า ต่อบอลเข้าท่า กล้าเลี้ยงกล้าลุย จบสกอร์เป็นจบสกอร์ ไม่ป้อไปแป้มา แล้วก็โดนสวนตูมหายแบบเดิม แล้วก่อนหน้านั้นไปกระแดะเล่นทรง ‘ทีมตกชั้น’ เพื่ออัลไล?

คำตอบของเรื่องนี้ มันมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติของผู้เล่น และแท็กติกในการทำทีมของโค้ช ถ้าจะทำให้ดีมัน ก็ทำได้ เพียงแต่ทุกครั้งที่มันดี แล้วผลลัพธ์ไม่ได้ตรงใจ ก็ไม่ใช่ความผิดมหันต์ และควรคงของดี ๆ เอาไว้ อย่าเขว ‘แฟนบอล’ ที่แม่มคอยพร่ำบอกให้เล่นแบบนั้นนี้ ตามสไตล์โค้ชคีย์บอร์ด

เพราะสุดท้ายคนรับผิดชอบมันไม่ใช่ไอ้พวกหลังแป้นว้อยย!!

พอพูดถึงเรื่อง ‘ฟอร์มแชมป์’ กับ ‘ฟอร์มตกชั้น’ มันก็พลันให้จิตโยงคิดมาเรื่องประเทศไทย (ได้ยังไง แต่เออ มันก็วกได้)

เพราะวันก่อนได้อ่านบทความหนึ่งของ อาจารย์ สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ทำให้เบิกเนตรได้พอควรว่า...

‘ประเทศนี้’ มันไม่ใช่เรื่องที่จะมีใครก็ได้จะมาบอกว่าควรทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แล้วก็ไปเชื่อเสียหมด!! แต่เราควรต้องปล่อยให้คนที่มีหน้าที่และทำได้ ทำไปตามเกมที่ถูกต้องและควรจะเป็น

เอาง่าย ๆ ก็กรณีโควิด-19 นี่แหละ!!

วันนี้ เราต้องยอมรับว่า ‘ระลอกใหม่’ หรือใครจะเรียกระลอกสอง ก็ตามแต่ มันกำลังวิ่งแซง ‘ระลอกแรก’ ทั้งในแง่ปริมาณและความร้ายแรง

รู้ไหมว่าเพราะอะไร?

เหตุผลเพราะ การเดินเกมแบบ ‘แชมป์’ หรือที่เคย ‘เล่นตามฟอร์มแชมป์’ ของประเทศไทย มันกำลังเบี่ยงวิถีไปเดินตาม ‘ฟอร์มตกชั้น’ แบบ Why Not?!!

จากมุมมองของ อ.สันต์ ที่เคยเขียนไว้ในเฟซบุ๊กของตน ทำให้ฉุดคิดได้อย่างหนึ่งว่า ตอนที่บ้านเราเจอการติดเชื้อในประเทศ ไม่รวม State Quarantine ที่มีขนาดประมาณ 2,900 คน

แถมมีช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับภาวะโควิดกระจายหนัก ประมาณ 4 เดือน ตั้งแต่ 13 ม.ค. - 18 พ.ค. 2563 เฮ้ย!! เราก็ ‘เอาอยู่’ ไม่ระบาดต่อมาเป็นเวลาอีกหลายเดือนจนถึงปลายปี เพราะการ์ดเราเหนียวมาก

แต่พอมาดูขนาดความรุนแรงของ ระลอกใหม่ ที่ติดเชื้อในประเทศและรวมทุกเชื้อชาติที่โผล่เข้ามา ทำไมมันถึงใหญ่โตกว่าขนาดระลอกแรกได้ไวเยี่ยงนี้

• 2 ม.ค. 2021: 2,893 คน

• 3 ม.ค. 2021: 3,187 คน

• 4 ม.ค. 2021: 3,916 คน

ร่วม ๆ ครึ่งเดือนเท่านั้น หากนับจากจุดเริ่มต้นของระลอกใหม่ ซึ่งมันใช้เวลาสั้นมากในการกระจายตัวของเชื้อ

คนเคยเป็นแชมป์ เล่นกันแบบนี้หรอ?

เหตุผลที่ อ.สันต์ วิเคราะห์ให้เห็น และมันใช่แบบขัดใจคนบางกลุ่ม คือ ‘ความลังเล’ ในการจะเลือกปกป้องอะไรและไม่ปกป้องอะไร ซึ่งบอกก่อนเลยว่ามันไม่ได้ ‘ผิด’ ในเชิงทฤษฎี

นั่นก็เพราะหลากคนก็หลากความคิด แต่ในทางปฏิบัติจริง ชุดความคิดที่กำลังจะพาประเทศไทย ‘ตกชั้น’ นั่นก็เพราะคนในรัฐบาลกลางและที่ปรึกษาจำนวนมาก รวมทั้งฝ่ายค้าน ยังมีความเข้าใจในยุทธวิธีที่คลาดเคลื่อน ที่ว่า…

• ‘ต้องปกป้องเศรษฐกิจไว้ก่อน’

• ‘เอาปากท้องประชาชนไว้ก่อน’

• ‘อย่าริดรอนสิทธิเด็กไม่ให้ไปโรงเรียน’

แล้วก็อีกหลายเหตุผล ที่ฟังตรง ๆ มัน ‘ดิสเครดิต’ มากกว่าป่ะแว้

สิ่งนี้กระทบมาสู่ฟอร์มการเล่นที่โคตรเลอะเทอะ!! ล่าช้า ไม่เฉียบขาด เพราะตลอดร่วม 1 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่า ยุทธวิธี ‘จับปลาสองมือ’ สุดท้ายเศรษฐกิจก็เสียหายหนักกว่าเก่า แถมชีวิตคนมากมายก็ตายเป็นเบือ

ย้ำนะว่า ‘หากเรายิ่งเอาเศรษฐกิจเป็นตัวตั้งมากเท่าไร เศรษฐกิจก็จะยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น’ นี่แหละคือความเป็นจริง

อันที่จริงอยากย้อนเป็นภาพชัดๆ เลยนะว่า ‘ฟอร์มแชมป์’ ของเรามันเฉียบขาดขนาดไหน โดยก่อนหน้านี้ ที่เราเอาอยู่ในระลอกแรก เพราะทุกท่านในรัฐบาลและที่ปรึกษาระดับเจ้าสัวต่างๆ ต่างยกให้ ‘เกม’ ของจีนสีจิ้นผิง ที่โค้ชเข้มจีนในช่วงระลอกแรกจากอู่ฮั่น ได้พาประเทศจาก ‘ตกชั้น’ ขึ้นไปนั่งบัลลังก์จ่าฝูง พาประเทศพ้นโควิด-19 ได้อย่างท็อปฟอร์ม

แต่พอมา ระลอกใหม่ มันแปลกตรงที่ ทำไมเราไปเลือกเล่นฟอร์มแบบทีมท้ายตาราง...

อะไรคือฟอร์มแบบทีมท้ายตาราง? มันเป็นยังไง? และโค้ชรายไหนที่ชี้นิ้วผิดๆ ให้ลองตาม?

ประเทศที่รัฐบาลกลางรณรงค์ให้ประชาชนลดการ์ด และห่วงเศรษฐกิจหนักหนา และพาชาวประชาให้เห็นว่าโควิดไม่ได้น่ากลัวนั้น ก็คือ ‘สหรัฐอเมริกา’ ภายใต้ผู้ที่กำลังจะเป็นอดีตประธานาธิบดีอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และบราซิลภายใต้ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ผู้สร้างวลี “โควิดก็แค่ไข้หวัดเล็กน้อย”

แล้วสรุปผลลัพธ์เป็นไงบ้างจนถึงวันนี้? ใช่เลย!! สองตาที่เห็นเต็มๆ จากทั้ง 2 ประเทศ คือ เศรษฐกิจพัง คนตายเป็นแสนเป็นล้าน

ประเด็น คือ ในทุกวันนี้ หลาย ๆ พฤติกรรมของรัฐบาลเรา ก็ดันเทไปตามสิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ และ ฌาอีร์ โบลโซนารู เทรนเข้าไปเรื่อยๆ อ้าว!! ก็ไหนว่าจะชวนท่านสีจิ้นผิงมาลงทุนในประเทศไทย ทำไมกลับไปเดินตามทรัมป์

ตรงนี้เป็นเรื่องประหลาด แต่เป็นตลกร้ายของจริง เพราะ อ.สันต์ มองว่า ความคิดแบบเศรษฐกิจนำหน้า ได้ปลูกผลไม้พิษเอาไว้สำเร็จ และทำให้คนทั่วโลก รวมถึงไทย อยากเดินตามทรัมป์มากกว่าจะเดินตาม สี จิ้นผิง ในการสู้กับโควิด-19 แบบทิ้งการ์ด เพราะคำว่า ‘เสรีภาพ’ (ถรุย)

นาทีนี้ไทยจะพัง หรือจะปัง จึงขึ้นอยู่ที่จะเลือกเล่นฟอร์มไหน?

ทรัมป์จะเปิดจะปิดจะปล่อยอะไร ก็เรื่องของอดีตผู้มีอำนาจ แต่ในส่วนของไทยขอแค่ไม่ปล่อยการ์ดให้ตก ปิดคือปิด ล็อคคือล็อค เข้มคือเข้ม ไม่แคร์คนหรือเสียงนกเสียงกา แต่มองหาเส้นทางสู่แชมป์ที่แท้จริง แม้จะเล่นฟอร์มอุดแบบ มูริญโญ่ ตอนคุม ปอร์โต้ และ เชลซี จนได้มหาแชมป์มาครอบครอง ก็หาได้แคร์

เพราะ ‘ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ’ (พี่ตูนไม่ได้กล่าวไว้ แต่ร้องไว้) แต่ถ้าไม่มีชีวิต เศรษฐกิจมันจะยังเกิดอีกรึ?

เอาเป็นว่า หลาย ๆ สิ่งที่ไทยเราเคยเดินตามฟอร์มแชมป์แบบจีน จนทำให้ระลอกแรก ‘คุมอยู่’ ไม่รู้ตอนนี้จะต้องมาย่อยยับในระลอกใหม่เพราะระบบคิดในสมองคนมีอำนาจผิดเพี้ยนหรือไม่ อันนี้ยังไม่กล้าพูด แต่แววมันออก

แต่อย่างไรเสีย แม้วันนี้ไทยเราจะ ‘ล่าช้า’ ในการจัดการโควิดระลอกใหม่ แต่ถ้าความเข้มงวดของ ‘โค้ช’ ที่เข้มแข็งและไหวตัวทัน ก็เชื่อว่าไทยยังชนะได้อยู่

ขอแค่คนเป็นแชมป์ต้องรู้ตัวเองว่า เรานี่แหละเคยเป็นแชมป์ เพราะเรามีวิธีของเรา และเราก็จะชนะอีกครั้งหนึ่ง

แต่ต้องเล่นแบบแชมป์นะ ไม่ใช่ไปเล่นแบบทีมตกชั้น!!

เมื่อ ไชน่า = ลิเวอร์พูล

แล้ว แมนยู = อเมริกา...เกี่ยวกันไหม 555+ ทัวร์ลง!!


ที่มา: Sunt Srianthumrong

รมช.มหาดไทย “นิพนธ์ บุญญามณี” ถาม “สิระ” มีหน้าที่อะไร เหตุพาผู้ต้องหาขอดูสำนวนคดีฮั้วประมูลจัดซื้อรถซ่อมบำรุงทางที่ยังไม่เสร็จสิ้น ทำเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ พร้อมขู่ว่าการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ

นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม.พรรคพลังประชารัฐ ได้นำนายอิทธิพล ดวงเดือน กรรมการบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ผู้ต้องหาในคดีอาญา 1975/2562 ของ สภ.เมืองสงขลา เดินทางมาพบกับ พ.ต.อ.ภูวรา แก้วภารัตน์ ผกก.สภ.เมือง สงขลา

เพื่อไปขอดูสำนวนคดีที่ อบจ.สงขลา แจ้งความดำเนินคดีอาญากับบริษัทเอกชน 2 ราย ได้แก่ บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ซึ่งมีนายอิทธิพล เป็นกรรมการ และบริษัท เอส พี เค ออโต้เทค จำกัด ซึ่งมี น.ส. ศศิธร ตั้งตรงคิด เป็นกรรมการ ในข้อหาร่วมกันปลอมเอกสาร และแสดงเอกสารอันเป็นเท็จ เพื่อเข้าประมูลการจัดซื้อรถซ่อมบำรุงทางและร่วมกันสมยอมราคาอันเป็นเหตุให้ อบจ.สงขลา ได้รับความเสียหาย ว่า คดีดังกล่าวยังเป็นคดีที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน

ซึ่งตนมีข้อสังเกตว่า นายสิระ เป็นส.ส.สังกัดพรรคพลังประชารัฐนั้น มีอำนาจมาขอดูสำนวนการสอบสวนที่พนักงานสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นหรือไม่ เพราะนายสิระไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องใด ๆ กับคดี อีกทั้งยังมีข้อน่าสังเกตว่า น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด เช่นกัน ดังนั้นการที่นายสิระ ซึ่งเป็น ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ เดินทางมาขอดูสำนวนคดีดังกล่าวกับพนักงานสอบสวน จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง และบริษัทพลวิศว์ฯ หรือไม่

นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า "ในฐานะที่ตนเป็นอดีตนายก อบจ. สงขลา ข้อเท็จจริงต่างๆ เรื่องนี้อยู่ในสำนวนสอบสวนอยู่แล้ว เหตุเพราะอบจ.สงขลา ได้รับหลักฐานที่ บริษัท พลวิศว์ ฯ และบริษัท เอส พี เค ออโต้เทค ใช้ประกอบยื่นซองประกวดราคาว่าทั้ง 2 บริษัท ยื่นเอกสารปลอมต่อ อบจ.สงขลา และน่าเชื่อว่ามีการฮั้วประมูลกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิสูจน์ความจริงกันไปตามกระบวนการ ดังนั้นทุกฝ่ายไม่ควรเข้าไปแทรกแซงการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรจะมีใครใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะขั้นตอนในชั้นพนักงานสอบสวนถือเป็นกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น รวมทั้งในเรื่องนี้ เมื่อ อบจ. และผู้มีส่วนได้เสียได้ร้องทุกข์กล่าวโทษแล้วก็ขอให้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ ขอให้นายสิระระวังเพราะถ้าเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงจะมีความผิดตามรัฐธรรมนูญ"

"การจะมากล่าวอ้างใดๆ อีกนั้น ผมคิดว่าเป็นการไม่เหมาะสม เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นวุฒิภาวะที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ และโดยปกติการกระทำการใดๆ โดยใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบก็หมิ่นเหม่ต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้ต้องบอกให้ชัดว่านายสิระทำในนามส่วนตัว หรือทำในนามคณะกรรมาธิการ ของสภาฯ" นายนิพนธ์กล่าว

รองนายกรัฐมนตรี ‘พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ รับรู้แล้ว มีบ่อนในกรุงเทพฯ พร้อมโยนหน้าที่ตำรวจ ที่ต้องทำให้ไม่มี พร้อมรับมีขบวนการนำต่างด้าวเข้าเมือง สั่งทหาร - ตำรวจ ตรวจเข้มสกัดทางถนน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีตรวจสอบพบว่ามีบ่อนการพนันในกรุงเทพฯ ว่า เรื่องบ่อนที่ตนบอกว่าไม่มี หมายถึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจท้องที่ ที่จะต้องทำให้บ่อนไม่มี ซึ่งตนไม่ได้หมายความว่าไม่มี เรื่องบ่อนเราก็รู้ ๆ กันอยู่ว่ามี แต่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องทำให้บ่อนไม่มี

ส่วนกรณีการจับกุมชาวโรฮิงยาลักลอบเข้าเมืองมาอยู่ที่เขตดอนเมือง กรุงเทพฯและตรวจพบติดเชื้อโควิด -19 ว่า เจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนอยู่

ขณะที่ หลายฝ่ายยอมรับว่ามีการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าประเทศ แต่ทำไมยังจับขบวนการดังกล่าวไม่ได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราพยายามอยู่ และรู้ว่ามีเข้ามา แต่เป็นเรื่องของเจ้าที่ตำรวจและทหาร ที่ต้องตรวจตราบนถนนเพราะต้องโดยสารมากับรถก็ต้องวิ่งบนถนน ฉะนั้นตำรวจและทหารต้องดูแลล็อกการเดินทางบนถนนให้ได้

ส่วนขบวนการดังกล่าวมีคนมีสีเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราตอบไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง สื่อมวลชนรู้หรือไม่ ถ้ารู้ให้บอกที


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top