Friday, 11 July 2025
NewsFeed

‘ชัยวุฒิ’ ฝาก ‘อิ๊ง’ อย่านำกาสิโนมาสร้างวัฒนธรรมที่ผิด เชื่อจีนไม่เอากาสิโนจริง หวั่นภาคท่องเที่ยวกระทบยาว

‘ชัยวุฒิ’ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เชื่อผู้นำจีน ไม่หนุนกาสิโน พร้อมฝากรมว.วัฒนธรรม อย่านำกาสิโนมาสร้างวัฒนธรรมที่ผิดให้กับคนไทย 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ว่า  ฝากไปถึงรัฐบาลโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คุณอุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อยากให้ช่วยดูแลเรื่องวัฒนธรรมของเมืองไทยให้สวยงาม ให้เป็นแหล่งที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้คนอยากมาเที่ยว เพราะวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย  อย่าไปสร้างวัฒนธรรมที่ผิดๆ เรื่องกาสิโน เรื่องการพนัน ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ดีงามของสังคมไทยอย่างแน่นอน 

สําหรับชาวต่างชาติมองประเทศไทยเป็นประเทศเมืองพุทธ เมืองที่สงบสุขปลอดภัย คนต่างชาติก็อยากมาเที่ยวอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไปทำกาสิโนทําให้เป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัย ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศจีนก็จะไม่อยากมาเที่ยวเมืองไทยของเรา 

“ผมว่าทุกประเทศในโลกก็ไม่เห็นด้วยกับ การพนัน ไม่อยากให้ประชาชนพลเมืองเค้าไปเล่นการพนันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผมทราบมาว่าประเทศจีนตอนนี้ก็มีการจํากัดการเดินทางไปมาเก๊า ไม่อยากให้คนไปเล่นการพนัน ให้เดินทางไปปีนึงไม่เกิน 3-4 ครั้ง ซึ่งผมคิดว่าก็เป็นสิ่งที่ไม่แปลกที่เค้าจะไม่อยากให้คนจีนมาเที่ยวเมืองไทยถ้าเมืองไทยมีกาสิโน เพราะว่าจะเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนคนจีนอย่างแน่นอน ซึ่งก็หมายความว่าถ้าเรามีกาสิโนการท่องเที่ยวก็จะได้ผลกระทบรุนแรงแน่นอน”

ทั้งนี้  อยากให้รัฐบาลคิดถึงเรื่องนี้ให้ดี ส่งเสริมการท่องเที่ยวเอาใจใส่ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวให้ดี เพราะตอนนี้พี่น้องประชาชนที่อยู่ในภาคธุรกิจท่องเที่ยวเดือดร้อนกันมาก ขอให้เอาใจใส่แล้วเข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาโดยด่วน นี่ก็เป็นเรื่องสําคัญที่อยากให้รัฐบาลพิจารณาส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง วันนี้คนที่อยู่ในธุรกิจทางท่องเที่ยวเดือดร้อนกันมาก นักท่องเที่ยวหายไปทั้งจากจีนและหลายประเทศ โดยเฉพาะถ้าเรามีการส่งเสริมเรื่องความปลอดภัย เรื่องการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่ดี  น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าการทำกาสิโน เพราะการทำกาสิโนจะทําให้หลายประเทศอาจจะต่อต้าน ไม่อยากให้คนในประเทศของเขาเข้ามาเที่ยวเมืองไทยในอนาคต

สหรัฐฯ ใช้ช่องทาง ‘ไทย-เม็กซิโก’ นำเข้าแร่หายาก หลังจีนสั่งแบนส่งแร่ให้สหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายปี 2567

จีนแบนแร่หายากไม่ให้ส่งเข้าสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ กลับหาช่องทางนำเข้าได้ โดยผ่านประเทศที่ 3 อย่างไทย และเม็กซิโก 

(10 ก.ค.68) สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่ามีแร่แอนติโมนี หรือพลวง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตชิปคอมพิวเตอร์ และรถยนต์ นำเข้าสู่สหรัฐฯ มากเป็นผิดปกติ ผ่านประเทศที่ 3 อย่างไทย และเม็กซิโก ตั้งแต่จีนประกาศแบนการส่งชิปให้สหรัฐฯ เมื่อปลายปี 2024

จีนประกาศแบนการส่งแร่เหล่านี้ให้สหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ไปให้จีนแต่บันทึกของศุลกากรสหรัฐฯ และการจัดส่งแสดงข้อมูลว่า มีบริษัทที่จีนเป็นเจ้าอย่างน้อยหนึ่งแห่งที่มีส่วนในการค้ากับสหรัฐฯ 

โดยข้อมูลการค้าแสดงให้เห็นเส้นทางใหม่ในการจัดส่งแร่ไปยังสหรัฐฯ ผ่านประเทศที่ 3 ตั้งแต่จีนแบนการส่งแร่ ทั้งสหรัฐฯ ยังนําเข้าพลวงออกไซด์ 3,834 เมตริกตันจากไทยและเม็กซิโก ในเดือนธันวาคม-เมษายน ซึ่งจำนวนนี้ ถือว่า เกือบมากกว่าการนำเข้าของ 3 ปีรวมกัน ทั้งไทยและเม็กซิโก ยังพุ่งเข้าสู่ 3 อันดับแรก ที่จีนส่งออกแร่พลวง ทั้งที่ในปี 2023 ก่อนการจำกัดการส่งออกนั้น ทั้งสองประเทศไม่ได้อยู่ในลิสต์ท็อป 10 

รอยเตอร์ได้เปิดเผยบริษัทในไทย ที่ชื่อว่าบริษัท Thai Unipet Industries ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Youngsun Chemicals ผู้ผลิตแอนติโมนีของจีนที่ตั้งอยู่ในไทย และเป็นบริษัทที่มียอดการค้าขายกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลพบว่า Thai Unipet จัดส่งแร่พลวงอย่างน้อย 3,366 ตันจากไทยไปยังสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนธันวาคม - พฤษภาคม ซึ่งเพิ่มถึงกว่า 27 เท่าของช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ซึ่งเมื่อรอยเตอร์พยายามติดต่อไปยังบริษัทนี้เพื่อสอบถาม ก็ไม่ได้รับการตอบกลับทั้งยังได้รับแจ้งว่าเบอร์โทรนั้นไม่ถูกต้องด้วย 

รายงานของ RFC Ambrian ยังพบว่าประเทศไทยและเม็กซิโกต่างมีโรงหลอมพลวงเพียงแห่งเดียว และโรงงานนั้นได้เปิดตัวอีกครั้งในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งยังไม่มีข้อมูลว่า มีประเทศใดขุดโลหะในปริมาณที่มากด้วย 

ทั้งจากสถิติยังพบว่า แม้จะถูกแบนจากจีน แต่การนำเข้าพลวง แกลเลียม และเจอร์เมเนียมของสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมานั้นเทียบเท่า หรือมากกว่าก่อนจีนจะแบน แม้ว่าจะซื้อในราคาที่สูงกว่า ซึ่งมีการมองว่า การส่งแร่จากจีน ด้วยการผ่านประเทศที่ 3 นั้น เป็นวิธีหลีกเลี่ยงกฎระเบียบ 

แม้จีนจะแบนการส่งออกแร่หายากอย่าง 'พลวง' ให้สหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายปี 2024 แต่สหรัฐฯ ยังนำเข้าแร่ผ่านประเทศที่ 3 อย่างไทยและเม็กซิโกได้ต่อเนื่อง ข้อมูลชี้ว่าบริษัทลูกของจีนในไทยมีบทบาทสำคัญในการส่งแร่ไปสหรัฐฯ มากขึ้นกว่าปีที่แล้วกว่า 27 เท่า

ด้านกระทรวงพาณิชย์ของจีนเอง ก็ได้กล่าวในเดือนพฤษภาคมว่ามีการดำเนินการในต่างประเทศที่ "สมรู้ร่วมคิดกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายในประเทศ" เพื่อหลบเลี่ยงข้อจํากัดการส่งออก ทั้งยังเริ่มเรียกร้องให้ต่อต้านการขนส่งและลักลอบขนย้ายแร่ธาตุ ซึ่งผู้ฝ่าฝืนอาจถูกโทษจำคุก โดยกฎหมายนี้บังคับใช้กับบริษัทจีนที่แม้ทำธุรกรรมในต่างประเทศก็ตาม 

จีน เป็นประเทศที่ครองอุปทานแร่อย่าง พลวง แกลเลียม และเจอร์เมเนียม ที่ใช้ในการผลิตชิป, สื่อสารโทรคมนาคมเซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีทางทหาร ซึ่งตั้งแต่กลางปี 2024 จีนเริ่มจำกัดการส่งแร่เหล่านี้ โดยกำหนดให้บริษัทที่ส่งแร่ไปสหรัฐฯ ต้องขอใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ ก่อนจะห้ามส่งออกอย่างจริงจังในเดือนธันวาคม 

นอกจากการนำเข้าแล้ว ในเดือนเมษายนเอง โดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศอนุมัติโครงการเหมืองแร่ 10 แห่งทั่วสหรัฐฯ หวังเพิ่มการผลิตแร่สำคัญอย่างทองแดง พลวง และแร่อื่น ๆ เพื่อหวังลดการพึ่งพาแร่จากจีนด้วย 

‘เคทีซี’ ผนึกค้าปลีกทั่วประเทศผุดแคมเปญ Mid-Year Sale ฝ่ากระแสเศรษฐกิจซบเซา มอบส่วนลด-เงินคืนสูงสุด 20%

(10 ก.ค.68) เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สนับสนุนการใช้จ่ายอย่างมีคุณค่า พร้อมแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้บริโภคผ่านแคมเปญ 'Mid-Year Sale' โดยร่วมมือกับห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และแฟชั่นแบรนด์ทั่วประเทศ ท่ามกลางบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ยังคงท้าทาย เคทีซีพร้อมเดินหน้าส่งเสริมทุกการใช้จ่ายให้คุ้มค่าและคล่องตัว หวังกระตุ้นบรรยากาศจับจ่ายและเสริมสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจค้าปลีกในช่วงกลางปี มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีรับส่วนลดหรือเครดิตเงินคืนสูงสุด 20% ผ่านการใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่าย

นายสรชัช ศรีลมูล ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายใต้บริบทที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายและยังมีความไม่แน่นอน รวมถึงราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น เคทีซีตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยเพื่อส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับตลาดผ่านการบริโภคภายในประเทศ จึงร่วมมือกับห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และแฟชั่นแบรนด์ทั่วประเทศ เปิดตัวแคมเปญ Mid-Year Sale ให้ได้รับประสบการณ์การใช้จ่ายที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ในทุกมิติ เมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี และใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป รับส่วนลดเพิ่มหรือเครดิตเงินคืนสูงสุด 20% โดยมีรายละเอียดดังนี้

สมาชิกที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี ระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 – วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่ร่วมรายการ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ทุกสาขา / ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ทุกสาขา / ห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์กรุ๊ป (เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ และเดอะมอลล์ ทุกสาขา, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์, เอ็มสเฟียร์, พารากอน, สกายพอร์ต ดอนเมือง และบลูพอร์ต (เฉพาะโซนดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ และพาวเวอร์ มอลล์) / ห้างสรรพสินค้าสยาม ทาคาชิมายะ / สยามดิสคัฟเวอรี่ และ ไอคอนสยาม เฉพาะในส่วนของพื้นที่โอเพ่น สเปซ และเคาน์เตอร์แบรนด์สินค้าที่ร่วมรายการ หรือช่องทางบริการสั่งซื้อสินค้าของห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการ ได้แก่  Line Chat & Shop / Facebook Live และ Personal Shopper 1425 ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและห้างสรรพสินค้าโรบินสัน / Central Online Application และ www.central.co.th หรือ ช่องทาง M Chat & Shop ของห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ กรุ๊ป แลกคะแนนรับส่วนลดเพิ่มหรือเครดิตเงินคืนสูงสุด 20% (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ktc.promo/midyear) รวมถึงสมาชิกที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีที่ร้านค้าลักชูรี่แบรนด์ (Luxury brands) ภายในโซน Luxe Galleries ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลม แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 20% (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ktc.promo/chidlom-luxe)

สมาชิกที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี ระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน 2568 – วันที่ 31 สิงหาคม 2568 ที่ศูนย์การค้าชั้นนำ ได้แก่ สยามพารากอน, ไอคอนสยาม, เซ็นทรัล เอ็มบาสซี, เซ็นทรัล ภูเก็ต และเกษรวิลเลจ เฉพาะร้านค้าลักชูรี่แบรนด์ในหมวด เสื้อผ้า, กระเป๋า, รองเท้า และนาฬิกา แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18%  (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ktc.promo/fashion-luxurybrands2025)

สมาชิกที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี ระหว่างวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 – วันที่ 31 สิงหาคม 2568 ที่ร้านค้าแฟชันแบรนด์ที่ร่วมรายการ ได้แก่ Club 21, เครือ PP Group และเครือ Pacifica แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18% และสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในเครือ Jaspal, เครือ CMG, เครือ H&M, เครือ RSH, ร้านแบรนด์ COS, ร้านแบรนด์ Pomelo, ร้านแบรนด์ Mango แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18% หรือแลกคะแนนรับสิทธิ์ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ktc.promo/fashion-eos2025)

‘พีระพันธุ์’ เผยอินเวอร์เตอร์ฝีมือคนไทยผ่านมาตรฐานแล้ว พร้อมเร่งเดินหน้าผลิตล็อตแรก ช่วยลดค่าไฟให้ประชาชน

ไม่นานเกินรอ!! อินเวอร์เตอร์ฝีมือคนไทยผ่านมาตรฐานแล้ว พร้อมผลิตล็อตแรก ช่วยลดค่าไฟให้ประชาชน

‘พีระพันธุ์’ เดินหน้าแก้ปัญหาค่าไฟแพง ส่งเสริมนวัตกรรมฝีมือคนไทย ล่าสุด อินเวอร์เตอร์ต้นแบบสำหรับโซลาร์รูฟท็อป ที่พัฒนาโดย ‘ครูน้อย’ หรือ นายทวีชัย ไกรดวง ได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เรียบร้อยแล้ว เตรียมเดินหน้าผลิตล็อตแรก 10,000 ชุด เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้มาจากการที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดสกลนคร และได้เห็นผลงานของ ‘ครูน้อย’ จึงผลักดันให้มีการพัฒนาต่อยอด จนสามารถยกระดับมาตรฐานได้สำเร็จ

ครูน้อย เป็นช่างไฟฟ้าคนไทยที่ทุ่มเททำงานด้านนวัตกรรมมาโดยตลอด แม้ไม่ได้จบการศึกษาด้านวิศวกรรมโดยตรง แต่ด้วยประสบการณ์และความตั้งใจ เขาสามารถคิดค้นอินเวอร์เตอร์ต้นแบบ ที่ใช้ร่วมกับแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าในบ้านได้สำเร็จ ถือเป็นตัวอย่างของคนไทยที่สามารถพัฒนานวัตกรรมได้เองในประเทศ

อินเวอร์เตอร์รุ่นนี้เป็นระบบ On-Grid ขนาด 5.5 กิโลวัตต์ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 5,000 วัตต์ เพียงพอสำหรับการใช้ไฟในบ้านบางส่วน ช่วยลดค่าไฟจากระบบไฟฟ้าปกติอย่างเห็นผล นอกจากนี้ ยังผ่านการทดสอบสำคัญครบ 3 ด้าน คือ
• ความปลอดภัยในการเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้า (Grid Code)
• ทดสอบป้องกันฝุ่น น้ำ ความร้อน และไฟฟ้ารั่ว (Safety Test)
• ป้องกันสัญญาณรบกวนที่กระทบอุปกรณ์อื่นในบ้าน (EMC Test)

ทั้งนี้ เบื้องต้นกระทรวงพลังงานตั้งเป้าผลิตอินเวอร์เตอร์ลอตแรก 10,000 ชุด เพื่อลดต้นทุนการผลิต และให้ประชาชนสามารถซื้อใช้ในราคาถูกกว่าสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในครัวเรือน

นอกจากเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์  นายพีระพันธุ์ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกำลังเร่งผลักดันกฎหมายด้านพลังงานชุดใหม่ เพื่อลดขั้นตอนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ปรับโครงสร้างพลังงานให้โปร่งใส เป็นธรรม และลดการผูกขาด เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานสะอาดได้มากขึ้น

ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง “รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง” ของนายพีระพันธุ์ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ และทำให้คนไทยมีทางเลือกในการผลิตไฟฟ้าใช้เองได้จริง

‘แม่ทัพภาค 2’ วอนคนไทยใช้สติปมเขมรปล่อยคลิปยั่วยุ ชี้ เป็นเพียงการทำไอโอการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน

(10 ก.ค.68) อุบลราชธานี - แม่ทัพกุ้ง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 วอนประชาชนอย่าใช้อารมณ์ในการดูคลิปที่ฝั่งตรงข้ามปล่อยมา เพราะบางครั้งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น เป็นการสร้างไอโอทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน ยืนยันความสัมพันธ์อยู่ในเกณฑ์ดีไม่มีปัญหาอะไร

จากกรณีที่ทางฝ่ายกัมพูชาปล่อยคลิปทหารไทย มีปากเสียงกับทางทหารกัมพูชา ที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกชี้แจงว่า เหตุดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. โดยสื่อของฝ่ายกัมพูชาได้นำเสนอคลิปวิดีโอการโต้เถียงระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารไทยและทหารกัมพูชาลงโซเชียลนั้น

จากการตรวจสอบของหน่วยที่เกี่ยวข้อง พบว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นบริเวณช่องอานม้า ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกองร้อยทหารพราน 2310 โดยกำลังพลประมาณ 7 นาย ได้จัดเตรียมสถานที่เพื่อรองรับกิจกรรมภายในของหน่วย และกิจกรรมการตรวจเยี่ยมของผู้บังคับบัญชาคาดว่าฝ่ายกัมพูชาเห็นว่าฝ่ายทหารไทยมีการปฏิบัติต่างไปจากวันปกติทั่วไปจึงอยากเข้ามาสังเกตการณ์ใกล้ ๆ

แต่เมื่อเข้าใกล้พื้นที่มากกว่าขอบเขตที่กำหนด ทหารไทยจึงแสดงตนเข้าชี้แจงและขอให้อยู่ในระยะที่เหมาะสม เป็นเหตุให้เกิดการโต้เถียงกันด้วยวาจาตามที่ปรากฏข่าว แต่ทั้งสองฝ่ายได้มีการอธิบายทำความเข้าใจกัน จนเป็นที่เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ บริเวณที่ฝ่ายไทยจัดกิจกรรม มิได้เป็นการรุกล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชา ตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด

ขณะที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตามคลิปดังกล่าวว่า ตนขอฝากถึงพี่น้องประชาชนคนไทยในช่วงนี้อาจจะมีคลิปที่กระทบต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชน ต่อทหารไทย และ ทหาร กัมพูชา ที่อาจจะกระทบกระทั่งกันตามแนวชายแดนบางจุดบางเวลา ซึ่งบางครั้งมันมีต้นเหตุ แต่ต้นเหตุมันไม่ใช่ตามคลิปที่ออกไป อีกฝ่ายหนึ่งจะตัดเอาเฉพาะในส่วนเป็นผลบวกกับอีกตนเองมาเผยแพร่

ซึ่งคลิปส่วนใหญ่จะไม่ได้เกิดจากพี่น้องคนไทย ทหารไทยไม่ได้ทำคลิปพวกนี้เราไม่ค่อยทำกัน เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คลิปเหล่านั้นเป็นคลิปที่ผู้ไม่หวังดีจากประเทศเพื่อนบ้านสื่อสารออกมาบางอย่างนั้นก็เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการเมืองของประเทศฝ่ายตรงข้าม ของประเทศข้างเคียง

ในส่วนของเราขอให้พี่น้องได้พิจารณาให้ดีคลิปต่างๆเหล่านั้นว่า ต้นคลิปมาจากที่ใดถ้าเป็นของกองทัพ หรือเป็นคนไทยนั้น อาจเป็นที่น่าเชื่อถือได้

ปัจจุบันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทหารไทย - กัมพูชา อยู่ในเกณฑ์ดีไม่มีปัญหาอะไร มีบ้างที่เราลาดตระเวนเจอกัน หรือบางจุดที่อาจจะปะทะคารมกันบ้าง แต่เราก็เราก็ไม่ได้ใช้อาวุธ หรือ มีเหตุรุนแรงจนบานปลาย เราพยายามพูดคุยกันกับพี่น้องผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่ พูดคุยกันโดยตลอดขอให้ใช้สติอย่าใช้อารมณ์ต่อคลิปที่เห็นในสิ่งที่เห็นประชาชนขอให้ฟังคำชี้แจงจากกองทัพหรือส่วนรัฐบาลที่จะชี้แจงเป็นหลักเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยตามแนวชายแดนช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง

หลังจากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้มีการร้องเพลง จดหมายจากแนวของ ยอดรัก สลักใจ หน้าร่วมกับ นายเสถียร สุภากุล หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ เสถียร ทำมือ นักร้องเพลงลูกทุ่งเพื่อชีวิตก่อนจะเข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาที่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 (ค่ายพิทักษ์อุทุมพรเขต) อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

‘ดร.กอบศักดิ์’ ประเมินท่าที ‘ทรัมป์’ คาดรอบนี้ของจริง เชื่อ สหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษี 1 ส.ค. นี้ ไทยโดน 36%

‘ดร.กอบศักดิ์’ วิเคราะห์ท่าที ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ คาดรอบนี้ของจริง สหรัฐไม่ถอยเก็บภาษีตอบโต้แล้ว เดินหน้าขึ้นภาษี 1 ส.ค. นี้ ไทยโดน 36% 

(10 ก.ค.68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊ก 'Kobsak Pootrakool' ระบุว่า ครั้งนี้ของจริง !!! รอบนี้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ คงจะไม่มีการถอยเรื่องการเก็บภาษี Tariffs ที่ประกาศออกมา โดยที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนที่จะมากดดันให้ประธานาธิบดีสหรัฐเปลี่ยนใจได้หายไปมาก

1.ตลาดทุน-รอบนี้ตลาดทุนแทบจะไม่มีอาการเข่าอ่อนเช่นเดียวกับช่วงต้นเมษายน Dow Jones, S&P500, Nasdaq, ตลาดพันธบัตรสหรัฐ, ค่าเงินสหรัฐ, VIX และราคาทองคำปรับน้อยมาก ทั้ง ๆ ที่ตัวเลข Tariffs ที่ออกมาสำหรับประเทศส่วนใหญ่แทบจะไม่แตกต่างจากเมื่อ 2 เมษายนที่ผ่านมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะตลาดรับข่าวไปมากแล้ว และสำหรับจีน ซึ่งเป็นคู่กรณีสำคัญนั้น สหรัฐคงได้รับบทเรียนไปมาก และมีสายตรงที่จะคุยกับทีมจีน

ทั้งนี้ การที่ดัชนีหุ้นสหรัฐอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเมษายนมาก หมายความว่า ประธานาธิบดีสหรัฐสามารถสบายใจเรื่องนี้ มีช่องให้ประกาศภาษีต่าง ๆ ที่ท่านต้องการ โดยไม่ต้องกังวลใจเช่นรอบที่แล้ว

2.ผู้ประกอบการสหรัฐ-การที่สหรัฐยอมถอย 90 วัน และยอมเก็บที่อัตรา 10% ได้ช่วยเปิดช่องในการหายใจให้กับภาคธุรกิจสหรัฐ จากเดิมทุกอย่างมากะทันหันมาก อัตราภาษีที่จะถูกเก็บก็สูงมาก ทำให้หลายธุรกิจปรับตัวไม่ทัน แต่ 90 วันที่ยอมชะลอไว้ได้เปิดช่องให้ทุกคนเร่งนำเข้า Raw Materials และสินค้าต่าง ๆ และหา Suppliers ใหม่ที่ไม่ใช่ผู้ผลิตจีน เพราะทุกคนรู้ว่าถ้ารอผลเจรจายังไงก็ไม่ได้ภาษีที่ดีกว่า 10% และจีนก็จะโดนภาษีสูงกว่าคนอื่น ๆ สั่งนำเข้าช่วง 90 วัน น่าจะได้ถูกที่สุดแล้ว

ทำให้ในปัจจุบันผู้ประกอบการสหรัฐน่าจะมีสต๊อกของวัตถุดิบและสินค้าพอที่จะไปถึงปลายปีนี้ หมายถึงว่าพออัตราของทุกประเทศประกาศออกมาหมดแล้ว ก็จะมีเวลา 5-6 เดือน ในการเลือก Suppliers ที่ถูกสุดสำหรับปี 2569 ความจำเป็นที่ต้องออกมากดดันประธานาธิบดีจากกลุ่มนี้จึงลดลงมาก

นอกจากนี้ การที่มีวัตถุดิบที่มีต้นทุนภาษีเพิ่มแค่ 10% ก็หมายความว่าแรงกดดันต่อเงินเฟ้อสหรัฐก็จะยังไม่มาก จนกระทั่งต้นปีหน้าไปแล้ว

3.ประชาชนสหรัฐ-การที่กฎหมาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ผ่านสภาเรียบร้อย ก็มีนัยยะสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อช่วงเมษายนประชาชนมีแต่ด้านลบ จากภาษีนำเข้าที่ขึ้นมาก่อน เพราะทำได้เร็ว แต่การช่วยเหลือจากรัฐบาลด้วยการลดภาษี No tax on tips, No tax on overtime, No tax on Social Security benefits ตลอดจนความช่วยเหลืออื่น ๆ ที่จัดไว้ใน OBBB (รวมถึงการช่วยเหลือ SMEs และธุรกิจสหรัฐ) เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาผ่านสภา

“แต่เมื่อกฎหมายนี้เรียบร้อยแล้ว สำหรับประชาชนสหรัฐก็จะมีสองด้าน ด้านหนึ่งต้องจ่ายเงินเพิ่มจากสินค้าที่แพงขึ้น อีกด้านกระเป๋าตังค์ที่มีเงินมากขึ้น ที่ทำให้ผลกระทบต่อประชาชนลดลง ความยอมรับ การรับได้ก็จะมากขึ้น แรงกดดันต่อท่านประธานาธิบดีในส่วนนี้ก็จะลดลง”

4.การเมืองสหรัฐ-นอกจากภาคประชาชนที่นิ่งขึ้น ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ Mr.Bessent ออกมาบอกว่า ตั้งแต่ต้นปีนี้สหรัฐเก็บภาษีจากการนำเข้าแล้วประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งปี 2568 จะมีภาษีที่เก็บได้จากการนำเข้ามากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มาช่วยปิดช่องว่างของการขาดดุลการคลัง และใช้ในการลดภาษีให้กับคนสหรัฐ

“ยิ่งเห็นเงินมากเช่นนี้ ท่านประธานาธิบดีก็คงยากที่จะถอยในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ดีลต่าง ๆ ที่สหรัฐได้มา ที่เป็น 'Good Deals' ก็จะทำให้ความยอมรับก็จะมากขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดรวมกันแล้วนำไปสู่ข้อสรุปเดียว “ครั้งนี้ของจริง”?? 1 สิงหาคม จะเป็นจุดเริ่มต้นของอัตรา Tariffs ใหม่สำหรับทุกประเทศ โอกาสที่จะชะลอรอบนี้น้อยมาก !!!”

ดร.กอบศักดิ์ชี้ว่า ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้าคงจะเห็นตัวเลขครบทุกประเทศ ที่จะมากำหนด New Trade Landscape หรือโครงสร้างการค้าโลกใหม่ ว่าใครมีแต้มต่อ ใครจะได้เปรียบ ใครจะแข่งขันได้ดี ใครจะอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ ซึ่งมีนัยยะอย่างยิ่งต่อระบบการค้าโลก ภาคส่งออกและภาคอุตสาหกรรมไทย ไม่นับ Tariffs อื่น ๆ ที่จะออกมาเพิ่มเติมสำหรับ BRICS สำหรับบางอุตสาหกรรมสำคัญ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะทำคิดขึ้นมาได้ และทำต่อไป

CNN เปิดเทปลับ ‘ทรัมป์’ เคยขู่ ‘ปูติน-สี จิ้นผิง’ ลั่นจะถล่ม ‘มอสโก – ปักกิ่ง’ หากบุก ‘ยูเครน – ไต้หวัน’

เทปเสียงหลุดทรัมป์ขู่บอมบ์มอสโก-ปักกิ่ง CNN เปิดเทปลับ เผยทรัมป์เคยขู่ปูติน-สี จิ้นผิง จะ 'บอมบ์' เมืองหลวงหากบุกยูเครน-ไต้หวัน! ย้ำเด็ดขาดทุกนโยบาย ทั้งในและนอกประเทศ 

(10 ก.ค.68) สำนักข่าว CNN เปิดเผยเทปเสียงลับที่สะเทือนวงการการเมือง จากงานระดมทุนปี 2024 ที่เผยให้เห็นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในมุมที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าเคยขู่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย หากรัสเซียบุกยูเครน สหรัฐฯ จะ 'ทิ้งระเบิดใส่มอสโก' ตามเสียงบันทึกจากงานระดมทุนที่จัดขึ้นในนิวยอร์กและฟลอริดา

ในเทปเสียงที่เปิดเผยครั้งนี้ ทรัมป์เล่าถึงการสนทนากับปูตินว่า "กับปูติน ผมบอกว่า 'ถ้านายบุกยูเครน ฉันจะบอมบ์มอสโกให้ยับเลยนะ ฉันไม่มีทางเลือก' ...เขาทำเหมือนไม่เชื่อ แต่สุดท้ายเขาเชื่อผม 10%" การเปิดเผยครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การข่มขู่ที่ทรัมป์ใช้ในการจัดการกับผู้นำต่างชาติ

นอกจากรัสเซียแล้ว ทรัมป์ยังอ้างว่าเคยขู่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในลักษณะเดียวกัน หากจีนคิดจะบุกไต้หวัน โดยบอกอย่างเด็ดขาดว่า "ถ้าทำ ฉันจะบอมบ์ปักกิ่ง" พร้อมกับเสริมอย่างภาคภูมิใจว่า "เขาคิดว่าผมบ้า" แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็คือ "เราไม่เคยมีปัญหา" สะท้อนถึงการใช้ภาพลักษณ์ที่คาดเดาไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการทูต

คำพูดที่น่าตกใจเหล่านี้ถูกเปิดเผยในเทปเสียงที่นำไปใช้ประกอบการเขียนหนังสือ '2024' โดยนักข่าว Josh Dawsey, Tyler Pager และ Isaac Arnsdorf ทรัมป์ใช้ท่าทีแข็งกร้าวและการข่มขู่ผู้นำต่างชาติเป็นจุดขายหลักในการหาเสียง โดยอ้างเสมอว่าหากเขาเป็นประธานาธิบดี สงครามในยูเครนและความขัดแย้งในกาซาจะไม่เกิดขึ้น

ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี ทรัมป์ได้แสดงความไม่พอใจต่อปูตินอย่างเปิดเผยและชัดเจน โดยระบุว่า "ผมไม่พอใจปูตินเลย" และ "เราโดนเขาโยนเรื่องไร้สาระใส่มาเยอะมาก" การแสดงออกครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างเด่นชัดจากการหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ปูตินโดยตรงในอดีต สะท้อนถึงความผิดหวังจากการเจรจาที่ไม่คืบหน้า

ในส่วนของนโยบายภายใน เทปเสียงเผยให้เห็นท่าทีที่เด็ดขาดของทรัมป์ โดยระบุว่าหากได้เป็นประธานาธิบดี จะดำเนินการเนรเทศนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวประท้วง โดยเฉพาะกลุ่มที่แสดงการสนับสนุนปาเลสไตน์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ "นักศึกษาคนไหนที่ประท้วง ผมจะไล่ออกนอกประเทศ ...ผมว่ามันจะหยุดทันที" ทรัมป์กล่าวอย่างมั่นใจ พร้อมกับย้ำกับผู้บริจาคว่า หากเขาได้รับเลือกตั้ง จะ "ย้อนกระแสขบวนการนี้กลับไป 25-30 ปี"

ในด้านการระดมทุน ทรัมป์ยังอวดเทคนิคและความสำเร็จในการโน้มน้าวผู้บริจาครายใหญ่ โดยเล่าถึงกรณีศึกษาที่มีผู้สนใจเสนอเงิน 1 ล้านดอลลาร์เพื่อได้โอกาสทานอาหารกลางวันกับเขา แต่ทรัมป์สามารถใช้เทคนิคการเจรจาต่อรองโน้มน้าวให้ผู้บริจาครายนั้นเพิ่มจำนวนเงินเป็น 25 ล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ "คุณต้องกล้าขอ ...ต้องทำให้พวกเขาคิดในแบบที่คุณต้องการ" เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจ

เทปเสียงจากงานระดมทุนปี 2024 ครั้งนี้เผยให้เห็นภาพที่ชัดเจนของทรัมป์ในมุมที่ตรงไปตรงมาและแข็งกร้าว ทั้งในด้านนโยบายต่างประเทศที่พร้อมใช้การข่มขู่และความรุนแรงต่อผู้นำมหาอำนาจโลก และนโยบายภายในที่เน้นความเด็ดขาดต่อผู้ที่คิดเห็นต่างทางการเมือง รวมถึงเทคนิคการระดมทุนจากผู้สนับสนุนระดับสูง ท่าทีและกลยุทธ์เหล่านี้สะท้อนถึงแนวทางการหาเสียงที่เน้นความเข้มแข็งและการใช้อำนาจต่อรองอย่างหนักในทุกเวทีและทุกระดับ

สตูล จัดพิธีเปิดโครงการน้ำพระทัยพระราชทานส่วนภูมิภาค สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ 77 จังหวัด ประจำปี 2568

เมื่อวานนี้ (9 ก.ค.68) นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการน้ำพระทัยพระราชทานส่วนภูมิภาค สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ 77 จังหวัด ประจำปี 2568 โดยมี ทันตแพทย์หญิงสุกีรติ กปิลกาญจน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ซึ่งจัดขึ้น ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ศาลากลางจังหวัดสตูล ตำบลพิมาน อำเภอเมืองสตูล

พิธีเปิดเริ่มเวลา 11.00 น. โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายราชสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมกล่าวอาศิรวาท และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม 2568 โดยกิจกรรมประกอบด้วยการมอบอาหารกล่องปรุงสุกแก่ผู้สูงอายุ จำนวน 200 คน

โครงการ 'น้ำพระทัยพระราชทาน' ดำเนินการโดย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งได้น้อมเกล้าฯ รับพระราชเสาวนีย์ใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 27 ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน โดยภายหลังเสร็จสิ้นพิธี ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมมอบอาหารกล่องแก่ผู้สูงอายุในบรรยากาศที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยน้ำใจ

สธ. จัดงาน 'Wonder Thainess Wellness' สร้างการรับรู้อัตลักษณ์-บริการสุขภาพไทย หนุนนวดไทย สปาไทย สู่ Medical and Wellness Hub

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน 'Wonder Thainess Wellness' สร้างการรับรู้ในอัตลักษณ์และบริการสุขภาพไทย พร้อมมอบรางวัลนวดไทยพรีเมียม ไทยสปาพรีเมียม มาตรฐานสถานประกอบการเพื่อสุขภาพไทย สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการ เพิ่มขีดความสามารถให้พร้อมก้าวสู่การเป็น Medical and Wellness Hub

เมื่อวันที่ (8 ก.ค.68) ที่ โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น จังหวัดนนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน 'Wonder Thainess Wellness' และมอบรางวัลนวดไทยพรีเมียมและไทยสปาพรีเมียม ประจำปี 2568 โดยมี นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในหมุดหมายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของนานาประเทศ ทั้งในเชิงบำบัดรักษาทางการแพทย์ (Medical Tourism) และส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Tourism) โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะสามารถสร้างรายได้กว่า 6.9 แสนล้านบาท กระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดงาน 'Wonder Thainess Wellness' เพื่อเป็นหนึ่งกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ สร้างการรับรู้ เชิดชูอัตลักษณ์ไทย และความภาคภูมิใจในบริการสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมกับการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศตามเทรนด์สุขภาพโลกที่เน้นเรื่อง เศรษฐกิจสุขภาพ (Wellness Economy) และเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักในการก้าวสู่การเป็น Medical and Wellness Hub โดยเฉพาะสถานประกอบการ 'นวดไทย' และ 'สปาไทย' ซึ่งเป็นเสน่ห์และภูมิปัญญาไทย ที่มีชื่อเสียงระดับโลก 

“นวดไทย ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมด้านสุขภาพที่ล้ำค่า เป็นภูมิปัญญาไทยที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน จนได้รับการยอมรับและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ จากองค์กรยูเนสโก ส่วนสปาไทยก็มีอัตลักษณ์ความเป็นไทยด้านบริการที่มีคุณภาพและโดดเด่น หากสามารถดึงศักยภาพของบริการสุขภาพเหล่านี้ออกมาใช้อย่างเต็มที่ จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และยกระดับบริการสุขภาพไทยสู่การเป็น Medical and Wellness Hub ได้” นายสมศักดิ์กล่าว

ด้านนายแพทย์ภานุวัฒน์ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้พัฒนาเกณฑ์มาตรฐานอัตลักษณ์ความ เป็นไทย รางวัลไทยสปาพรีเมียม และรางวัลนวดไทยพรีเมียม โดยมีการประเมินรับรองและมอบรางวัลให้แก่ สถานประกอบการเพื่อสุขภาพที่ผ่านเกณฑ์เป็นประจำทุกปี มีระยะเวลาการรับรอง 3 ปี โดยในวันนี้ มีการมอบรางวัลนวด สปา เพื่อสุขภาพที่ผ่านการรับรองในปี 2567 จำนวน 270 รางวัล แบ่งเป็น นวดไทยพรีเมียม 222 รางวัล และ ไทยสปาพรีเมียม 48 รางวัล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและต่างชาติ พร้อมต่อยอดสู่รางวัลคุณภาพ เวลเนสระดับชาติ (Thailand Wellness Awards: TIWA) ซึ่งจะมีการเปิดตัวในปี 2569 ต่อไป

สบส. MOU สภากาชาดไทย ร่วมปฏิบัติการลดอุบัติการณ์การเกิดเบาหวาน

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข จับมือสภากาชาดไทย ลงนามความร่วมมือ ลดอุบัติการณ์เบาหวาน มุ่งส่งเสริมการป้องกันโรคเบาหวานเชิงรุก ด้วยการค้นหากลุ่มเสี่ยง และส่งเสริมให้ออกกำลังกายป้องกันภาวะดื้ออินซูลิน ด้วยแอปพลิเคชันสมาร์ท อสม. (Smart อสม.) และแอปเมต้ารีเวิร์ส (Meta Reverse) 

เมื่อวานนี้ (9 ก.ค.68) ณ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ ดร.นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดี กรม สบส. พร้อมด้วยนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ ประธานอนุกรรมการฯ ขับเคลื่อนการรณรงค์ลดอุบัติการณ์เบาหวานในผู้มีน้ำหนักเกิน และผู้ที่เคยติดโควิด สภากาชาดไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “การบูรณาการการขับเคลื่อนการรณรงค์ลดอุบัติการณ์เบาหวานในผู้มีน้ำหนักเกิน และผู้ที่เคยติดโควิด กับการขับเคลื่อนกิจกรรม อสม. ชวนคนไทยนับคาร์บและการคัดกรองโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) “NCDs ดีได้ด้วยกลไก อสม.” 

ดร.นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ในประเทศไทย และทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน กรม สบส. จึงร่วมกับสภากาชาดไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ในวันนี้ขึ้น โดยทั้ง 2 ฝ่าย มีเป้าหมายร่วมกันในการลดการเกิดโรคเบาหวานในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และผู้ที่เคยติดโรคโควิด โดยบูรณาการกิจกรรมออกกำลังกายป้องกันภาวะดื้ออินซูลินด้วยแอปพลิเคชันเมต้ารีเวิร์ส กับกิจกรรม อสม.ชวนคนไทยนับคาร์บ และการคัดกรองโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยกรม สบส. จะสนับสนุนให้ อสม. ร่วมลงพื้นที่ชุมชน ชักชวนประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 23 หรือเคยติดโรคโควิด ร่วมกิจกรรมออกกำลังกาย และบันทึกผลการออกกำลังกายในแอปพลิชันสมาร์ท อสม. และเมต้ารีเวิร์ส อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์เป็นเวลาอย่างน้อย 12 สัปดาห์ ควบคู่กับกิจกรรม อสม. ชวนคนไทยนับคาร์บ และการคัดกรองโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวางแผนบูรณาการจัดกิจกรรมออกกำลังกายป้องกันภาวะดื้ออินซูลินในคนไทยอย่างยั่งยืน

ด้าน ดร.นายแพทย์อดิสรณ์ วรรธนะศักดิ์ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) เป็นภาวะที่เซลล์ในร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดี อาจด้วยกรรมพันธุ์ที่ถ่ายทอดมาในครอบครัว หรือปัจจัยเสี่ยงจากความอ้วน การมีไขมันสะสมที่หน้าท้อง การไม่ออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งทำให้ ระดับความดื้อต่ออินซูลินเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน การป้องกันมิให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินนั้น สามารถทำได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้เหมาะสม อาทิ การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอเฉลี่ยอย่างน้อย 150 นาที ต่อสัปดาห์ หรือการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top