Tuesday, 17 June 2025
NewsFeed

ททท. เปิดตัวโครงการ Green Getaway: เที่ยวไป กรีนไป จัดหนักส่วนลดสนับสนุนผู้ประกอบการสีเขียวที่ได้มาตรฐาน  พร้อมทำภารกิจร่วม “ฟื้นฟู” เปลี่ยนแปลงโลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น กับกิจกรรมเที่ยวด้วยช่วยได้ “Make Your Holiday Worthwhile” 

(15 มิ.ย. 68) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ! ก้าวสู่ยุคใหม่ของการเดินทางท่องเที่ยวสไตล์ Green Generation กับโครงการ Green Getaway: เที่ยวไป กรีนไป ภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวแบบฟื้นฟู (Regenerative Tourism) ที่เชื่อว่าพลังเล็ก ๆ จากนักเดินทางสามารถช่วยเยียวยาธรรมชาติ สร้างโอกาสให้ชุมชน และหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน

จากวิกฤตสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มลพิษทางอากาศ พื้นที่ป่าไม้ลดลง ปัญหาขยะที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ ล้วนเป็นสัญญาณเตือนว่าธรรมชาติไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เท่าทันจังหวะการใช้ชีวิตของมนุษย์ และถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อโลกที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง

คุณกนกกิตติกา กฤตย์วุฒิกร  ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “การเปิดตัวโครงการ Green Getaway: เที่ยวไป กรีนไป จะเป็นกลไกที่ช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ สร้างความเข้าใจว่าทุกคนควรมีบทบาทในการเยียวยาโลก และการท่องเที่ยวในวันนี้ต้องคำนึงมากกว่าการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  หรือการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงได้นำเสนอแนวคิดการท่องเที่ยวแบบฟื้นฟู (Regenerative Tourism) ซึ่งต่อยอดมาจากการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) โดยมุ่งหวังให้ทุกภาคส่วน ทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และชุมชนได้มีส่วนร่วมในประสบการณ์ท่องเที่ยวสีเขียวไปด้วยกัน”

“ททท. ได้คัดสรรสินค้า บริการ และกิจกรรมการท่องเที่ยวจากทุกภูมิภาคของไทย ซึ่งได้รับการันตีว่ามีการดำเนินงานอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยรางวัล มาตรฐาน หรือตราสัญลักษณ์ที่เชื่อถือได้จากทั้งในระดับประเทศและระดับสากล อาทิ รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย มาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน STGs , CF-Hotels มาตรฐาน Earth Check การรับรอง Travelife Sustainability in Tourism การรับรอง Green Hotel และอีกมากมาย เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางที่มีความหมายลึกซึ้งสำหรับนักท่องเที่ยวสายกรีน”  
 
“ไม่เพียงเท่านั้น ททท. ยังได้จับมือพันธมิตร ทั้งแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวชั้นนำ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมทั้งกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์และ Member Club ต่าง ๆ เข้ามาร่วมจัดทำแคมเปญ มอบสิทธิประโยชน์ ส่วนลด ของที่ระลึก ฯลฯ เพื่อเป็นแรงจูงใจและรางวัลในการออกเดินทางไปฟื้นฟูธรรมชาติอีกด้วย” คุณกนกกิตติกา กล่าวเสริม

สำหรับดีลพิเศษเอาใจสายกรีนได้แก่ เมื่อจองที่พักผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน Traveloka รับโค้ดส่วนลด 200 บาท และพิเศษสำหรับลูกค้าชำระผ่านบัตรเครดิต KTC ใช้คะแนนแลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 13% - เช่ารถยนต์ไฟฟ้ากับ Chic Car Rent รับส่วนลดสูงสุด 400 บาท  -  สำหรับนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม ต้องการเที่ยวไป กรีนไป จองรถบัสกับ Eagle The Tour 30 ที่นั่งขึ้นไป รับส่วนลดทันที 10%  - Local Alike จัดทำเส้นทางท่องเที่ยวสายกรีน 10 เส้นทาง ท่องเที่ยวชุมชน ฟื้นฟูป่า สนับสนุนและกระจายรายได้สู่ชุมชน  อนุรักษ์และปกป้องสัตว์ป่า พร้อมชมความงดงามของธรรมชาติ พร้อมมอบส่วนลดจองทริปสูงสุด 10% 

นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดกิจกรรม Green Getaway “Make Your Holiday Worthwhile จังหวัดระยอง” ในวันที่ 6–7 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ร่วมกับพันธมิตร อาทิ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน), Centara Q Resort Rayong, Chic Car Rent, Eagle the tour, KTC และ Local Alike  เชิญชวนนักท่องเที่ยวสายกรีน จิตอาสา และคนรักสิ่งแวดล้อม มาร่วมเปลี่ยนวันหยุดธรรมดา ให้กลายเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ โดยมีไฮไลต์ อาทิ Beach Clean Up ชายหาดแหลมแม่พิมพ์ อีเวนต์สุดชิลล์ริมชายหาดที่มัดรวมไว้ทั้งการเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมและเวิร์กช็อปสร้างสรรค์ การปล่อยปูคืนสู่ทะเล ฯลฯ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มุ่งหวังให้โครงการ Green Getaway: เที่ยวไป กรีนไป เป็นมากกว่าการเดินทางท่องเที่ยว แต่คือภารกิจร่วม “ฟื้นฟู” และเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ติดตามรายละเอียดและกิจกรรมการท่องเที่ยวสีเขียวได้ทาง Facebook Page: Green Getaway เที่ยวไป กรีนไป

#GreenGetaway #เที่ยวไปกรีนไป #MakeYourHolidayWorthwhile #Amazingthailand 

-แม่ทัพภาคที่ 4 เยี่ยมให้กำลังใจทหารพรานบาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดที่นราธิวาส ย้ำเร่งช่วยเหลือ-ติดตามตัวคนร้าย

(15 มิ.ย. 68) เวลา 09.00 น. พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อย ทพ.4916 ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ม.2 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เมื่อคืนวันที่ 14 มิถุนายน ที่ผ่านมา

จากเหตุการณ์ดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย และเสียชีวิต 1 นาย ได้แก่ อส.ทพ.ฮัมรู สะมะแอ ส่วนผู้บาดเจ็บ อส.ทพ.อับดุลรอมัน จิใจ ,อส.ทพ.อังศกร สุขสมาน ,อส.ทพ.อินทรี โตมร ,อส.ทพ.ศราวุฒิ เลี่ยนเส้ง ,อส.ทพ.นันทวัฒน์ รงรักษ์ อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์อย่างใกล้ชิดและอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว

โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ได้นำกระเช้าเยี่ยมจาก พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก และเงินบำรุงขวัญมอบให้ผู้บาดเจ็บ พร้อมสอบถามเหตุการณ์และกล่าวชื่นชมในความกล้าหาญ เสียสละของกำลังพล และย้ำว่า รัฐบาลและผู้บังคับบัญชาทุกระดับพร้อมให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องสิทธิ สวัสดิการ และการดูแลฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามสถานการณ์ นำผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และขอความร่วมมือประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสผ่านสายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 โทร. 061-1732999 หรือสายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. โทร. 1341 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันเดินหน้าดูแลความปลอดภัยในพื้นที่อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

ลำพูน-ผบช.ภ.5 แถลงข่าวจับกุมคนร้ายวิ่งราวทรัพย์ร้านทองป่าซาง พร้อมทำแผน

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท. กฤตธาพล  ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าว ผลการจับกุมผู้ต้องหาคดีวิ่งราวทรัพย์ร้านทองเหตุเกิดในพื้นที่ สภ.ป่าซาง จ.ลำพูน ณ ห้องประชุมสภ.ป่าซาง จ.ลำพูน จัดทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ณ ร้านทองที่เกิดเหตุ

ด้วยเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568เวลาประมาณ 11.40 น.ได้รับแจ้งว่ามีเหตุวิ่งราวทรัพย์ที่ร้านทองเยาวราช แยกตลาดป่าซาง ม.1 ต.ป่าซาง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน พ.ต.อ.วีรชาติ ระตะเจริญ ผกก.สภ.ป่าซาง,พ.ต.ท.ชาญวิทย์ ทนันชัย รอง ผกก.สส.สภ. อ.ป่าซาง, พ.ต.ท กฤตธัช ศรีคำมูล สว.สส.สภ.ป่าซาง พร้อมด้วยชุดสืบสวน สภ.ป่าซาง จว.ลำพูน และพนักงานสอบสวนเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าคนร้ายได้วิ่งราวทรัพย์เป็นทองรูปพรรณจำนวน 2 เส้น น้ำหนักเส้นละ 5 บาท มูลค่าประมาณ 500,000 กว่าบาท จึงได้ ประสาน พฐ.จังหวัดลำพูน ร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและตรวจยึดหลักฐานที่คนร้ายทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน

ต่อมาจากการสืบสวนสอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุคนร้ายได้ไปลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ที่ตลาดนัด
ทุ่งฟ้าบด อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ และได้ใช้ใช้รถจักรยานยนต์คันดังกล่าว มาก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ในพื้นที่
อ.ป่าซาง จว.ลำพูน โดยการอำนวยการของ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย
รอง ผบช.ภ.5.(สส), พล.ต.ต.วรพงษ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.บุณยวัต เกิดกล่ำ ผบก.ภ.จว.ลำพูน,
พล.ต.ต.ยุทธนา แก่นจันทร์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่,พ.ต.อ.พงศกร รัศมีโรจน์สกุล รอง ผบก.ภ.จว.ลำพูน,
พ.ต.อ.ดนัย ใจกล่ำ ผกก.สส.ภ.จว.ลำพูน ได้สั่งการให้ ชุดสืบสวน สส.1.บก.สส.ภ.5, กก.สส.จว.เชียงใหม่,
กก.สส.จว.ลำพูน, ชุดสืบสวน สภ.ป่าซางและชุดสืบสวน สภ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ บูรณาการร่วมกันทำการ
ติดตามจับกุมคนร้ายให้จงได้ 

ต่อมาได้สืบทราบว่าคนร้าย คือ นายประกร(นามสมมุติ) อายุ47 ปีบ้านเบขที่8/87 ม.6 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงได้ขออำนาจศาลจังหวัดลำพูนออกหมายจับ และศาลได้อนุมัติหมายจับที่ 265 /2568 ลงวันที่11 มิ.ย.2568 ในข้อหา "วิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การ
กระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม" และในวันที่ 14 มิ.ย. 2568สามารถจับกุม
ตัวได้พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี และได้นำตัวมาดำเนินคดีที่ สภ.ป่าซางจว.ลำพูน ต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 ได้วางมาตรการให้ สภ.ในพื้นที่กวดขัน
และประชาสัมพันธ์ให้กับร้านค้าทองคำเกี่ยวกับการขอความร่วมมือ เจ้าของร้านทองให้ลูกค้าที่มาติดต่อร้าน
ถอดหมวก, หน้ากากอนามัย, แว่นกันแดดหรือสิ่งปกปิดใบหน้า และให้ทำการติดตั้งแผงกั้นหรือประตูกระจก
นิรภัยล็อคอัตโนมัติ รวมถึงการติดตั้งกล้อง CCTV เพิ่มเติมให้หันกล้องไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ในการ
มองเห็นผู้เข้ามาใช้บริการร้านอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความปลออดภัยในชีวิตและทรัพย์สินโดยรวม

สมุทรปราการ-นายกแพรกษาใหม่ เปิดกิจกรรม โครงการแข่งขันกีฬาเพื่อส่งเสริมสุขภาพของคนในชุมชนตำบลแพรกษาใหม่

วันที่ 15 มิถุนายน 2568 ที่สนามกีฬาเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดกิจกรรม "โครงการแข่งขันกีฬาเพื่อส่งเสริมสุขภาพของคนในชุมชน ตำบลแพรกษาใหม่" ประจำปี 2568 

โดยมี นายณัฐพล บุญริ้ว รองนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ในนามของคณะกรรมการจัดการแข่งขัน กล่าวรายงาน พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง นำโดย กำนันธนสัน วสันต์ กำนันตำบลแพรกษาใหม่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ และประชาชนชาวชุมชนตำบลแพรกษาใหม่ ทั้ง 7 หมู่ เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้

ด้านนายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ กล่าวว่า กิจกรรมการแข่งขันกีฬาชุมชนในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและเยาวชนทุกลุ่มได้ออกกำลังกายและเล่นกีฬาเป็นประจำต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนและเยาวชนหันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและห่างไกลยาเสพติด เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและเยาวชนมีความสามัคคีในหมู่คณะ และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์การแข่งขันกีฬาเพื่อส่งเสริมสุขภาพของคนในชุมชน ตำบลแพรกษาใหม่

ทั้งนี้ แบ่งนักกีฬาออกเป็น 7 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 1 สีเหลือง หมู่ที่ 2 สีส้ม หมู่ที่ 3 สีแดง หมู่ที่ 4 สีชมพู หมู่ที่ 5 สีเขียว หมู่ที่ 6 สีฟ้าและหมู่ที่ 7 สีน้ำเงิน โดยแบ่งการแข่งขันกีฬา ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. การแข่งขันกีฬาสากล ฟุตบอล 7 คน ไม่จำกัดอายุ จำนวน 7 ทีม 2. การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน วิ่งเปี้ยว (ซุปเปอร์แมน) วิ่งกระสอบ ประเภทวิ่งทางตรง และวิ่งผลัด ตีกอล์ฟคนจน ทีมกินวิบาก วิ่งเรือบก และแชร์บอลน้ำ

ซึ่งการจัดการแข่งขันกีฬาเพื่อส่งเสริมสุขภาพของคนในชุมชนตำบลแพรกษาใหม่ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณและความร่วมมือเป็นอย่างดี จากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าจังหวัดสมุทรปราการ ตลอดจนผู้บริหารท้องถิ่น ฝ่ายปกครองตำบลแพรกษาใหม่ บุคลากรและเจ้าหน้าที่ ส่วนราชการต่าง ๆ ของเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘สงครามไซเบอร์ไทย – กัมพูชา’ ปะทุเงียบ!! เจาะกลุ่ม NDTSEC 2.0: IO เขมรถล่มไทย

(16 มิ.ย. 68) ปราชญ์ สามสี โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กว่า.. “สงครามไซเบอร์ไทย–เขมร” ปะทุเงียบ! รู้จัก NDTSEC 2.0: แฮกเกอร์กัมพูชาที่จ้องถล่มโครงสร้างไทยจากหลังคีย์บอร์ด

ไม่ต้องใช้รถถัง ไม่ต้องปะทะหน้าด่าน แต่ใช้บอท–ไวรัส–ดาร์กเว็บเป็นอาวุธ “NDTSEC 2.0” คือชื่อที่กำลังถูกจับตาในวงการความมั่นคงไซเบอร์ของไทย

เพราะนี่ไม่ใช่แค่กลุ่มแฮกเกอร์ธรรมดา…แต่มันคือ “หน่วยรบ IO” ที่แฝงเจตนาโจมตีไทยอย่างเป็นระบบ

ใครคือ NDTSEC 2.0?

NDTSEC 2.0 คือกลุ่มแฮกติวิสต์สัญชาติกัมพูชาที่ปรากฏตัวตั้งแต่ปี 2023 โดยอ้างตัวว่าเป็น “ทีมไซเบอร์ของชาวเขมร” มีเป้าหมายตรงไปตรงมาคือ “โจมตีประเทศไทย” ในนามแคมเปญ #OpThailand กลุ่มนี้ไม่ใช่แค่เล่นแฮ็กเอาสนุก แต่พวกเขาทำอย่างเป็นระบบ มีการวางแผน มีเป้าหมาย และ “ประกาศศึกอย่างเป็นทางการ” ผ่าน Telegram ทุกครั้งที่โจมตีสำเร็จ

เป้าหมายของการโจมตี
กลุ่มนี้มี แนวคิดชาตินิยมแบบสุดโต่ง ใช้ประเด็นขัดแย้งวัฒนธรรม เช่น การสร้างวัดไทยที่มีลักษณะคล้าย “ปราสาทนครวัด” เป็นจุดเริ่มต้น แต่สิ่งที่ตามมาคือการโจมตีหน่วยงานไทยต่อเนื่อง โดยเฉพาะ…

เว็บไซต์ราชการไทย (กระทรวงการคลัง, กรมบัญชีกลาง, การบินไทย, ท่าอากาศยานอู่ตะเภา)  ธนาคารพาณิชย์ (ถูกระบุ 9 แห่งว่าเป็น “เป้าหมายทางยุทธศาสตร์” บนดาร์กเว็บ)

บริษัทเอกชน เช่น Delta Electronics, Mega Planet (ซึ่งกลุ่มอ้างว่าได้ข้อมูลผู้ใช้กว่า 1GB ไปเผยแพร่แล้ว)

วิธีการรบ: มากกว่าแค่ DDoS

กลุ่มนี้ไม่ได้ยิงทราฟฟิกจนเว็บล่มแล้วจบ แต่มีการใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น SQL Injection: เจาะฐานข้อมูลดึงข้อมูลภายใน Doxing: เปิดเผยข้อมูลบัญชี–รหัสผ่าน–ข้อมูลลูกค้า Defacement: เปลี่ยนหน้าเว็บเพื่อประกาศชัยชนะ IO (Information Operations): ใช้ Telegram เป็นสื่อประกาศผลงาน แสดงภาพการแฮ็ก สร้างความหวาดกลัว

“ปืนไม่ได้ยิง แต่ใจไทยสะเทือน”
แม้หลายการโจมตีของ NDTSEC 2.0 จะส่งผลให้เว็บไซต์ไทยล่มเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ผลกระทบเชิง จิตวิทยา–ความเชื่อมั่น–ภาพลักษณ์ กลับรุนแรงกว่าที่คิด เพราะ... ทำให้ประชาชนเริ่ม “หวั่นไหว” กับความปลอดภัยไซเบอร์ไทย

ถูกบางสื่อไทยขยายความ จนเกิด “กระแสเกลียดเขมร” บนโซเชียล (เป็น IO ซ้อน IO) บีบให้หน่วยงานไทยต้องลงทุนกับระบบป้องกันไซเบอร์ในเวลาอันรวดเร็ว

เชื่อมโยงกับกลุ่มอื่น?

NDTSEC 2.0 ไม่ได้ทำงานคนเดียว พวกเขา ร่วมมือกับ: Anonymous Cambodia: กลุ่มเก่าที่เคยโจมตีรัฐบาลกัมพูชาเอง แต่ตอนนี้หันมาเล่นบท “ชาตินิยมเขมร”

Cyber Skeleton: กลุ่มเงียบๆ ที่เป็นแนวร่วมสนับสนุนด้านเทคนิค ทั้งหมดใช้ #OpThailand เป็นชื่อปฏิบัติการ พร้อมกันกับการโพสต์ผลงานใน Telegram แบบ “ปูพรมข่าวรบ”

วิชาการเบื้องหลัง: นี่คือ “สงครามข่าวสารสมัยใหม่”

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การแฮ็กเพื่อเงิน ไม่ใช่การขู่เรียกค่าไถ่ แต่คือการใช้ไซเบอร์เป็นเครื่องมือในปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) เพื่อ…บ่อนทำลายความเชื่อมั่น ของรัฐไทย สร้างกระแสชาตินิยม ให้คนเขมรเห็นว่ามีคน "ลุกขึ้นสู้" ปลุกปั่นสังคมไทย ให้เกิดความแตกแยกในเรื่องวัฒนธรรม–เชื้อชาติ
นี่คือ “ไซเบอร์นารเรทีฟ” ที่ใช้เรื่องเล่าและการโจมตีเป็นเครื่องมือปลุกกระแส ทั้งในโลกออนไลน์และในหัวประชาชน

แล้วไทยจะรับมือยังไง?

ไทยมีการแจ้งเตือนจากศูนย์ TTC-CERT อย่างทันท่วงที และหน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์กำลังเสริมเกราะให้กับระบบของรัฐและเอกชน แต่สิ่งที่ต้องตระหนักเพิ่มคือ…

อย่าแชร์ข่าวแบบไร้แหล่ง เพราะอาจเป็นการช่วยขยาย IO ให้กลุ่มแฮกเกอร์เอง อย่าเหมารวมชาวกัมพูชา ทั้งประเทศว่าคือผู้ร้าย เพราะ NDTSEC มีสมาชิกเพียงหยิบมือ รัฐต้องสร้างความรู้เท่าทันไซเบอร์ ให้ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการรักษาข้อมูลส่วนตัว

สรุป: สงครามครั้งนี้อยู่ในมือถือคุณ

ถ้าเมื่อก่อนสงครามอยู่ในสนามรบ วันนี้ “สงครามอยู่ในแอป Telegram” กลุ่มแฮกเกอร์ไม่ได้มาด้วยปืน แต่มาด้วยโปรแกรม เป้าหมายไม่ใช่เพื่อยึดพื้นที่ แต่เพื่อ “ยึดพื้นที่ในใจคุณ”

ประเทศไทยต้อง ตื่นรู้และตื่นตัว เพราะภัยไซเบอร์ในวันนี้คืออาวุธแห่งอนาคต และมันเริ่มต้นแล้ว…จากชายแดนจรดโลกดิจิทัล

‘พล.ท.ไชยสิทธิ์’ เผย!! อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย ‘กฎหมายทะเล’ ชี้!! โลกกำลังเปลี่ยนแปลง มีประเทศที่ตีความ และใช้อนุสัญญาในทางที่ผิด

(15 มิ.ย. 68) ข้อมูลเกี่ยวกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ซึ่งปี พ.ศ.๒๕๖๗ ครบรอบ ๓๐ ปีที่อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลมีผลใช้บังคับ โดยเมื่อวันที่ ๕ มิ.ย.๖๗ นายเหมียว เต๋ออี่ว์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนได้กล่าวในการประชุมวิชาการนานาชาติเรื่องไหล่ทวีปและประเด็นทางวิทยาศาสตร์ระดับ "ภูมิภาค" และกฎหมาย ครั้งที่ ๗ ผ่านวิดีโอว่า 

ปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบศตวรรษ และระเบียบทางทะเลระหว่างประเทศก็กำลังอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนอย่างลึกซึ้งเช่นกัน จากผลประโยชน์ที่เห็นแก่ตัวทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ละประเทศตีความและใช้อนุสัญญาในทางที่ผิด ดำเนินตามลัทธิฝ่ายเดียว และแสวงหาอำนาจเป็นเจ้าโลกทางทะเล ในเวลาเดียวกัน กิจกรรมของมนุษย์ นวัตกรรมทางเทคโนโลยีทางทะเล และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้นำประเด็นใหม่ ๆ จำนวนมากมาสู่ธรรมาภิบาลมหาสมุทรโลก ซึ่งประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

นายเหมียว เต๋ออี่ว์ ชี้ให้เห็นว่า อนุสัญญานี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกันของมวลมนุษยชาติ และคำนึงถึงข้อเรียกร้องที่แตกต่างกัน การประชุมดังกล่าวเป็นข้อตกลงสำหรับ “การใช้งาน” ที่ทุกประเทศเข้าถึงได้ผ่านการปรึกษาหารือที่เท่าเทียมกัน ความเข้าใจร่วมกัน และความร่วมมือ การดำเนินการตามอนุสัญญาควรซื่อสัตย์ต่อวัตถุประสงค์ หลักการ รวมทั้งบทบัญญัติที่ชัดเจน มหาสมุทรเป็นสะพานที่เชื่อมโยงและบูรณาการประเทศต่างๆ จึงไม่ควรกลายเป็นเวทีการเมืองระหว่างประเทศ โดยต้องเคารพอธิปไตย ผลประโยชน์ด้านความมั่นคงและการพัฒนาของทุกประเทศ สนับสนุนการเจรจาและการปรึกษาหารือ และต่อต้านการใช้ความแข็งแกร่งทางทหารที่จะนำ "เสรีภาพอันไร้ขอบเขต" ไปปฏิบัติ

นายเหมียว เต๋ออี่ว์ เน้นย้ำว่า จีนยินดีที่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญา และร่วมกันสร้างระเบียบทางทะเลแห่งสันติภาพ ความเงียบสงบ และความร่วมมือที่ได้ประโยชน์แบบ win-win

ประมวลโดย พลโท ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล

ชัยวัฒน์เดือด!!...โต้คำสั่งไล่ออกพ้นข้าราชการ ลั่นปลัด ทส. เจอกันในศาล หลังเอกสารหลุดว่อนเน็ต

(16 มิ.ย. 68) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. แสดงความไม่พอใจต่อกรณีเอกสารคำสั่งไล่ออกจากราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) หลุดว่อนโซเชียล ทั้งที่ตนยังไม่เคยเห็นหนังสือลับฉบับดังกล่าว และเตือนปลัดกระทรวงฯ ให้เตรียมชี้แจงต่อศาล

กรณีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. ลงนามในคำสั่งไล่นายชัยวัฒน์ออกจากราชการ ตามมติ อ.ก.พ. กระทรวงฯ และความเห็นชี้มูลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า นายชัยวัฒน์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจากโครงการก่อสร้างในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมีพฤติกรรมจัดฉากประกวดราคาลวง และเบิกจ่ายผิดระเบียบจนเกิดความเสียหาย

คำสั่งระบุชัดว่านายชัยวัฒน์มีพฤติกรรมทุจริตและฝ่าฝืนระเบียบราชการหลายประการ เช่น การใช้นิติบุคคลเข้าประมูลแบบไม่แข่งขันจริง รวมถึงปลอมแปลงการควบคุมงานก่อสร้างและรับรองผลงานที่ไม่เป็นไปตามแบบ เพื่อเบิกจ่ายงบประมาณกว่า 3.5 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมีการหักลบกลบหนี้ให้กับตนเอง

ในโพสต์เฟซบุ๊ก นายชัยวัฒน์ยืนยันว่าเป็น “ผู้ถูกกระทำ” และตั้งคำถามว่าเหตุใดเอกสารภายในของ อ.ก.พ. จึงรั่วไหลออกมาสู่สื่อได้ โดยชี้ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายอาญา พร้อมประกาศเตรียมดำเนินการทางกฎหมายกับปลัดกระทรวงฯ ในฐานะผู้มีอำนาจลงนามคำสั่ง และอาจมีส่วนในการปล่อยเอกสารสู่สาธารณะ

ทั้งนี้ คำสั่งไล่ออกมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 2567 เป็นต้นไป โดยนายชัยวัฒน์ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค. หรือฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ตามสิทธิ์ทางกฎหมายภายในกำหนดเวลา โดยต้องเลือกใช้สิทธิ์เพียงช่องทางเดียว

‘แยม-ฐปณีย์’ ซัด ไทยแพ้ทางข่าวสารแก่กัมพูชาเละ ชี้ ก.ต่างประเทศไทยไม่เปิดเผยอะไรเลยปล่อยกัมพูชาชิงแถลง

เมื่อวันที่ (15 มิ.ย. 68) แยม - ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวเดอะรีพอร์ตเตอร์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ผลการประชุม JBC ไทยพ่ายแพ้ทางข่าวสารฝ่ายกัมพูชาไปเรียบร้อยแล้ว !!

ในฐานะนักข่าวไทยที่ไปทำข่าวการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งมีนักข่าวไทยไปกันเพียง 4 สำนัก คือ แยม-ฐปณีย์ ที่ทำทั้งข่าว 3 มิติ และ The Reporters , น้องเก้า พงศธัช สุขพงษ์ ThaiPBS World , สันติวิธี พรหมบุตร ไทยรัฐทีวี และนักข่าวกัมพูชา จำนวนมาก

ก่อนเดินทางต้องขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้นักข่าวไทยที่จะไปทำข่าวลงทะเบียนเพื่อทำบัตรไปทำข่าวการประชุมได้ ส่วนรายละเอียดสถานที่จัดการประชุม เวลา และอะไรต่างๆ ก่อนประชุมทางกัมพูชาก็ปิดลับ เรารู้กันว่าโรงแรมอะไร และเวลาไหน ที่เหลือต้องเชคกันเอง

โชคดีที่เราพอมีเพื่อนนักข่าวกับพูชา และแหล่งข่าวเก่าๆ ที่เคยทำข่าวประเด็นพิพาทต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่ง 16-17 ปีผ่านไป ยังมีคนที่พอให้เชคข่าวสัมภาษณ์ได้บ้าง อย่างเช่น นายไพ สีพาน อดีตโฆษกรัฐบาลสมัยสมเด็จ ฮุนเซน และปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต

วันที้ 13 มิ.ย.ที่ไปถึง แยมให้เพื่อนช่วยนัดไพ สีพาน และ ศ.รอส จันทะบอต นักประวัติศาสตร์ มาสัมภาษณ์ เพราะอยากรู้ท่าทีของกัมพูชาที่จะนำ 4 ข้อพิพาทไปศาลโลก และเป็นข้อมูลก่อนการประชุม JBC

ส่วนฝ่ายไทย ก็แจ้งมาว่าคณะที่มา จะไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ จะให้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงที่กรุงเทพ ซึ่งนักข่าวไทยก็ช่วยกันต่อรองมาบอกอะไรเราบ้าง เราจะได้รายงานข่าวที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย เพราะเรามาทำข่าวถึงที่นี่ ถ้าฝ่ายกัมพูชา ให้สัมภาษณ์แถลงอะไร เราก็ต้องรายงานข่าวตามนั้นนะ

สุดท้ายทาง กต.ไทย ก็ย้ำว่า จะไม่มีการให้สัมภาษณ์ของคณะ JBC ไทย แต่ความเป็นนักข่าวเราก็ต้องทำหน้าที่ คืนวันที่ 13 มิ.ย.แยมก็รอเจอท่านทูตประศาสน์ ประธาน JBC ไทย ที่โรงแรมที่พัก ซึ่งกว่าจะมาถึงก็ 21.00 น. ซึ่งเชื่อว่าการรู้จักกันมาก่อน ตั้งแต่เป็นท่านทูตพนมเปญ ในช่วงปี 51-54 แต่ท่านทูต ก็ไม่ตอบเรื่องการประชุม เพราะมีนโยบายมา ซึ่งเข้าใจได้ เราแค่อยากทักทายตามประสาแหล่งข่าว ซึ่งตลอด 2 วันในการประชุมเราก็ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ 555

มาถึงวันประชุมจริง 14 มิ.ย.นักข่าวไทยก็ไปรอประชุมคณะใหญ่ พร้อมนักข่าวกัมพูชา นัด 10.00 น.กว่าคณะจะมาห้องใหญ่ก็ 11.40 น.เพราะมีประชุมคณะเล็ก แล้วก็พักเที่ยง 2 ชม.แล้วมาประชุมอีกที 14.40 น. ซึ่งไม่นานพอ 15.30 ฝ่ายไทยนำโดยท่านทูตประศาสน์ ออกจากห้องประชุม โดยเราไปถามอะไรก็ไม่มีใครตอบ นักข่าวคิดว่าการประชุมจบแล้ว

แต่ในห้องประชุมเราเห็น นายฬำ เจีย ยังถกเครียดกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ซึ่งไม่นาน มีเจ้าหน้าที่กัมพูชา มาขอคุยกับนักข่าวไทยว่า การประชุมยังไม่เสร็จ แค่พักการประชุม และไทยไปแถลงข่าวที่ไม่ตรงกัน และต่อมา นายฬำ เจีย ก็มาให้สัมภาษณ์ที่ไทยแถลงนั้นเป็นเพียงฝ่ายเดียว !!

นักข่าวไทยก็พยายามประสานบอกว่า ฝ่ายกัมพูชา อาจเอาเรื่องนี้มาชิงความได้เปรียบทางการสื่อสาร ขอให้ข้อมูลกับเราบ้าง

และก็จริงพอการประชุมวันนี้ ตั้งแต่เช้า นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ชิงแถลงส่งหนังสือไปฟ้องศาลโลก ก่อนการประชุม JBC วันที่ 2 จะเริ่มขึ้น และยังไม่ตกลงกันเรื่องบันทึกการประชุม Agreement Minutes ซึ่งเรื่อง 4 ข้อพิพาท ก็กลายเป็นประเด็นที่โต้แย้งกัน จนใช้เวลาตกลงกันเกือบ 6 ชั่วโมง และกว่าจะมาแถลงลงนามกันก็บ่ายสองแล้ว !!

การลงนาม จับมือ ถ่ายภาพกันชื่นมื่นจริง แต่ไม่มีแถลงการณ์ร่วม ไม่มีการเปิดเผยอะไร ก่อนที่ 2 ฝ่ายแยกย้าย นักข่าวไปรุมสัมภาษณ์ นายฬำ เจีย ตอบสั้นๆว่าบรรยากาศดี ให้รอ press แถลงข่าว ส่วนท่านทูตประศาสน์ ไม่ตอบอะไร

ซึ่งจากนั้นไม่ถึง 10 นาที ในเวลา 14.45 น.กัมพูชาก็ออก press ข่าวผลการประชุม อย่างที่ปรากฏว่า แจ้งฝ่ายไทยว่าจะส่ง 4 ข้อพิพาทไปศาลโลก แต่ฝ่ายไทยไม่ยอมรับ และไม่นำ 4 เรื่องนี้หารือใน JBC อีกต่อไป รวมถึงยึดตามแผนที่ 1:200,000 ไม่ยึดแผนที่ที่ไทยทำขึ้นเอง

https://www.facebook.com/share/p/16kp61dy4k/?mibextid=wwXIfr

ส่วนของไทย กระทรวงการต่างประเทศออกข่าวแจงสั้นๆว่า บรรยากาศประชุมดี สองฝ่ายจะใช้กลไก JBC คุยเรื่องปักปันเขตแดนต่อไป ฯ และต้องมาออกเอกสารชี้แจงภายหลัง โดยล่าสุดออกแถลงการณ์ชี้แจงเมื่อ 22.30 น.ที่ผ่านมา แสดงความผิดหวังที่กัมพูชาขาดความจริงใจที่จะนำ 4 ข้อพิพาทหารือตามกลไกทวิภาคี

https://www.facebook.com/share/p/1BZ7Bc2MtH/?mibextid=wwXIfr

แค่เรื่องการให้ข่าวไทยก็พ่ายแพ้กัมพูชาไปแล้วจากการประชุม JBC ซึ่งที่สะท้อนมานี้ หวังแค่ว่าฝ่ายไทยจะปรับปรุง เพราะปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา กำลังจะเดินทางไปถึงศาลโลกและ UN ในขณะที่พื้นที่ชายแดนก็เปราะบาง กำลังลุกลามเป็นสงครามเศรษฐกิจ

นักข่าวไทยก็รักชาติ อยากรายงานข่าวที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติค่ะ ด้วยความเคารพค่ะ

‘เนทันยาฮู’ โผล่จากบังเกอร์ เยือนจุดโดนถล่ม ลั่นพร้อมโค่นระบอบอิหร่าน เตรียมเอาคืนหนักกว่าเดิม

(16 มิ.ย. 68) นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า “จะทำในสิ่งที่จำเป็น” ต่อผู้นำอิหร่าน พร้อมเปรยว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบในกรุงเตหะราน อาจเป็นผลลัพธ์จากปฏิบัติการของอิสราเอล โดยกล่าวหาว่าผู้นำอิหร่านอ่อนแอ และประชาชนส่วนใหญ่ต้องการปลดอำนาจ

เนทันยาฮูได้ออกจากบังเกอร์ใต้ดินเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เปิดฉากโจมตีอิหร่านเมื่อ 13 มิ.ย. เพื่อไปตรวจสอบความเสียหายที่เมืองบัต ยัม ชายฝั่งใกล้กรุงเทลอาวีฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ถูกขีปนาวุธของอิหร่านถล่มคืนก่อน ผู้นำอิสราเอลมีสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมประกาศว่า “อิหร่านจะต้องจ่ายราคาที่แพงมาก สำหรับการสังหารพลเรือน ผู้หญิง และเด็กโดยเจตนา”

สงครามระหว่างสองประเทศยังทวีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศกว่า 80 จุดทั่วอิหร่าน ครอบคลุมกระทรวงกลาโหม โรงไฟฟ้า โครงการนิวเคลียร์ และย่านชุมชนในกรุงเตหะราน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 224 ราย ขณะเดียวกัน อิหร่านยิงตอบโต้ด้วยขีปนาวุธหลายระลอก ทำให้อิสราเอลมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อย

แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เรียกร้องให้เกิดการเจรจา แต่สถานการณ์ยังไร้แนวโน้มยุติลง รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลขู่จะทำลายกรุงเตหะรานเหมือนที่เคยถล่มเบรุต ส่วนผู้นำอิหร่านตอบโต้ด้วยคำขู่ว่า หากอิสราเอลยังเดินหน้าบุก จะได้รับ “การตอบแทนที่เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม”

ธงชาติกลางภาพพังพินาศ สะดุดตาเกินบังเอิญ ตั้งข้อสังเกต ‘อิสราเอล’ สร้างภาพเป็นฝ่ายถูกกระทำ

(16 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก Anucha Somnas ตั้งข้อสังเกตถึงภาพข่าวความเสียหายจากการโจมตีที่เกิดขึ้นในอิสราเอลว่า แทบทุกภาพล้วนมีธงชาติอิสราเอลหรือสัญลักษณ์ประจำชาติ ปรากฏอยู่ในเฟรมอย่างชัดเจน สร้างคำถามถึงความตั้งใจหรือเบื้องหลังของการเผยแพร่ภาพเหล่านี้ต่อสังคมโลก โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลเนทันยาฮูกำลังเผชิญแรงกดดันด้านสิทธิมนุษยชนจากกรณีถล่มฉนวนกาซา

ผู้โพสต์วิเคราะห์ว่า ความเสียหายที่เกิดจากจรวดซึ่งตกลงกลางเมือง อาจไม่ใช่ความบังเอิญ แต่คือการจัดฉากเพื่อสร้างภาพจำ สื่อสารกับนานาชาติว่าอิสราเอลเป็นฝ่ายถูกกระทำ พร้อมใช้ภาพเหล่านี้เป็น “แฟ้มสะสมผลงาน” หรือเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ เบี่ยงเบนประเด็นเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ ที่ยังดำเนินต่อไป

นอกจากนี้ยังชี้ว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ยังคงยึดแนวทางเดิมในการใช้พลเรือนของตนเองเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ ไม่ต่างจากกรณีตัวประกันชาวอิสราเอลในฉนวนกาซา ที่ไม่เคยได้รับความสำคัญเท่ากับเป้าหมายทางทหาร รัฐบาลเลือกเดินหน้าถล่มทุกพื้นที่ของกาซา โดยไม่สนใจว่าตัวประกันจะเสียชีวิตจากการโจมตีของตนเองหรือไม่

ข้อสังเกตเหล่านี้สะท้อนคำถามถึง เจตนาของรัฐบาลอิสราเอลในการจัดการสงคราม และความโปร่งใสของการสื่อสารข้อมูลกับสาธารณะ ทั้งยังสะท้อนว่าความสูญเสียอาจไม่ใช่เพียงผลข้างเคียงของสงคราม หากแต่เป็นกลไกที่รัฐเลือกใช้ เพื่อเป้าหมายทางการเมืองในระดับที่ลึกซึ้งกว่านั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top