Tuesday, 6 May 2025
NewsFeed

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ยืนยัน!! ไม่เคยทำเอกสารข่าว กล่าวหา!! ‘นายอนุทิน’ แอบอ้างสถาบัน

(3 พ.ค. 68) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และรองผู้อำนวยการสำนักกิจการมวลชน และสารนิเทศ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ชี้แจงกรณีเอกสารรายงานข่าวที่เผยแพร่ในสื่อมวลชน ซึ่งมีการนำไปตีความหมายผิดพลาด จนอาจสร้างความเข้าใจผิดต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และต่อองค์กร

พลตรี วินธัย กล่าวว่า เอกสารดังกล่าวไม่ได้ระบุว่า นายอนุทินเป็นบุคคลที่แอบอ้างสถาบัน แต่ในข้อเท็จจริง เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับนายอนุทินเป็นไปในเชิงบวก โดยรายงานได้กล่าวถึงการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน ที่ระบุว่านายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนพรรคการเมืองหรือบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567

ทั้งนี้ พลตรี วินธัย ยังได้เตือนผู้ที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วน อย่าพยายามนำข้อมูลมาปะติดปะต่อเชื่อมโยงกันเอง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อบุคคลและองค์กร

‘เสธ.หิ’ ชี้!! ‘พีระพันธุ์’ ทำงานมุ่งมั่น ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ลดค่าไฟฟ้า ปรับราคาน้ำมัน ไม่แปลกใจที่ถูกโจมตี จากผู้ที่เสียผลประโยชน์ ยัน!! ขอทำตามหน้าที่ จนวินาทีสุดท้าย

(3 พ.ค. 68)  ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'ผลงานเป็นที่ประจักษ์' พร้อมระบุว่า “ตั้งแต่ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สิ่งที่พยายามทำคือ การสร้างความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานราคายุติธรรมเพื่อประชาชน การควบคุมราคาน้ำมัน พยายามปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน การปรับลดค่าไฟฟ้า ตรึงราคาแก๊ส ซึ่งมีปัญหาอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะการพยายามปรับลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่า 4 บาท เพื่อส่งเสริมการแข่งขันทางด้านอุตสาหกรรมกับต่างประเทศ ตลอดจนลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน การประกาศนโยบายด้านการปรับลดราคาพลังงาน

นายหิมาลัย กล่าวว่า ช่วงแรกๆ ก็มีเสียงต่อต้านว่ามันเป็นไปไม่ได้ โครงสร้างเดิมของราคาไฟฟ้า ถ้าจำไม่ผิดน่าจะขึ้นไปถึง 4.6-4.7 บาท เมื่อท่านตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.1 กว่าๆ ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ ว่าท่านจะทำให้ระบบโครงสร้างค่าไฟฟ้าเสียหาย จะตรึงได้แค่ระยะเวลาสั้น รัฐต้องเสียเงินชดเชยมากมาย แต่ในปัจจุบัน ท่านก็สามารถทำได้จริงโดยการใช้ระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพทำให้สามารถลดราคาค่าไฟฟ้าได้ตามนโยบาย และนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่ท่านสามารถ ทำให้มีการประกาศราคาค่าไฟฟ้า ลงไปต่ำกว่า 4.00 บาท 

นายหิมาลัย กล่าวว่า แน่นอนว่าค่าไฟฟ้าที่ลดลงไปนั้นจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีต้นทุนที่ลดลง ธุรกิจการค้าของประชาชนทั่วไป เช่น ร้านค้ารายย่อย แผงลอย วินมอเตอร์ไซค์ฯลฯ ค่าไฟฟ้าที่ลดลงไป นั่นหมายถึงกำไรที่เพิ่มขึ้นหรือรายรับที่เพิ่มขึ้นเป็นการกระจายรายได้ ที่รวดเร็วและเข้าถึงประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน  ท่านพีระพันธ์ุ ทราบดีว่านี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ซึ่งเมื่อท่านพ้นตำแหน่งไปแล้ว หากยังใช้โครงสร้างราคาพลังงาน ในระบบนี้อยู่ ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าแก๊ส ก็มีโอกาสที่จะขึ้นราคา เหมือนก่อนหน้านี้ ท่านจึงมีแนวความคิดในการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ รวมทั้งระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมมากขึ้น จึงได้มีความพยายามที่จะเสนอกฎหมาย เพื่อความมั่นคงของพลังงานและโครงสร้างราคาที่เป็นธรรมอย่างยั่งยืน

“จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะมีการโจมตี ทำลายภาพพจน์และชื่อเสียง ปล่อยข่าวลือต่างๆ เพื่อให้ท่านพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนที่กฎหมายต่างๆ ที่ท่านพยายามเสนอจะได้รับการบรรจุเข้าวาระของ ครม. ซึ่งถ้าหากกฎหมายพวกนี้ สามารถผ่านสภาฯ ออกมาบังคับใช้ได้ ก็จะทำให้ราคาน้ำมัน ไฟฟ้า ราคาแก๊ส มีความเป็นธรรมและมั่นคงมากขึ้น ท่านพีระพันธุ์พูดกับผมเสมอว่า ถ้าเราทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติแล้ว หากมีปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากผู้เสียผลประโยชน์ เราก็ต้องยอมรับและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ที่สำคัญที่สุดคือเรากล้าหาญที่จะทำตามหน้าที่หรือไม่ ครั้งหลังสุดนี้ มีการประกาศลดค่าไฟฟ้า ลงมาที่ราคา 3.98 บาท ซึ่งเกิดจากความพยายามของท่าน ที่ไม่ยอมแพ้ แม้มีอุปสรรคมากมาย สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ มีการออกข่าวโจมตีและด้อยค่าผลงานอย่างต่อเนื่อง”นายหิมาลัย กล่าว

นายหิมาลัย กล่าวด้วยว่า ขอขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่กรุณามอบให้ท่านพีระพันธุ์ และพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นอย่างสูง ขอให้ท่านทั้งหลายมั่นใจได้ว่า พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และพรรครวมไทยสร้างชาติ จะทำหน้าที่เป็นนักรบพลังงานเพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนจนวินาทีสุดท้าย

‘อัครเดช’ ยัน!! ‘พีระพันธุ์’ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ปม!! ‘ถุงยังชีพ’ พร้อมชี้แจงเมื่อถึงเวลา ชี้!! ผู้เสียผลประโยชน์ เข้ามาดิสเครดิต มั่นใจ!! พรรคไม่แตก ทุกคนพร้อมเดินไปด้วยกัน

(3 พ.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ถูกยื่นตรวจสอบการถือหุ้นในบริษัทเอกชน รวมถึงถูกโยงกับกระแสข่าวที่คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กําลังไต่สวนคดีถุงยังชีพ จะกระทบต่อพรรคหรือไม่ ว่า นายพีระพันธุ์ชี้แจงได้หมดอยู่แล้ว ทั้งเรื่องการถือหุ้น และเรื่องที่ถูกร้องเรียนใน ป.ป.ช. ซึ่งในข้อเท็จจริงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายพีระพันธุ์ พร้อมชี้แจงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อถึงเวลาแน่นอน ท่านมั่นใจว่าไม่ได้กระทำความผิด ขอให้ผู้สนับสนุนพรรคสบายใจได้

นายอัครเดช กล่าวว่า กรณีถุงยังชีพ ยืนยันว่านายพีระพันธุ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งทางเจตนา และการเตรียมการ ซึ่งท่านพร้อมชี้แจงด้วยเหตุผล และเอกสารหลักฐานต่างๆ ยํ้าว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่าช่วงนี้ ทั้ง IO หรืออะไรหลายอย่าง เข้ามาดิสเครดิตนายพีระพันธุ์ เพราะท่านตั้งใจทำงานให้กับประชาชน จึงเป็นไปได้ที่ต้องมีแรงเสียดทานกับผู้ที่เห็นต่าง อย่างเช่นการลดค่าไฟ ก็ต้องไปต่อสู้กับหลายส่วน จนเกิดแรงเสียดทานหรือข้อกล่าวหาต่างๆ ด้วยหรือไม่ มองว่าอาจมีความเชื่อมโยงกัน

และเมื่อถามว่า เรื่องคดีจะเป็นจุดที่ทำให้พรรคแตกหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวว่า สส.เตรียมทิ้งนายพีระพันธุ์ นายอัครเดช กล่าวว่า ณ เวลานี้พรรคยังมั่นคง ขอให้สบายใจได้ นายพีระพันธุ์ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค รทสช. ยังสามารถบริหารพรรคได้ และ สส.ของพรรคส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ก็ชัดเจนแน่นอนว่าจะเดินไปพร้อมกับหัวหน้า และเลขาธิการพรรค เพื่อทำงานให้กับประชาชน เราต้องยึดผลประโยชน์ของประชาชน แม้จะมีแรงเสียดทาน เราก็ต้องอดทน และยืนหยัดให้ได้ 

“มั่นใจว่า สส. ส่วนใหญ่ ยังยืนหยัดกับพรรค และพรรคก็ไม่ได้แตกอย่างที่เป็นข่าวแน่นอน” นายอัครเดช กล่าวอย่างมั่นใจ

‘กระทรวงการคลัง’ เตรียมเสนอ!! ‘อารีย์ สกอร์’ เข้าครม. กลางปี 68 หวังช่วยปชช. เข้าถึงสินเชื่อ!! ผ่านแบงก์รัฐ ไม่ต้องพึ่งหนี้นอกระบบ

(3 พ.ค. 68) นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย หัวข้อ Ari Score Sandbox ว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการจัดทำ Ari Score ( อารีย์ สกอร์ )

ซึ่งเป็นนวัตกรรมการทำเครดิตสกอริ่ง ( คะแนนเครดิต ) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างคะแนนเครดิตหรือข้อมูลเครดิตที่สามารถใช้ในการเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ที่มักจะมีรายได้ไม่แน่นอน มีเงินออมและสินทรัพย์น้อย รวมถึงมีภาระค่าใช้จ่ายสูง

ทั้งนี้ อารีย์ สกอร์ ใช้ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ข้อมูลจากสวัสดิการแห่งรัฐ,ข้อมูลภาษี,หนี้สิน,เงินฝาก และข้อมูลเครดิตบูโร เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้และวินัยทางการเงินของผู้ใช้บริการ มุ่งหวังที่จะช่วยให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ คาดเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) กลางปีนี้หรือไม่เกินมิ.ย.2568

“อารีย์ สกอร์ จะช่วยให้ประชาชนตัวเล็ก เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน สินเชื่อ เพื่อใช้ประกอบอาชีพหรือการดํารงชีวิต เพื่อจะไม่ได้เกิดเรื่องของสุญญากาศทางการเงินของครอบครัวต่อไป”

นายพรชัย กล่าวว่า ปัจจุบันคลังมีข้อมูลคนไทย จาก 3 แหล่งมาพัฒนาเวอร์ชันแรกเป็นอารีย์สกอร์ Gen 0-0.5 เช่น ทรัพย์สิน รายได้ และการรับสวัสดิการของรัฐ ซึ่งรวบรวมมาจากเครดิตบูโร สถาบันคุ้มครองเงินฝาก และกรมภาษีทั้งหมด

ซึ่งมีข้อมูลจากประชาชนที่มาลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจนถึงปี 2565 ประมาณ 19 ล้านคน รวมทั้งดูความสามารถประชาชนจากประวัติการชำระค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ เพื่อมาจัดทำเป็นคะแนนเครดิต

ทั้งนี้ในระยะต่อไปจะมีการพัฒนาเป็น อารีย์สกอร์ Gen 1 โดยใช้ข้อมูลจาก Data Lake ที่มีอยู่ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น ข้อมูลจากไปรษณีย์ ข้อมูลนิติบุคคลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งจะมีการขอข้อมูลจากทางกองทุนเพื่อการกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มาใช้ประกอบด้วย

สำหรับโดยสถาบันการเงินที่จะนำอารีย์ สกอร์ ไปใช้ในการอนุมัติสินเชื่อกลุ่มแรก คือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์

‘ศุภชัย’ ชู!! WTO เวทีกลาง เจรจา ประเทศมหาอำนาจ ‘สหรัฐฯ - จีน’ แนะ!! ไทย รักษาพื้นที่การคลัง เร่งเจรจาตลาดใหม่ รับมือความไม่แน่นอน

(3 พ.ค. 68) ในงาน MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNTCTAD) และอดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ 'New World Order รับมือระเบียบโลกใหม่' ว่าปัจจุบันโลกมีความไม่แน่นอนมีสูงมากในขณะนี้เรากำลังมี 'new world order' ใหม่ที่เกิดขึ้นจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งบางคนมองว่าอาจจะเป็นภาวะที่เรียก new word disorder ที่มีความสับสนเพราะว่าโลกแบ่งออกเป็นหลายขั้วจึงต้องมีการเจรจาต่อรองโดยในโลกสมัยนี้เป็นโลกที่มีหลายขั้ว (multi polar world) สหรัฐ จีนรัสเซีย และยังมีขั้วของโลกเกิดใหม่อย่างเช่นอินเดีย อาเซียน อินโดนีเซีย เป็นอำนาจที่ไม่ได้มีใครเหนือใครแต่ต้องมาแบ่งปันและแชร์กัน

การที่มีความระส่ำระสายในระดับโลกนั้นเกิดขึ้นจากการที่ระเบียบและการค้าโลกแบบเดิมถูกสั่นคลอน สหรัฐฯเคยเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนที่ดูแลระบบโลกทั้งหมดได้แต่ในขณะนี้ไม่ใช่แล้ว ในเรื่องทางเศรษฐกิจนั้นก็ต้องยอมรับว่าสหรัฐฯนั้นถดถอยลงไปมาก จุดเริ่มต้นนี้มาจากการที่ประเทศอย่างจีนเข้ามาเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) สัดส่วนการค้าของสหรัฐฯโลกลดลงอย่างมาก ปัจจุบันสหรัฐฯมีสัดส่วนการค้าโลกประมาณ 8% ขณะที่จีนขึ้นมาเป็น 15-16% จีนกลายเป็นประเทศที่ส่งออกใหญ่ที่สุดของโลกสหรัฐกลายมาเป็นเบอร์ 2

สหรัฐยังมีปัญหาในเรื่องของระบบการเงิน โดยเห็นได้จากวิกฤตซับไพรม์หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่จะสะท้อนว่ามีปัญหาระดับวิกฤตในระบบการเงินของสหรัฐฯ นอกจากนั้นยังมีอีกหลายวิกฤตที่ทำให้เกิดคำถามถึงความเป็นผู้นำของสหรัฐฯในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การยึดไครเมียจากยูเครนในปี 2014 การเปิดเส้นทางสายไหมใหม่ (BRI)ของจีน ในปี 2016  ที่จีนสามารถค้าขายไปยุโรปและทั่วโลก การระบาดของโควิด 19 ในช่วงปี 2019 -2022 ซึ่งประเทศที่มีการลงทุนในสาธารณสุขมากมายมหาศาลอย่างสหรัฐฯมีความเสียหายเกิดขึ้นมาก

และในปี 2025 ในปัจจุบัน ที่เริ่มสงคราม AI  เมื่อจีนมีการเปิดตัว deep seeks ที่เป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหม่ที่สำคัญของจีน ลงมา ลงทุนน้อยกว่าสหรัฐฯมากแต่ว่ามีประสิทธิภาพกว่า

ดร.ศุภชัย กล่าวว่าในสถานการณ์ปัจจุบันเวทีพหุภาคีทั้งหลายยังคงต้องเป็นความหวังให้การพูดคุยกันระหว่างประเทศต่างๆ เกิดขึ้นได้ เพื่อประคับประคองระบบต่างๆของโลกให้กลับไปสู่ภาวะปกติมากที่สุด ต้องเข้ามาดูแลปัญหาเรื่องพวกนี้พยายามลดอุณหภูมิไม่ให้ร้อนแรงไปมากกว่านี้ 

ทั้งนี้ได้มีการหารือกันในเวที WTO ว่าบทบาทของ WTO ในการเข้ามาเป็นเวทีในการพูดจาเรื่องนี้ ซึ่ง WTO ควรจะมีบทบาทในการเป็นเวทีกลางในการเจรจา โดยก่อนหน้านี้เราเคยมีวาระที่คุยกันเป็นรอบๆ ในประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การประชุมรอบเคนเนดี (Kennedy round) หรือว่าการประชุมรอบอุรุกวัย (Uruguay round) ในสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะเป็นเวทีที่เป็นรอบที่เป็นการพูดคุยกันเรื่องนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ (Trump round) ซึ่งว่าด้วยเรื่องของภาษีอากร ที่สำคัญเมื่อเราคุยกับอเมริกาแล้วเราก็ต้องคุยกับจีนได้ด้วยจะต้องคุยกับทั้งสองฝ่าย

สำหรับข้อเสนอของประเทศไทยในการรับมือกับสถานการณ์ที่โลกเผชิญความไม่แน่นอนสูงมี 5 เรื่อง ได้แก่

1.เจรจากับตลาดอาเซียน และหาโอกาสการค้าในตลาดเกิดใหม่ โดยในปัจจุบันสหรัฐฯนั้นมีสัดส่วนการค้าโลกประมาณ 8% ขณะที่อาเซียนเราอยู่ในตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพและมีตลาดที่รวมกันทั่วโลกมีขนาด 30 -40 % ของการค้าโลก ซึ่งตอนนี้ไทยและอาเซียนควรต้องคุยกัน หาจุดร่วมกัน ไม่ควรใช้การกีดกันการค้า หรือดัมพ์ตลาดสินค้าใส่กัน เพราะจะเป็นการแก้ปัญหากำแพงภาษีกับสหรัฐฯแต่ก็จะสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา  

2.ในระยะยาวต้องมีการแก้ปัญหาโครงสร้างการผลิต เรื่องนี้ต้องไม่ละทิ้ง เพราะในยุทธศาสตร์ชาติ20 ปี ได้มีการบอกว่าเราต้องทำอะไร ที่สำคัญมีเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือเราเดินทางสายกลางและมีภูมิคุ้มกันในขณะนี้เราต้องสร้างภูมิคุ้มกันมากในทางของเศรษฐกิจ เมื่อมีความไม่แน่นอน เราต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ได้ในการรักษาเนื้อรักษาตัวของเรา เราต้องลงทุนในภาคของเศรษฐกิจ สังคม เรื่องสุขอนามัย การศึกษา พลังงานทดแทน เศรษฐกิจสีเขียวซึ่งเป็นการลงทุนใหม่ๆ ที่จะสร้างความต้องการในประเทศ ดูแลเศรษฐกิจภายในและให้ความสำคัญกับการดูแลผู้สูงอายุ สร้างการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตโดยไม่ต้องไปทำโครงการขนาดใหญ่ทั้งนี้หากจะสร้างคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ควรจะเป็นคอมเพล็กซ์เพื่อสุขภาพ กระจายไปในภาคต่างๆ เพื่อรองรับสังคมสูงอายุ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการมากขึ้น

3.ประเทศไทยต้องมีการรักษาพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่อยู่ในมือของกระทรวงการคลังเป็นสิ่งที่เราต้องมี เราต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ได้พยายามอย่าให้มีการใช้จ่ายหรือกู้เงินในส่วนที่ไม่จำเป็น เพราะอีกไม่นานนี้อาจจะต้องมีโครงการที่เป็นการใช้เงินขนาดใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า ดังนั้นทางการคลังก็ต้องมีการดูแลตรงนี้ให้มาก

4.แก้ปัญหาและอุปสรรคที่มาใช่ภาษี โดยในรายงานของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เขียนถึงประเทศไทยยาวมาก แต่เขียนเรื่องภาษีไว้นิดเดียว เรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องของกฎระเบียบศุลกากร กฎระเบียบทางกฎหมาย กฎระเบียบตรวจสินค้า ที่ซับซ้อน เราต้องดูว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคกับคู่ค้า

5.แก้ปัญหาการลงทุนที่มีการสวมสิทธิ์ส่งออกสินค้าจากประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สหรัฐฯเพ่งเล็ง เพราะว่านโยบายของทรัมป์ในขณะนี้ต้องการให้เกิดแรงกระแทกมายังยุทธศาสตร์ China Plus1 ของจีนที่ย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามการค้ารอบแรก เห็นได้จากการที่บริษัทผลิตโซลาร์เซลล์จากไทยที่ส่งไปขายสหรัฐฯเจอภาษีไป 300% เพราะเขารู้ว่าโรงงานนี้ย้ายจากจีนมาลงทุนเพื่อหลบภาษีที่เขาขึ้นกับจีนแล้วส่งสินค้าไปขยายยังสหรัฐฯ ซึ่งเรื่องนี้ต้องฝากกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่จะมีการออกมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อป้องกันการผลิตที่สวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดจากไทยแล้วส่งออก

ผบช.ภ.2 กำชับ  117 โรงพักเช็กยอดพนักงานสอบสวน จัดกำลังสอดคล้องงาน ดูแลคน ตระเวนตรวจเยี่ยม รับไม่ได้หากโรงพักซกมก ห้องขังเหม็นคลุ้ง จี้จัดระเบียบ

เมื่อวานนี้ (3 พ.ค.68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2  (ผบช.ภ.2) เปิดเผยว่า ตั้งแต่รับหน้าที่ ผบช.ภ.2 ให้ความสำคัญกับสถานีตำรวจ หรือโรงพัก ซึ่งถือเป็นจุดแรกที่สัมผัสประชาชน เป็น “หัวใจของงานตำรวจ” ในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อำนวยความยุติธรรม และ ให้บริการประชาชนโดยเฉพาะพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศและของโลกต้องให้ความสำคัญกับการให้บริการประชาชนควบคู่กับการดูแลบริการนักท่องเที่ยว โดยได้ตระเวนตรวจเยี่ยมดูความพร้อมของสถานีตำรวจในด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องกำลังพล การสอบสวนสืบสวน สายตรวจจราจร  ดูความสะอาดโรงพัก ความพร้อมในการให้บริการประชาชน

ผบช.ภ.2 กล่าวว่า ได้กำชับให้ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดและหัวหน้าสถานี สำรวจความพร้อมของพนักงานสอบสวน ตรวจสอบจำนวนของพนักงานสอบสวนในโรงพักว่าเพียงพอสอดคล้องกับปริมาณงานหรือไม่ รวมถึงสุขภาพ ภาวะเครียดของพนักงานสอบสวน โดยให้พิจารณาปรับเกลี่ยให้เหมาะสม กำชับดูแลขวัญกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้งานด้านอำนวยความยุติธรรมของโรงพักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวด้วยว่าหลังจากนี้จะตระเวนตรวจเยี่ยมอย่างต่อเนื่องเพื่อดูความพร้อมของโรงพักในทุก ๆ ด้าน จากการตรวจเยี่ยมที่ผ่านมาพบว่าโรงพักหลายแห่งยังไม่สะอาด ไม่เป็นระเบียบเท่าที่ควร โดยเฉพาะห้องควบคุมผู้ต้องหา ห้องน้ำ บางแห่งสภาพทรุดโทรม เหม็นคลุ้ง จึงได้กำชับให้ทุกโรงพัก 117 แห่ง ในสังกัดตำรวจภูธรภาค 2 ไปตรวจดูโรงพักของตัวเองจัดการให้เป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งในจุดที่บริการประชาชนรวมถึงห้องขังห้องควบคุมผู้ต้องหา 

“ผู้ต้องหา ไม่ใช่นักโทษ เขาคือผู้ที่ยังบริสุทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ห้องควบคุมคือพื้นที่แห่งนิติธรรม ไม่ใช่ที่กักขังไร้มนุษยธรรม ภาพเหล่านี้สะท้อนทั้งคุณภาพของหน่วยงาน และภาวะผู้นำโดยตรง ถ้าแค่เรื่องการดูแลความสะอาดยังทำไม่ได้ เรื่องอื่นคงไม่ต้องพูดกันให้มากความ ผมขอสั่งการโดยตรงให้ผู้บังคับการ ผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ สว. หัวหน้า สภ. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกระดับเร่งตรวจสอบและแก้ไขให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดห้ามมีข้ออ้าง” ผบช.ภ.2 กล่าว

‘จีน’ ปล่อยหมัดเด็ด!! ‘ซื้อปุ๊บ คืนปั๊บ’ นักท่องเที่ยวเพิ่ม 40% ยอดซื้อทะลุ!! 7 พันล้านหยวน ตามมาตรการคืนภาษีใหม่ 

(4 พ.ค. 68) นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่ชอปปิงในจีนช่วงวันหยุด แพลตฟอร์มเผยยอดจองพุ่ง 173% เหตุ มาตรการคืนภาษีแบบ “ซื้อปุ๊บ คืนภาษีปั๊บ” สะดวก-คุ้มกว่าเดิม คืนสูงสุดถึง 11% ช่วยกระตุ้นยอดขายในเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้โต 85% นักชอปสายแฟ-เทคโนฯ แห่เพียบ คนไทยเที่ยวจีนก็ได้สิทธิ์นี้เหมือนกัน รู้ไว้ก่อนแพลนทริป

ช่วงวันหยุดยาววันแรงงานนี้ แพลตฟอร์มท่องเที่ยวหลายแห่งเผยว่า ยอดจองทัวร์เข้าจีนเพิ่มขึ้นถึง 173% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้ามา "ชอปกระหน่ำ" ในจีน หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเขายอมเดินทางไกลคือ “ความสะดวกในการชอป” ที่พัฒนาขึ้นมาก

 มาตรการคืนภาษีใหม่ เพิ่มแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ

เมื่อไม่นานนี้ รัฐบาลจีนออกมาตรการชุดใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติในการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะการขยายบริการ “ซื้อปุ๊บ คืนปั๊บ” ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขอคืนภาษีได้ทันที ณ จุดขาย โดยหลักๆ มี 8 มาตรการใน 3 ด้าน เช่น
ลดเพดานยอดซื้อขั้นต่ำเพื่อขอคืนภาษีจาก 500 หยวน (ราว 2,300 บาท) เหลือ 200 หยวน (ราว 920 บาท)
เพิ่มวงเงินคืนภาษีเงินสดจาก 10,000 หยวน (ราว 46,000 บาท) เป็น 20,000 หยวน (ราว 92,000 บาท)
เพิ่มจำนวนร้านค้าที่สามารถขอคืนภาษี และขยายบริการ “ซื้อปุ๊บ คืนปั๊บ” ทั่วประเทศ

อัตราคืนภาษีอยู่ที่ 11% ของราคาสินค้าที่รวมภาษี เช่น หากซื้อสินค้าราคา 10,000 หยวน (ราว 46,000 บาท) จะได้รับเงินคืนประมาณ 900 หยวน (ราว 4,140 บาท) หลังหักค่าธรรมเนียม

ผลตอบรับจากนักท่องเที่ยวดีเกินคาด

ข้อมูลจาก 10 เมืองนำร่อง รวมถึงเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง พบว่ายอดคืนภาษีจากระบบ “ซื้อปุ๊บ คืนปั๊บ” เติบโตมากถึง 22 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตัวเลขนี้สูงกว่าการเติบโตของการคืนภาษีทั่วไปถึง 18 เท่า

นักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ เยอรมนี สเปน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ระบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึก “คุ้มค่า” และเต็มใจจะใช้จ่ายในจีนมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทแฟชั่น รองเท้า เครื่องประดับ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

ในเซี่ยงไฮ้เพียงเมืองเดียว ตอนนี้มีร้านค้าที่รองรับบริการคืนภาษีกว่า 587 แห่ง โดยครึ่งหนึ่งสามารถให้บริการ “ซื้อปุ๊บ คืนปั๊บ” ได้แล้ว ยอดขายสินค้าคืนภาษีแตะ 760 ล้านหยวน (3.49 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้น 85% ในไตรมาสแรกของปีนี้

รายการชอปปิงเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ของฝากแบบเดิมๆ

แนวโน้มของนักท่องเที่ยวต่างชาติเปลี่ยนจากการ “ชมวิว” มาเป็น “ชอปจริงจัง” มากขึ้น จากเดิมที่นิยมซื้อของฝากอย่างตุ๊กตาแพนด้าหรือชา ปัจจุบันพวกเขามองหาสินค้าที่ผสมผสานความเป็นจีนแบบร่วมสมัย เช่น ชุดจีนตัดเย็บพิเศษ ของขวัญแบบสไตล์จีนโบราณ หรือแม้แต่ของเล่นอย่างชุดโมเดลสถาปัตยกรรมจีนแบบดั้งเดิม

ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนยังแสดงความสนใจต่อการท่องเที่ยวเชิงลึก เช่น เยือนหมู่บ้านโบราณในเจ้อเจียง ลิ้มรสกาแฟริมธารน้ำ หรือสัมผัสนวัตกรรมของจีนผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างโดรนและ VR ในเซินเจิ้น

เศรษฐกิจจีนเปิดกว้าง กระตุ้น “การบริโภคจากภายนอก”

ไตรมาสแรกของปี 2025 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าจีนเพิ่มขึ้นถึง 40.2% ขณะที่ยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวขาเข้าในปี 2024 อยู่ที่ 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 77.8%

รัฐบาลจีนระบุในรายงานการทำงานประจำปีว่า "การขยายการบริโภคจากต่างประเทศ" คือหนึ่งในเป้าหมายทางเศรษฐกิจสำคัญ และในแผนปฏิบัติการกระตุ้นการบริโภคล่าสุดก็ยืนยันชัดเจนว่า จะผลักดันการบริโภคจากนักท่องเที่ยวขาเข้าอย่างจริงจัง

จีนกำลังเร่งปรับปรุงบริการให้ทันสมัยและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น เพราะไม่เพียงแค่รายได้ทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของจีนในเวทีโลกอีกด้วย

คนสหรัฐฯ แห่!! ‘เช่าไก่’ แก้ปัญหา ‘ไข่แพง’ ค่าเช่า 17,000-34,000 บาท ต่อ 6 เดือน

(4 พ.ค. 68) สถาพร เกื้อสกุล ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

คนสหรัฐฯ แห่เช่าไก่ แก้ปัญหาไข่แพง

มีรายงานข่าวขณะนี้ชาวอเมริกัน กำลังประสบปัญหาไข่ไก่ราคาแพง ดังนั้นพวกเขาจึงได้ติดต่อขอเช่าไก่จาก กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ที่ใช้ชื่อว่า “Rent the Chicken” ซึ่งไก่จะมาพร้อมกับอุปกรณ์การเลี้ยงครบ รวมถึงบ้านและกรง มีรางใส่อาหาร-น้ำ อาหารไก่และคู่มือ สามารถตั้งเอาไว้ที่สนามหญ้าหลังบ้าน โดยไก่จะออกไข่ประมาณ 14 ฟองต่อสัปดาห์ ผู้เช่าจะได้กินไข่ไก่สดทุกวัน

สำหรับราคาค่าเช่าอยู่ระหว่าง 500-1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 17,000-34,000 บาท ต่อระยะเวลา 6 เดือน ขึ้นอยู่กับพื้นที่และจำนวนไก่ 
ทั้งนี้ไข่ไก่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาราคาพุ่งสูงต่อเนื่อง ล่าสุดสูงกว่าปีที่แล้ว 3-4 เท่าหรือราว 60% หลังจากสหรัฐเกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกและยังมีปัญหาเงินเฟ้อค่าครองชีพพุ่งสูง 

Temu ปรับตัว!! เพื่อสู้ กำแพงภาษีของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ หลังมีประกาศ!! ระงับการขายสินค้าที่ส่งมาจาก ‘จีน’

(4 พ.ค. 68) หนึ่งในเป้าหมายของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีศุลกากร ก็เพื่อต้องการกำจัด แพลทฟอร์มออนไลน์ค้าปลีกของจีน อย่าง Temu และ Shein ที่ใช้ช่องโหว่ทางภาษีสหรัฐ ที่ยกเว้นการเก็บภาษีสำหรับพัสดุชิ้นเล็ก ที่เรียกว่า "de minimis" ที่มีมูลค่าน้อยกว่า 800 ดอลลาร์

ซึ่งเข้าทางพ่อค้าจีน ที่เก่งเรื่องการบี้ราคาต้นทุน ให้สามารถขายสินค้าได้ในราคาถูกเหลือเชื่อ จึงมีพัสดุสินค้าจิ๋วนำเข้ามายังสหรัฐอเมริกาได้เป็นล้านชิ้นในแต่ละเดือน โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีเลยแม้แต่เหรียญเดียว 

แต่หลังจากสิ้นสุดเดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป ไม่สามารถทำได้แล้ว ด้วยคำสั่งประธานาธิบดีของทรัมพ์ ที่ตั้งกำแพงภาษีสินค้าที่ส่งจากจีนสูงถึง 130-150% และเพิ่มมาตรการตรวจสอบพัสดุสินค้าจากต่างประเทศ ลดเพดานมูลค่าสินค้าจาก 2,500 เหรียญ เหลือ 800 เหรียญ ต้องเสียภาษีแล้ว
เมื่อทรัมป์ยอมเผาทั้งโลกเพื่อฆ่าเธอคนเดียว Temu ที่เป็นเป้าหมายตรง ก็ต้องรีบปรับตัวให้ทัน และประกาศระงับการขายสินค้าที่ต้องส่งมาจากจีนบนแพลทฟอร์มทั้งหมดแล้ว

โดยสินค้าที่ขึ้นขายอยู่ในขณะนี้มีเพียงสินค้าที่ผลิต และอยู่ในโกดังที่สหรัฐเท่านั้น ส่วนสินค้าที่ต้องส่งจากจีนทุกรายการถูกเปลี่ยนสถานะเป็น "Out of stock" หรือ สินค้าหมด

การระงับการขายสินค้าที่ต้อง ship มาจากจีน เกิดขึ้นทันทีที่คำสั่งประธานาธิบดีของทรัมป์ เรื่องข้อบังคับภาษีศุลกากรในพัสดุสินค้าขนาดเล็ก มีผลบังคับใช้เมื่อวันศุกร์ (2 พฤษภาคม 2025) ที่ผ่านมาที่จะทำให้สินค้าที่จัดส่งจากจีนของ Temu และ Shein โดนภาษีเต็มๆ 120% หรืออัตราภาษีคงที่ 100 เหรียญต่อชิ้น ซึ่งจะขึ้นอีกเป็น 200 เหรียญต่อชิ้นในเดือนมิถุนายนนี้

ด้วยราคาภาษีโหดขนาดนี้ คงยากที่ Temu และ Shein จะขายสินค้าจีนในอเมริกาได้เหมือนเดิม จึงเป็นเหตุผลที่ Temu ต้องเปลี่ยนกลยุทธจากการขายสินค้าจีน เป็นขายสินค้าจากผู้ผลิตที่อยู่ในสหรัฐ

จึงเกิดคำถามว่า แล้วแพลทฟอร์มของจีนจะยังขายสินค้าในราคาถูกตาแตกได้เหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่ง Temu ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อราคาสินค้า ทุกอย่างที่เห็นในตอนนี้ยังขายในราคาเดิม

แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่กล่าวไม่หมด เพราะทั้ง Temu และ Shein ขึ้นราคาสินค้าของตนไปก่อนหน้านี้นานแล้ว สินค้าบางชิ้นมีราคาสูงขึ้นถึง 377% เลยทีเดียว และมีการระบุเงื่อนไขเพิ่มว่ามี "ค่าธรรมเนียมภาษีขาเข้า"

คำกล่าวที่ Temu ประกาศว่า "ไม่มีผลกระทบต่อนโยบายราคา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม" จึงเป็นเพียงคำพูดปลอบใจตนเอง เพราะต่อจากนี้ไป จะไม่มีอะไรเหมือนเดิม 

แต่ธุรกิจต้องไปต่อ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่มีทางเลือกที่จะต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด มีเพียงคำถามเดียวในใจ คือ ต้องปรับตัวอย่างไรให้รอดเท่านั้นเอง

โจรใต้ ลอบวางระเบิด!! งานมหกรรมตาดีกา รือเสาะ ก่อน ‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ มาถึงเป็นประธานเปิดงาน

(4 พ.ค. 68) เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ที่บริเวณชายป่าสวนผลไม้ของชาวบ้าน ห่างจากด้านหลังเต็นท์จำหน่ายสินค้า ประมาณ 40 เมตร ในกิจกกรรมงานมหกรรมตาดีกาสัมพันธ์เทศบาลตำบลรือเสาะ ซึ่งจัดขึ้นที่มัสยิดอัลฮีดายะห์ บ้านบือแนยามู ม.2 ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ส่งผลทำให้ชาวบ้านพ่อค้าแม่ค้า ที่เดินทางมาร่วมงานและจำหน่ายสินค้า ต่างพากันวิ่งหนีกันอย่างชุนละมุน พร้อมเสียงหวีดร้องเป็นระยะๆ 

ซึ่งภายในงานจะมี น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานและมีผู้ใหญ่ระดับสูงของจังหวัด อาทิ นายวีรพัฒน์ บุณฑริก รอง ผวจ.นราธิวาส ดร.ซาการียา สะอิ สส.นราธิวาส เขต 4 พรรคภูมิใจไทย นายอมีร ซาริคาน นายกเทศบาลตำบลรือเสาะ นายนิติพงษ์ ทาหา นายอำเภอรือเสาะ เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร มายืนคอยให้การต้อนรับ 

หลังเกิดเหตุระเบิดเจ้าหน้าที่ได้นำแผงเหล็กที่ใช้สำหรับปิดกั้นการจราจร มาวางไว้ที่บริเวณจุดเกิดเหตุระเบิด เพื่อรอให้ น.ส.ซาบีดา เป็นประธานเปิดงานและร่วมกิจกรรมแล้วเสร็จ ถึงจะให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบ ซึ่งการเปิดงานในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

มีรายงานว่า น.ส.ซาบีดา เมื่อเปิดงานและร่วมกิจกรรมแล้วเสร็จ ได้เดินทางกลับโดยที่ไม่ได้รับรู้ว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้น 

ต่อมา 14.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดอโณทัยและจากชุด EOD กองกำกับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เข้าทำการตรวจสอบจุดเกิดเหตุด้วยการใช้เครื่องตรวจจับวัตถุโลหะและพบว่า มีระเบิดแสวงเครื่องอีก 1 ลูก ซุกซ่อนอยู่ละแวกเดียวกันห่างจากจุดระเบิดประมาณ 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงได้กันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกห่าง ก่อนที่จะใช้เครื่องแรงดันน้ำพลังสูงในการยิงทำลาย 

เมื่อตรวจสอบระเบิดทั้ง 2 ลูก พบว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุอยู่ในท่อเหล็กทรงกลม หนัก 1 ถึง 2 ก.ก. จุดชนวนด้วยระบบแบบเหยียบ เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน 

จากการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นฝีมือการกระทำของสมาชิกแนวร่วมผู้ก่อเหตุรุนแรง แอบลักลอบนำระเบิดแสวงเครื่องแบบเท้าเหยียบไปซุกซ่อนไว้ เพื่อดักสังหารเจ้าหน้าที่กำลังพลที่ถูกส่งตัวมาให้การรักษาความปลอดภัยแก่คณะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กลุ่มคนร้ายเดาใจเจ้าหน้าที่ว่า จะมายืนให้การรักษาความปลอดภัยที่บริเวณจุดดังกล่าว แต่โชคดีระเบิดลูกแรกเกิดขัดข้องได้ระเบิดขึ้นเสียก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่กันพื้นที่ให้EODเข้าตรวจสอบ จึงพบระเบิดลูกที่ 2 จึงได้ยิงทำลายไปในที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top