Monday, 9 June 2025
NewsFeed

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#4 สุดยอดปืนเล็กยาวตระกูล AK จาก Kalashnikov Group

ยังเป็นบ่ายวันแรก (12 สิงหาคม) หลังจากชมนานาสารพัดจรวดนำวิถีที่ออกแบบและผลิตโดยบริษัท Tactical Missiles Corporation (KTRV) แล้วทีมงานของบริษัท ROSOBORONEXPORT ก็พาเดินไปยังอาคารของบริษัท Kalashnikov Group ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธปืนตระกูล AK ที่คนไทยรู้จักกันดี 

‘Mikhail Kalashnikov’ (1919 - 2013) ผู้ออกแบบและสร้างปืนเล็กยาวตระกูล AK

ก่อนปี 2013 บริษัทนี้รู้จักกันในชื่อของ 'Izhevsk Machine-Building Plant' และได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น 'Kalashnikov Concern' เพื่อเป็นเกียรติแก่ ‘Mikhail Kalashnikov’ ผู้ออกแบบและสร้างปืนเล็กยาวตระกูล AK บริษัท 'Kalashnikov' มีประวัติการก่อตั้งมายาวนาน 217 ปี โดยมีสำนักงานใหญ่ในเมือง Izhevsk ในเขต Udmurtia และกรุงมอสโกเมืองหลวง เป็นบริษัทมหาชนจำกัดออกแบบและผลิต อาวุธยุทโธปกรณ์ของสหพันธรัฐรัสเซีย อาทิ อาวุธปืนสำหรับพลเรือนและทหารหลากหลายประเภท เช่น อาวุธปืนเล็กยาวจู่โจม อาวุธปืนสำหรับพลแม่นปืน ปืนกลอัตโนมัติประจำหมู่ ปืนยาวล่าสัตว์ ปืนลูกซอง ปืนใหญ่กระสุนนำวิถี และอาวุธยุทโธปกรณ์ประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น สถานีอาวุธควบคุมระยะไกล ยานยนต์ไร้คนขับ และหุ่นยนต์ทางการทหาร

ปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูล Kalashnikov (AK)

บริษัท Kalashnikov Concern ผลิตอาวุธปืนขนาดเล็กประมาณ 95% ของที่ผลิตทั้งหมดในสหพันธรัฐรัสเซีย และส่งออกไปยังกว่า 27 ประเทศทั่วโลก ทำให้เป็นผู้ผลิตอาวุธปืนรายใหญ่ที่สุดในรัสเซีย โดยมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ได้แก่ ปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูล Kalashnikov (AK) ปืนกลเบา RPK ปืนไรซุ่มยิงกึ่งอัตโนมัติ Dragunov SVD ปืนเล็กสั้นกึ่งอัตโนมัติ SKS ปืนพก Makarov PM ปืนลูกซอง Saiga-12 และปืนกลมือ Vityaz-SN และ PP-19 Bizon อาวุธปืนเหล่านี้ ยกเว้น SVD, SKS และ PM ล้วนพัฒนาขึ้นจากอาวุธปืนตระกูล AK อันโด่งดัง ซึ่งตัวเลขโดยประมาณของปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูลนี้น่าจะมากกว่า 100ล้านกระบอก อันเนื่องมาจากความน่าเชื่อถือในเรื่องของความแข็งแรงและทนทานในทุกสภาวะ ต้นทุนการผลิตต่ำ สามารถหาซื้อได้ในเกือบทุกภูมิภาค (เนื่องจากเป็นอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมที่มีการผลิตเลียนแบบมากที่สุด) และใช้งานง่าย 

อุปกรณ์ป้องกัน (หมวกกันกระสุนและเกราะกันกระสุน) เครื่องแบบและอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทางการทหารผลิตโดย Kalashnikov

ปัจจุบันบริษัทผลิตอาวุธปืนอยู่ 3 ยี่ห้อ ได้แก่ 'Kalashnikov' (อาวุธปืนสำหรับการสงครามและพลเรือน) 'Baikal' (อาวุธปืนสำหรับพลเรือนและล่าสัตว์) และ 'Izhmash' (ปืนเล็กยาวสำหรับการกีฬา) บริษัทกำลังพัฒนาสายธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึง ยานติดอาวุธปืนไร้คนขับ ยานพาหนะทางอากาศและภาคพื้นดิน และเรืออเนกประสงค์เพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ ตลอดจนอุปกรณ์ป้องกัน (หมวกกันกระสุนและเกราะกันกระสุน) เครื่องแบบและอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทางการทหาร เกราะปฏิกิริยาต้านแรง (Explosive Reactive Armor : ERA)

แผ่นเกราะชนิดต่าง ๆ และเกราะปฏิกิริยาต้านแรงระเบิด (Explosive Reactive Armor : ERA)

อาสาสมัครทหารพรานกับอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-104 ขนาด 7.62x39 ม.ม.

สำหรับประเทศไทย กองทัพบกก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของ Kalashnikov โดยมีการจัดซื้อจัดหาอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-104 ขนาด 7.62x39 ม.ม. สำหรับกองกำลังอาสาสมัครทหารพราน และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยได้จัดซื้อจัดหาอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-102 ขนาด 5.56x45 ม.ม. สำหรับกองกำลังอาสาสมัครรักษาดินแดน

อาสาสมัครรักษาดินแดน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กับอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-102 ขนาด 5.56x45 ม.ม.

ปัจจุบัน กองทัพของสหพันธรัฐเซียใช้อาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-12 ขนาด 5.45x39 ม.ม. เป็นอาวุธปืนประจำกาย

'นายกฯ' อัญเชิญพระราชกระแส ‘ในหลวง ร.10’ ทรงห่วงใยประชาชน-พระราชทานกำลังใจจิตอาสา

(13 ก.ย. 67) ที่ จ.เชียงราย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่พายุไต้ฝุ่นยางิ (Yagi) ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย เป็นเหตุให้เกิดอุทกภัยอย่างรุนแรงในบริเวณพื้นที่ อ.แม่สาย และ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา อีกทั้งเกิดเหตุดินสไลด์ในบริเวณพื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน บาดเจ็บ และเสียชีวิต รวมถึงเกิดความเสียหายแก่บ้านเรือน และทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมากนั้น

นายกฯ กล่าวต่อว่า การนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแส ทรงห่วงใยประชาชนผู้ประสบภัยจากเหตุดังกล่าว และมีพระราชกระแสทรงชื่นชม และพระราชทานกำลังใจ แก่จิตอาสาจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐภาค เอกชน และภาคประชาชน ซึ่งต่างเสียสละกำลังกาย กำลังปัญญา และกำลังทรัพย์ มาร่วมกันปฏิบัติการให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย แม้การช่วยเหลือจะเป็นไปอย่างยากลำบากท่ามกลางกระแสน้ำไหลเชี่ยว และข้อจำกัดต่าง ๆ แต่จิตอาสาภาคส่วน ต่างร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มกำลัง ด้วยความรักความปรารถนาดีต่อกัน เป็นเครื่องมือสำคัญ ทำให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที สามารถบรรเทาสถานการณ์ให้คลี่คลายลงตามลำดับ

‘สภานักศึกษา มธ.’ มีมติมอบรางวัล ‘จารุพงษ์ ทองสินธุ์’ ให้ ‘บุ้ง เนติพร’ พร้อมยกย่อง!! ในฐานะ ‘ผู้ที่เคลื่อนไหวเรียกร้อง – ปกป้องประชาธิปไตย’

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67) สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีมติให้ 'เนติพร เสน่ห์สังคม' ได้รับรางวัลจารุพงษ์ ทองสินธุ์ เพื่อประชาธิปไตย ประจำปี 2567

รางวัลจารุพงษ์ ทองสินธุ์ เพื่อประชาธิปไตย คือรางวัลโดยสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มอบให้แก่ผู้ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องและปกป้องประชาธิปไตย เช่นเดียวกันกับจารุพงษ์ ทองสินธุ์ เพื่อนและพี่ของเราที่ได้สละชีวิตต่อความอยุติธรรมและความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 

โดยจะมีการมอบรางวัลในงานรำลึก 48 ปี 6 ตุลาฯ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

‘ผู้ว่าฯ ธปท.’ มอง!! การเติบโตเศรษฐกิจไทย ไม่ควรล่า ‘GDP’ แบบเดิมอีกต่อไป เผย!! ควรเน้นการเติบโตจากท้องถิ่น ชี้!! นี่คือ ‘กุญแจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน'

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา ‘Big Heart Big Impact สร้างโอกาสคนตัวเล็ก..Power of Partnership จับมือไว้ไปด้วยกัน’ ที่จัดโดยสำนักข่าว Thaipublica ในหัวข้อ ‘สร้างไทยเข้มแข็งด้วยท้องถิ่นนิยม Localism Future of Thailand’ ว่า ประเทศไทยจะเติบโตแบบเดิมๆ ไม่ได้อีกต่อไป ต้องหารูปแบบการเติบโตใหม่ ๆ ที่ต่างไปจากที่เราเคยเติบโต

ตัวสะท้อนที่เห็นชัด ว่าเราจะเติบโตแบบเดิมไม่ได้ ด้านแรก หากดูในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของจีดีพี ถือว่าไม่ได้สะท้อนเรื่องของความมั่งคั่งหรือรายได้ของครัวเรือนเท่าที่ควร 

โดยเฉพาะหากมองไปข้างหน้า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนั้นแม้ตัวเลขจีดีพีเติบโต แต่ไม่ได้หมายความว่า รายได้หรือความมั่งคั่งของครัวเรือนหรือรายได้ต่างเพิ่มขึ้น 

ด้านที่สอง ในมุมของภาคธุรกิจ เห็นการกระจุกตัวค่อนข้างสูง โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจขนาดใหญ่ที่อยู่ที่ 5% แต่มีสัดส่วนรายได้สูงถึงเกือบ 90% เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากเทียบกับก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 84-85%

สะท้อนการกระจุกตัวของรายได้ธุรกิจที่เพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำ หากดูธุรกิจรายเล็กที่เพิ่งเกิดใหม่ และมีการก่อตั้งธุรกิจมาน้อยกว่า 5 ปีหลัก มีอัตราการปิดกิจการ หรือการตายที่เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนถึง Dynamic ที่เริ่มลดลง สะท้อนการกระจุกตัวสูงขึ้น

ด้านที่สาม ภายใต้บริบทของโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้อานิสงส์ที่ประเทศไทยเคยได้รับ ไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะ การพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศหรือ FDI ที่เข้ามาในประเทศ ที่ไทยหวังพึ่งแบบเดิมไม่ได้เหมือนเดิม หากดูมาร์เก็ตแชร์ของไทยเคยอยู่ที่ 0.57%  ซึ่งสูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม มาก แต่ปัจจุบัน FDI  เวียดนามแซงไทยไปมาก

สะท้อนให้เห็นว่าเราทำแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป ไม่เหมือนอดีตที่เรามีเสน่ห์แม้เรานั่งเฉยๆ เขาก็วิ่งมาหาเรา แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไป ดังนั้นประเทศไทยต้องปรับตัว ต้องออกแรงมากขึ้น จะหวังพึ่งต่างชาติไม่ได้เหมือนเดิม หมายความเราจำเป็นที่ต้องพึ่งความเข้มแข็งภายในของเรามากขึ้น

“เราไม่ควรโตแบบล่าตัวเลขอย่างเดียว ล่าจีดีพี ล่า FDI เพราะการเติบโตที่ผ่านมาก็ไม่ได้สะท้อนไปสู่เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ตัวเลขที่ต้องล่าคือ ชีวิตความเป็นอยู่ของคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้คน ความมั่งคั่งของคน ที่เป็นสะท้อนคุณภาพของชีวิตความเป็นอยู่ของคน เช่น ตัวเลขสาธารณสุข การศึกษา และโอกาสต่างๆ เพราะตัวเลขวันนี้ไม่ได้สวยหรูเหมือนเมื่อก่อน”

ดังนั้นการเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น เข้มแข็งกว่าเดิม หรือเติบโตบนรูปแบบใหม่ ต้องอาศัยหลายๆ เรื่อง ภายใต้ More Local 

ด้านแรก เน้นการเติบโตแบบท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันประชากร 80% อยู่นอกพื้นที่ กทม./ปริมณฑล

ซึ่งต้องสร้างความมั่งคั่งนอกพื้นที่ และด้านที่สอง ธุรกิจประมาณ 80% อยู่นอกพื้นที่ กทม./ปริมณฑล ซึ่งหากดูสัดส่วนประชากรเมืองหลวง และเมืองรองมีช่องว่าง (Gap) มหาศาล และด้านที่สาม จากตัวเลข World Bank

สะท้อนว่าการเติบโตจีดีพีสูง แต่การเติบโตของประชากรเพียง 0.22% เท่านั้น 

อย่างไรก็ดี การเติบโตแบบท้องถิ่น จะต้องโตแบบแข่งขันได้ และเป็นการแข่งขันกับโลกได้ด้วย ไม่เฉพาะแข่งขันเฉพาะจังหวัดเท่านั้น แต่การเติบโตที่แข่งขันได้ ต้องก้าวข้ามหลายด้าน 

ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือของที่ไม่ใช่

ด้านแรก การเติบโตโดยอาศัยความหนาแน่นของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เริ่มส่งผลกระทบ จากความหนาแน่นเหล่านี้แล้ว ทั้งความแออัด ต้นทุนที่สูงขึ้น ที่เริ่มเห็นจีดีพีต่อหัวของกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ชะลอตัวลง 

ด้านที่สอง นโยบายที่เน้นการกระจายความเจริญไปพื้นที่ต่างๆ ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก เช่น การพยายามไปพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ  หรือ Special Economic Zone  เพื่อดึงดูดความมั่งคั่งการลงทุนต่าง ซึ่งจากการทำมาตั้งแต่ ปี 2558 พบว่ามีมูลค่าลงทุน หากเทียบกับสัดส่วนของมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในประเทศทั้งหมด ที่พบว่าอยู่เพียง 0.5% หรือไม่ถึง1%  ดังนั้นแม้นโยบายเหล่านี้ เป็นเจตนารมณ์ที่ดีของนโยบายรัฐ เพื่อหวังให้เกิดการกระจายความเจริญ แต่หากไม่ได้ศักยภาพต่างๆ นโยบายพวกนี้อาจเป็นนโยบายที่ไม่ใช่ 

ส่วนสิ่งที่ ‘ใช่’ คือ การสร้างท้องถิ่นสากลให้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน จุดเด่นแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ทั้งทรัพยากร และประวัติศาสตร์ แต่จะต้องแข่งขันกับโลกได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ แต่มีมูลค่าสูงขึ้น โดยการที่ทำให้ท้องถิ่นสากลได้ ต้องมี 5-6 เรื่อง 

1.เชื่อมกับตลาด แต่จากท้องถิ่นที่ไม่หนาแน่น กระจายไม่เยอะ ทำให้ต้นทุนจะต่ำได้น้อยมาก แต่กระแสออนไลน์จะทำให้การเชื่อมกับตลาดได้ง่ายขึ้น

2.สร้างมูลค่าเพิ่มโดยการหาจุดเด่น และเอกลักษณ์ 

3.ร่วมมือกับพันธมิตร (Partner) จะช่วยได้ โดยตัวเล็กจับมือกับตัวใหญ่ เพื่อสร้างโอกาสที่เป็น Win-Win

4.ทำให้เมืองรองโต ทำให้เกิดการเข้าถึงเมืองรอง สร้างการกระจุกตัวในเมืองใหม่ ๆ 

5.ให้ท้องถิ่นบริหารจัดการเองได้ เพราะอะไรที่จากส่วนกลางแบบ One size fits all จะไม่เหมาะกับทุกพื้นที่ เช่น ต่างประเทศที่พัฒนาได้ดี อาทิ เกาะเจจู ของเกาหลีที่ให้พื้นที่ออกนโยบายเอง ทำให้รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์

6.สร้างระบบติดตาม ประเทศที่ทำได้ดี คือ เวียดนาม ที่มีการคำนวณความสามารถในการแข่งขันในแต่ละจังหวัด และแต่ละพื้นที่ โดยมีการสำรวจความเห็นนักลงทุนถึงกฎระเบียบการลงทุน และอุปสรรคมีอะไรบ้าง เพื่อพยายามให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน 

‘กองทัพเรือภาคที่ 3’ รวมน้ำใจ ชาวภูเก็ต ภาครัฐ-เอกชน ส่ง!! ของกิน-ของใช้-กำลังใจ ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมเชียงราย

(14 ก.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘เสียงจากทหารเรือ’ ได้โพสต์เรื่องราวดีดี เกี่ยวกับความมีน้ำใจของคนใต้ โดยได้ระบุว่า ...

กองทัพเรือภาคที่ 3 ได้จัดกำลังพลร่วมภาครัฐ และเอกชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตส่งกำลังใจ และสิ่งของอุปโภค บริโภค ที่ประชาชนชาวภูเก็ตได้นำมาบริจาคเพื่อส่งไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ได้เปิดรับบริจาคมาตั้งแต่ 09.00 ของวันที่ 12 กันยายน จนถึงเวลา 18.30 น.

ซึ่งกำลังพลทัพเรือภาคที่ 3 ร่วมช่วยลำเลียงสิ่งของอุปโภค บริโภคขึ้นรถหกล้อ เพื่อออกเดินทางไปยังจังหวัดเชียงราย เพื่อส่งมอบให้กับชาวจังหวัดเชียงราย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยในครั้งนี้

ทั้งนี้ ข้าราชการ พนักงานราช ลูกจ้าง และทหารกองประจำการ ขอส่งมอบกำลังใจให้แกพี่น้องชาวจังหวัดเชียงรายที่ได้รับความเดือดร้อน ให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างปลอดภัย

นักวิชาการ จี้รัฐ!! เร่งแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว ‘เมียนมา’ แย่ง!! อาชีพคนไทย-ตั้งธนาคารเอง-ตั้งตัวเป็นเจ้าของตลาด

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67) นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ และฝ่ายความมั่นคง เห็นตรงกันว่า ปัญหาแรงงานต่างด้าวเป็นภาระด้านงบประมาณของประเทศ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขและการศึกษา ซึ่ง สพฐ.ต้องให้เด็กต่างด้าวเรียนฟรีถึง 15 ปี อีกทั้งเข้ามาแย่งสารพัดอาชีพของไทย ผันตัวสู่เจ้าของธุรกิจ เดินรถสองแถว รับเหมาก่อสร้าง ปล่อยเช่าคอนโด ‘พล.ท.นันทเดช’ เผย ‘เมียนมา’ ล้ำเส้น ถึงขั้นตั้งธนาคาร มีกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านของตัวเอง ตั้งตัวเป็นเจ้าของตลาด แถมมี สส.บางพรรค อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหว ด้าน ‘รศ.ดร.อัทธ์’ แนะ เร่งจัดระเบียบ ขึ้นทะเบียน จัดทำฐานข้อมูล เพื่อง่ายต่อการควบคุมและจัดเก็บภาษี

กล่าวได้ว่าปัญหาแรงงานต่างด้าวกลายเป็นประเด็นร้อนต่อเนื่องมานานนับเดือน โดยเฉพาะแรงงานเมียนมาที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเกินขอบเขต บ้างก็รวมตัวจัดกิจกรรมระดมทุนโดยไม่ขออนุญาต บ้างก็โชว์กร่างข่มขู่คุกคามคนไทย ขณะที่บางพื้นที่มีการลักลอบเปิดโรงเรียน อีกทั้งยังร้องเพลงชาติเมียนมาแบบไม่เกรงใจเจ้าของประเทศ จนเริ่มเกิดกระแสต่อต้านจากคนไทยถึงขั้นที่อยากให้ผลักดันแรงงานเหล่านี้ออกจากประเทศ จนหลายฝ่ายเกรงว่าจะกลายเป็นปัญหาลุกลามบานปลาย และเรียกร้องให้รัฐบาลลงมาจัดการก่อนที่จะสายเกินไป

ส่วนว่าปัญหาแรงงานต่างด้าวที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของไทยอย่างไร รวมทั้งจะมีหนทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวหรือไม่นั้น คงต้องไปฟังความเห็นจะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ขณะนี้แรงงานต่างด้าว ทั้งเมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน ที่เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และรวมกันเป็นชุมชนที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ยากต่อการควบคุม โดยปัจจุบันคาดว่ามีแรงงานเมียนมาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยประมาณ 3-5 ล้านคน รองลงมาคือ แรงงานกัมพูชา 1-2 ล้านคน ตามด้วยแรงงานลาวไม่เกิน 1 ล้านคน ขณะที่แรงงานเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 4-5 แสนคน ซึ่งแรงงานที่เริ่มสร้างปัญหาคือแรงงานเมียนมาเนื่องจากจับกลุ่มกันเป็นจำนวนมาก จึงเริ่มมีการชุมนุมเคลื่อนไหวที่นั่นที่นี่ มีการนัดรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการเมือง บ้างทำตัวเป็นมาเฟีย เกะกะระราน ทำให้เกิดปัญหาสังคมและอาชญากรรมตามมา

ซึ่งแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยนั้นมีทั้งที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายและลักลอบทำงาน แน่นอนว่าคนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนก็ไม่อยู่ในระบบภาษี ไม่ต้องเสียภาษี อีกทั้งต่างด้าวที่ลับลอบทำธุรกิจในไทยก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่เขาใช้ระบบสาธารณูปโภคของไทย ใช้บริการการแพทย์ของไทย แรงงานเหล่านี้เมื่อเข้ามาอยู่แล้วบางคนก็จะมีลูกมีหลาน ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เพราะหากเจ็บป่วย เด็กเหล่านี้ก็เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของไทย และเมื่อถึงวัยเรียนก็มีสิทธิเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทย เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) มีนโยบายให้เด็กต่างด้าวสามารถเข้ารับการศึกษาได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ซึ่งถือเป็นภาระด้านงบประมาณของไทยอย่างมาก

สอดคล้องกับ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ซึ่งระบุว่า การที่ชาวเมียนมาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจำนวนมากนั้นส่งผลกระทบต่องบประมาณและการบริการด้านสาธารณสุขของไทย เพราะเรามีการจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขไว้จำนวนหนึ่ง เมื่อชาวเมียนมาที่เข้ามาอยู่ในไทยใช้บริการสาธารณสุขที่เราเตรียมไว้เพื่อดูแลคนไทย งบประมาณและบุคลากรการแพทย์ของไทยก็จะถูกแบ่งไปดูแลแรงงานต่างด้าวเหล่านี้รวมถึงลูกหลานที่เกิดขึ้นมา เพราะแม้แรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องจะใช้สิทธิการรักษาตามระบบประกันสังคมที่เขาส่งเงินสมทบ แต่ก็มีแรงงานอีกส่วนหนึ่งที่เข้ามาแบบผิดกฎหมาย รวมถึงบรรดาลูกหลานของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ส่งเงินสมทบแต่ใช้บริการสาธารณสุขด้วยเหมือนกัน ทำให้คนไทยได้รับบริการไม่เต็มที่ แม้แต่ชาวเมียนมาที่อยู่ในพม่าเมื่อเจ็บป่วยหรือจะคลอดบุตรก็เข้ามารักษาและทำคลอดที่โรงพยาบาลในประเทศไทย มาใช้ระบบสาธารณสุขในไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก

นอกจากนั้นแรงงานเหล่านี้ยังพยายามเรียกร้องให้แรงงานเมียนมาสามารถขอต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย(Work Permit) โดยไม่ต้องเดินทางกลับประเทศต้นทางคือประเทศเมียนมาก่อน ซึ่งไม่สามารถทำได้เช่นกัน เพราะขัดกับระเบียบของไทย และเชื่อว่าจะมีปัญหาอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆเพราะชาวเมียนมากำลังเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาทต่อวัน ซึ่งเมื่อประกาศขึ้นค่าแรงไปแล้วผลประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับแรงงานไทย เพราะงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะฝีมือนั้นแรงงานส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทย ขณะเดียวกันผลกระทบที่ตามมาคือภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการ ทำให้สินค้าไทยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น จีน หรือเวียดนาม อีกทั้งคนไทยยังต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาสินปรับตัวสูงขึ้น

“ปัญหาที่หนักมากในขณะนี้คือชาวเมียนมาเข้ามาประกอบอาชีพต่าง ๆ แข่งกับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นเปิดร้านขายอาหาร ขายสินค้าต่าง ๆ ตลาดสดบางแห่งพ่อค้าแม่ค้ามีแต่คนเมียนมา บางพื้นที่เจ้าของตลาดเป็นเมียนมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันผิดกฎหมายของไทย แต่ขบวนการควบคุมแรงงานต่างด้าวของเรามันล้าหลังมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ใต้อิทธิพลของชาวเมียนมา เพราะเขาจ่ายเงินให้” พล.ท.นันทเดช กล่าว

สำหรับปัญหาที่ต่างด้าวเข้ามาแย่งอาชีพคนไทย โดยเฉพาะแรงงานเมียนมานั้น 'รศ.ดร.อัทธ์' มองว่า ชาวเมียนมาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม โดยยุคแรกจะเป็นแรงงานที่เข้ามาทำงานในภาคการผลิต โดยเฉพาะกิจการที่คนไทยไม่นิยมทำ เช่น ประมง ก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม ยุคที่สองแรงงานเมียนมาเริ่มเข้าไปสู่ภาคบริการ เช่น พนักงานเสิร์ฟ พนักงานปั๊มน้ำมัน แม่บ้าน ลูกจ้างขายของ และปัจจุบัน คือยุคที่สาม ได้ขยายไปสู่การเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งแบ่งเป็น 1.ธุรกิจที่คนไทยทำอยู่แล้ว เช่น เปิดร้านขายของ เปิดบริษัททัวร์ รับเหมาก่อสร้าง บริษัทรับจัดสวนตัดแต่งต้นไม้ 2.ธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมียนมา เช่น เปิดร้านขายสินค้าให้ชาวเมียนมาโดยเฉพาะ ขับรถสองแถวรับส่งชาวเมียนมาในไทย ซื้อคอนโดฯและปล่อยให้นักธุรกิจชาวเมียนมาเช่า ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกระหว่างไทยกับเมียนมา ธุรกิจท่องเที่ยว และ 3.ธุรกิจที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานเพื่อทำธุรกิจกับประเทศอื่น

“นักธุรกิจเมียนมาจะเข้ามาหลายรูปแบบ บ้างก็เข้ามาแต่งงานกับคนไทยและหาลู่ทางทำธุรกิจ บางคนก็เข้ามาทำธุรกิจโดยตรง เช่น เข้ามาซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากกฎหมายของไทยอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของคอนโดได้ 49% ของพื้นที่ขายทั้งหมด และตอนนี้เรากำลังจะแก้สัดส่วนให้ซื้อได้ถึง 75% ของพื้นที่ ต่างด้าวบางคนก็เปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างโดยซับงานจากผู้รับเหมาไทยอีกที พวกนี้มีทั้งที่เป็นเมียนมาและกัมพูชา บ้างก็เปิดบริษัทรับทำความสะอาดและรับจัดสวนแบบเหมาทำทั้งหมู่บ้านเลย ซึ่งบางธุรกิจอาจจะผิดกฎหมายแต่เขามีวิธีซิกแซ็ก และให้บริการในราคาที่ถูกกว่าของไทย หรือบางธุรกิจคนไทยก็ไม่ทำ” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว

ขณะที่ พล.ท.นันทเดช ชี้ว่า ปัจจุบันมิติของแรงงานต่างด้าวไม่ได้อยู่แค่ปัญหาแรงงานแต่ขยายไปยังเรื่องอื่นๆ ด้วยโดยเฉพาะแรงงานเมียนมาซึ่งขณะนี้ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องในหลายประเด็น เช่น เรียกร้องให้รัฐบาลให้สัญชาติไทยแก่เด็กเมียนมาที่เกิดในไทย ซึ่งเรื่องนี้ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งปัญหาแรงงานเมียนมาอาจจะนำไปสู่ปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศ เนื่องจากไทย เมียนมา และ สปป.ลาว นั้นมีสัญญาชัดเจนว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในระหว่างกัน แต่แรงงานเมียนมาที่เข้ามาอยู่ในไทยส่วนใหญ่จะต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า อีกทั้งยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคการเมืองไทยบางพรรค โดยมี สส.ของพรรคดังกล่าวเข้าไปยุยงแรงงานเมียนมาให้ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว และมีการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ

“เรามีชาวเมียนมาที่เข้ามาทำงานแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมายนับล้านคน พอมีลูกก็พยายามจะเรียกร้องสิทธิให้ลูก อยากให้ลูกได้สัญชาติไทย บางส่วนก็ออกเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา มีการรวมกลุ่มเคลื่อนไหว ระดมทุน ขณะเดียวกันในชุมชนที่มีแรงงานเมียนมาอยู่เยอะๆก็จะมีธนาคารของตัวเอง โดยมีคนที่เป็นโต้โผรับฝาก-ถอนเงิน มีตลาดซื้อขายสินค้าของตัวเอง อย่างเช่นที่ตลาดพระโขนง นอกจากนั้นยังมีกำนันผู้ใหญ่บ้านของตัวเอง เช่น ที่ จ.สมุทรสาคร โดยจะมีไลน์กลุ่มชาวเมียนมา คนเมียนมาไปทำงานที่ไหน เขาเข้าไปดูแลหมด” พล.ท.นันทเดช ระบุ

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวนั้น 'รศ.ดร.อัทธ์' กล่าวว่า ตนเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าถึงเวลาที่รัฐบาลจะจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวทั้งหมด เนื่องจากปัจจุบันเราไม่รู้ว่าแรงงานแต่ละคนทำงานที่ไหน อย่างไร และพักอยู่ที่ไหน เราจึงต้องมีการสำรวจ ขึ้นทะเบียน และจัดทำฐานข้อมูลว่าปัจจุบันมีแรงงานประเทศใดเข้ามาในไทยบ้าง จำนวนเท่าไหร่ ทำงานอะไรหรือเข้ามาทำธุรกิจอะไร พักอยู่ที่ไหน มีลูกหรือเปล่า ซึ่งนอกจากจะทำให้สามารถจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว หากแรงงานเหล่านี้สร้างปัญหาอะไรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้สามารถจัดการได้ทัน

โดยเฉพาะในส่วนของแรงงานเมียนมานั้นรัฐควรจะแยกกลุ่มให้ชัดเจน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.แรงงานไร้ฝีมือ ซึ่งต้องสำรวจให้ชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ อยู่ในอุตสาหกรรมใดบ้าง 2.แรงงานที่มีทักษะฝีมือ จบปริญญาตรี กลุ่มนี้สามารถบรรจุเข้าไปในสายงานที่ไทยขาดแคลนแรงงานเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ระบบเศรษฐกิจไทยและช่วยพัฒนาประเทศ และ 3.กลุ่มนักธุรกิจที่มีเงิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคลื่นลูกที่สามของเศรษฐกิจเมียนมา กลุ่มนี้มีศักยภาพด้านเงินทุนแต่ต้องมาจัดระเบียบว่าธุรกิจอะไรที่ทำได้หรือทำไม่ได้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะธุรกิจ SME ซึ่งหากแต่ละกลุ่มเข้าสู่ระบบภาษีที่ชัดเจนจะทำให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น

“เมื่อแรงงานเหล่านี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะมีพลังในการเคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องต่างๆ จึงจำเป็นที่รัฐต้องเร่งจัดระเบียบ ไม่อย่างงั้นเละแน่ ๆ ส่วนแรงงานที่ชอบเคลื่อนไหวหรือยุ่งเกี่ยวกับการเมืองนั้นเมื่อจัดระบบแล้ว เราก็จะสามารถติดตามพฤติกรรมได้ง่ายขึ้น หากพบว่ามีการกระทำผิดก็สามารถดำเนินการได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นประเด็นที่จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว

ด้าน ‘พล.ท.นันทเดช’ เห็นว่า เจ้าหน้าที่ควรเข้าไปดูแลและควบคุมแรงงานเมียนมาที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หากไม่จัดการก็จะลุกลามไปยังแรงงานกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะแรงงานกัมพูชา ส่วนแรงงานจาก สปป.ลาวนั้นไม่น่าจะมีปัญหาเพราะเขาอยู่ในกรอบกฎหมายของไทย ซึ่งในยุค 20 ปีก่อนไทยเคยมี 'หน่วยปฏิบัติงานพิเศษ' ที่ทำหน้าที่ควบคุมชาวเมียนที่อยู่ในประเทศไทย เป็นการทำงานรูปแบบหนึ่งของหน่วยข่าวกรอง โดยชาวเมียนมาทุกคนต้องมารายงานตัวต่อหน่วยงานดังกล่าวว่าเข้ามาทำอะไรในประเทศไทย พักอยู่ที่ไหน หน่วยงานนี้จะรู้หมดว่ามีชาวเมียนมาเข้ามาในไทยกี่คน อยู่ที่ไหนบ้าง เราสามารถลงไปตรวจว่ายังอยู่ที่เดิมไหม สร้างปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำให้เรามีฐานข้อมูลที่ชัดเจนและสามารถควบคุมแรงงานเหล่านี้ได้ แต่ภายหลังได้ยกเลิกไป โดยปัจจุบันหน่วยงานที่ทำงานด้านข่าวกรองของไทยไม่ได้เป็นหน่วยงานอิสระ แต่เป็นหน่วยงานที่ทำงานเพื่อตอบสนองฝ่ายการเมือง จึงละเลยเรื่องความมั่นคง ต่างจากเมื่อก่อนที่ทำงานโดยยึดเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก

“แนวทางในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวนั้นรัฐบาลไทยสามารถดำเนินการในรูปแบบเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาทำ คือออกกฎหมายให้ต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศไทยทุกคนต้องแจ้งต่อหน่วยงานความมั่นคงภายใน 7 วัน ทำให้รัฐมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว สามารถส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบว่าเข้าอยู่แล้วได้ทำงานไหม ทำงานอะไร ใบอนุญาตทำงานหมดอายุหรือยัง ถ้าไม่มีใบอนุญาตก็ต้องผลักดันออกนอกประเทศ” พล.ท.นันทเดช กล่าว

‘หมออั้ม’ โพสต์เฟซ ‘3 ประโยค’ ได้ใจชาวเชียงราย ชี้!! ‘อุ๊งอิ๊ง’ มี วุฒิภาวะนายกรัฐมนตรี

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67)  ‘หมออั้ม’ อิราวัต อารีกิจ อดีตนักร้องชื่อดังและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวพร้อมระบุข้อความว่า ...

‘เอามือลง ไม่ต้องไหว้’
‘ไม่เหลืออะไร ยังเหลือชีวิต’
‘ทุกคนส่งกำลังใจมา ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน’
นี่คือ 'วุฒิภาวะนายกรัฐมนตรี'

โคตรแตกต่าง กับอ้ายอีหน้าคีย์บอร์ด
ที่ทำแบบนางไม่ได้ ‘ทุกตรง..ของชีวิต’
แต่คอยหาเรื่องแซะด่าเขา คอยด่าลับหลัง
แม้แต่แคปชันมินิฮาร์ท ที่นักข่าวถ่าย ยังเอาไปแขวะ

อันนี้น่าสมเพชนะ ดูสันดานคนออกเลย

สมุทรปราการ-เปิดงาน 'สุดยอด ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสมุทรปราการ' เพื่อการปรับตัวสู่วิถีชีวิตใหม่ New Normal

นายสุจินต์ วาจากิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน สุดยอดผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมสมุทรปราการ พร้อมด้วย นายอำนวย สุวรรณรักษ์ หัวหน้าอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ นายชนินทร์ กาญจนสุชา หัวหน้าสำนักงานจังหวัดสมุทรปราการ นายสาธิต กล่อมสวัสดิ์ พาณิชย์จังหวัดสมุทรปราการ นางสาวสุจิรา กิจเจริญ เกษตรจังหวัดสมุทรปราการ นางสาวสุขนันทิพย์ ศรีสมวงษ์ พัฒนาการจังหวัดสมุทรปราการ หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดจนแขกผู้มีเกียรติร่วมในพิธีเปิดงานครั้งนี้ 

ภายในงานยังได้รับเกียรติและอนุเคราะห์สถานที่จัดงานจาก คุณโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ รองประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง จังหวัดสมุทรปราการและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการมีแนวคิดที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน ให้โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดขึ้นในชุมชน เพื่อพัฒนาสินค้าส่งเสริมตลาดสำหรับผลผลิตเพื่อเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวหรือภาคบริการอื่น 

รวมทั้งสร้างการเข้าถึงช่องทางการตลาดยกระดับมาตรฐานคุณภาพและมูลค่าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นในชุมชน เพื่อเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน สำหรับการจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้า 'สุดยอดผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมสมุทรปราการ' นี้ถือเป็นกิจกรรมที่ 3 ของโครงการ โดยมีสินค้ารวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ มาจัดแสดง จำนวน 43 บูธด้วยกัน โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 - 16 กันยายน 2567 ณ Grand Hall ชั้น 1 ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์สำโรง ภายในงานสามารถชมการแสดงมินิคอนเสิร์ตจากนักแสดงอีกมากมายทุกวัน

เชียงใหม่-เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้รับรางวัล TRIP.Best 2024 Global 100 Family-Friendly Attractions 

เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้รับรางวัล TRIP.Best 2024 Global 100 Family-Friendly Attractions การแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแบบครอบครัวที่ไหนรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก                                             

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67) สำนักงานพัฒนาพิงคนคร(องค์การมหาชน)โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ได้ให้การต้อนรับคณะบริษัท TRIP.Besf 2024 Global 100 Family-Friendly Attractions ให้กับเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี โดยมีนายกฤษดา ลาพิมล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ปฎิบัติหน้าที่แทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร เป็นประธานเป็นผู้ให้การต้อนรับพร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ณ.ห้องประชุมวารีกุญชร สำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี  

นายกฤษดา ลาพิมล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร กล่าวว่าการได้รับรางวัลนี้ เนื่องจากเชียงใหม่ไนท์เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆของจังหวัดเชียงใหม่ได้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมกิจกรรมต่างๆมาโดยตลอดจนทำให้เกิดการรีวิวและบอกต่อ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีแห่งนี้ให้คนทั่วโลกได้เห็นและรู้จักซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้รับรางวัลจากTrip.com แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้บริการ การเดินทางแบบครบวงจรระดับนานาชาติ ในประเภท Trip.Best 2024 global 100 Family Friendly attraction ซึ่งเป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในหมวดหมู่การท่องเที่ยวแบบครอบครัว ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกและเป็นการจัดลำดับการท่องเที่ยวที่จัดทำขึ้นโดยอิงจากรีวิวจริงของผู้ใช้และความนิยมในการขายตลอดทั้งปี

‘เอ็มจี’ เดินหน้าส่งมอบรถยนต์ ‘ALL NEW MG3 HYBRID+’ ให้ลูกค้า พร้อมลุยการตลาด!! จัดกิจกรรมสัญจรทั่วประเทศ เน้นการทดลองขับจริง

(14 ก.ย.67) ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ทยอยส่งมอบ ALL NEW MG3 HYBRID+ จากสายการผลิตในประเทศไทย ถึงมือลูกค้าทั่วประเทศ โดยผู้ที่สนใจสามารถชมและทดลองขับ ALL NEW MG3 HYBRID+ พร้อมพบกับแคมเปญพิเศษได้ที่โชว์รูม เอ็มจี และกิจกรรมสัญจรทั่วประเทศตั้งแต่กลางเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในช่วงปี 2024 เอ็มจี ตั้งใจที่จะนำนวัตกรรมไฮบริดรุ่นนี้เข้ามาสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับตลาด ด้วยระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ มีความโดดเด่นด้านการตัดต่อกำลังระหว่างเครื่องยนต์ กับระบบไฟฟ้า ทำให้สมรรถนะใกล้เคียงกับรถยนต์ไฟฟ้าแต่ยังได้ความรู้สึกการขับรถน้ำมัน และจุดเด่นที่สำคัญ คือการบริโภคเชื้อเพลิงที่ประหยัด โดยอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้สูงสุดถึง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร* ซึ่งสื่อมวลชนได้ทำระยะทางได้ไกลสูงสุดมากกว่า 800 กิโลเมตร แต่ยังให้สมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ โดยราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ ALL NEW MG3 HYBRID+ รุ่นเริ่มต้นหรือรุ่น D อยู่ที่ 579,900 บาท และรุ่น X ในราคา 619,900 บาท พิเศษ! ราคาในช่วงแนะนำจะลดลงจากราคาตั้ง รุ่นละ 20,000 บาท ซึ่งจะสิ้นสุดเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ เอ็มจี ได้ทยอยส่งมอบรถยนต์ ALL NEW MG3 HYBRID+ ให้กับลูกค้าที่จองเข้ามาแล้ว”

สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถสัมผัสประสบการณ์ไฮบริดครั้งใหม่กับ ALL NEW MG3 HYBRID+ โดย เอ็มจี ได้เตรียมจัดกิจกรรมสัญจรทั่วประเทศ ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้

• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม วันที่ 12-18 กันยายน 2567
• อยุธยาซิตี้พาร์ค อยุธยา วันที่ 28 กันยายน 2567 – 6 ตุลาคม 2567
• ศูนย์การค้าแฟชั่น ไอส์แลนด์ รามอินทรา (Fashion Island) วันที่ 27 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พิษณุโลก วันที่ 1-7 ตุลาคม 2567
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต (Central Westgate) วันที่ 25- 31 ตุลาคม 2567
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ขอนแก่น วันที่ 1-7 พฤศจิกายน 2567
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต วันที่ 21-27 พฤศจิกายน 2567

สามารถติดตามข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ได้ในช่องทาง FACEBOOK: MGTHAILAND

ลูกค้าที่สนใจสามารถชมข้อมูลตัวรถ ALL NEW MG3 HYBRID+ เพิ่มเติมได้ https://new-mg3.mgcars.com/en/cars/all-new-mg3-hybrid-plus 

หรือสามารถชมและทดลองขับได้ที่โชว์รูม เอ็มจี กว่า 150 แห่ง ทั่วประเทศ โดยสามารถจองขับได้ที่ลิงก์ https://hellohybridplus.mgcars.com/

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top