Tuesday, 13 May 2025
NewsFeed

‘พรรค JRP’ ญี่ปุ่น ลงดาบนักการเมืองสาวในสังกัด หลังโพสต์ภาพเซ็กซี่ ขายภาพโป๊เปลือยในสื่อออนไลน์

เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อญี่ปุ่นได้รายงานเรื่องราวสุดอื้อฉาวของ ‘เอริกะ ซาโต้’ นักการเมืองท้องถิ่นสาววัย 37 ปี ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งได้เป็นสมาชิกสภาเมืองอาเงโอะ ในจังหวัดไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น

โดย ซาโต้ เป็นอดีตสมาชิกวงไอดอลและเป็นนางแบบแนวเซ็กซี่ ต่อมาในปี 2562 เธอได้ลงสมัครสภาเมืองอาเงโอะ ในนามพรรคปกป้องประชาชนจากเอ็นเอชเค และได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยแรก จากนั้นเธอได้ลาออกจากพรรคและย้ายมาอยู่กับพรรค JRP เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

หลังจากเข้าสู่เส้นทางการเมือง ซาโต้ มีทวิตเตอร์ทางการในนามสมาชิกสภาเมือง และเธอยังมีทวิตเตอร์อีกแอ็กเคานต์ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 8,000 คน โดยเธอมักโพสต์รูปภาพสุดเซ็กซี่ เปิดเผยเรือนร่างอย่างชัดเจน นอกจากนี้มีการซื้อขายภาพลับให้กับแฟนคลับอีกด้วย

สำหรับเรื่องนี้ ซาโต้ ให้สัมภาษณ์กับทางบุนชุนว่า เธอขายภาพส่วนตัวให้แฟน ๆ จริง โดยขายในราคาไม่ได้สูงนัก เริ่มต้นเพียง 1,000 เยน หรือราว ๆ 240 บาท แต่เมื่อพรรคทราบเรื่อง ทางพรรคได้สั่งห้ามเธอแล้ว เธอจึงขายภาพลับให้กับแฟน ๆ ได้เพียง 3 คนเท่านั้น

ต่อมา ซาโต้ ได้ประกาศขอโทษทางทวิตเตอร์ โดยเธอน้อมรับคำวิจารณ์และจะปรับปรุงตัว อย่างไรก็ตาม ในสองวันถัดมา ทางพรรค JRP ได้ประกาศว่าจะไม่สนับสนุนเธอลงเลือกตั้งสมัยหน้า ซึ่งหลายคนคาดว่านี่ถือเป็นการกดดันให้เธอลาออกจากพรรคไปเอง

‘เจมมี่เจมส์’ สร้างเรื่อง ถอดเสื้อโชว์กล้าม อวดหุ่นแซ่บ การันตีความฟิตเปรี๊ยะ!! เล่นเอาไทม์ไลน์ร้อนเป็นไฟ

(25 ก.ค. 66) เเฟนคลับเเห่เข้ามากดไลก์กันสนั่นไอจีเเทบเเตกเลยจ้า เมื่อนักเเสดงหนุ่มสุดฮ็อต ‘เจมมี่เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ’ ได้ออกมาโพสต์ภาพของตัวเองถอดเสื้อโชว์ซิกเเพคเเน่น ๆ สวมกางเกงสีขาวเเละมีรอยสักเลข 17 อยู่ที่เอวด้วย

หลังจากที่โพสต์นี้เผยเเพร่ออกไปมีเเฟนคลับเข้ามากดไลก์มากมาย อาทิ เดือดเกิ้น พี่ชาย, โวยยย, อู้ววว, สมุยก็แรงเกิ๊นนคุนพี่่, หุ่นดีสุด, พ่อคุณทูลหัววววของบ่าวว ฯลฯ

สำหรับ เจมมี่เจมส์ ก่อนหน้านี้เจ้าตัวได้ทุ่มเทเพื่อการเเสดงลดน้ำหนักจาก 54 เหลือ 47 จนเห็นหุ่มผอมซี่โครงขึ้นเเต่ตอนนี้เเฟน ๆ ก็วางใจหายห่วงเพราะเจ้าตัวกลับมาฟิตเหมือนเดิมเเล้ว

‘วัดอินทาราม’ เปิดสถานีชาร์จในวัดแห่งแรกของไทย เจ้าอาวาส เจิมหัวชาร์จ พรมน้ำมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคล

พระครูพิศิษฏ์ประชานาถ (ดร.หลวงพ่อแดง นันทิโย) รองเจ้าคณะอำเภออัมพวา เจ้าอาวาสวัดอินทาราม ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ได้เจิมและปะพรมน้ำพระพุทธมนต์สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Station  ที่ทางวัดอินทารามติดตั้งขึ้นภายในวัดอินทาราม และตรวจสอบระบบการใช้งานเรียบร้อยแล้ว นับเป็นสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในวัดแห่งแรกของ จ.สมุทรสงคราม โดยมีพระสงฆ์จำนวน 5 รูป เจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล

พระครูพิศิษฏ์ประชานาถ กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันประชาชนเริ่มใช้รถยนต์ที่ใช้ระบบไฟฟ้าเป็นพลังงานขับเคลื่อนมากขึ้น ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบันก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สถานีชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ยังมีไม่เพียงพอและยังไม่แพร่หลาย โดยเฉพาะที่ จ.สมุทรสงคราม แม้จะเริ่มพบเห็นตามปั๊มน้ำมันบ้างแล้ว แต่ EV Station ก็ยังเปิดให้บริการกันน้อยมาก ทำให้ผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าบางรายขาดความมั่นใจในการเดินทางเนื่องจากเกรงว่าจะหาสถานีชาร์จไฟฟ้าไม่ได้

วัดอินทารามจึงได้ติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ไว้ที่บริเวณลานจอดรถหน้าพระอุโบสถหินอ่อน เป็นขนาด 7 กิโลวัตร์ จำนวน 3 เครื่อง รองรับหัวชาร์จมาตรฐานทุกรุ่น ให้บริการผู้ที่มาร่วมทำบุญและนักท่องเที่ยวสายมูที่มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัด เช่นหลวงพ่อโตซัมปอกง 300 ปี และท้าวเวสสุวรรณ โดยเปิดให้บริการชาร์จฟรีในช่วงกลางวันตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2566  หลังจากนั้นจะให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยคิดค่ากระแสไฟฟ้าเพียงแค่ชั่วโมงละไม่เกิน 60 บาท

นายศิริพงษ์ ภัณฑารักษ์สกุล วิศวกรไฟฟ้าผู้ติดตั้งระบบ ซึ่งเป็นลูกศิษย์วัดอินทาราม บอกว่าเครื่องชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ที่วัดอินทาราม ติดตั้งโดยบริษัท Friendly Charge รุ่น Delta AC Mini Plus 7.4 k W รองรับหัวชาร์จมาตรฐาน Type-2 รองรับรถไฟฟ้าได้ทุกรุ่นทุกแบบถึง 95 เปอร์เซ็นต์ มีระบบ IP55 ป้องกันฝนแดดและฝุ่นละออง  และระบบ IK08 กันแรงกระแทก รวมทั้งมีระบบควบคุมแรงดันไฟฟ้าตัดไฟอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็ม หรือมีเหตุขัดข้อง ภายในให้โซลูชั่นการชาร์จไฟฟ้าที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานระบบจ่ายเงินง่ายสะดวก สามารถแสกนคิวอาร์โคดใช้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ไม่จำเป็นต้องโหลดแอพพลิเคชั่นเพียงกรอกข้อมูลรายละเอียดพื้นฐาน แล้วกด next  ก็เริ่มชาร์จได้ทันที อีกทั้งสามารถตั้งเวลาว่าต้องการชาร์จกี่ชั่วโมง เพื่อใช้เวลาในการทำบุญไหว้พระท่องเที่ยว อีกทั้งยังตรวจสอบในสมาร์ทโฟนเพื่อวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวได้ เช่นหากต้องการชาร์จเต็มที่รถวิ่งได้ 400 ก.ม.จะใช้เวลาชาร์จประมาณ 6-7 ช.ม.

‘ไทยสร้างไทย’ แถลงจุดยืนทางการเมือง ในการจัดตั้งรัฐบาล ยัน!! ค้านแก้ ม.112 พร้อมยึดมั่นใน 3 สถาบันหลักของชาติ

‘พรรคไทยสร้างไทย’ ประชุมผู้บริหารพรรคแถลง 5 จุดยืนทางการเมืองในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล หวังทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศชาติ ประชาชน ด้วยความจริงใจและเสียสละ

(25 ก.ค. 66) ที่พรรคสร้างไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการประชุมคณะผู้บริหาร นำโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายสุพันธุ์ มงคลสุธี, นายฐากร ตัณฑสิทธิ์, นายอุดมเดช รัตนเสถียร และ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ซึ่งหลังการประชุม มีการประกาศ 5 จุดยืนทางการเมือง ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล ดังนี้

1.) พรรคไทยสร้างไทยยืนยันเคารพเสียง และเจตนารมณ์ของประชาชน ที่ต้องการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยตามข้อตกลงร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรค ที่ได้รับฉันทามติจากประชาชน และสนับสนุนให้มีการเดินหน้าตั้งรัฐบาลตามเจตนารมณ์ของประชาชนให้สำเร็จ เพื่อนำประเทศสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง

2.) พรรคไทยสร้างไทย ขอขอบคุณและชื่นชมความเสียสละของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แม้ระหว่างทางจะมีปัญหาและอุปสรรคบ้าง แต่ขอให้กำลังใจให้เดินหน้าต่อไปเพื่อประเทศชาติ และประชาชน

3.) ขอให้แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และพรรคร่วมได้หาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรในการหาเสียงสนับสนุนเพิ่มเติมจาก ส.ว. และ ส.ส. ขอให้นำมาพูดคุยกัน
ด้วยความจริงใจและความเสียสละเพื่อประชาชน และถอยกันคนละก้าวเพื่อที่จะนำไปสู่ทางออกของประเทศ

4.) พรรคไทยสร้างไทยมีจุดยืนมั่นคงในการรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และพรรคไทยสร้างไทยขอสนับสนุนการสร้างประชาธิปไตยถาวร ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจอย่างเด็ดขาด และไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่เห็นว่า รากเหง้าปัญหาของประเทศเกิดจากรัฐธรรมนูญปี 2560

พรรคไทยสร้างไทยจึงได้เสนอ ให้คืนอำนาจให้กับประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ตามร่างที่พรรคไทยสร้างไทยได้เสนอเข้าสภาเรียบร้อยแล้ว เพื่อตัดวงจรการสืบทอดอำนาจทั้งสว. และแผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยไม่แก้ หมวด 1 และ 2 เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชนสำเร็จลุล่วงได้จริง

5.) ยอมรับว่าขณะนี้บ้านเมืองต้องการรัฐบาล และปัญหาของประชาชนรอไม่ได้ แต่ถ้าหากสามารถตั้งรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยได้ตามที่ประชาชนคาดหวังก็จะดีที่สุด ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง โดยระหว่างนี้ให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาเพื่อพิจารณาและประสานงานกับคณะรัฐบาลรักษาการและหน่วยงานราชการเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนไปพลางก่อน

‘อนุทิน’ ชี้!! ประเทศรอเลือกนายกฯ อีก 10 เดือนไม่ได้  พร้อมส่งกำลังใจหนุนให้ ‘เพื่อไทย’ จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ

(25 ก.ค. 66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมสส.ของพรรค กรณีที่มีข้อเสนอให้ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล รอให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หมดวาระช่วงเดือนพ.ค.67 ก่อนที่จะเลือกนายกรัฐมนตรี ว่า พรรคภูมิใจไทยรอไม่ได้ เพราะไม่เป็นผลดีต่อการบริหารงานของประเทศ

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยเชิญเข้าไปพูดคุย เพื่อหาทางออกให้วิกฤตประเทศ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเพียงการไปพูดคุย ซึ่งมีการแถลงข่าวไปแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามที่แถลงข่าว คือพรรคภูมิใจไทยจะไม่ร่วมงานกับพรรคที่เสนอแก้มาตรา 112 คือพรรคก้าวไกล ทั้งนี้ ขอส่งกำลังใจให้พรรคเพื่อไทยในการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ ส่วนพรรคภูมิใจไทยหากมีเรื่องใดสามารถพูดคุยหรือช่วยเหลือได้ก็ยินดีที่จะทำ

เมื่อถามว่า หากพรรคอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทยไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคอันดับ 3 อย่างพรรคภูมิใจไทยมีความพร้อมหรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า ให้ถึงเวลานั้นก่อนค่อยพูด เพราะตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่แน่นอน

‘ไอซ์ ปรีชญา พงษ์ธนานิกร’ นักแสดง นักร้อง พิธีกรชาวไทย ได้เปิดใจหลังผ่านมรสุมชีวิต

เมื่อวานนี้ (24 ก.ค. 66) ‘ไอซ์ ปรีชญา พงษ์ธนานิกร’ นักแสดง นักร้อง พิธีกรชาวไทย ได้เปิดใจหลังผ่านมรสุมชีวิต พร้อมข้อความถึงคุณแม่บังอรและคุณพ่อ ผ่านรายการ ‘แฉ’ โดยกล่าวว่า

“แม่กับพ่อไม่ใช่ภาระของไอซ์เลย ไอซ์เป็นลูก มีหน้าที่ดูแลพ่อกับแม่ยามที่แก่เฒ่าหรือไม่สบาย สู้ไปด้วยกันนะ พ่อกับแม่รอดูลูกประสบความสำเร็จก่อนนะจ๊ะ ลูกจะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ พ่อกับแม่คือความสุขที่แท้จริงของลูก”

‘ชัยวุฒิ’ วอน ปชช.ตระหนักรู้ภัยจากไซเบอร์ พร้อมแนะแหล่งเรียนรู้ผ่านโปรแกรมของ ‘สกมช.’

(25 ก.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว วอนประชาชนตระหนักถึงความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ พร้อมแนะนำให้เรียนรู้เพิ่มเติมถึงภัยร้ายที่มาในรูปแบบต่างๆ โดยระบุว่า ด้วยความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน ทำให้การดำเนินชีวิตและการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตี หรือขโมยข้อมูลได้ง่ายขึ้นเช่นกัน หากไม่มีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่ดีเพียงพอ 

เพราะฉะนั้น จึงอยากให้ประชาชนตระหนักถึงอันตราย และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างเกราะป้องกันและรู้เท่าทันภัยร้ายที่มาพร้อมความก้าวหน้าของระบบเทคโนโลยีที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

พร้อมกันนี้ รมว.ดีอีเอส ยังระบุด้วยว่า ยากจะแนะนำให้พี่น้องประชาชน ได้เข้าไปอัพเดตและเรียนรู้ด้านไซเบอร์ ผ่านโปรแกรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่จัดทำโดย สำนักงานคณะกรรมการการักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA) หรือ สกมช่. ที่มีคอร์สการสอนมากมาย คนที่สนใจลองเข้าไปดูได้ที่ HTTPS://LINKTR.EE/THNCA ที่สำคัญสามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ฟรี ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งจะเป็นการสร้างรากฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้ดียิ่งขึ้น

IMD เผยผลอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทย 66  ภาพรวมขยับสูงขึ้นอยู่ในลำดับที่ 30 จาก 33 เมื่อปี 65

(25 ก.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า มติคณะรัฐมนตรี รับทราบผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยสถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development: IMD) ปี 2566 ไทยอยู่ในลำดับที่ 30 ของโลก ดีขึ้นจากลำดับที่ 33 ในปี 2565 จาก 64 เขตเศรษฐกิจ และเป็นลำดับ 3 ในภูมิภาคอาเซียน โดยมีผลการจัดอันดับปัจจัยหลักตามเกณฑ์ตัวชี้วัด 4 กลุ่ม ดีขึ้นในทุกด้าน...

- ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ลำดับที่ 16 ปรับดีขึ้นจากลำดับที่ 34 ในปี 2565 จากการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศดีขึ้น หลังจากการชะลอตัวในช่วงโควิด-19 และการฟื้นตัวภาคการส่งออก ที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 

- ด้านประสิทธิภาพภาครัฐ ลำดับที่ 24 ปรับดีขึ้นจากลำดับ 31 ในปี 2565 จากการใช้จ่ายภาครัฐ การบริหารสถาบัน และกฎระเบียบธุรกิจปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้านนโยบายภาษีและกรอบการบริหารสังคมมีอันดับลดลง เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลง 

- ด้านประสิทธิภาพภาคธุรกิจ ลำดับที่ 23 ปรับดีขึ้นจากลำดับที่ 30 ในปี 2565 จากด้านผลิตภาพตลาดแรงงาน การเงิน และทัศนคติและการให้ค่านิยมมีอันดับดีขึ้น โดยผู้ประกอบการของไทยมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากลเพิ่มขึ้น และความสามารถในการใช้เครื่องมือดิจิทัลและเทคโนโลยีดีขึ้น รวมถึงการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์และมูลค่าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นด้วย ขณะที่ด้านการจัดการอยู่ในอันดับคงที่ เนื่องจากความกังวลต่อความล้มเหลวในการประกอบธุรกิจ

และ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ลำดับที่ 43 ปรับดีขึ้นจากลำดับที่ 44 ในปี 2565 จากโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีมีการตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจ และการพัฒนาประสิทธิภาพของความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ดีขึ้น ขณะที่โครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการศึกษา มีอันดับลดลงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการขาดแคลนบุคลากรท างการแพทย์และบุคลากรทางการศึกษา

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถือว่าความสำเร็จนี้ เป็นผลงานร่วมกันของทุกคนในรัฐบาลรวมไปถึงส่วนราชการที่ช่วยกันเดินหน้าประเทศไทย จนมีความก้าวหน้าในทุกมิติ ซึ่งหวังให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะได้พิจารณาดำเนินการต่อเนื่อง 

‘เบทาโกร’ ทุ่มงบ 100 ล้าน ปั้นแบรนด์ S-Pure  จับตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียม วางเป้าโต 17% 

เบทาโกร ทุ่มงบ 100 ล้าน เปิดตัว S-Pure ด้วยแคมเปญการตลาด “ถ้าวิถีธรรมชาติ คือทางของคุณ S-Pure No.1 Brand” เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ วางเป้าหมายยอดขายแบรนด์ S-Pure โต 17% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ผ่านมา ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียม

ดร.โอลิเวอร์ ก็อตชัลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า จากข้อมูลคาดการณ์ว่าในปี 2566 ตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียมจะมีมูลค่าอยู่ที่ 57,100 ล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซื้อเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กอปรกับแรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การบริโภคและภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งสุขภาพกายและจิตใจ เลือกอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยสูง จากแหล่งผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับและเชื่อถือได้ ทั้งยังตระหนักและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการบริโภคที่ยั่งยืน ดีต่อโลกและต่อตัวเอง

การเปิดตัวแคมเปญการตลาดใหม่ของ S-Pure ในครั้งนี้จึงมาพร้อมกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "S-Pure Prime" เนื้อสัตว์แปรรูปสไตล์โฮมเมด ประกอบด้วย ไส้กรอกเวียนนา, เบคอนหมูรมควัน, พอร์คลอยน์แฮมรมควัน, โบโลญ่าหมู และโบโลญ่าไก่ ที่ถูกรังสรรค์ความอร่อยจากธรรมชาติอย่างพิถีพิถัน ปราศจากการแต่งเติมสารเคมี รวมถึงสารปรุงแต่ง สารกันบูด ผงชูรส วัตถุเจือปนอาหาร และยังใช้ช้วัตถุดิบจากเนื้อหมู เนื้อไก่ S-Pure 100% นับเป็นผลิตภัณฑ์ “อาหารฉลากสะอาด (Clean Label) รายแรกในประเทศไทย” อีกด้วย

ที่สำคัญ S-Pure ยังเป็นแบรนด์แรกของไทยที่นำบรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษ (Paper Tray) มาใช้กับกลุ่มสินค้าอาหารสด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ ซึ่งถาดกระดาษผลิตจากต้นยูคาลิปตัสที่มาจากป่าปลูก 100% มีคุณสมบัติการใช้งานเทียบเท่าถาดพลาสติก (Forest Stewardship Council) สามารถลดการใช้พลาสติกได้ถึง 80% พร้อมดีไซน์บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ ด้วยภาพลักษณ์ทันสมัย สะท้อนถึงการเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ สดใหม่ มีความปลอดภัย

“เบทาโกรมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอาหารที่มีคุณภาพมากกว่า ปลอดภัยสูงกว่า ในราคาที่เป็นธรรม เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าและผู้บริโภคทุกกลุ่มในวงกว้าง เราภูมิใจที่ S-Pure ได้รับการรับรองจาก NSF สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นแบรนด์แรกและหนึ่งเดียวของไทยที่ได้รับการรับรองการเลี้ยงที่ไม่มียาปฏิชีวนะ (Raised Without Antibiotics – RWA) ครบทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่ และจากผลวิจัยผู้บริโภค พบว่า S-Pure เป็นแบรนด์ที่สามารถครองใจผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีฐานผู้บริโภคที่มีความภักดีในตราสินค้า (Brand Loyalty) มากกว่า 50% (Quality advocacy Index) สะท้อนถึงการเป็นผู้นำตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียมที่ผู้บริโภคไว้วางใจอีกด้วย”

นอกจากนี้ ในแคมเปญการตลาดยังมีกิจกรรม “S-Pure The Natural Way” ที่พร้อมยกขบวนศิลปินดาราชื่อดังมาแชร์เคล็ดลับการดูแลสุขภาพและสาธิตการทำอาหาร รวมถึงกิจกรรมพริวิเลจ พิเศษ! สำหรับลูกค้า S-Pure เร็ว ๆ นี้ การเปิดตัวแคมเปญ S-Pure ในครั้งนี้จึงไม่เพียงตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียม ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนดำเนินชีวิต ด้วยการดูแลสุขภาพด้วยวิธีง่าย ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ (Healthy Lifestyle Inspiration) เพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคนที่ยั่งยืน ตอกย้ำจุดแข็งของเบทาโกรในฐานะผู้ผลิตอาหารที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยในระดับสูงสุด เราคาดว่ายอดขาย S-Pure จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันยอดขายของเบทาโกรให้เติบโตตามเป้าหมายเพื่อก้าวสู่แบรนด์ธุรกิจอาหารชั้นนำระดับโลกต่อไป” ดร.โอลิเวอร์ กล่าวทิ้งท้าย 

‘ครม.’ ไฟเขียว!! ขึ้นค่าบริการ ‘โบราณสถาน-พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ’ ชี้ ปรับเพิ่มเฉพาะตั๋วชาวต่างชาติ หลังไม่ได้ปรับขึ้นมาตั้งแต่ปี 51

(25 ก.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ (ฉบับที่....) พ.ศ.... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์ 72 แห่ง รวมถึงปรับปรุงบัญชีรายชื่อโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่เรียกเก็บค่าเข้าชมได้

การปรับปรุงดังกล่าวนี้ เนื่องจากอัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์และโบราณสถานได้ใช้มาเป็นเวลานานตั้งแต่ปี 2551 โดยอัตราค่าเข้าชมที่กำหนดใหม่จะคงค่าเข้าชมและค่าบริการสำหรับคนสัญชาติไทยไว้ที่อัตราเดิม และปรับเพิ่มขึ้นเฉพาะกรณีของคนสัญชาติอื่น มีดังนี้ 

1.) โบราณสถานประเภทอุทยานประวัติศาสตร์ สำหรับคนสัญชาติไทย คนละ 20 บาท บุคคลสัญชาติอื่น คนละ 120-200 บาท (เดิม 100 บาท) 
2.) โบราณสถานประเภทแหล่งโบราณคดีหรือสถานที่สำคัญ สำหรับบุคคลสัญชาติไทย คนละ 10-20 บาท บุคคลสัญชาติอื่น คนละ 80-120 บาท (เดิม 50-100 บาท)

กำหนดอัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ดังนี้ 

1.) พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติขนาดเล็ก บุคคลสัญชาติไทย คนละ 10 บาท บุคคลสัญชาติอื่น 80 บาท (เดิม 50 บาท)
2.) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขนาดกลาง บุคคลสัญชาติไทย คนละ 10-20 บาท บุคคลสัญชาติอื่น คนละ 120 บาท (เดิม 50-100 บาท) 
3.) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขนาดใหญ่ บุคคลสัญชาติไทย คนละ 20-30 บาท บุคคลสัญชาติอื่นคนละ 200 บาท (เดิม 100-150 บาท)

สำหรับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่มีผู้เข้าชมจำนวนมาก ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ สำหรับบุคคลสัญชาติไทย คนละ 30 บาท บุคคลสัญชาติอื่น คนละ 240 บาท (เดิม 200 บาท)

ในร่างกฎกระทรวงฯ ยังมีการปรับปรุงบัญชีรายชื่อโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่เรียกเก็บค่าเข้าชมได้ โดยเพิ่มเติมอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย 

1.) โบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธนม อ.โคกสูง จ.สระแก้ว 
2.) โบราณสถานวัดกุฎีดาว อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา 
3.) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ อ.เมืองนครนายก จ.นครนายก 
4.) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์  จึงต้องมีการจัดทำร่างกฎกกระทรวงเพื่อกำหนดทั้งค่าเข้าชม ค่าบริการอื่น และบัญชีรายชื่อโบราณสถานข้างต้น  และให้ยกเลิกค่าเช่าหูฟังบรรยายภาษาต่างประเทศด้วย

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯ แล้ว เห็นว่าการอนุมัติร่างกฎกระทรวงฯ นี้ เป็นการปฏิบัติราชการตามปกติเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายแม่บทที่ได้บัญญัติให้อำนาจไว้ ไม่ได้เป็นกรณีที่ ครม. กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการที่สร้างความผูกพันต่อ ครม. ชุดต่อไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 (1) ดังนั้น ครม. สามารถพิจารณาและให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงฯ นี้ได้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top