Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

สุโขทัย-จัดพิธีบวงสรวงบูรพกษัตริย์สุโขทัยทุกพระองค์ เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

วันนี้ (17 มกราคม 2566) เวลา 07.00 น. ที่ลานด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ภายในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย นายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย พร้อมด้วย นางพร้อมจันทร์ ทีคะสุข รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดสุโขทัย ศาล ทหาร ตำรวจ อัยการ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุโขทัย สมาชิกวุฒิสภา ดร.มนู พุกประเสริฐ นายก อบจ.สุโขทัย พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร และบุคลากร อบจ.สุโขทัย ผู้นำทีองถิ่น หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ประกอบพิธีบวงสรวงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และบูรพกษัตริย์สุโขทัยทุกพระองค์ จากนั้นผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ถวายพานพุ่มดอกไม้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย กล่าวถวายราชสดุดี เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี 2566

ทั้งนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 ในราชวงศ์พระร่วงแห่งราชอาณาจักรสุโขทัย เสวยราชย์สมบัติประมาณปี พ.ศ.1822 ถึงประมาณปี พ.ศ.1841 พระองค์ทรงรวบรวมอาณาจักรไทยจนเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง และได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ทำให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่างๆ สืบทอดกันมากว่า 700 ปี และ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2376 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงค้นพบแท่นศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแห่งมหาราชที่เนินปราสาท จ.สุโขทัย ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดวันที่ 17 มกราคมของทุกปีเป็นวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่อเผยแพร่พระเกียรติที่พระองค์ทรงส่งเสริมให้เกิดความรุ่งเรืองทางปัญญา และศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่น คือ การประดิษฐ์ตัวอักษรไทย และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยนานัปการ

‘ALMA’ เปิดตัว ‘Flagship School’ แห่งแรกในอาเซียน หวังเผยแพร่มรดกด้านวัฒนธรรมอาหารอิตาเลียน

(17 ม.ค. 66) เวลา 13.50 น. ALMA - The School of Italian Culinary Arts สถาบันการศึกษาและฝึกอบรมด้านอาหาร เครื่องดื่ม และด้านการบริการชั้นนำระดับโลก จากประเทศอิตาลี จัดงาน 'ALMA Culinary Arts Inauguration Ceremony' เพื่อเปิดตัว Flagship School แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเผยแพร่มรดกด้านวัฒนธรรมอาหารอิตาเลียน ผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนที่หลากหลาย

นายเอ็นโซ มาลังกา ประธานและผู้บริหารสูงสุด ALMA กล่าวว่า เป้าหมายหลักของสถาบัน ALMA คือการเผยแพร่อาหารอิตาเลียนไปทั่วโลก และที่สำคัญตนรู้สึกว่าประเทศไทยมีวัฒนธรรมอาหารที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้น ตนจึงเล็งเห็นว่าประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลาง เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมอาหารอิตาเลียน สู่สายตาผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทางสถาบัน ALMA ได้มีการส่งเชฟผู้สอนจากประเทศอิตาลี ไปยัง Flagship School ต่าง ๆ ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาในหลักสูตรที่เป็นไปตามมาตรฐานเช่นเดียวกับที่ ALMA Headquarters โดยผู้เรียนกว่า 1,000 คนทั่วโลกหลังจากจบการศึกษา จะมีองค์ความรู้ในด้านการประกอบอาหาร ทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย รวมถึงสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่จานอาหารอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้พร้อมสู่การเป็นเชฟอาหารอิตาเลียน, เชฟเบเกอรีและขนมอบสไตล์อิตาเลียนได้อย่างมืออาชีพ

เปิดนโยบาย 4 พรรคการเมืองใหญ่ ชูนโยบายแก้ปัญหาปากท้อง ปชช.

เชื่อว่าช่วงนี้ทุกท่านคงจะเห็นพรรคการเมืองเริ่มรุกกำหนดนโยบายหาเสียงกันแล้ว มีตั้งแต่นโยบายเล็ก ๆ ไปจนถึงนโยบายใหญ่ ๆ ซึ่งวันนี้ทีมข่าว THE STATES TIMES จะพาทุกท่านไปดูว่า พรรคการเมืองพรรคไหนบ้างที่มีนโยบายสนับสนุนปากท้องประชาชน

ขอเริ่มต้นที่ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ได้กำหนดนโยบายออกมาคือ ‘เศรษฐกิจประชารัฐ’ คือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ย้ายแรงงานภาคการเกษตรไปยังภาคอุตสาหกรรม-ภาคของเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมมากขึ้น แล้วก็ส่งเสริมเรื่องเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมในเรื่องของการที่จะให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผ่านกองทุนต่าง ๆ หรือรูปแบบอื่นใดก็ตาม 

ต่อมา ‘พรรคเพื่อไทย’ พรรคนี้ได้ประกาศแคมเปญรณรงค์การเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ ซึ่งทางพรรคก็เคลมว่าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลในปี 2570 ซึ่งมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจปากท้องประชาชน คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส ปี 2570 พรรคเพื่อไทยจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 5% ต่อปี ช่องว่างความเหลื่อมล้ำจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะพรรคเพื่อไทยจะใช้แนวคิด ‘รดน้ำที่ราก’ เพื่อให้ต้นไม้งอกงามได้ทั้งต้น ทั้งที่น้ำมีจำกัด

พรรคถัดมาคือ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ พรรคนี้ได้กำหนดยุทธศาสตร์ของพรรคไว้คือ ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ ซึ่งมีนโยบายเสริมปากท้องประชาชนคือ 

1. การประกันรายได้ ซึ่งก็คือการประกันรายได้จ่ายเงินส่วนต่าง ข้าว มัน ยาง ปาล์ม และข้าวโพด โดยรายละเอียดของการต่อยอดโครงการประกันรายได้นั้นจะเน้นในส่วนของเงินส่วนต่างให้กับพี่น้องเกษตรกร

2. ให้เงินอุดหนุนกลุ่มประมง ซึ่งในไทยมีกลุ่มประมงกระจายอยู่ทั่วประเทศ 2,800 กว่าแห่ง กลุ่มประมงเหล่านี้คือกลุ่มประมงที่เป็นฐานรากของประเทศ ดังนั้นนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการสร้างความเข้มแข็งในฐานราก ก็คือการให้เงินอุดหนุนกลุ่มเกษตรกรประมง กลุ่มละ 100,000 บาทต่อปีทุกกลุ่ม ทั้ง 2,800 กว่ากลุ่ม 

ต่อมา ‘พรรคภูมิใจไทย’ ซึ่งพรรคนี้ได้กำหนดนโยบายออกมา 2 นโยบายที่สนับสนุนปากท้องท้องประชาชน ได้แก่

‘โรม’ หวั่น ‘บิ๊กตู่’ ยุบสภาฯ หนีศึกซักฟอก หลังให้เวลาฝ่ายค้านเตรียมตัวมากเป็นพิเศษ

(17 ม.ค. 66) นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวยุบสภาก่อนการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า ตนขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเรื่องแปลกที่การอภิปรายในครั้งนี้ รัฐบาลดูจะให้เวลาฝ่ายค้านได้เตรียมตัวมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในการอภิปรายที่ผ่านมา รัฐบาลจะพยายามทำให้ฝ่ายค้านมีเวลาเตรียมตัวน้อยที่สุด เพื่อที่การอภิปรายจะออกมาไม่มีคุณภาพมาก แต่รอบนี้กลายเป็นว่าฝ่ายค้านมีเวลาถึงเดือนกว่าในการเตรียมตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลอาจจะไม่ได้กังวลกับการอภิปรายทั่วไปครั้งนี้เท่าไรนัก

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า อาจมองได้ว่าเป็นเพราะรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่เพิ่งเปิดตัวเข้าพรรคการเมืองใหม่ กำลังให้ความสนใจกับการสร้างตัวตนทางการเมือง จนไม่ได้สนใจปัญหาอื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่องปากท้องของประชาชน ขณะเดียวกันงานในความรับผิดชอบหลายอย่างของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยเฉพาะงานตำรวจก็ทำได้เลวร้ายมาก เห็นได้จากการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับทุนจีนสีเทา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับดูจะไม่ให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้ แต่กำลังให้ความสำคัญกับเรื่องเดียวเท่านั้น คือจะทำอย่างไรให้ตัวเองสืบทอดอำนาจ จึงไม่แปลกที่จะเกิดข่าวลือขึ้นหนาหูในช่วงนี้ ว่าจะเกิดการยุบสภาเพื่อหนีการซักฟอกของฝ่ายค้านหรือไม่ ซึ่งหากรัฐบาลเลือกที่จะยุบสภาเพื่อหนีการซักฟอกของฝ่ายค้าน ก็แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยอมรับโดยปริยายว่าข้อกล่าวหาต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องจริง

‘บิ๊กป้อม’ นำทัพ พปชร. เปิดนโยบายแรก ลั่น ได้จัดตั้ง รบ. เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการทันที 700 ต่อเดือน

‘พปชร.’ คึกคัก ‘บิ๊กป้อม’ เปิดนโยบายแรก ชู เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการ 700 ต่อเดือน เกทับเพื่อไทย ค่าแรง 600 บาท ยัน พร้อมสานสัมพันธ์ทุกคน ลั่น พร้อมเป็นนายกฯถ้าประชาชนเลือก

เมื่อเวลา 14.30 น. (17 ม.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก่อน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. จะแถลงเปิดนโยบายของพรรคเพื่อใช้หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นไปอย่างคึกคัก บรรดารัฐมนตรีของพรรคเดินทางมาเกือบทั้งหมด ได้แก่ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ประธานยุทธศาสตร์พรรค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม และรองหัวหน้าพรรค น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม 

เช่นเดียวกับกรรมการบริหารพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค  ส.ส.รวมถึงว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรค ที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ขณะที่บริเวณด้านหน้าที่ทำการพรรคและโดยรอบพรรค ได้ติดป้ายสโลแกน และป้ายนโยบายบัตรประชารัฐ เพิ่มสวัสดิการ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาท จำนวนมาก ทั้งนี้ ยังมีนโยบายที่เตรียมหาเสียง ครอบคลุม 16 ด้าน โดยชูนโยบายที่เป็นไฮไลต์ “บัตรประชารัฐ เพิ่มเงิน-เพิ่มสวัสดิการ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือน เป็นการสานต่อนโยบาย บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับประชาชนไปใช้จ่ายในครัวเรือน เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ในการเป็นค่าโดยสารรถสาธารณะ ค่าสาธารณูปโภค ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้าและน้ำประปา ขณะที่นโยบายด้านอื่นจะทยอยแถลงเป็นระยะ

จากนั้นเวลา 15.30 น. พล.อ.ประวิตร และผู้บริหารพรรค ได้ร่วมกันแถลงข่าวเปิดนโยบายแรกของพรรค คือ นโยบายบัตรประชารัฐ เพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง โดยมีคณะผู้บริหารพรรค ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพียง 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จากการที่พรรคพปชร.เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและบริหารประเทศมาเกือบ 4 ปี ด้วยอุดมการณ์และนโยบายของพรรคที่ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ เป็นประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพไร้ความขัดแย้งสังคมสงบสุข ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และในช่วงที่ผ่านมา พรรคพปชร.ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้ขับเคลื่อนนโยบายของพรรค และมีผลงานที่เป็นรูปธรรม ได้รับตอบรับจากพี่น้องประชาชน ทั้งในทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะการแก้ไขความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำตามนโยบายของพรรค ในเรื่องการสร้างสวัสดิการประชารัฐ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การบริหารจัดการน้ำ การจัดที่ดินทำกิน การปราบปรามการค้ามนุษย์ อุตสาหกรรมประมง และอื่น ๆ ที่มากมาย

“ความหวังของคนไทย ที่รอคอยให้คนที่มีความพร้อมเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับคนไทยคือ สังคมไทยยังคงมีแตกแยกทางความคิด แต่ขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐพร้อมสานสัมพันธ์กับทุกฝ่าย เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าสร้างพลังแห่งความปรองดองและสามัคคี โดยเราพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายหาทางออกร่วมกัน เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยทุกคน โดยประเทศไทยของเราต้องมีแต่ความสงบสุข" พล.อ.ประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึง ตนขอนำเสนอบุคลากรของพรรคที่มีคุณภาพ และเข้าใจปัญหาของพี่น้องประชาชนได้อย่างถ่องแท้ เพราะเราเข้าใจว่าในความต้องการของแต่ละพื้นที่ และพร้อมอาสาเข้ามาเป็นผู้แทนในการแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาประเทศให้เกิดความยั่งยืน โดยทางพรรคพร้อมสานต่อนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ที่ได้ทำไว้ และริเริ่มนโยบายใหม่ๆ ให้คนไทยได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะตอบสนองและแก้ไข ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทุกพื้นที่ทุกเพศทุกวัย ด้วยคำว่า พลัง สามัคคี ประชามีสุข รัฐพลิกโฉมบริการ 

พล.อ.ประวิตร ประกาศว่า พร้อมเดินหน้าการจัดทำนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือน ให้กับประชาชน และเริ่มมีผลทันทีหลังจากที่พรรคพปชร.เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ในส่วนงบประมาณที่จะนำมาใช้เพื่อเพิ่มวงเงินในบัตรประชารัฐ จะนำมาจากงบประมาณในช่วง 3 เดือนสุดท้าย ของงบประมาณปี 2566 หลังจากได้รับเลือกตั้ง ทั้งนี้หากมีผู้ได้รับสิทธิ์ ประมาณ 18 ล้านคน คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือ ปีละ 1.5 แสนล้านบาท

“เนื่องจากพรรคพปชร.ได้ดูแลช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยไม่เกิน 1 แสนบาท เป็นเงิน 200-300 บาทต่อเดือน ด้วยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ยังไม่ครอบคลุมค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้พรรคได้มีการประเมิน จากการลงพื้นที่ ของส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร พบว่าเงินที่ช่วยเหลือดังกล่าวยังไม่เพียงพอ ต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน เพราะในแต่ละพื้นที่มีสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่แตกต่างกัน ดังนั้นเสียงสะท้อนจากผู้ได้รับสิทธิว่า ที่นำไปใช้จ่ายในครัวเรือน โดยเฉพาะในการซื้อเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น ทำให้ประเมินว่า ควรมีการเพิ่มเงินช่วยเหลือ อีกประมาณ 500 บาท ทำให้พี่น้องประชาชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้ว่าเงินที่ได้รับอาจจะไม่เพียงพอ ที่จะนำไปแก้ไขปัญหาได้ครอบคลุมในทุกด้าน  สอดรับกับการจัดสรรงบประมาณที่ช่วยเหลือประชาชนเพิ่มขึ้น”พล.อ.ประวิตร กล่าว 

‘โตโน่’ นำบุญฝากพี่น้องไทย-ลาว หลังลาสิกขา พร้อมเผย เตรียมสร้างศูนย์สวนหัวใจฯ ที่รพ.นครพนม

‘โตโน่ ภาคิน’ ส่งต่อกุศลการบวชของตนให้กับทุกคน บอกเป็น 7 วันที่รู้สึกปลื้มปีติ ทำให้ได้ขัดสนิมในใจออกบ้าง ในส่วนของการจัดสรรงบประมาณเครื่องมือแพทย์ จากที่ตั้งใจระดมเงินเพื่อเตียงไอซียูเด็ก แต่ตอนนี้เงินของทุกคนได้สร้าง Cath Lab ศูนย์สวนหัวใจและหลอดเลือดให้กับโรงพยาบาลนครพนม และมอบอุปกรณ์การแพทย์ 20 รายการให้กับ โรงพยาบาลแขวงคำม่วง สปป. ลาว

(17 ม.ค. 66) สึกออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ ‘โตโน่ พาคิน คำวิลัยศักดิ์’ ที่ได้บวชเป็นเวลา 7 วัน เพื่อศึกษาธรรมะ และตอบแทนน้ำใจของชาวไทยและชาวลาวที่ได้บริจาคเงินช่วยเหลือในโครงการ One Man & The River หนึ่งคนว่าย หลายคนให้ กันอย่างมากมาย

หลังจากสึกแล้ว โตโน่ ภาคิน ได้เปิดใจกับสื่อมวลชน โดยช่องยูทูป อาจารย์อั๋นพาเลาะ สัมภาษณ์ความรู้สึกโตโน่หลังบวช รวมถึงเรื่องของเงินบริจาคในโครงการว่า…

“ประโยชน์จากการบวชในครั้งนี้ดีใจกับการได้ปฏิบัติหน้าที่กับการเป็นพระสงฆ์อย่างเต็มที่ใน 7 วันนี้ ก็ขอให้สิ่งดี ๆ ที่พวกเราช่วยกันทำมาส่งกลับไปหาทุกคนให้มีแต่ความสุข รอยยิ้ม สุขภาพแข็งแรง มีแต่ความรัก ความสามัคคีต่อกันครับ คนไทยทุก ๆ จังหวัด รวมถึงคนลาวด้วย 7 วันที่ผ่านมาผมสบายใจมากครับ รู้สึกดีมาก ๆ ตอนแรกคิดว่าเวลา 7 วันมันน้อย แต่พอมันเป็น 7 วันที่เราตั้งใจมาก ๆ มันก็ทำให้เราได้อะไรรับคำสอนเยอะ รู้สึกปลื้มปีติ”

“สิ่งที่ผมได้จากการบวชครั้งนี้คงเป็นเรื่องของความคิด รู้สึกหัวใจเราปลื้มปีติ ที่ผ่านมาเราเติมแต่ทางโลก แต่ไม่เคยเติมทางธรรมเลย เราหลาย ๆ คนรวมถึงตัวผม ที่ผมรู้สึกได้เลยว่าเราอาจจะไกลห่างออกจากศาสนา พอได้กลับมาใกล้ศาสนาบ้าง ทำให้เราได้ขัดสนิมในใจเราบ้างที่มันมีอยู่เต็มไปหมด มันก็ทำให้เรารู้สึกว่ามันปลอดโปร่งขึ้นในหลาย ๆ อย่างที่คิด ที่จะทำต่อไป ผมก็ขอให้สิ่งดี ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นกับทุกคนเช่นกันครับ”

ในส่วนของการจัดสรรงบประมาณเครื่องมือแพทย์ เตรียมการสร้าง Cath Lab สร้างศูนย์สวนหัวใจและหลอดเลือดให้กับโรงพยาบาลนครพนม และมอบอุปกรณ์การแพทย์ 20 รายการให้กับ โรงพยาบาลแขวนงคำม่วง สปป. ลาว เจ้าตัวเผยว่า

“ก็เป็นเรื่องของโรงพยาบาลนครพนมและท่าแขกแล้วครับ ตอนนี้ทางคุณหมอและพยายามกำลังเลือกสเปกเครื่องกันอยู่ แต่ละบริษัทเขาก็จะยื่นว่าเขามีอะไรที่เหมาะสมที่สุด คนเลือกจะเป็นคุณหมอ ไม่ใช่ผม คุณหมอจากทั้งสองที่จะเป็นคนเลือกหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคนไทยและคนลาว”

“เราเตรียมการสร้าง Cath Lab สร้างศูนย์สวนหัวใจและหลอดเลือดให้กับโรงพยาบาลนครพนม น่าจะใช้เวลาพอสมควร อย่างน้อยประมาณ 6 เดือน และใช้เงินเยอะมากด้วย น่าจะประมาณ 50 กว่าล้าน ในอนาคตที่ท่านผู้อำนวยการบอกผมว่า นครพนมจะสามารถสร้างนักเรียนแพทย์ขึ้นได้ด้วย และแผนกนี้จะสามารถพัฒนาไปรักษาโรคหลอดเลือดในสมองได้อีก”

พิธีเปิดโครงการฝึกอบรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพอากาศ (พสบ.ทอ.) รุ่นที่ 17

วันอังคารที่ 17 มกราคม 2566 พลอากาศเอก อลงกรณ์ วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพอากาศ (พสบ.ทอ.) รุ่นที่ 17 ณ ห้องรับรองกองทัพอากาศ กองบัญชาการกองทัพอากาศ โดยมีผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 60 คน ประกอบด้วย ข้าราชการทหาร ผู้บริหารองค์กรภาครัฐ ผู้บริหารองค์กรรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารองค์กรภาคเอกชน 

โครงการฝึกอบรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพอากาศ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 มกราคม ถึงวันที่ 21 มีนาคม 2566  มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างข้าราชการของกองทัพอากาศ เหล่าทัพ และผู้บริหารองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ รวมถึงภาคเอกชน ให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดเป็นพลังที่สำคัญในการตอบสนองภารกิจต่าง ๆ ของกองทัพอากาศ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และพัฒนาประเทศชาติต่อไป 

กรมอู่ทหารเรือ จัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันกองทัพไทย และวันวีรชนกองทัพเรือ

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 66) พลเรือตรี ธิติ นาวานุเคราะห์ รองเจ้ากรมอู่ทหารเรือ เป็นประธานการจัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ โดยร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลพลา นายทหารชั้นผู้ใหญ่ กรมอู่ทหารเรือ กำลังพลจิตอาสา กำลังพลกรมอู่ทหารเรือ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันรณรงค์และกระตุ้นจิตสำนึกรักษ์ชายหาดและทะเลให้มากขึ้น รวมทั้งตระหนักถึงปัญหาธรรมชาติสิ่งแวดล้อมใต้ท้องทะเล และคืนความสวยงามให้กับชายฝั่ง โดยร่วมกันช่วยเก็บขยะ ณ บริเวณชายหาดพลา ตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง 

ด้วยในวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี เป็นวันกองทัพไทย และวันวีรชนกองทัพเรือ กรมอู่ทหารเรือ จึงจัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ด้วยมุ่งหวังให้ กำลังพลกรมอู่ทหารเรือ ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสร้างจิตสาธารณะ ปลูกฝังให้กำลังพลรู้จักการช่วยเหลือผู้อื่น การทำประโยชน์ให้กับชุมชน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ตำรวจ ปส. รุกหนักเด็ดปีกนักบิน 3 เครือข่าย สกัดยาบ้ากว่า 15 ล้านเม็ด

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 66) ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด แถลงข่าวจับกุม 3 เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง โดยภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร.(กม)/ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผช.ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส. พ.ต.อ.กฤษดา ศรีอิสาณ ผกก.2 บก.ปส.3, พ.ต.อ.ไพฑูรย์ งามลาภ ผกก.1 บก.สกส. และ พ.ต.อ.บุญส่ง สนธยานนท์ ผกก.3 บก.สกส.  ตำรวจ ปส. เร่งเดินหน้ากวาดล้าง จับกุม และขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติด รวมทั้งการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ชั้นในและในชุมชน และการทำลายเครือข่ายค้ายาเสพติดให้ครอบคลุมในทุกมิติการทำงาน เน้นย้ำ ในการสืบสวนหาข่าวเครือข่ายหน้าใหม่ รวมทั้งกลุ่มเครือข่ายเก่า ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.  

คดีแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 บูรณาการร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง จับกุมนายใจ (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี ได้บริเวณริมถนนทางหลวงชนบท หลักกิโลเมตรที่ 20 ต.เวียง อ.เทิง จว.เชียงราย ซึ่งก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้รับแจ้งว่าเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง กับพวก มีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย  เพื่อนำไปพักคอยในพื้นที่ อ.เทิง จว.เชียงราย ก่อนที่จะส่งต่อให้กับกลุ่มลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ โดยใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ ฮอนด้า ทะเบียน กพ 71X เชียงราย ซึ่งช่วงเช้าวันที่ 11 ม.ค.66 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้เฝ้าติดตามจนได้พบรถยนต์ที่ได้รับแจ้งจริง และพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า ทะเบียน บธ 78XX พะเยา ขับนำ รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเทา หมายเลขทะเบียน บน 98XX พะเยา (คนขับหลบหนี) และ รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน บน 31XX พะเยา (หลบหนี)  

สอบสวน ผู้ต้องหา อ้างว่า รู้จักกับ นายอ้าย อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห้วยหาญ ม.9 ต.ปอ อ.เวียงแก่น จว.เชียงราย ว่าจ้างตน 20,000 บาท  ขับรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียน กพ-71X เชียงราย เพื่อดูต้นทางสำหรับลักลอบลำเลียงยาบ้า โดยจะมีชายไม่ทราบชื่อโดยสารรถคันดังกล่าวไปด้วย ก่อนจะเดินทางเข้าไปเปิดห้องพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ห้อง A110 เพื่อรอกลุ่มลักลอบลำเลียงยาเสพติดอีกกลุ่มเดินทางมาถึง และขับรถดังกล่าวลำเลียงยาเสพติดไปตามเส้นทาง กระทั่ง นายใจฯ ถูกจับกุม เบื้องต้นตรวจยึดรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บน 98XX พะเยา (ใช้ในการลำเลียงยาเสพติด), รถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน กพ 71X เชียงราย (ขับนำคุ้มกัน สำรวจเส้นทาง), โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง และอื่น ๆ อีกหลายรายการ  พร้อมตรวจยึดยาบ้าห่อหุ้มด้วยกระดาษสาสีขาว ประทับตราใบกัญชาและตัวหนังสือ ภาษาอังกฤษ DON’T WORRY BE HAPPY สีน้ำเงิน และ ยาบ้าห่อหุ้มด้วยกระดาษสาสีขาว ประทับตราเลข 999 สีน้ำเงิน เคลือบเทียนไขสีเหลืองอีกชั้นหนึ่ง ถูกซุกซ่อนในรถกระบะ รวมยาบ้าทั้งหมด 3,500 มัด จำนวน 7,000,000 เม็ด ทั้งนี้ได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” 

คดีที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.และ บก.ขส. ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว นายมานพ (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก ได้บริเวณป่าข้างทางริมถนนหมายเลข 33 หลัก กม.ที่ 52-53 ต.บางระกำ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากสายลับว่านายมานพฯ กับพวก มีพฤติการณ์ ร่วมกันลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ทางภาคเหนือ ไปส่งมอบให้กับลูกค้า ในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑล และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งในวันที่ 10-13 ม.ค.66 จะใช้รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-MAX สีเทา หมายเลขทะเบียน ผข 76XX พิษณุโลก และรถยนต์บรรทุก TOYOTA  สีเขียว หมายเลขทะเบียน 1ฒท 82XX  กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ TOYOTA  สีดำ หมายเลขทะเบียน ขร 92XX เชียงใหม่ เป็นยานพาหนะที่จะใช้ในการนำทาง, สำรวจด่านตรวจ และลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ทางภาคเหนือ ไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑล และพื้นที่ใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงระดมกำลังสกัดกั้นตลอดเส้นทาง ถนนสายหลัก ถนนสายรอง และเส้นทางเชื่อมต่อที่คาดว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวจะใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด ในเขตพื้นที่ จว.นครสวรรค์, ชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, ลพบุรี, สระบุรี, พระนครศรีอยุธยา กระทั่งเวลา 21.30 น. ของวันที่ 12 ม.ค.66 สามารถสกัดกั้นรถยนต์เป้าหมายทั้ง 3 คัน ไว้ได้ หลังพบวิ่งตามถนนเลียบคลองชลประทาน ทิศทางมุ่งหน้า อ.บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา แต่ระหว่างตรวจค้นจับกุม ผู้ขับขี่ รถยนต์ TOYOTA  สีดำ หมายเลขทะเบียน ขร 92XX เชียงใหม่ ได้อาศัยจังหวะเร่งเครื่องยนต์ขับหลบหนีไปได้ เบื้องต้น ตรวจยึดยาบ้า 604 มัด รวมจำนวน  1,208,000 เม็ด  และ ยึดรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผข 76XX พิษณุโลก (ใช้ขับนำทาง/สำรวจด่านตรวจ), รถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 1ฒท 8296 กรุงเทพมหานคร (ยึดได้ที่หน้าร้านหน้าสะดวกซื้อ ต.หัวไผ่ อ.มหาราช จว.พระนครศรีอยุธยา ผู้ต้องหาหลบหนี),โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง พร้อมแจ้งข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top