Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

‘เบญจา ก้าวไกล’ ชี้ ประชาชนชุมนุมเพราะคาใจ ทำไม ‘บ้านประยุทธ์’ ไปอยู่ในเขตพระราชฐาน แนะควรใช้เหตุผลอย่าใช้กำลังตอบโต้ ย้ำ เป็นนายกฯ ต้องรักษาพระเกียรติ อย่าดึง ‘สถาบัน’ เป็นเกราะเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง ย้ำไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงไม่ว่ามาจากฝ่ายใด

เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากการเข้าร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ขอยืนยันว่า การชุมนุมเมื่อวานนี้ (28 ก.พ.64) เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพปกติตามระบอบประชาธิปไตยที่สามารถทำได้ เพราะเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อตั้งคำถามถึงกรณีบ้านพักของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในค่ายทหารซึ่งเป็นการรับประโยชน์อื่นใดที่ผิดกฎหมาย ปปช. และบังคับใช้กับนักการเมืองทุกคน แต่ทำไมจึงยกเว้นสำหรับนายกรัฐมนตรีคนนี้

นอกจากนี้ พวกเขายังมีคำถามถึงค่าน้ำค่าไฟที่มาจากภาษีประชาชน และยังมีคำถามว่าเหตุใดบ้านของนายกรัฐมนตรีจึงสามารถไปตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานได้ สมควรย้ายออกมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะมีคำถามใด สิ่งที่คนเป็นนายกฯ ควรทำคือการให้คำตอบด้วยเหตุผลไม่ใช่ การล้อมรั้วลวดหนามและส่งกองกำลังมาสลาย ซึ่งในเรื่องนี้ ตั้งแต่มีการเปิดประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พวกเขาก็ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงที่ครบถ้วนจากนายกรัฐมนตรีเลย

เบญจา ยังกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่การชุมนุมของประชาชนซึ่งเป็นการแสดงออกตามปกติกลับจบลงด้วยการใช้กำลังสลายการชุมนุม ซึ่งตนและพรรคก้าวไกลยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงไม่ว่ามาจากฝ่ายใด และเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องยินยอมเปิดพื้นที่ให้ทุกคนทุกฝ่ายสามารถแสดงออกและสามารถพูดคุยในประเด็นต่างๆรวมถึงประเด็นที่อ่อนไหวได้อย่างสันติ

อย่างไรก็ตาม ต่อกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ขอเรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมดูแลสถานการณ์ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยสติและมีเหตุผล ปฏิบัติโดยยึดหลักการควบคุมการชุมนุมสากลอย่างเคร่งครัด โดยเริ่มจากมาตราเบาไปหาหนัก ไม่ใช่การกระทำแบบเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ซึ่งปรากฏชัดว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ความรุนแรงเกินสัดส่วนการควบคุมสถานการณ์ ไม่ว่าการเข้าไปลากคนเจ็บมาจากหน่วยพยาบาลซึ่งไม่มีใครทำกันแม้กระทั่งในยามสงคราม การใช้แก๊สน้ำตาและยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมโดยตรงซึ่งอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ รวมถึงการเข้าไปทำร้ายไล่ล่าผู้ชุมนุมอย่างป่าเถื่อนเสมือนเป็นอริราชศัตรู

ทั้งนี้ ปฏิบัติการหลายอย่างยังดำเนินไปอย่างไร้มนุษยธรรม ในส่วนตัวจึงขอประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐและเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีให้ตระหนักถึงต้นเหตุของปัญหา ซึ่งก็คือตัวท่านเองให้รับผิดชอบต่อทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสถานการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ ตนและพรรคก้าวไกลจะมีการติดตามตรวจสอบการละเมิดสิทธิต่างๆเพื่อดำเนินการไปตามช่องทางต่างๆต่อไป

“ขอยืนยันอีกครั้งว่า ทุกตารางนิ้วของกองทัพมาจากภาษีของประชาชน ประชาชนจึงควรจะมีสิทธิโดยชอบในการตรวจสอบได้ แต่ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่ผู้ชุมนุม แม้กระทั่ง ส.ส.เองก็ยังทำหน้าที่นี้ได้ด้วยความลำบากหรือแทบไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบกองทัพได้เลย จึงถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องตอบตัวเองให้ชัดว่าจะปล่อยให้กองทัพกลายเป็นแดนสนธยาแบบนี้ต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนพื้นที่กองทัพให้กลายเป็นเขตพระราชฐาน จะยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกยกเป็นเกราะกำบังให้แก่เรื่องที่ลี้ลับดำมืดจนยากจะตรวจสอบมากขึ้นไปอีก การกระทำเช่นนี้มีแต่จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนแย่ลง ทั้งนี้ การรักษาไว้ซึ่งพระเกียรติเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะเมื่อควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมด้วยแล้วจึงยิ่งไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดภาพแบบนี้ต่อสถาบันฯ”

พิมรี่พายติดไฟ LED โซลาร์เซลล์ บนถนนให้ชุมชนในคลองเตย "ความมืดมิดใจกลางเมืองหลวง เพราะพิมเชื่อว่า...ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงแสงสว่าง"

วันที่ 1 มีนาคม 2564 พิมรี่พายแม่ค้าออนไลน์ และยูทูปเบอร์ชื่อดัง ได้เผยแพร่วิดีโอที่เธอได้ไปร่วมช่วยเหลือในชุมชนคลองเตย ในวิดีโอที่ชื่อว่า "ความมืดมิดใจกลางเหมืองหลวง เพราะพิมเชื่อว่า...ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงแสงสว่าง"

โดยวิดีโอเริ่มต้นที่พิมรี่พายได้เดินไปรอบๆในชุมชนที่แออัด และผู้คนทำกิจกรรมต่าง ๆ ในความมืด เธอได้นั่งพูดคุยกับเด็กๆถึงความฝัน และเด็กหญิงคนหนึ่งพูดว่า "หนูจบม.6 มาหลายปีแล้ว หางานยากมาก แม่ไม่ได้ทำงานแล้ว แม่อายุเยอะแล้ว ไม่อยากให้แม่ทำงาน พี่พิมเป็นไอดอลหนู โตขึ้นอยากทำให้ได้แบบพี่พิม ถ้าหนูมีตัง ตอนนี้มันทำอะไรไม่ได้"

พิมรี่พายพูดกับเด็ก ๆ ว่า "โอกาสของชุมชน เดี๋ยวพี่พิมจัดให้ แต่โอกาสของชีวิต เอ็งต้องเดินไปหาเอง สู้ ๆ นะ"

หลังจากนั้นพิมรี่พายได้ไปนั่งกับคุณยาย ที่ใช้ชีวิตในชุมชนคลองเตย และขายขนมครกเพื่อเลี้ยงหลาน ยายเผยว่า ไม่มีแสงไฟ ทำให้ตกหลุมตกบ่ออยู่บ้าง "ความมืดอะกลัวอยู่ แต่อาศัยว่าเราชิน อย่างยายไม่มีตังหรอกลูก หามื้อกินมื้อเลี้ยงหลาน ไฟนี่อาศัยเพื่อนบ้านต่อให้ อยู่มาหกสิบปีแล้วลูก หน้าบ้านยังไม่มีไฟ"

พิมรี่พายตอบว่า "โอเคค่ะ เดี๋ยวยายมีไฟค่ะ ซึ่งทำให้คุณยายดีใจและร้องไห้ออกมา พิมรี่พาย "สู้นะคะ" คุณยาย "สู้"

"ใจกลางเมือง พระรามสี่ สุขุมวิท หนูไปทำไฟตั้งไกล ปล่อยให้กลางเมืองมืดขนาดนี้ไม่ได้หรอก ที่นี่คือคลองเตย มืดสนิท อยู่กันยังไง พรุ่งนี้ติดไฟให้หมดเลย เอาให้สว่างเลยนะ กี่ดวงก็ติด เท่าไหร่ก็ติด พรุ่งนี้เป็นต้นไป คนทั้งประเทศจะต้องได้เห็นคลองเตย ติดให้สว่างไปถึงใจเลยพี่" พิมรี่พายเผย

หลังจากนั้นพิมรี่พายได้ไปซื้อ ไฟติดถนน LED โซลาร์เซลล์ 500 วัตต์ 100 กว่าดวง และถัดมาเธอได้นำไฟเหล่านั้นไปติดตั้งรอบๆ ถนนในชุมชน และสนามฟุตบอล "เด็กๆ มีไฟใช้แน่"

เมื่อตกมืด ชุมชนได้เปิดไฟที่เพิ่งติดตั้งนี้ ที่ได้ส่องสว่างไปทั่ว "กูบอกแล้ว คลองเตยต้องสว่าง" พิมรี่พายพูด

และช่วงสุดท้ายเป็นภาพของไฟฟ้าสว่างไปทั่วชุมชนคลองเตย

"ที่นี่คลองเตย เห็นคลองเตยหรือยัง" พิมรี่พายพูดในตอนท้าย

.


ที่มา: https://www.naewna.com/likesara/555992

“ธนาธร” แอ่วเหนือ นำทีมคณะก้าวหน้า สู้ศึกเลือกตั้งเทศบาล! จัดทัพผู้สมัครหารือแนวหาเสียง - นโยบาย ย้ำหลักเดินเข้าหาประชาชน ไม่ซื้อเสียง ไม่ใช้หัวคะแนน

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พบและพูดคุยร่วมกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศมนตรี ได้แก่ เทศบาลนครเชียงใหม่, เทศบาลตำบลสันกำแพง, เทศบาลตำบลไชยสถาน จ.เชียงใหม่, เทศบาลตำบลเหมืองจี้, เทศบาลตำบลบ้านแป้น ตำบลป่าสัก จ.ลำพูน

โดยได้กล่าวถึงความสำคัญของการเมืองท้องถิ่นและการกระจายอำนาจ โดยย้ำว่า คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครเพื่อที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงการเมืองท้องถิ่นให้ดีขึ้น และอยากให้ประชาชนให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งในวันที่ 28 มีนาคมที่จะถึงนี้ เพราะการเมืองท้องถิ่นเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด

นายธนาธร กล่าวตอนหนึ่งว่า เมื่อทุกคนเข้ามาร่วมทำงานการเมืองกับคณะก้าวหน้าแล้ว ต้องยึดมั่นในหลักการทำการเมืองแบบใหม่ คือไม่ทุจริต ไม่ซื้อสิทธิซื้อเสียงเด็ดขาด หากใครมาร่วมงานกับคณะก้าวหน้าเพื่อหวังจะรวย ตนบอกได้เลยว่าคิดผิดแล้ว นอกจากนี้ ต้องมีจุดยืนทางการเมือง อย่างน้อยในด้านประชาธิปไตยและต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช. คัดค้านรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งหากท่านเข้ามาร่วมงานกับคณะก้าวหน้า แต่ชื่นชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาล คสช. หรือมองว่ารัฐธรรมนูญ 2560 นี้ไม่เป็นปัญหา นั่นแปลว่าเราต้องมีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่างกันอยู่

ทั้งนี้ จากสถิติที่ได้รับมาจากข้อมูลในการเลือกตั้งระดับ อบจ.รอบก่อน คะแนนดิบที่ได้มาก็ชี้ให้เห็นว่าความนิยมของเราไม่ได้ถดถอยลง และมีพื้นที่ที่ชัดเจนขึ้น ฐานข้อมูลบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นว่าตรงไหนที่เราได้รับความนิยม ส่วนที่เหลือ เป็นเรื่องของการรณรงค์อย่างแข็งขันของผู้สมัครแต่ละท่าน

ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราเลือกที่จะทำการเมืองแบบใหม่ ไม่ซื้อเสียง ไม่ใช้หัวคะแนน สิ่งเดียวที่เราต้องทำอย่างแข็งขันที่สุด ก็คือการเดินเข้าหาประชาชนอย่างมีคุณภาพ และมีความเข้าใจต่อปัญหา ทำให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความตั้งมั่นจริงใจของเรา ที่จะแก้ปัญหาของพวกเขาอย่างเข้าใจแท้จริง

“พูดง่าย ๆ เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับประชาชนให้มากที่สุด มากกว่าแค่ไปแจกใบปลิวและแนะนำตัวเองเฉยๆ อยางน้อยเราต้องตอบเขาได้ว่า ปัญหารอบบ้านของเขาเกิดขึ้นที่ไหน สะพานตรงไหนที่ขาดชำรุด คลองตรงไหนที่อุดตัน บ่อขยะตรงไหนที่มีปัญหา งบประมาณเทศบาลมีปีละเท่าไหร่ จะใช้แก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไร ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่า การเดินแบบนี้ไม่ได้รับประกันว่าเราจะชนะ

แต่ถ้าไม่เดินก็มีแต่เปิดประตูแพ้เท่านั้น สิ่งเดียวที่เราสามารถใช้สู้ได้ คือความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงความตั้งใจของเรา และนั่นจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เมื่อเราเดินเข้าหาประชาชนเท่านั้น” นายธนาธรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากพบและพูดคุยร่วมกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศมนตรีในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว นายธนาธรยังได้เข้าพื้นที่ดูแนวทางการพัฒนาเมืองตามนโยบายของผู้สมัครคณะก้าวหน้า ทั้งที่สวนบวกหาด อ.เมืองเชียงใหม่ และที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เพื่อรับฟังแนวนโยบายจากผู้สมัครในสถานที่จริงด้วย

‘แรมโบ้’ ซัด เพื่อไทยและกลุ่มแคร์ ‘ซาดิสม์’ สนับสนุนม็อบใช้ความรุนแรง ยืนยัน เหตุตำรวจสลายการชุมนุมตามหลักสากล ย้อนถาม “เพื่อไทย - กลุ่มแคร์” เข้าข้างม็อบฝ่ายเดียว แล้วตำรวจไม่ใช่คนหรือ เหตุใดจึงออกมาประณาม

2 มีนาคม 2564 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแคร์ ออกมาประณามสลายชุมนุมที่รุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีสิทธิทำเกินกว่าเหตุ และเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนท่าทีพิจารณาใช้มาตรการจัดการกับการเคลื่อนไหวของประชาชนตามมาตรฐานสากล โดยยืนยันว่าการดำเนินการต่างๆของเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นนายกฯ และตำรวจได้ออกมายืนยันแล้วว่าเป็นไปตามหลักสากล และตนเองยังมองว่าก่อนที่พรรคเพื่อไทย หรือกลุ่มแคร์จะออกมาประณามการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่นั้น ก็ควรมองถึงต้นตอก่อนว่าเกิดจากใคร ซึ่งหากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ออกมาชุมนุม หรือชุมนุมให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้น

และการชุมนุมครั้งนี้รวมถึงการชุมนุมที่ผ่านมา ตำรวจได้ออกมาชี้แจงแล้วว่าตำรวจถูกทำร้ายด้วยก้อนหิน ประทัดยักษ์ ระเบิดปิงปอง ปลายธงฟาดตำรวจ จนได้รับบาดเจ็บ ถึง 90 นาย และยังมีตำรวจเสียชีวิต

“ที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแคร์ ออกมาพูด ออกมาประณามการกระทำของตำรวจฝ่ายเดียว คิดว่าตำรวจไม่ใช่คนเหมือนกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงคิดแต่เข้าข้างกลุ่มผู้ชุมนุมเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร

ทั้งนี้ หากตนเองและคนอื่น ๆ จะขอประณามการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมที่กระทำรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้หรือไม่ เป็นถึงผู้ใหญ่ เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ และเป็นผู้แทนของประชาชน เหตุใดถึงคิดแค่นี้ หรือว่าที่ออกมาปกป้องกลุ่มผู้ชุมนุม เพียงเพราะอยากเกาะกลุ่มผู้ชุมนุมหวังล้มรัฐบาล เพื่อพรรคของตัวเองจะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล

ซึ่งหากคิดแค่นี้ ตนเองก็มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยคงได้เป็นฝ่ายค้านไปตลอดชีวิต และเป็นเรื่องที่น่ากลัวหากพรรคการเมืองที่มีแนวคิดเช่นนี้จะเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะสนับสนุนการใช้ความรุนแรงของกลุ่มผู้ชุมนุม”

"พฤติกรรมความเลวร้ายความชั่วร้ายของกลุ่มชุมนุม พรรคเพื่อไทยและกลุ่มแคร์ กลับมองไม่เห็น ตาบอดมืดมิดได้อย่างเหลือเชื่อ เหมือนผีบังตา เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกระทำอย่างรุนแรงบาดเจ็บมากมายเช่นนี้ ประชาชนคนไทยยอมไม่ได้เด็ดขาด พรรคการเมืองหรือคนกลุ่มไหนที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือเผาทำลายทรัพย์สินราชการเสียหายจะได้จารึกชื่อพรรคการเมืองนั้น ๆ ให้ประชาชนได้สาปแช่งลงโทษลงทัณฑ์ในการเลือกตั้งสมัยหน้าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอย่างแน่นอน และจะได้บันทึกไว้ว่าพรรคเพื่อไทย สนับสนุนการใช้ความรุนแรงให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง"

โปรดเกล้าฯ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “ปลอดประสพ สุรัสวดี” หลังต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 ราชกิจจานุเบกษาได้แพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ความว่า

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก มหาวชิรมงกุฎ ประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ทุติยจุลจอมเกล้า ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 2 เหรียญจักรพรรดิมาลา เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1 และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 3 ซึ่งนายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับพระราชทาน

เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ในคดีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเป็นเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามข้อ 6 และ ข้อ 7 (2) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 และนายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นผู้ถูกถอนชื่อออกจากรายชื่อผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามประกาศที่เกี่ยวข้องแล้ว

ศบค.จับตาสอบใหญ่เข้าเรียนม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมฯ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี วันเสารที่ 6 มี.ค.นี้ มีนักเรียนเข้าสอบกว่า 13,000 คน รวมผู้ปกครองคาดมากถึง 3 หมื่นคน จัดมาตรการคุมเข้ม จังหวัดกลุ่มเสี่ยงสอบแยกฮอลล์

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการแถลงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิดประจำวันว่า ในวันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564 นี้ จะมีการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับชั้น ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2564 โดยโรงเรียนและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มานำเสนอมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวว่า การดำเนินการสอบคัดเลือกดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะต้องมาแจ้งให้ประชาชนทุกคนได้ทราบ เพราะว่าคนที่จะมาสอบเป็นนักเรียนประมณ 13,000 คน ใช้อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม จำนวน 6,624 ที่นั่ง และอาคาร ฮอลล์ 5 - ฮอลล์ 8 จำนวน 6,624 ที่นั่ง จากเดิมเคยสอบใช้อาคารเดียว ตอนนี้แบ่งเป็น 2 อาคาร เพราะต้องมีการจัดระยะห่างถึงเท่าตัว

ทั้งนี้โดยปกติเด็กสอบประมาณ 13,000 คน พ่อแม่ต้องไปคู่กัน เท่ากับเป็น 3 คน หรือเท่ากับ 3 หมื่นกว่าคนจะต้องไปอยู่ที่นั่น ซึ่งแน่นอนจะต้องมีความแออัด ก็จะต้องบอกกันไว้ก่อนว่าทางทีมของสพฐ. ได้คิดกันอย่างรอบคอบ โดยดำเนินมาตรการดังนี้

1.) แยกที่นั่งสอบให้ห่างกันไว้

2.) แยกจากจังหวัดที่มีความเสี่ยงเป็นพื้นที่ควบคุมสูง พื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่เข้มงวดทั้งหลาย จะให้มาอยู่ในฮอลล์ที่ 4 โดยเฉพาะ

“ที่ทำอย่างนี้ไม่ได้ต้องการให้รังเกียจกัน แต่เป็นการให้คนที่มาจากจังหวัดคล้ายกัน ใกล้เคียงกัน อยู่ในกลุ่มก้อนเดียวกัน” นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าว และว่า

ส่วนพื้นที่อื่นๆ จังหวัดอื่นๆ หรือ 54 จังหวัดก็จะอยู่ในอาคารฮอลล์ 5 - 8 ซึ่งจะทำให้ผู้ปกครองที่มาจาก 54 จังหวัด หรือพูดง่าย ๆ อยู่ในจังหวัดกลุ่มสีเขียว จะได้มีความสบายใจ แต่ทุกคนจะต้องดูแลสุขอนามัยส่วนตัว ซึ่งจะต้องมีการคัดกรอง วัดไข้ตั้งแต่แรก

“ถ้าไข้สูงก็แยกออกไปเลย รวมถึงได้ขอความร่วมมือผู้ปกครองให้มากันน้อยหน่อย มาส่งเสร็จก็กลับเลย” นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวย้ำ

นอกจากนี้ยังกำหนดเวลาสอบใหม่จากเดิมกำหนดสอบตั้งแต่เช้ายันเย็น 08.30 - 16.00 น. ก็เปลี่ยนมาเป็น 08.30 -14.00 น. ให้นักเรียนสอบครั้งเดียวจนเสร็จสิ้น โดยโรงเรียนมีบริการอาหารว่างให้แก่นักเรียนทุกคนที่เข้าสอบในช่วงเวลาพักที่โรงเรียนกำหนด เพื่อลดการสัมผัสและรวมกลุ่มกัน

“ตรงนี้จะกระชับเวลาให้สั้นลง ผู้ปกครองมาส่งตอนเช้าก็มารับเลยตอนบ่าย เมื่อเช้าทางกระทรวงสาธารณสุขยังพูดคุยกัน ไม่ใช่แค่อาหารอย่างเดียว น้ำดื่มก็มีความสำคัญ เพราะมีความเป็นห่วง เป็นใยเรื่องสุขภาพ มีหมอ มีพยาบาล มาดูแลที่ศูนย์สอบด้วย”

นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า เพราะฉะนั้นขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันเสาร์นี้คนที่จะไปแถวเมืองทองธานี หรือแถวๆ นั้น พยายามหลีกเลี่ยง ซึ่งในต่างประเทศเขาให้ความสำคัญกับการศึกษามากๆ ในบางประเทศ อย่างเกาหลีใต้ เครื่องบินจะบินผ่าน ยังไม่ให้บินผ่านเลยในช่วงที่เด็กนั่งสอบ

“อยากจะให้พ่อแม่ ผู้ปกครองท่านอื่นที่ไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปแถวนั้นในวันเสาร์ที่ 6 มีนาคมนี้ การจราจรอาจจะติดขัดหน่อย” โฆษก ศบค.กล่าวในตอนท้าย


ที่มา: https://www.prachachat.net/education/news-621968

‘สมศักดิ์’ ลั่น! รู้ตัวคนวางเพลิงหน้าเรือนจำคลองเปรม สั่งตั้ง ‘คณะพาลีปราบยา’ สืบสวนเชิงลึกคาดออกหมายจับได้เร็วนี้ พร้อมข้อหาหนักทำลายทรัพย์ - บุกรุกยามวิกาล - เผยแพร่ข้อมูลความมั่นคง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการติดตามกรณีคนร้ายวางเพลิงป้ายและทำลายทรัพย์สิน บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพว่า หลังจากที่กรมราชทัณฑ์ไปแจ้งความเอาผิดกับผู้กระทำผิดและตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ทางตำรวจได้เก็บหลักฐานจากภาพกล้องวงจรปิดของเรือนจำ ที่สามารถจับภาพคนร้ายได้ โดยมีผู้ต้องสงสัย 3 คนเป็น ชาย 2 หญิง 1 ซึ่งตามภาพจากกล้องวงจรปิดไปจนถึงที่พักพบว่า มีความเชื่อมโยงทางการเมือง

ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมหลังจากที่ได้ทราบถึงกลุ่มบุคคลที่ลงมือก่อเหตุวางเพลิง ตนจึงได้สั่งการให้คณะทำงานเฉพาะกิจชื่อว่า ‘คณะทำงานพาลีปราบยาของกระทรวงยุติธรรม’ ช่วยทำการสืบสวนเชิงลึกในกรณีดังกล่าว ทำให้ในขณะนี้เราได้ข้อมูลสำคัญที่ทำให้ทราบถึงตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุดังกล่าว

รวมถึงได้ข้อมูลสำคัญที่ทำให้ทราบถึงบุคคลและกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการเผยแพร่ภาพดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์รวมถึงเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถออกหมายจับดำเนินคดีได้ทั้งกลุ่มผู้ลงมือ กลุ่มผู้ร่วมขบวนการและตัวการสำคัญในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “กระทรวงยุติธรรมมีคณะทำงานเฉพาะกิจ คือ ‘พาลีปราบยา’ จึงให้ช่วยสืบสวนข้อมูลเชิงลึก ทำให้ทราบถึงผู้บงการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ รวมถึงคนเผยแพร่ข้อมูลความมั่นคงลงในโลกโซเชียล การสืบสวนในครั้งนี้ทำให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์มากขึ้นในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด

เพราะจากข้อมูลของตำรวจเกี่ยวกับผู้กระทำผิดมีหลักฐานที่ชัดเจนทำให้เราสืบต่อไปได้ เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้เพราะเป็นความผิดที่ร้ายแรง ทั้งการบุกทำลายทรัพย์สินของราชการในยามวิกาล และเรือนจำกลางคลองเปรมเป็นสถานที่ความมั่นคงสูง รวมถึงการนำข้อมูลความมั่นคงเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อหาเหล่านี้เป็นข้อหาหนัก เราต้องนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่างโดยเร็ว”

โดยผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่า แสดงว่าขณะนี้ได้ตัวผู้บงการแล้วใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “ก็ต้องบอกว่ารู้ โดยจะส่งข้อมูลไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในการออกหมาย” เมื่อถามว่า จะไปดำเนินการแจ้งความที่ ปอท.หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของตำรวจท้องที่

สาวอเมริกันทำแสบ ฉ้อโกงเงินเยียวยา Covid กว่า 4.4 ล้าน ไปช้อปปิ้งมือเติบ แหวนเพชร กระเป๋าหลุยส์

ช้อปแหลกไม่แคร์โลก ทำเอาชาวอเมริกันเดือดเมื่อรู้ข่าวว่า สาวชาวนอร์ท แคโรไลนา ได้ผลาญเงินเยียวยาของรัฐบาลไปช้อปปิ้งแหวนเพชร กระเป๋าหลุยส์ วิตตองไปถึง 149,000 เหรียญ (ประมาณ 4.47 ล้านบาท) และยิ่งแสบกว่านั้นคือเป็นเงินที่เธอฉ้อโกงมาโดยการแอบอ้างกิจการของเธอที่เจ๊งไปแล้วตั้งแต่ก่อน Covid มาหลอกขอเงินรัฐบาล

เจ้าของวีรกรรมสุดแสบ คือ 'แจสมิน จอห์นเน คลิฟตัน' สาววัย 24 ปีจากเมืองชาร์ลอท รัฐนอร์ท แคโรไลนา เธอเคยเป็นเจ้าของกิจการขายเสื้อผ้าออนไลน์ ที่จดทะเบียนบริษัทในชื่อ Jazzy Jas LLC แต่เลิกกิจการไปแล้วตั้งแต่ช่วงกันยายน ปี 2019 ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติ Covid-19 ในอเมริกา

แต่พอการแพร่ระบาดของ Covid-19 ลุกลามหนักในสหรัฐ ที่มีผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ ร้านค้า กิจการหลายแห่งต้องปิดตัวลงในช่วงนี้ ผู้คนตกงานมากมาย ซึ่งรัฐ นอร์ท แคโรไลนา ก็เจอปัญหาหนัก มีผู้ตกงานเพิ่มสูงขึ้นถึง 6.5% ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

ช่วงเวลานั้น รัฐบาลสหรัฐได้ออกมาตรการแจกเงินเยียวยา Covid-19 และยังอัดฉีดเม็ดเงินในกองทุนฟื้นฟูกิจการ ที่ชื่อว่า CARES Act มีจุดประสงค์ให้เจ้าของกิจการที่ต้องปิดตัวในช่วงวิกฤติ Covid-19 ให้สามารถกลับมาทำธุรกิจต่อได้หลังจากนี้

แต่กลับเป็นช่องทางให้สาวมะกันสุดแสบคนนี้ใช้เป็นช่องทางหาเงินก้อนโต ด้วยการแอบอ้างชื่อ Jazzy Jas LLC ร้านขายเสื้อผ้าของเธอที่แจ้งเลิกกิจการไปนานแล้วมาขอเงินกู้ในกองทุนฟื้นฟู โดยอ้างว่าเคยมีรายได้ถึงปีละ 3.5 แสนเหรียญ พอ Covid มา ร้านก็เลยเจ๊งค่ะคุณตำรวจ

หลังจากที่ได้ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จไป ทำให้เธอได้เงินจากกองทุนฟื้นฟูของรัฐบาลมาถึง 149,000 เหรียญ แต่แทนที่จะนำเงินไปเริ่มต้นกิจการใหม่ แต่เธอกลับนำเงินก้อนโตไปช็อปปิ้งสินค้าฟุ่มเฟือย เครื่องเพชร กระเป๋าแบรนด์หรู ของแต่งบ้านในห้างดัง

แต่แล้วความจริงก็คือความจริง เมื่อรัฐบาลกลางมีการตรวจสอบบัญชีย้อนหลัง และพบว่าแจสมินได้ยื่นหลักฐานเท็จ แอบอ้างกิจการที่ไม่มีอยู่จริงที่จะเข้าข่ายได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฟื้นฟู จึงได้แจ้งข้อหา และอายัดเงินในบัญชีของเธอกว่า 50,000 เหรียญ

ส่วนคดีความตอนนี้กำลังพิจารณาอยู่ในชั้นศาลของรัฐบาลกลางในข้อหาฉ้อโกง แอบอ้างรับผลประโยชน์จากกองทุนช่วยเหลือเพื่อสาธารณะภัยของรัฐ และหากถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจมีสิทธิ์ต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 30 ปี และปรับเงินอีกไม่น้อยกว่า 1.25 ล้านเหรียญ (ประมาณ 37.5 ล้านบาท)

สำนักงานอัยการของรัฐออกมาเตือนว่า กองทุนช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟูกิจการจากวิกฤติ Covid-19 มีไว้ช่วยเหลือเจ้าของกิจการรายย่อยทั่วสหรัฐกว่า 75% ที่ได้รับผลกระทบหนักในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็พบกลุ่มคนที่หาประโยชน์จากกองทุนนี้ด้วยวิธีมิชอบ อย่างเช่นกรณีสาวแสบจากนอร์ท แคโรไลนาคนนี้

และตอนนี้ทางรัฐบาลกลางก็ได้ตั้งชุดทำงานไว้ตรวจสอบ ไล่ล่าคนที่คิดจะฉ้อโกงหาผลประโยชน์จากกองทุนนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรได้ เพราะฉะนั้น โปรดอย่าคิดจะรอด และอย่าคิดทำ หากเจอโทษหนักทั้งจำ ทั้งปรับ ไม่คุ้มได้นะครับ บอกเลย


ที่มา:

North Carolina woman is accused of using her $149,000 Covid-19 relief loan for shopping sprees - CNN

https://edition.cnn.com/2021/02/25/us/north-carolina-covid-shopping-spree-trnd/index.html?utm_source=fbCNNi&utm_medium=social&utm_term=link&utm_content=2021-02-28T13%3A30%3A16?iid=cnn-mobile-app&adobe_mc=TS%3D1614605421%7CMCMID%3D72896598776226317998010576196136757497%7CMCAID%3D30131C8745DA0E30-60000E406754C553%7CMCORGID%3D7FF852E2556756057F000101%40AdobeOrg

โควิดสมุทรสาครดีขึ้น จังหวัดทยอยปิดโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง ในสมุทรสาคร หลังรองรับผู้ป่วยโควิดต่อเนื่องช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ปฎิบัติหน้าที่แทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าฯ / นพ.นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องภาครัฐ - เอกชน ร่วมกันปิดโรงพยาบาลแห่งแรก ของจังหวัดสมุทรสาคร หรือ ‘ศูนย์ห่วงใยคนสาคร1’ ที่สนามกีฬาจังหวัด ซึ่งเริ่มรองรับผู้ป่วยโควิด จำนวน 700 เตียง มาตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของการแพร่ระบาดโควิดในจังหวัด

โดยโรงพยาบาลสนาม นับเป็นจุดเริ่มต้นของการหาสถานที่กักตัว ผู้ติดเชื้อโควิด ที่มีอาการไม่รุนแรง และ ไม่แสดงอาการ เพื่อนำตัวแยกออกจากชุมชน แยกออกจากสังคม มากักตัว เพื่อสังเกตอาการเพื่อจะได้ไม่เกิดความเสี่ยงแพร่เชื้อกับคนอื่นต่อในช่วงที่จังหวัดสมุทรสาคร ยังต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิดในช่วงนั้น

โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้น ที่นำไปสู่หาสถานที่อื่นๆ เพื่อสร้างโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมในจังหวัดจนนำมาสู่การมี รพ.สนาม จำนวน 8 แห่ง ในช่วงเวลา 1 เดือน ของการแพร่ระบาด และเพิ่มเป็น 10 แห่ง ในช่วง 2 เดือน ของการแพร่ระบาด

สำหรับผู้ป่วยโควิดกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ คือ กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ติดเชื้อจากตลาดกลางกุ้งจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาด ในจังหวัดสมุทรสาคร จากนั้นเป็นกลุ่มแรงงานจากโรงงานอื่นๆ และ สถานที่อื่นๆ ที่พบผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่มากนัก หรือไม่แสดงอาการ ถูกทยอยส่งมาที่นี่ รวมถึงกระจายไปยัง โรงพยาบาลสนามแห่งอื่น ๆ ที่อยู่ใน จังหวัดสมุทรสาคร

แม้การปิดโรงพยาบาลสนามครั้งนี้ ทางจังหวัดต้องการทำให้เห็นว่าทิศทางของสมุทรสาครดีขึ้นแล้ว แต่หากตรวจพบผู้ป่วยจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก ก็จะถูกส่งตัวไปยังสถานที่อื่น ซึ่งอยู่ในรูปแบบที่เจ้าหน้าที่สามารถดูแลในระบบ ‘Local Quarantine’ ได้ โดยจะแตกต่างจากโรงพยาบาลสนาม เพราะมีอาคาร มีสถานที่สำหรับกักตัวที่ชัดเจน มีห้องพักอยู่ได้เป็นสัดส่วน ห้องละ 1 คน หรือ 2 คน เพราะจำนวนไม่มากเหมือนช่วงสถานการณ์พีคๆ เมื่อ 1 เดือนก่อนที่พบผู้ติดเชื้อ 500+ / 600+ หรือ 900+ ในบางวัน

นอกจากการปิด โรงพยาบาลสนาม ‘ศูนย์ห่วงใยคนสาคร1’ แล้ว ทางจังหวัดสมุทรสาคร ยังปิดอีกแห่งคือ ‘ศูนย์ห่วงใยคนสาคร3’ ที่ วัฒนา แฟคตอรี่ ของ นายก อบต. พันท้ายนรสิงห์ ‘นายวัฒนา แตงมณี’ ที่ยกอาคารโกดังขนาดใหญ่ 2 อาคาร อาคารละ 120 เตียง รวม 2 อาคารมี 240 เตียง ซึ่งก่อนหน้านี้ นายวัฒนา ได้ยกอาคารโกดังให้เจ้าหน้าที่ให้ทำเป็น โรงพยาบาลสนาม ในทันที เมื่อทราบว่าจังหวัดกำลังหาสถานที่ ที่ต้องการสร้างโรงพยาบาลสนาม เพิ่มเติมเมื่อช่วงต้นเดือน มกราคม 2564 และต่อมายังก่อสร้างโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม (ศูนย์ห่วงใยคนสาคร8) เพื่อรองรับอีก 1,000 เตียง

สำหรับโรงพยาบาลสนามแห่งอื่น ๆ คาดว่าจะทยอยปิดตาม แต่จะยังคงเปิดบางแห่งไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ในช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อและสถานการณ์ โควิด-19 ที่จังหวัดสมุทรสาคร ยังไม่นิ่ง


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3945770772110687&id=100000334098614

‘อริย์ธัช’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคกล้า อัดรัฐบาลสื่อสารสับสน หวั่นทำคนกลัวการฉีดวัคซีน

วันนี้ (2 มี.ค.) นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตสวนหลวง พรรคกล้า ให้ความเห็นต่อการรับมือสถานการณ์โควิด - 19 ด้วยการฉีดวัคซีนว่า วัคซีนเป็นทั้งความหวังและอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคในครั้งนี้ โดยจะเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ทั้งในด้านสาธารณะสุขและทางเศรษฐกิจ ข่าวดีก็คือเวลานี้ ทั่วโลกฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 220 ล้านโดส พบว่า ประเทศที่มีการฉีดครอบคลุมไปแล้วจำนวนมากอย่าง อิสราเอล ที่ฉีดเข็มแรกไปคลุมประชากรไปแล้วกว่า 80 เปอร์เซนต์ มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงกว่าครึ่งและมีอัตราการตายต่อวันลดลงชัดเจน

สะท้อนว่าการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้คนหมู่มากสามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงก็มีน้อยมาก ในด้านเศรษฐกิจ พบว่า บรรดาประเทศที่มีการฉีดวัคซีนหมู่จำนวนมากสามารถกลับเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ รวมถึงการเปิดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่มีการตกลงระหว่างกันหรือที่เรียกว่า ทราเวลบับเบิ้ล ซึ่งจะอนุญาตให้ผู้ที่ฉีดวัคซีคแล้วเข้าประเทศไม่ต้องมีการกักตัวใดๆ เช่น กรีซกับอิสราเอล เป็นต้น

นายอริย์ธัช กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทยก็มีข่าวดีเช่นกันคือ ได้รับวัคซีนล็อตแรกแล้ว เป็นวัคซีนชิโนแวค จากประเทศจีน หลังจากนั้นก็จะมีวัคซีนจากแอสตราซิเนนกา เข้ามาอีกชุด นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่าจะมีการสั่งวัคซีนเข้ามาเพิ่มอีกจำนวนมากจากบริษัทต่าง ๆ เพื่อคืนสถานการณ์ปกติกลับมาให้ประเทศได้เร็วขึ้นจากแผนเดิม ซึ่งถือเป็นทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าเรื่องการสื่อสารของรัฐบาลยังคงเป็นปัญหาสำคัญ เพราะที่ผ่านมามีความสับสนไม่แน่นอนจนทำให้ประชาชนเริ่มขาดความเชื่อมั่นและอาจนำไปสู่การปฏิเสธการฉีดวัคซีนได้ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ ถ้าเป็นไปได้จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องรู้ตัวและเร่งปรับแก้ไขโดยด่วน

“การที่วันหนึ่งบอกว่านายกรัฐมนตรีจะฉีดเป็นคนแรกเพื่อสร้างความเชื่อมั่น พออีกวันหนึ่งก็มาแก้ข่าวกัน ว่าไม่ฉีดแล้วเพราะปัญหาธุรการ พออีกวันหนึ่งก็บอกใหม่ว่าเป็นเพราะอายุมากเกินจะฉีดวัคซีนชนิดนี้ นี่คือปัญหาสำคัญในด้านการสื่อสารโดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ เพราะการเปลี่ยนสารบ่อยๆสุดท้ายก็จะกลายเป็นข้อกังขา ทำให้ประชาชนรู้สึกกลัวและไม่กล้าฉีดวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนชิโนแวค ซึ่งเป็นวัคซีนล็อตแรกนำเข้ามา

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการพูดถึงกันมากถึงประสิทธิภาพของวัคซีนว่ายังไม่แน่นอนเพราะมีผลแตกต่างกันมากในหลายประเทศ บางประเทศมีประสิทธิภาพเพียงมากกว่าร้อยละ 50 นิดหน่อยเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าหลายประเทศปฏิเสธที่จะฉีดวัคซีนชนิดนี้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เพราะมองว่าเป็นหน้าด่านที่มีความใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและจะไม่ฉีดให้กับผู้ที่มีอายุสูงกว่า 60 ปี” นายอริย์ธัช กล่าว

นายอริย์ธัช ยังกล่าวต่อว่า ความจริงแล้วในเรื่องนี้สามารถชี้แจงได้ด้วยการให้รายละเอียดทางการแพทย์มาประกอบเพื่อสร้างความเข้าใจและรับรู้ตรงกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เหมือนที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ยืนยันว่า วัคซีนชิโนแวค มีประสิทธิภาพลดความรุนแรงของโรค โดยป้องกันการป่วยที่มีอาการน้อยต้องพบแพทย์แบบผู้ป่วยนอกได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และป้องกันการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ไม่ต้องพบแพทย์ 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ต้องสื่อสารให้ประชาชนรับทราบโดยตลอด และควรวางแผนการฉีดให้สอดคล้องกับกลุ่มประชากร เช่น หากหลายประเทศมีข้อกังวลในการฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ เราก็อาจยึดมาเป็นแนวทาง

โดยใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าในการฉีดคุ้มกันให้ด่านหน้าและกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ส่วนวัคซีนชิโนแวคซึ่งได้รับการยอมรับเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ก็ควรเลือกใช้กับกลุ่มประชากรที่แข็งแรงและมีความเสี่ยงน้อย ถ้ามีความชัดเจนแบบนี้แต่แรก ไม่รีบพยายามสื่อสารเพียงเพราะต้องการให้หน้าให้ตาใครบางคนให้ได้ซีนมากเกินไป แล้วว่ากันไปตามข้อมูลทางการแพทย์ก็คงไม่ต้องมาจับตาว่าใครคนไหนจะฉีดเป็นเข็มแรก จนกลายเป็นความสับสนซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมของแผนวัคซีนเลย


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000020277


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top