Saturday, 7 June 2025
NATO

เปิดไอเดีย 'ทรัมป์' ปฏิรูป NATO จ่ายน้อย คุ้มครองน้อย หากชาติพันธมิตรบริจาคเงินไม่ถึง 2% ของ GDP

(28 พ.ย.67) นับตั้งแต่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย ส่งผลให้บรรดาชาติในยุโรปโดยเฉพาะกลุ่มสมาชิกนาโต้ เกิดความกังวลในประเด็นต่าง ๆ ตั้งแต่การบริจาคด้านงบประมาณกลาโหมของแต่ละชาติให้กับนาโต้ ไปจนถึงเรื่องสถานการณ์ในยูเครน 

ตลอดช่วงการหาเสียงทรัมป์ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรอย่างต่อเนื่องและบ่นว่าสหรัฐฯ จ่ายเงินงบประมาณมากเกินไปในขณะที่สมาชิกสหภาพยุโรปใช้จ่ายด้านกลาโหมน้อยเกินไป ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เขากล่าวว่าสหรัฐฯ จะปกป้องสมาชิกนาโตจากการโจมตีของรัสเซียในอนาคตก็ต่อเมื่อสมาชิกปฏิบัติตามพันธกรณีการใช้จ่ายด้านกลาโหม

ด้านมาร์ก รุตเตอ เลขาธิการ NATO ได้กล่าวแสดงความเห็นด้วยกับแนวคิดของทรัมป์โดยเฉพาะประเด็นการใช้จ่ายงบประมาณด้านกลาโหมให้มากกว่า 2%

ล่าสุดทรัมป์ได้ตั้งพลเอก คีธ เคลล็อกก์ นายพลเกษียณอายุราชการและอดีตหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานาธิบดีและทูตพิเศษประจำยูเครนและรัสเซีย ในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่จะเริ่มขึ้นในปีหน้า ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวจะมีบทบาทโดยตรงกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในฐานะฝ่ายที่สนับสนุนยูเครน

ก่อนหน้านี้ช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา พลเอกเคลล็อกก์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า หากสมาชิกในกลุ่มพันธมิตร 31 ประเทศไม่สามารถบริจาคเงินให้ได้อย่างน้อย 2% ของจีดีพี ประเทศนั้นไม่ควรมีสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 5 ของนาโต้

มาตรา 5 ของนาโต้ มีข้อกำหนดว่า หากประเทศใดก็ตามในกลุ่มชาติสมาชิกถูกโจมตี จะเท่ากับเป็นการโจมตีชาตินาโต้ทั้งหมด สมาชิกทั้งหมดของนาโต้ต้องตอบโต้ร่วมกัน

"หากคุณต้องการเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตร คุณต้องมีส่วนสนับสนุนพันธมิตร" เคลล็อกก์ กล่าว

เคลล็อกก์ ยังกล่าวอีกว่าหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เขาจะเสนอให้จัดประชุมสมาชิกนาโต้นัดพิเศษในเดือนมิถุนายน 2025 เพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของนาโต้ โดยทรัมป์จะเสนอให้รูปแบบสมาชิกของชาตินาโต้เป็นแบบแพ็กเกจ (tiered alliance) โดยสมาชิกบางรายจะได้รับการคุ้มครองมากขึ้นตามความสอดคล้องของมาตรา 5 และตามงบประมาณสนับสนุนด้านกลาโหมที่ไม่น้อยกว่า 2% ของจีดีพีแต่ละชาติ

Leopard 2 สุดยอดรถถังของยุโรป กลายเป็นเศษเหล็ก หลังเผชิญหน้ารถถังรัสเซีย ในสมรภูมิยูเครน

(6 ม.ค. 68) สงครามระหว่างกับรัสเซีย-ยูเครนจะครบ 3 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ปัจจัยที่ทำให้ยูเครนยังคงสามารถยืนหยัดต่อต้านกองกำลังของรัสเซียได้นั้น ส่วนใหญ่ที่สุดมาจากการสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร NATO สมาชิกองค์การ NATO จำนวนมากมายมหาศาลตั้งแต่อาวุธเบาเช่นปืนเล็กยาว ปืนกล ขีปนาวุธนานาชนิด ปืนใหญ่ รถถัง รถหุ้มเกราะ สารพัดชนิด กระทั่งเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 (จนอาวุธยุทโธปกรณ์ในคลังสำรองของประเทศเหล่านั้นแทบจะหมดเกลี้ยง) อีกทั้งรัสเซียเองก็ไม่ได้ทุ่มสรรพกำลังเต็มที่ในการทำสงครามครั้งนี้ ด้วยยังคงกองกำลังส่วนใหญ่ไว้ในประเทศเพื่อป้องกันประเทศจากการรุกรานของชาติต่าง ๆ ที่เป็นปรปักษ์ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้

รถถังหลัก (Main battle tank : MBT) แบบ Leopard 2 ก็เช่นเดียวกัน รถถังรุ่นนี้ถือเป็นรถถังหลักที่ล้ำหน้าที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ด้วยเชื่อว่า รถถังหลักแบบ Leopard 2 จะเป็นรถถังหลักที่จะช่วยยูเครนเปลี่ยนรูปโฉมของสงครามกับรัสเซียได้ ดังนั้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 รัฐบาลยูเครนได้ร้องขอให้ชาติพันธมิตรได้ให้การสนับสนุนด้วยการส่งมอบรถถังหลักแบบต่าง ๆ ที่ผลิตในประเทศตะวันตก ซึ่ง โปแลนด์ ฟินแลนด์ และประเทศอื่น ๆ ต่างประกาศความตั้งใจที่จะสนับสนุนรถถังหลักแบบ Leopard 2 จากคลังสำรองของประเทศเหล่านั้นในเบื้องต้นประมาณ 100 คันให้กับยูเครน อย่างไรก็ตาม เมื่อเยอรมนีส่งออกรถถังไปยังประเทศเหล่านี้ เยอรมนีได้กำหนดให้การส่งออกซ้ำต้องมีเงื่อนไขได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเยอรมนีก่อน จึงเกิดเป็นประเด็นขึ้นมาเมื่อรัฐบาลเยอรมนีพยายามบ่ายเบี่ยงการอนุญาตดังกล่าว อีกทั้งยังเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาให้คำมั่นในการจัดหารถถัง M1 Abrams ก่อนที่จะส่งรถถังหลักแบบ Leopard 2 ที่ผลิตในเยอรมนีไปยังยูเครน

หลังจากที่ประธานาธิบดี Joe Biden ของสหรัฐฯ ตัดสินใจส่งมอบรถถังหลักแบบ M1 Abrams ให้กับยูเครน เนื่องจากเยอรมนียืนกรานที่จะดำเนินการร่วมกับพันธมิตร NATO ซึ่งการตัดสินใจส่งมอบรถถังหลักแบบ M1 Abrams ให้กับยูเครนของประธานาธิบดี Biden ก่อนหน้านี้เคยถูกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ คัดค้านมาแล้ว ปัจจุบัน ยูเครนได้รับมอบรถถังหลักแบบ Leopard 2 รุ่นต่าง ๆ จากชาติพันธมิตร NATO อาทิ เยอรมนี โปแลนด์ นอร์เวย์ แคนาดา สเปน โปรตุเกส กรีซ สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ รวมแล้วกว่า 200 คัน ซึ่งจาการสู้รบที่ผ่านมา Oryx เว็บไซต์ข่าวด้านความมั่นคงของเนเธอร์แลนด์ระบุว่า จากการยืนยันด้วยภาพ รถถังหลักแบบ Leopard 2 ของยูเครนถูกกองกำลังรัสเซียทำลายไปแล้วกว่า 40 คัน เป็น Leopard 2 รุ่น 2A4 จำนวน 21 คัน, 2A6 จำนวน 13 คัน และ Strv 122 จำนวน 7 คัน (Leopard 2 รุ่น 2A5 ของสวีเดน) หรือราว 20% จากที่มีอยู่ และอีกหลายคันทั้งที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์และเศษซากจากการทำลายโดยกองกำลังรัสเซีย ถูกยึดและส่งไปยังสหพันธรัฐรัสเซีย

รถถังหลักแบบ Leopard 2 ทั้งที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์และเศษซากจากการทำลายถูกนำไปตั้งแสดงในอนุสรณ์สถาน Patriot Park และ Leopard 2 ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์คันหนึ่งได้ถูกส่งไปยังโรงงาน UVZ (UralVagonZavod : โรงงานผลิตยานยนต์แห่งเทือกเขาอูรัล) ในเมือง Nizhny Tagil ซึ่งเป็นโรงงานที่มีหน่วยงานวิจัย พัฒนา และผลิตอุปกรณ์ทางการทหาร รวมถึงรถถังหลักและรถบรรทุกรถถังบนรางรถไฟ เพื่อทำการถอดชิ้นส่วนเพื่อทำการศึกษาวิจัยต่อไป นอกจากนั้นแล้ว โรงงาน UVZ เป็นโรงงานรถยนต์ รถบรรทุก เพื่อการเกษตร ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องมือ และสินค้าอุปโภคบริโภค โดยการผลิตรถถังหลักแบบ T-90 คิดเป็น 18-20% ของการผลิตทั้งหมดของบริษัท 

ในปี 2008 โรงงาน UVZ ผลิตรถถังประมาณ 175 คัน รวมถึง T-90A 62 คันสำหรับกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย และ T-90S 60 คันสำหรับกองทัพบกอินเดีย ซึ่งถือเป็นระดับการผลิตรถถังสูงสุดของโรงงาน UVZ และในรัสเซียโดยรวม ตามรายงานของ Moscow Defense Brief ระบุว่า ในปี 2008 จำนวนรถถังที่บริษัทผลิตได้มากกว่าจำนวนรถถังหลักที่ผลิตโดยประเทศอื่น ๆ ทั่วทั้งโลกรวมกัน และตั้งแต่เดือนธันวาคม 2016 โรงงาน UVZ ได้ถูกโอนไปอยู่ภายใต้ Rostec ซึ่งเป็นวิสาหกิจที่มีลักษณะเป็นบริษัท Holding ของรัฐบาลรัสเซียตามคำสั่งของประธานาธิบดี ในปี 2020 บริษัทรายได้มากถึง 28 พันล้านรูเบิล ในปี 2022 โรงงาน UVZ ถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้มาตรการการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ชาติพันธมิตร และสหภาพยุโรป อันเป็นผลมาจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

รถถังหลักแบบ Leopard 2 ที่มีใช้ในประเทศใกล้บ้านเราได้แก่ สิงคโปร์ (247 คัน) และอินโดนีเซีย (113 คัน) นอกจากรถถังหลักแบบ Leopard 2 แล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์ของยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร NATO ทั้งรถถังหลัก (รวมทั้งรถถังหลักแบบ M 1 Abrams ของสหรัฐฯ) รถหุ้มเกราะ นานาชนิด ถูกกองทัพรัสเซียทำลายและยึดเอาไว้เป็นจำนวนมาก โดยรูปแบบของการรบในสงครามครั้งนี้เปลี่ยนโฉมไปมาก เมื่อทั้งสองฝ่ายนำโดรนโจมตี (Attack/Killer drone) เข้ามาปฏิบัติการ ดังนั้นนอกจากจาก เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง ทุ่นระเบิดดักรถถัง และปืนใหญ่รถถังด้วยกันเองแล้ว กำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากของทั้งสองฝ่ายได้ถูกทำลายโดยโดรนโจมตี ดังนั้นสงครามต่อไปในอนาคตโดรนจะมีบทบาทที่สำคัญในการรบทั้ง การลาดระเวน ตรวจการณ์ ชี้เป้า และโจมตี ฯลฯ 

‘CIA’ ใช้!! ‘ยูเครน’ เป็นฐานข่าวกรอง เปลี่ยนเกมยุทธศาสตร์ NATO ในยุโรป

(19 ม.ค. 68) จากรายงานของ Sputnik International (18 ม.ค. 2025) ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เริ่มต้นจาก "ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร" เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2022 ได้เน้นถึงบทบาทสำคัญของ NATO และสหรัฐฯ ในการสร้างเครือข่ายข่าวกรองและขยายอำนาจทางทหารในยุโรป

การเริ่มต้นปฏิบัติการในยูเครน

รัสเซียอ้างว่าการปฏิบัติการในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อปลดปล่อยภูมิภาคดอนบาส หลังประชาชนในพื้นที่โดเนตสค์และลูกันสค์เผชิญการโจมตีจากกองกำลังของยูเครนอย่างต่อเนื่อง โดยความขัดแย้งนี้มีรากฐานมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร Euromaidan ในปี 2014 ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลยูเครนมีแนวโน้มสนับสนุนตะวันตกอย่างชัดเจน

ความร่วมมือระหว่าง CIA และยูเครน

หลังรัฐประหารในปี 2014 หน่วยข่าวกรองของยูเครนกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของ CIA รายงานเผยว่ามีการส่งมอบเอกสารลับของรัสเซียให้กับ CIA อย่างต่อเนื่อง รวมถึงข้อมูลอาวุธลับ เทคโนโลยีสงครามอิเล็กทรอนิกส์ และแผนการตัดสินใจทางการทหาร

CIA ได้สร้างฐานปฏิบัติการลับ 12 แห่งใกล้ชายแดนรัสเซีย และจัดตั้งโครงการฝึกอบรมหน่วยพิเศษยูเครนในชื่อ ‘Operation Goldfish’ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการต่อต้านรัสเซีย

อดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่าข้อมูลเหล่านี้มีมูลค่าสูงถึง "หลายร้อยล้านดอลลาร์" โดยมีความสำคัญต่อการพัฒนายุทธวิธีของ NATO

การติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ B61-12 ในยุโรป

สหรัฐฯ ได้เริ่มติดตั้งระเบิดนิวเคลียร์รุ่น B61-12 ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงล่าสุดในฐานทัพยุโรป โดยได้รับการอนุมัติให้ใช้งานภายใต้โครงการ "การแบ่งปันนิวเคลียร์" ของ NATO ระเบิดรุ่นนี้สามารถปรับพิสัยการทำลายล้างได้ตั้งแต่ 0.3-50 กิโลตัน

Jill Hruby หัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงนิวเคลียร์แห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่าการติดตั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณไปยังรัสเซียว่า NATO พร้อมรับมือทุกภัยคุกคาม

ความคิดเห็นนักวิเคราะห์

Michael Maloof อดีตนักวิเคราะห์กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ วิจารณ์ว่า NATO กำลังเปลี่ยนจากพันธมิตรป้องกันตัวเป็นองค์กรเชิงรุก และการติดตั้งอาวุธนี้ทำให้ยุโรปมีความเสี่ยงต่อความขัดแย้งทางนิวเคลียร์มากขึ้น

Maloof ระบุว่าการเคลื่อนไหวของ NATO อาจกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งที่ยากต่อการควบคุม โดยยุโรปอาจกลายเป็นเป้าหมายสำคัญหากความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและตะวันตกเพิ่มสูงขึ้น

บทสรุป

รายงานจาก Sputnik International ชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นมากกว่าการต่อสู้ในพื้นที่ แต่ยังเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ระดับโลกของ NATO และสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงในระยะยาว

คริสเตีย ฟรีแลนด์ อดีตรองนายกฯ แนะแคนาดาจับมือพันธมิตร NATO หวังพึ่งอาวุธนิวเคลียร์รับมือการคุกคามอธิปไตยจากทรัมป์

(5 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นางคริสเตีย ฟรีแลนด์ อดีตรองนายกฯ แคนาดา และผู้สมัครผู้นำพรรคเสรีนิยมคนใหม่ มีแนวคิดให้แคนาดาสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหราชอาณาจักรและพันธมิตร NATO มากขึ้น เพื่อใช้อาวุธนิวเคลียร์ปกป้องประเทศจากโดนัลด์ ทรัมป์ หลังถูกมองคุกคามอธิปไตย

โดยก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยกล่าวไว้ว่า ประเทศเพื่อนบ้านที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา อย่างแคนาดาอาจเป็น ‘รัฐที่ 51’ ของแดนมะกัน อีกทั้งยังมีการขึ้นภาษีนำเข้ากับ แคนาดา และ เม็กซิโก 25% ซึ่งมีผลไปแล้วตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา (4 มี.ค.)

ส่งผลให้ จัสติน ทรูโด นายกฯ แคนาดา ไม่อยู่เฉยประกาศตอบโต้ทันที ด้วยการเก็บภาษี 25% กับสินค้าสหรัฐฯ ตีเป็นมูลค่า 155 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 107 พันล้านเหรียญสหรัฐ) โดยจะเริ่มเก็บภาษีร้อยละ 25 กับสินค้าจากสหรัฐฯ ในมูลค่า 30 พันล้านเหรียญแคนาดาทันที และจะเก็บภาษีกับสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 125 พันล้านเหรียญแคนาดา หลังจากนี้ 21 วัน

และครั้งหนึ่ง เจสซี่ มาร์ช ผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติแคนาดา แสดงอาการไม่พอใจเช่นเดียวกัน พร้อมกับออกมาตอบโต้ กับวาทะของทรัมป์ ที่บอกว่าแคนาดาอาจเป็น ‘รัฐที่ 51’ ของสหรัฐฯ โดยกุนซือรายนี้ระบุว่า 

“ในฐานะคนอเมริกัน ผมอยากพูดถึงการอภิปรายเกี่ยวกับ 'รัฐที่ 51' ผมคิดว่านี่คือการดูหมิ่น แคนาดาเป็นประเทศที่เข้มแข็งและเป็นอิสระ มีรากฐานที่ลึกซึ้งในความเหมาะสม เป็นสถานที่ที่ให้ความสำคัญกับจริยธรรมและความเคารพสูง แตกต่างจากบรรยากาศที่แบ่งแยก ไม่เคารพ และมักเต็มไปด้วยความเกลียดชังในสหรัฐอเมริกา”

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอที่ให้แคนาดาใกล้ชิดอังกฤษ เพื่อใช้อาวุธนิวเคลียร์รับมือทรัมป์ ของนางคริสเตีย ฟรีแลนด์ กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยนางแดเนี่ยลล์ สมิธ (Danielle Smith) นายกรัฐมนตรีรัฐแอลเบอร์ตา จากพรรคอนุรักษนิยมกล่าวว่า ‘นี่คือคำพูดที่บ้าคลั่ง เพราะสหรัฐฯ คือพันธมิตรและมิตรแท้ด้านความมั่นคงของเรา"

ผู้นำสหภาพยุโรป ขอร้อง ‘ฝรั่งเศส-อังกฤษ’ แบ่งปันนิวเคลียร์ หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มพาสหรัฐฯ ตีตัวออกห่าง EU

(5 มี.ค. 68) ผู้นำสหภาพยุโรป เรียกร้องให้ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ขยายขอบเขตอาวุธนิวเคลียร์ให้ครอบคลุมยุโรปใช้ในการต่อกรกับรัสเซีย เนื่องจากสหรัฐฯ เริ่มไม่สนใจภูมิภาคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ 

การขยายพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ไปจนถึงสหภาพยุโรป เคยเป็นสิ่งที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในแง่ของเสถียรภาพระหว่างประเทศ ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไป 

โดยสหรัฐอเมริกา ถือเป็นผู้ผลิตพลังงานนิวเคลียร์รายใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ทั่วโลก

อย่างไรก็ตามการปฏิรูปนโยบายต่างประเทศของอเมริกาอย่างสุดโต่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งดำเนินมายาวนาน นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางพันธมิตรที่ดูเหมือนจะห่างจากสหภาพยุโรป และเข้าใกล้รัสเซียแบบเผด็จการมากขึ้น

ส่งผลให้บรรดาผู้นำยุโรป หรือ EU กังวลว่าพวกเขาไม่สามารถฝากชีวิตไว้กับทางสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป พวกเขาจึงกลับหันไปขอความช่วยเหลือจากฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์เพียงสองแห่งในยุโรป 

ฟรีดริช แมร์ซ ว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า “การที่เราต้องพูดคุยกับอังกฤษและฝรั่งเศส ว่าการคุ้มครองทางนิวเคลียร์ของพวกเขาสามารถขยายมาถึงเราด้วยได้หรือไม่ เราต้องพูดคุยกันว่ามันจะเป็นอย่างไร” 

ขณะที่สำนักนักข่าว Euractiv รายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารฝรั่งเศสได้มีการเจรจาเป็นความลับกับพันธมิตรในสหภาพยุโรปเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการถอนตัวของสหรัฐฯ จากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และสหประชาชาติ โดยก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ และผู้นำคนอื่นๆ ในรัฐบาลสหรัฐฯ เคยวิพากษ์วิจารณ์ NATO หลายครั้งและมักตั้งคำถามถึงคุณค่าของการเป็นพันธมิตร

NATO ระส่ำ สหรัฐฯ เล็งถอนกำลัง-ตัดงบฯ ปล่อยชาติยุโรปรับภาระเอง นำไปสู่การล่มสลาย

(5 มี.ค. 68) สำนักข่าว Sputnik รายงานว่า อนาคตขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO อาจเข้าสู่จุดจบในไม่ช้า หลังจากอดีตผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองกำลัง NATO พลเรือเอก เจมส์ สตาฟริดิส (James Stavridis) ออกมาเตือนว่า จุดจบของ NATO อาจอยู่แค่ไม่กี่วันข้างหน้า

ขณะที่ คัม การ์ปองติเยร์ เดอ กูร์ดอง (Come Carpentier de Gourdon) นักวิเคราะห์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มจะใช้ยุทธศาสตร์ค่อยๆ ลดบทบาทใน NATO โดยไม่ถอนตัวในทันที แต่จะลดงบประมาณและดึงกำลังพลจากฐานทัพในยุโรปกลับประเทศ ปล่อยให้ชาติยุโรปต้องแบกรับต้นทุนป้องกันประเทศเอง

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่วอชิงตันจะกดดันชาติสมาชิก NATO ให้เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมขึ้นเป็น 5% ของ GDP ซึ่งอาจสร้างภาระหนักเกินรับไหว และนำไปสู่การล่มสลายของ NATO ในที่สุด

ด้าน ไมเคิล แชนนอน (Michael Shannon) คอลัมนิสต์จาก Newsmax แสดงความคิดเห็นว่า ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา NATO ดำรงอยู่ได้เพราะสหรัฐฯ แบกรับต้นทุนหลัก ขณะที่ประเทศสมาชิกกลับไม่จ่ายส่วนแบ่งอย่างเป็นธรรม พร้อมระบุว่า หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ สหรัฐฯ อาจลดบทบาทลงและปล่อยให้ยุโรปเผชิญชะตากรรมเอง ซึ่งจะทำให้ NATO ค่อยๆ สลายตัวลงราวกับลูกโป่งที่รั่ว

‘ทรัมป์’ เล็ง!! ถอนทหาร 35,000 นาย ย้ายจาก ‘เยอรมนี’ ไป!! ‘ฮังการี’

(9 มี.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในยุโรปด้วยการ ถอนทหารอเมริกัน 35,000 นายออกจากเยอรมนี ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นการเปลี่ยนเกมด้านความมั่นคงของ NATO และอาจทำให้สัมพันธ์สหรัฐฯ–ยุโรปเดือดพล่านยิ่งขึ้น

แหล่งข่าวจากทำเนียบขาวเผยว่า “ทรัมป์หงุดหงิดกับยุโรป เพราะพวกเขาดูเหมือนจะเร่งสถานการณ์ไปสู่สงคราม” ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะทรัมป์เคยส่งสัญญาณหลายครั้งว่า สหรัฐฯ จะไม่คุ้มกันประเทศที่ไม่ลงทุนด้านความมั่นคงของตัวเองอย่างจริงจัง

ฮังการี - เป้าหมายใหม่ของกองกำลังสหรัฐฯ?

The Telegraph รายงานว่า เป้าหมายที่เป็นไปได้ของการโยกย้ายครั้งนี้คือ "ฮังการี" ประเทศที่รักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซียมาโดยตลอด และเพิ่งสร้างแรงกระเพื่อมใน EU ด้วยการวีโต้มาตรการสนับสนุนยูเครนเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา

วิกเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี เป็นหนึ่งในผู้นำยุโรปที่มักค้านการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งทำให้หลายฝ่ายสงสัยว่า การที่ทรัมป์อาจย้ายทหารไปที่นั่นเป็นการเดินเกมในลักษณะใดกันแน่ เพราะหากเกิดขึ้นจริง ก็หมายความว่าสหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณถึง NATO ว่า “จ่ายเยอะ—ได้เยอะ, จ่ายน้อย—จัดการตัวเอง”

โฆษกด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ไบรอัน ฮิวจ์ส ให้ความเห็นว่า "แม้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การโยกย้ายกำลังทหารเป็นเรื่องที่กองทัพสหรัฐฯ พิจารณาอยู่เสมอ เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามในปัจจุบัน" ซึ่งฟังดูเหมือนแถลงการณ์กลาง ๆ แต่แปลเป็นภาษาชัด ๆ ได้ว่า "เรากำลังหาทางออกที่ดีที่สุดให้ตัวเอง"

NATO สะเทือน!! ทรัมป์ไม่สนใจ สมาชิกที่จ่ายไม่ถึงเป้า

ทรัมป์ย้ำหลายครั้งว่า ประเทศสมาชิก NATO ต้องเพิ่มงบประมาณกลาโหมให้เป็นไปตามเกณฑ์ ซึ่งในปี 2024 มีเพียง 23 จาก 32 ประเทศ เท่านั้นที่ทำได้ โดย โปแลนด์ เป็นประเทศที่ลงทุนหนักสุดที่ 4.1% ของ GDP ขณะที่สหรัฐฯ ใช้ 3.4% ซึ่งทรัมป์มองว่า "เป็นภาระที่อเมริกันชนไม่ควรต้องแบก"

ทรัมป์เคยพูดตรง ๆ ว่า "ถ้าคุณไม่จ่าย ผมก็ไม่ช่วย" และถึงขั้นบอกว่า “ถ้าประเทศไหนใน NATO ไม่ยอมจ่าย ผมจะปล่อยให้รัสเซียจัดการเอง” ซึ่งนับว่าเป็นคำเตือนที่ชัดเจน และอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมทรัมป์ถึงสนใจย้ายกำลังไปประเทศที่ "จริงจัง" เรื่องงบกลาโหมมากกว่า

เยอรมนีอาจต้องรับมือเอง หากทรัมป์เดินหน้าถอนกำลัง

หากแผนนี้เดินหน้าจริง เยอรมนีอาจต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายทางความมั่นคงแบบไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากฐานทัพสหรัฐฯ หลายแห่งในเยอรมนี เช่น Ramstein Air Base และ กองบัญชาการสหรัฐฯ ประจำยุโรป ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของ NATO ในยุโรป

การถอนกำลังออกจากเยอรมนีจะเป็นการตัดแรงสนับสนุนที่สำคัญสำหรับ NATO และอาจทำให้เยอรมนีต้อง เร่งเพิ่มงบกลาโหม และพิจารณาทางเลือกใหม่ ๆ ในการปกป้องประเทศของตนเอง

ในขณะที่ยุโรปกำลังจับตาว่าสหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายนี้อย่างไร สัญญาณจากทรัมป์ดูเหมือนจะชัดเจนว่า “อเมริกาไม่ใช่ผู้คุ้มกันฟรี ๆ อีกต่อไป” และ NATO อาจต้องเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

‘เจ้าชายวิลเลียม’ ทรงสวมชุดทหารเต็มยศ เยี่ยมกองทัพอังกฤษในเอสโตเนีย เพื่อเน้นย้ำ!! การสนับสนุนของสหราชอาณาจักร ต่อปฏิบัติการของ NATO

(22 มี.ค. 68) เจ้าชายวิลเลียม มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ และพระโอรสองค์โตของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ เสด็จไปยังค่ายทหารในเมืองทาปา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนรัสเซียประมาณ 200 กิโลเมตร (125 ไมล์) โดยทรงตรวจสอบยานเกราะรบของทหารราบและทรงขึ้นรถถัง ขณะสวมชุดลายพรางของกองทัพ

อังกฤษมีทหารประมาณ 900 นายประจำการในเอสโตเนียและโปแลนด์ ภายใต้ 'Operation Cabrit' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมกำลังของ NATO บริเวณแนวรบด้านตะวันออก เพื่อตอบโต้การรุกรานยูเครนของรัสเซีย

การเสด็จเยือนเป็นเวลา 2 วันของเจ้าชายวิลเลียมมีขึ้นในขณะที่อังกฤษและพันธมิตรยุโรปกำลังเพิ่มงบประมาณกลาโหม เพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ชาติ NATO อื่น ๆ มีส่วนร่วมมากขึ้นในการรักษาความมั่นคงของยุโรป

เจ้าชายทรงยืนอยู่หน้าลวดหนามและควันสีเหลืองขณะทอดพระเนตรการฝึกซ้อมรบในสนามเพลาะ และทรงร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีส่งมอบกำลังพลจาก Royal Dragoon Guards ที่เพิ่งสิ้นสุดภารกิจ ให้แก่ Mercian Regiment ซึ่งจะเข้าประจำการเป็นเวลาหกเดือน โดยเจ้าชายวิลเลียมทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์ของกองพันดังกล่าว

"ตั้งแต่การฝึกภาคสนามไปจนถึงการใช้อาวุธ ระบบปฏิบัติการภาคสนามนี้มีความสำคัญมาก!! น่าทึ่งที่ได้เห็นความทุ่มเท และความสามารถของทหารของเราในการปฏิบัติงาน" สำนักงานของพระองค์ที่พระราชวังเคนซิงตันโพสต์ข้อความลงใน X (Twitter เดิม)

การเสด็จเยือนครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของเจ้าชายในรัฐบอลติก ก่อนหน้านี้เมื่อสองปีที่แล้ว พระองค์เคยเสด็จไปยังโปแลนด์เพื่อเยี่ยมทหารอังกฤษที่ให้การสนับสนุนยูเครน

นอกจากนี้ เจ้าชายยังทรงพบปะกับทหารเพื่อรับฟังประสบการณ์ของพวกเขาระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ และหารือเกี่ยวกับสวัสดิการด้านสุขภาพจิตกับเจ้าหน้าที่สนับสนุนทางสังคมของกองทัพ

ผู้แทนทรัมป์เผยเคียฟตกลงเลือกตั้งใหม่ พร้อมอ้างว่าผู้นำยูเครนยอมรับ ไม่เป็นสมาชิกนาโต

(24 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ผู้พัฒนาและนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์ก ที่ดำรงตำแหน่งผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ ทัคเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวสหรัฐฯ 

โดยเปิดเผยว่า เคียฟตกลงที่จะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในยูเครน และเสริมว่าผู้นำของประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะสงครามแห่งนี้ (ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี) ก็ตกลงกับเรื่องนี้แล้ว เนื่องจากกำลังตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบากมาก เพราะรัสเซียมีประชากรและมีอาวุธนิวเคลียร์ที่มากกว่า

วิตคอฟฟ์เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี และอันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดียูเครน ได้ยอมรับเกือบทั้งหมดแล้วว่า ยูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของ นาโต (NATO) ในอนาคตอันใกล้

การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้สะท้อนถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงจากผู้นำยูเครน ซึ่งในอดีตเคยหวังที่จะเข้าร่วมกลุ่มนาโตอย่างเต็มที่ เพื่อต่อสู้กับความท้าทายด้านความมั่นคงจากรัสเซียที่ขยายอิทธิพลในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีและเยอร์มักได้ยืนยันว่า ยูเครนจะไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของนาโตได้ตามที่เคยตั้งใจไว้

“พวกเขา (เซเลนสกีและเยอร์มัก) ได้ยอมรับเกือบทั้งหมดว่า ยูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของนาโตในตอนนี้ และการเปลี่ยนแปลงในเชิงกลยุทธ์นี้เป็นการยอมรับสถานการณ์ปัจจุบัน” วิทคอฟฟ์กล่าวในระหว่างการสัมภาษณ์กับคาร์ลสัน

การยอมรับนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยูเครนต้องเผชิญกับความท้าทายจากการรุกรานของรัสเซีย และการทำงานร่วมกับนาโตในหลายๆ ด้าน เช่น การสนับสนุนทางทหารและเศรษฐกิจ ถึงแม้ยูเครนจะยังคงคาดหวังการสนับสนุนจากนาโตในด้านอื่นๆ แต่การเข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มตัวอาจเป็นเรื่องที่ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน

สถานการณ์ในยูเครนยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงท่าทีนี้อาจมีผลต่อการเจรจาทางการเมืองในอนาคตระหว่างยูเครนและนาโต รวมถึงความสัมพันธ์กับรัสเซียและประเทศพันธมิตรต่าง ๆ

เดนมาร์กปรับนโยบาย บังคับเกณฑ์ทหารหญิง เพื่อความเท่าเทียมชาย เริ่มกรกฎาคม 2025

(27 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป ผู้หญิงชาวเดนมาร์กที่มีอายุ 18 ปี จะต้องเข้ารับการคัดเลือกเพื่อเข้ารับราชการทหาร เช่นเดียวกับผู้ชาย ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายการเกณฑ์ทหารของประเทศ 

เดนมาร์กกลายเป็นประเทศที่ 2 ในสหภาพยุโรปที่ใช้ระบบเกณฑ์ทหารสำหรับทั้งชายและหญิง โดยก่อนหน้านี้มีเพียงนอร์เวย์เท่านั้นที่ใช้แนวทางนี้ โดยรัฐบาลเดนมาร์กให้เหตุผลว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเท่าเทียมทางเพศในกองทัพ และช่วยให้ประเทศมีทรัพยากรบุคคลเพียงพอสำหรับป้องกันประเทศในอนาคต

“การให้ผู้หญิงเข้ารับการเกณฑ์ทหารเท่าเทียมกับผู้ชายเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงค่านิยมประชาธิปไตยและความเสมอภาคของเดนมาร์ก” เมตเต เฟรเดอริกเซน (Mette Frederiksen) นายกรัฐมนตรีหญิงของเดนมาร์กกล่าว

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความมั่นคงในยุโรปที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศกำลังปรับนโยบายด้านการป้องกันประเทศให้สอดคล้องกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระบุว่า การขยายฐานกำลังพลจะช่วยให้เดนมาร์กมีความพร้อมในการป้องกันประเทศ และสนับสนุนภารกิจของ NATO มากขึ้น

ทั้งนี้ตามกฎหมายใหม่ ผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปจะต้องเข้าร่วมการคัดเลือกทางทหารเช่นเดียวกับผู้ชาย แต่ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกหรือมีเหตุผลทางสุขภาพอาจได้รับการยกเว้น

ปัจจุบัน เดนมาร์กมีระบบเกณฑ์ทหารสำหรับผู้ชาย แต่มีสัดส่วนของทหารหญิงที่สมัครใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก รัฐบาลเชื่อว่าการบังคับใช้ระบบใหม่จะช่วยสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งและครอบคลุมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การประกาศนโยบายใหม่นี้ได้รับทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้าน บางฝ่ายมองว่าเป็นก้าวสำคัญสู่ความเท่าเทียม ในขณะที่บางฝ่ายตั้งคำถามเกี่ยวกับความสมัครใจของผู้หญิงในการเข้ารับราชการทหาร แต่ทั้งนี้เดนมาร์กยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายนี้เพื่อเสริมสร้างกองทัพและความมั่นคงของประเทศในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top